ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] The Goat's Howling by Lingbahh

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter Six

    • อัปเดตล่าสุด 21 ส.ค. 56


    The Goat’s Howling by LINGBAHH

     

     

    Chapter Six

     

     

     

     

     

     

    ระหว่างการรอคอยที่ยาวนาน ความคิดของผมล่องลอยไปไกลแสนไกล รวมไปถึงสถานการณ์เดียวกับตนเองที่เคยเห็นในซีรีย์ทางโทรทัศน์  ผมรู้สึกเหมือนเหน็บกิน  มีอากาศน้อย  แสบโพรงจมูกจากกลิ่นท่อไอเสีย และเห็นโลกตะแคงข้าง ซ้ำยังหูอื้อเพราะเสียงเครื่องยนต์ที่ก้องอยู่ในกระโปรงหลังรถ  ผมคิดเอาเองว่า ศพที่ถูกฆาตกรยัดไว้ท้ายรถคงรู้สึกไม่ต่างจากผมเท่าไร แต่ข้อดีของคนที่ตายไปแล้วก็คือ พวกนั้นคงไม่รู้สึกคันยุ่บยั่บจากแมลงตัวเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้พรมปูพื้นซึ่งบังเอิญเห็นผมเป็นสวนสนุกขนาดใหญ่เลยพาเหรดกันขึ้นมาไต่คลานหกคะเมนตีลังกายั้วเยี้ยเต็มตัว  ทรมานชะมัด

     

    ผมเอาเสื้อที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางออกมาม้วนหนุนต่างหมอน  พอจะช่วยบรรเทาการโขกกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบได้เล็กน้อย  หลังจากที่กระโหลกของผมน่าจะบวมไปแล้วหนึ่งฝั่ง ผมยืดตัวออกคลายความเมื่อยล้าแล้วพยายามกล่อมตัวเองให้หลับ   ดีหน่อยตรงที่เดรโกหาของมากั้นยันไม่ให้กระโปรงหลังปิดสนิทได้ และมัดกระโปรงหลังด้วยเชือกไนลอนที่ยืดหยุ่นสูง จึงดูเหมือนกับว่าใส่ของมาเต็มท้ายรถจนปิดไม่ได้  เหลือพื้นที่ไว้ให้อากาศถ่ายเทได้ประมาณเกือบสิบเซนติเมตรให้ผมได้มีอากาศหายใจและยังเผื่อพื้นที่เหลือให้นับเส้นประบนถนนด้วย

     

    ก่อนที่เราจะออกมาจากใต้อพาร์ทเมนต์ ในขณะที่ผมมีแค่กระเป๋าเดินทางใบเล็กๆหนึ่งใบ บรรจุเสื้อผ้าสำหรับสามสี่วัน กางเกงชั้นใน เสื้อกันหนาวและรองเท้าเก่าๆหนึ่งคู่ เดรโกกลับเอาข้าวของของตัวเองลงมาจากห้องหลายอย่างบรรจุลงเบาะหลังของรถแอสตันมาร์ติน ดีบีไฟว์ ปี 1964 รถเก่าสุดคลาสสิคที่เจ้าตัวรักนักหนา สมบัติของเดรโกที่ยิ่งดูยิ่งสงสัยว่าหมอนี่จะไปพักร้อนหรือจะไปสืบคดีกันแน่ได้แก่ กระเป๋าเดินทางไฟเบอร์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนึ่งใบที่มีสภาพผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน กล่องใส่รองเท้าสองสามกล่อง  หนังสือลังหนึ่ง  แล็ปท็อปหนึ่งเครื่อง ตามด้วยปืนยาวสำหรับล่าสัตว์สองกระบอก เบ็ดตกปลาสองคัน รวมทั้งลังน้ำแข็งสำหรับใส่ปลา ดูเผินๆเหมือนชายโสดเปลี่ยวเหงาจะลาเมืองหลวงไปพักสมองที่บ้านพักตากอากาศยังไงยังงั้น

     

    ระหว่างทางออกจากเมืองหลวงพบด่านของตำรวจทางหลวงสองสามครั้ง  รถคันนี้มีตราใช้ในราชการตำรวจและเดรโกก็คงจะโชว์ตราตำรวจพร้อมบอกว่า ลาพักร้อนอาทิตย์นึง  จึงไม่มีใครขอตรวจค้นรถแม้แต่คนเดียว แถมยังชวนคุยเรื่องแหล่งตกปลาเยี่ยมๆ ที่อยู่ไม่ไกลนักอีกด้วย  ผมได้แต่หวังว่าเขาจะหยุดรถแล้วเปลี่ยนเส้นทางไปทางลัดเพื่อหลีกเลี่ยงด่านแล้วให้ผมกลับไปนั่งเบาะหน้าข้่างคนขับ ที่ซึ่งวิศวกรยานยนต์ออกแบบมาให้มนุษย์นั่งเสียที ผมได้แต่นอนตะแคงคู้ตัวเป็นปลาตายอยู่ในกระโปรงหลังมาแล้วเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง พลางนับเส้นประแบ่งเลนบนทางหลวงไปเรื่อยๆถึงเส้นประที่สองหมื่นสี่พันสิบสาม  ก่อนที่จะหลับไปในที่สุด

     

    แม้แต่ในฝัน ผมก็ฝันว่าตัวเองนอนแอ้งแม้งอยู่ในลังปลา.... ขอบคุณพระเจ้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองไม่มีเกล็ดและครีบงอกออกมาด้วย

     

    มองนาฬิกาข้อมืออีกที  โธ่....ผมเพิ่งหลับไปแค่ 25 นาทีเท่านั้น 

     

    $ $ $ $

     

     

    การรอคอยอันยาวนานสิ้นสุดลง  ผมรู้สึกทั้งดีใจและโล่งใจเมื่อรู้สึกถึงเครื่องยนต์ที่ดับลงและการเข้าจอดในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีกลิ่นของน้ำมันลอยอวลอยู่ในอากาศ  ได้ยินเสียงกุกกักของช่องน้ำมันและฝีเท้าคนเดินอยู่ภายนอก  รวมไปถึงบทสนทนาที่คุยกันด้วยสำเนียงท้องถิ่นของผู้ชายสองคนที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก   เราคงออกห่างจากเมืองหลวงมาได้ไกลพอสมควรแล้ว แต่จนแล้วจนรอดฝากระโปรงหลังก็ไม่เปิดเสียที จนผ่านไปอีกสิบห้านาทีนั่นน่ะที่แผ่นเหล็กเย็นเยียบค่อยเปิดออกมาได้เพื่อให้ผมพบว่าข้างนอกเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว  ผมมองเจ้าของรถอย่างฉุนๆ ที่เขาใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะเปิดท้ายรถให้ผมได้  พอลุกขึ้นมานั่งได้ผมเปิดฉากต่อว่าทันที  “ลืมแล้วหรือไงว่ามีคนอยู่หลังรถ  ไม่รอมาเปิดให้วันพรุ่งนี้ซะเลยล่ะ”

     

    เดรโกเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “จะบ่นก่อน หรือจะรีบๆลุกไปเข้าห้องน้ำก่อนที่ปั๊มจะปิดทำการ”

     

    ฟังแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมไม่ได้ไปฉี่หลายชั่วโมงแล้วจึงใช้แขนดันเจ้าของรถออกไปห่างๆ ก่อนที่จะย้ายตัวเองลงมาเพียงเพื่อจะพบว่าเหน็บกินจนทรงตัวยืนไม่ได้ มือข้างหนึ่งจึงคว้าแขนของเดรโกไว้แทนหลักยึดแล้วกอดไว้แน่นทดแทนร่างกายที่โงนเงนโอนเอียนจะล้มมิล้มแหล่  ใบหน้าของเราสองคนห่างกันคืบเดียว ซึ่งไม่ได้สร้างความรู้สึกโรแมนติกอะไรทั้งนั้นจากการที่ขาขวาทั้งตึงและคันยุบยิบเหมือนโดนมดไต่ ส่วนขาซ้ายก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน สองข้างสลับกันยืนราวกับเต้นแทงโก้ จนพ่อนักสืบคงจนเห็นท่าไม่ได้การ จัดการดันผมให้ไปนั่งตรงขอบกระโปรงหลังแล้วทุบหน้าขาของผมดังปั้กข้างละที ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของกระแสเลือดได้เป็นอย่างนี้แม้ผมจะนึกสงสัยว่าไม่น่าจะใช้วิธีการที่ถูกต้องสักเท่าไรนัก

     

    ผมนวดขาตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเดินกะเผลกไปยังห้องน้ำของปั๊มน้ำมันได้ทันเวลาการที่เขาจะล็อกประตูปิดให้บริการ เมื่อทำภารกิจเสร็จแล้วจึงมีเวลาเดินช้าๆ ละเลียดดูบรรยากาศรอบตัวที่เป็นปั๊มเก่าๆ ทรุดโทรม  มีไฟอยู่ไม่กี่ดวงในพื้นที่กว้างและเหลือรถแอสตันมาร์ตินคันสวยของเราเป็นลูกค้ารายสุดท้ายที่เหลืออยู่ ท้องฟ้าที่กลายเป็นสีน้ำเงินอมดำตัดกับแสงไฟเหลืองอมส้มของปั๊มสร้างความรู้สึกวังเวงราวกับฉากในภาพยนตร์สยองขวัญ

     

    กลิ่นบุหรี่ที่มีเมนทอลเจือจางลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศขมุกขมัว แสงสีส้มเล็กจิ๋วสว่างวาบอยู่ใกล้ริมฝีปากของเดรโกที่ยืนพิงรถรอคอยอยู่ในความมืด  ผมเดินตรงไปใกล้  เราสองคนมองตากันราวกับจะลองเชิง

     

    “ทำไมกว่าจะปล่อยผมลงมาได้ตั้งหลายชั่วโมง  คิดจะแกล้งกันหรือยังไง”

     

    เดรโกยักไหล่ ดวงตาสีฟ้าอมเทาของเขานิ่งเรียบเหมือนผืนน้ำกลางทะเลสาปที่ยากหยั่งถึง  คนตรงหน้าอัดบุหรี่เข้าปอดก่อนที่จะพ่นควันสีเทาอ่อนออกมาเป็นควันม้วนในอากาศ “แกล้งนายจะมีประโยชน์อะไร ไม่เห็นจะสนุก”

     

    ผมขมวดคิ้ว “แล้วทำไมล่ะ”

     

    เขาหันไปมองทั่วบริเวณ กระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง “ปั๊มนี้เป็นปั๊มเดียวในเส้นทาง ที่ไม่มีกล้องวงจรปิด และพ้นจากวงจรปิดของทางหลวง  แล้วก็ยังไม่มีมินิมาร์ทด้วย  ฉันไม่ทำอะไรโง่ๆให้ถูกจับได้หรอกนะ”

     

    ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน “บนทางหลวงมีกล้องวงจรปิดด้วยเหรอ?”

     

    เขาไม่ตอบ แต่นั่นคงแปลว่าใช่ 

     

    “งั้นถ้าผมกลับขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ยังไงหากใครมาตามดูคุณก็ต้องรู้ไม่ใช่หรือไง”

     

    “กล้องบนทางหลวงเป็นกล้องขาวดำ ที่ทำงานได้ไม่ดีนักในตอนกลางคืน หากใครถาม ฉันก็อ้างได้ว่าฉันเจอพวกเด็กวัยรุ่นมาโบกรถอยู่ข้างทางจึงรับขึ้นมาด้วย”

     

    ผมยู่หน้า “วัยรุ่นบ้าที่ไหนจะมาโบกรถในที่เปลี่ยวแบบนี้”

     

    “คนประเภทไหนกันล่ะที่จะทำ”

     

    “ขายตัวแลกเดินทางฟรีน่ะสิ”

     

    ริมฝีปากผุดยิ้มเหยียดขึ้นที่มุมหนึ่ง “ตอบได้ตรงเผงจนไม่รู้ว่าเกิดจากมันสมองหรือประสบการณ์เลยนะเนี่ย”

     

    ผมหน้าตึง และแทนที่เดรโกจะสำนึกว่าตัวเองพูดอะไรออกมากลับทำทางเหมือนผู้ชนะให้ผมรู้สึกแย่มากขึ้นอีก ผมได้แต่ยักไหล่ เอ่ยแดกดันตอบ

     

    “อ้างคล่องปากแบบนี้ก็คงเคยรับขึ้นรถมาหลายคนแล้วสินะคุณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” 

     

    แค่เห็นเดรโกฟาดสายตาเกรี้ยวกราดใส่ ผมก็สาแก่ใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้  มาขอความช่วยเหลือก็จริงแต่ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องเป็นลูกไล่ถูกเขาต้อนจนมุมเสียตลอดไปซะเมื่อไร 

     

    ควันบุหรี่ลอยพาดผ่านใบหน้าคมดุดันของอีกฝ่าย  ผมเหมือนจะเห็นไรฟันขาวที่จากรอยยิ้มของเสือร้าย “จะว่าอย่างนั้นก็ได้....เชี่ยวชาญจนแยกระหว่างเด็กธรรมดากับเด็กเลี้ยงแกะที่ต้องสงสัยข้อหาขายตัวได้โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากพูดด้วยซ้ำ  อย่าให้ฉันต้องขุดเรื่องเก่าขึ้นมาพูดนะเอมิล พูดไปนายมีแต่เสียกับเสีย....”

     

    “ผมไม่เคยขายตัว”

     

    “นายแค่นอนแลกเงิน ถ้ามีปัญหาการเงินมากมายทำไมไม่ใช้วิธีปกติ”

     

    “ผมไม่ได้ขายตัวและผมไม่ได้นอนแลกเงินหรือห่าเหวอะไรอย่างอื่นที่คุณพยายามปรักปรำผม” ผมขึ้นเสียงแข็ง  รู้สึกทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกหยามทั้งที่เรื่องนี้เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของความจริงเท่านั้น  คู่กรณีของผมเป็นครูในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ซึ่งเข้ามาตีสนิทโดยมีลูกชายตัวเล็กๆเป็นข้ออ้าง เราเจอกันบ่อยในร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งที่ผมมักจะแวะหลังจากกลับจากเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล  เราคุยกันถูกคอและเขาก็เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก เขาเสนอจ้างผมจูงหมาไปเดินเล่นเพราะเขายุ่งกับเจ้าตัวเล็กเกินกว่าจะพามันไปเอง  ทว่าในตอนที่ผมพยายามจะเป็นมิตรกับเยอรมันแชพเพิร์ดตัวสูงเท่าเอวที่แยกเขี้ยวใส่น้ำลายย้อย ผมกลับพบว่าสิ่งที่อันตรายกว่าก็คือ พ่อลูกอ่อนเจ้าของบ้านนั่นเอง รายละเอียดของเรื่องเป็นอย่างไรไม่มีค่าควรแก่จะเล่าให้ฟัง แต่ที่แน่ๆ วันนั้นจบลงด้วยการที่ผมชกเขาเข้าที่เบ้าตาและจมูกเกือบหัก  ในขณะที่เขาอ้างว่าผมขายบริการและเป็นฝ่ายเสนอตัวก่อน  ซึ่งมูลเหตุของการอ้างคือ ถุงยางอนามัยชิ้นหนึ่งและขวดเจลหล่อลื่นซึ่งบังเอิญมาอยู่ในกระเป๋าสะพายของผมอย่างน่าอัศจรรย์ รวมไปถึงเงินปึกหนึ่งอันเป็นราคามาตรฐานของการซื้อบริการเด็กผู้ชายอายุต่ำกว่าเกณฑ์ด้วย

     

    เดรโกหรี่ตามอง “รองสารวัตรใจดีเกินกว่าจะขอตรวจดีเอ็นเอในช่องปากนาย”

     

    “เผื่อว่าจะมีเซลล์สิ่งมีชีวิตมาดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในคอของผมน่ะเหรอ?” ผมย้อนเสียงสั่น  มือหนึ่งกำหมัดแน่น “คุณกำลังปกป้องเขาแต่ไม่คิดจะปกป้องผม”

     

    “เหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องปกป้องนาย  อย่ามาพูดว่าเพราะนายเป็นน้องของแมทเทียส  นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรจะเอามาเป็นข้ออ้าง” 

     

    ใครไปคนต้นคิดวลี ‘ตำรวจผู้ผดุงความยุติธรรม’ กันนะ  ตั้งแต่โตขึ้นมาสิบเจ็ดปี ไม่เห็นจะเคยเจอสักคนหนึ่ง! คำพูดลวงโลกชัดๆ

     

    “เหตุผลเดียวที่คุณควรจะรับฟังความทั้งสองข้าง คือ คุณเป็นตำรวจและคุณจะทำงานแบบที่มีอคติเลวๆต่อทุกคนที่คุณไม่ชอบไม่ได้  คุณเกลียดผมเพราะผมชอบสรรหาเรื่องให้คุณต้องอับอายขายขี้หน้าคนทั้งโรงพัก  แล้วทุกคนก็มารุมถามคุณว่า  น้องชายของแมทเทียสอีกแล้วเหรอ? คราวนี้คดีอะไร? ขโมยของจากร้านค้า วิ่งราว ขายตัว?   คุณไม่อยากให้แมทเทียสแปดเปื้อน  ผมก็รู้  แต่คุณเคยถามผมสักคำไหมว่าผมทำจริงหรือเปล่า” ผมแผดเสียงลั่น  นกที่เกาะบนต้นไม้ใกล้ๆ ถึงกับแตกกระเจิงไปคนละทิศทาง จนใบไม้ร่วงกราวหล่นลงสู่พื้น  “วันนั้นผมแค่รับจ้างพาหมาไปเดินเล่น แลกกับเงินเล็กน้อยเท่านั้น  แต่จะพูดยังไงให้เชื่อผมล่ะ ในเมื่อครูประถมพ่อลูกอ่อนพูดอะไรออกมาแม่งก็น่าเชื่อถือกว่าเด็กข้างถนนอยู่แล้ว  ตำรวจเขาตัดสินคนกันแบบนี้เหรอ?”

     

    “พูดต่อสิ” เดรโกกอดอกแน่น สีหน้าหงุดหงิด “ทำไมตอนให้การไม่ได้พูดอย่างนี้  แถมยังชอบไปพูดยั่วยุตำรวจให้เขาโมโหล่ะ”

     

    “ตำรวจกวนตีนผมก่อนนี่  มีที่ไหนหาว่าผมขายตัวมานานแล้ว ผม-รับ-จ้าง-พา-หมา-ไป-เดิน-เล่น-โว้ย”

     

    “เท่าที่ฉันเห็นในแฟ้มประวัตินายพูดว่ายังไง ตอนแรกนายพูดว่า นายรับจ้างพาหมาไปเดินเล่น ต่อมานายพูดว่า โอเค เงินเท่านั้นน้อยไปหน่อย และถ้าเขายอมจ่ายมากกว่านี้สักเท่าตัวจะใช้ปากให้ฟรีๆ ด้วย  สติแตกไปแล้วหรือไงตอนที่ให้การ ยังจะมีหน้ามาพูดอีกว่าไม่ได้โกหก ไม่อยากให้คนอื่นตีตราว่าตอแหลก็หัดพูดความจริงเสียสิ”

     

    “เฮอะ ตลก! ตำรวจที่สั่งให้คนอื่นโกหกมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้คนอื่นพูดความจริง” ผมเอ่ยเยาะเย้ยในความสองมาตรฐานของผู้ชายตรงหน้า “ผมแค่ทำสิ่งที่ต้องทำ”

     

    “อะไรคือสิ่งที่นายต้องทำ”

     

    “ตำรวจคนหนึ่งที่มารุมดูตอนสอบปากคำ เคยเสนอซื้อผมแต่ให้เงินพอแค่ค่าอาหารหมา  ผมแค่ใช้โอกาสนี้ปั่นหัวเขาอัพค่าตัวเสียเลย รู้ไหมว่าหลังจากวันนั้นเขาโทรหาผมยิกเลย  เสนอเงินให้อีกสองเท่าด้วย”

     

    “แล้วไง ธุรกิจขาขึ้นเลยสิ”

     

    “ก็ไม่เท่าไรนะ.... ขายของแพงๆให้ตำรวจจนๆ ก็ลำบากหน่อยเลยยังตกลงราคากันไม่ได้”

     

    เดรโกมีอาการฉุนจนลมออกหู “ตกลงว่าขายตัว?”

     

    ผมยักไหล่ “ก็บอกว่าเปล่า ก็แค่จะปั่นหัวคนเล่นเท่านั้น”

     

    “กล้ามากนักนะ! แล้วมันใช่เวลาเหรอเอมิล! ทุกอย่างที่นายพูดออกไปมันจะถูกบันทึกไว้ทั้งหมดว่านายทำทุเรศๆ อะไรไว้บ้าง” แววตาของเดรโกแสดงออกชัดเจนว่าเขาพร้อมจะกระชากผมไปฉีกเป็นชิ้นๆ ดวงตาและบรรยากาศรอบตัวเหมือนเสือที่โกรธเกรี้ยว ผมจึงก้าวถอยห่างออกมาให้พ้นรัศมีการถูกตะปบ

     

    “ก็เพราะผมรู้ว่าจะถูกบันทึกไว้ในประวัติส่วนของเขาด้วยไงละ ถึงพูดออกไป เขาจะได้หลาบจำไม่ได้หลอกเด็กผู้ชายคนอื่นๆ อีก ส่วนผมน่ะ ยังเป็นเยาวชน ประวัติของผมจะถูกปิดเป็นความลับตามกฏหมาย”

     

    “บ้าเอ๊ย เอมิล คิดบ้างไหมว่าคำโกหกนั่นส่งผลกระทบต่อผู้ชายอีกคนและลูกของเขาด้วย  ถึงแม้ว่าคดีจะปิดลงว่าเป็นความเข้าใจผิดก็เถอะ แต่บันทึกนั่นจะอยู่ตลอดไป”

     

    “ใครทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบสิ เขามาลวนลามผมก่อนนี่หว่า! ช่วยกลับไปดูคำให้การของผู้ชายคนนั้นก่อนเถอะ เขารู้ว่าผมจะเสียเปรียบ เขาจึงเริ่มป้ายสีผมก่อน ผมจึงต้องทำให้หนักกว่าสองเท่า ให้มีตราบาปติดตัวไปทั้งชีวิต นี่ล่ะการเอาคืนที่ผมทำได้ การแก้แค้นแบบที่มีกฏหมายหนุนหลังไง” ผมจ้องตาเขากลับไม่ยอมแพ้  เพราะโลกนี้ไม่มีที่ให้ผู้แพ้ยืนแม้สักตารางนิ้วเดียว ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะยังมีที่ยืนและหายใจพ้นผิวน้ำ 

     

    “สุดท้ายคุณก็โทษผม โอเค ผมมันเป็นน้องชายห่วยๆที่ไม่น่าเกิดมาบนโลกนี้ของแมทเทียส  และตอนนี้ผมก็เป็นคนไร้ค่าเดินเตร่อยู่ข้างถนน  ผมแตกต่างและถูกเลือกปฏิบัติเพราะพวกคุณทุกคนบอกว่าเด็กดีต้องไปโรงเรียน  ทำงานพิเศษในร้านฟาสต์ฟู้ด  วันศุกร์ไปกินมิลค์เชค  วันเสาร์ขลุกอยู่ห้องสมุด   วันอาทิตย์พาหมาไปเดินเล่น ไม่ดูดปุ๊น ไม่มั่วเซ็กส์ อายุสิบแปดต้องเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ  มีอาชีพแบบที่คนทางบ้านอยากให้เป็น ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกคุณคาดหวังคือคนผิด  ผิดที่เสือกไม่มีเงิน ไม่มีโอกาส ไม่มีพ่อแม่มาคอยอุ้มชูดูแล--- คุณคิดว่าผมผิดเสมอโดยไม่เคยรับฟังเลย” 

     

    ใครจะเชื่อว่าประโยคท้ายๆ นั้น ผมพูดกับตัวเองด้วยความรู้สึกเหมือนถูกเอามีดกระซวกเข้ากลางอก ผมต้องการเอาชนะเดรโก  อยากให้เขาจำนนด้วยความจริง แต่พอพูดๆไปแล้วผมกลับมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่มันน่าจะเป็นส่วนผสมของความผิดหวังและตระหนักว่าตัวเองโง่งมเพียงใดที่คิดจะพึ่งพาเขาให้รอดพ้นจากสถานการณ์ลำบากที่พบเจอ

     

    “อยากให้คนอื่นเชื่อใจแต่นายเลือกที่จะโกหก ป้ายสีเพื่อจะเอาชนะ เล่นสกปรกแต่คาดหวังให้คนอื่นรับฟังคำแก้ตัว นายมันเป็นคนประเภทไหนกันเอมิล?” 

     

    “ผมก็แค่ต้องรอดโดยไม่เลือกวิธีการ คุณก็เหมือนกัน อย่ามาทำเป็นสั่งสอนคนอื่นเขาเลย”

     

    ดวงตาของเดรโกวาววามขึ้นมา แต่แทนที่จะได้ยินเสียงตวาดเหมือนเคย เอมิลกลับต้องแปลกใจที่นักสืบหนุ่มกลับออกคำสั่งเสียงเรียบ “นายมันดื้อด้านเกินกว่าที่จะสั่งสอนได้แล้ว ฉันไม่เสียเวลาด้วยหรอก แต่บอกไว้ก่อนว่าอยู่กับฉัน ห้ามโกหกอีกแม้แต่ครั้งเดียว  ถ้าฉันจับได้ เราจะได้เห็นดีกัน”

     

    “ตกลงว่าแยกออกหรือยังล่ะว่าอันไหนโกหก  อันไหนเรื่องจริง” ผมไม่วายพูดท้าทายเขาทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องเจอคำพูดแสบร้อนเหมือนถ่านไหม้ไฟโยนกลับมา

     

    เดรโกไม่ยิ้มกวนเหมือนที่ผมคาดว่าจะได้รับ เขาแค่มองตรงมา เอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องที่นายบอกว่าตัวเองไร้ค่าอยู่ข้างถนน นั่นล่ะเรื่องจริง เพราะนายทำเช่นนั้นกับตัวเอง”

     

    อึก....

     

    แม้ในใจผมกำลังกรีดร้องอยากจะแก้ต่างให้ตัวเองเต็มที แต่มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุยกับเดรโกอีกต่อไป คิดเสียว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างต่อเนื่องอีกครั้งแล้วกัน เดี๋ยวมันก็คงจบลงได้ในรูปแบบอะไรสักอย่าง ผมเย็บปากตัวเองสนิทแล้วขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างว่าง่าย  เหม่อมองไปยังถนนหลวงทอดยาวด้านหน้าที่เงียบเหงาราวกับถนนร้าง ฝากความคิดให้ล่องลอยไปกับเมฆสีเทาที่ลอยต่ำปกคลุมท้องฟ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา   

     

    เขาก็โกหก ไม่ว่าจะเพื่ออะไรก็ตามแต่ แต่กลับมาประณามผมที่ทำสิ่งเดียวกันเพื่อเอาตัวรอด  คงคิดว่าตัวเองเลิศเลอตายชักแล้วสินะ

     

    ผมมันเหมือนหมาจนตรอกใช้ชีวิตเฮงซวยอยู่ข้างถนน  ที่อยู่ๆก็มีผู้ดีตีนแดงใส่เสื้อผ้าสวยงามที่ขโมยมาโผล่เข้ามาแล้วบอกว่าการที่ผมต้องไปแก่งแย่งเศษอาหารเหลือๆ ของหมาตัวอื่นมากินช่างน่าอายพอๆ กับที่ขี้เรื้อนขึ้นตามตัว

     

     

    เดรโกจะตัดสินอะไรผมอีกก็ช่างหัวเขาเถอะ

     

     

    $ $ To be con.... $ $

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×