คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ทุ่งหญ้าล้าง
หงส์ร่ายมังกรรำ
ตอนที่ 1 ทุ่งหญ้าล้าง
ในยุทธภพนั้นมีการชิงดีชิงเด่นกันในการที่จะเป็นจ้าวยุทธภพเพื่อที่จะได้มาซึ่งอำนาจและสุดยอดศาสตราวุธทั้ง7เพราะผู้ที่เป็นจ้าวยุทธภพนั้นจะได้อาวุธทั้ง7ที่ทรงอาณุภาพร้ายแรงมาครองจนกระทั่งเกิดการนองเลือดขึ้นอย่างมากมายในเวลาเพียงไม่กี่ปีแต่ก็ยังไม่มีใครสามรถขึ้นครองตำแหน่งจ้าวยุทธภพได้เสียที แต่ทุกคนที่มาประลองฝีมือต่อสู้กันยังไม่เคยมีใครได้เห็นอาวุธทั้ง7นั้นเลยแม้แต่คนเดียวจะมีเพียงก็แต่ “จ้าวยุทธภพทงซื่อหลาง” เพียงคนเดียวเท่านั้นแต่การเป็นจ้าวยุทธภพที่ดีเมื่อเห็นคนในยุทธภพนั้นเกิดการแตกความสามัคคีกันจึงนึกขึ้นมาได้ว่า หากข้านั้นไม่ทำอะไรเลยมั่วแต่นั่งนิ่งอยู่กับที่มีหวังคนในยุทธภพคงไม่เหลือแน่ๆ จ้าวยุทธภพทงซื่อหลางจึงตัดสินใจออกมาประกาศว่า
“ถ้าหากผู้ใดอยากที่จะได้อาวุธทั้ง7นี้ก็จงไปตามหากันเอาเองแล้วกัน”
เมื่อจ้าวยุทธภพทงซื่อหลางพูดจบก็หยิบถุงอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วโยนถุงนั้นขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะใช้พลังลมปราณซัดถุงนั้นอย่างแรงจนถุงที่โยนขึ้นไปนั้นแตกออกมีแสง6แสงพุ่งกันไปคนละทิศละทางแต่แปลกมาเมื่อขึ้นชื่อว่าอาวุธทั้ง7แต่กลับมีแสงเพียงแค่6แสงเองจึงทำให้เหล่าพี่น้องชาวยุทธนั้นต่างสงสัยแต่ด้วยคงเพราะความโลภที่มันมาบังตาเหล่าชาวยุทธจึงรีบออกจากลานประลองและมุ่งหน้าไปตามที่แสงเหล่านั้นไปเหลือทิ้งไว้แต่เพียงกลิ่นคาวของเลือดและบรรดาซากศพต่างๆเต็มลานประลองไปหมด
เวลาได้ผ่านไป 10 ปีแต่ก็ยังไม่มีใครหาอาวุธทั้ง6นั้นพบแม้แต่คนเดียวจนเหล่าชาวยุทธนั้นเริ่มที่จะไม่สนใจขึ้นมาแต่ก็ดันมาเกิดเหตุอันน่าสลดใจแก่บรรดาเหล่าชาวยุทธเข้าจนได้เมื่อ จ้าวยุทธภพทงซื่อหลางและครอบครัว โดนมือสังหารมือดีฆ่าทั้งครอบครัวไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กๆบรรดาชาวยุทธจึงลงความเห็นกันว่ามือสังหารรายนี้คงจะเก่งมากแน่ๆเพราะดูจากบาดแผลบนตัว จ้าวยุทธภพทงซื่อหลางแล้วแต่ละแห่งนั้นคงเกิดจากคมดาบที่คมมากเป็นพิเศษเพราะสามารถที่จะตัดกระดูกออกจากกันได้เพียงแค่ฟันครั้งเดียวและบนผนังของบ้านจ้าวยุทธยังมีรอยเลือดที่เขียนไว้ว่า
“ข้านั้นได้ดาบจันทรามาครองไว้แล้ว”
เมื่อบรรดาชาวยุทธได้อ่านข้อความนี้ก็ต่างตกใจเป็นอย่างมากเพราะดาบจันทรานั้นเป็นหนึ่งในอาวุธทั้ง7อย่างที่จ้าวยุทธภพซื่อทงหลางเคยมีบัดนี้มันได้ตกไปอยู่ในมือของคนชั่วเรียบร้อยแล้ว
เหล่าบรรดาชาวยุทธเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจึงนัดมาชุมนุมกันที่ “เนินพยัคฆ์คำราม”
เมื่อถึงวันนัดชุมนุมของเหล่าชาวยุทธ กลุ่มคนกลุ่มแรกที่ขึ้นมาบนเนินพยัคฆ์คำรามคือ สำนักง่อไบ๊ ที่นำมาโดย “หวี่หลินเจี้ยน”
เจ้าสำนักหนุ่มรุ่นที่ 18 หวี่หลินเจี้ยนและเหล่าบรรดาลูกศิษย์ออกเดินทางจากง่อไบ๊ก่อนวันชุมนุมชาวยุทธ2วันเมื่อมาถึงหวี่หลินเจี้ยนจึงสั่งให้ทุกคนหยุดพักให้หายเหนื่อยเสียก่อนเพราะต่างคนก็เหนื่อยกันมามากพออยู่แล้วและเมื่อนั่งพักได้ไม่กี่นาทีก็มีขบวนของหญิงสาวสวมชุดดำเดินขึ้นมายังที่ๆพวกของหวี่หลินเจี้ยนกำลังนั่งพัก หวี่หลินเจี้ยนจึงสั่งให้บรรดาเหล่าลูกศิษย์จัดแถวกันเพื่อที่จะได้ดูสมศักดิ์ศรีของสำนักง่อไบ๊
“หยุดเกี้ยว”
มีเสียงของสตรีนางหนึ่งพูดขึ้นมาเมื่อนางพูดจบบรรดาหญิงสาวที่สวมชุดสีดำจึงหยุดเกี้ยวโดยทันทีและผ้าที่ปิดบังเกี้ยวอยู่ก็ถูกเปิดออกมาอย่างช้าๆข้างในนั้นมีหญิงสาวซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของเสียงที่สั่งให้หยุดเกี้ยว เมื่อหวี่หลินเจี้ยนเห็นดังนั้นจึงกล่าวคำทักทายตามประสาชาวยุทธทั่วไป
“มิทราบว่าแม่นางเป็นผู้นำของสำนักไหน”
เมื่อหญิงสาวในเกี้ยวได้ยินคำทักทายจึงยื่นหน้าออกมาจากเกี้ยวมำให้ได้เห็นใบหน้าที่มีผ้าคลุมอยู่จึงทำให้มองเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนักเท่าไร หวี่หลินเจี้ยนคิดว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้นจะต้องเป็นใบหน้าที่สวยงดงามแท้เพราะตั้งแต่นางยื่นหน้าออกมานั้นก็มีกลิ่นหอมของดอกไม้ติดออกมาด้วย
“ตัวข้านั้นเป็นผู้นำของสำนักหมื่นบุปผา ส่วนท่านข้าคิดว่าน่าจะเป็นเจ้าสำนักง่อไบ๊ใช่หรือไม่เพราะดูจากการแต่งตัวของท่านนั้นเหมือนนักพรต”
“ใช่แล้วข้านั้นเป็นเจ้าสำนักง่อไบ๊ชื่อของข้าคือ หวี่หลินเจี้ยนไม่ทราบว่าแม่นางชื่ออะไรเพื่อวันหน้าเราอาจได้พบกันอีกข้าจะได้เรียกชื่อของแม่นางถูก”
หวี่หลินเจี้ยนไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านพ้นไปจึงรีบชิงถามชื่อของเจ้าสำนักหมื่นบุปผาโดยทันที
“ข้ามีนามว่า เจินมี่ เป็นเจ้าสำนักหมื่นบุปผารุ่นที่9และข้ากำลังเดินทางขึ้นไปบนยอดเนินเพื่อไปร่วมชุมนุมชาวยุทธที่กำลังจะมารวมตัวในวันนี้”
“งั้นพวกเราก็ไปทางเดียวกัน ข้าน้อยขอร่วมเดินทางไปด้วยได้หรือไม่”
“ได้สิท่านหวี่หลินเจี้ยนทำไมจะไม่ได้ละก็พวกเราเป็นชาวยุทธเหมือนกันนี้”
เจินมี่รีบตอบคำถามกลับโดยรวดเร็วและขึ้นไปยังเกี้ยวเพื่อเดินทางไปต่อ หวี่หลินเจี้ยนไม่รอช้ารีบสั่งเหล่าบรรดาลูกศิษย์ให้รีบเดินทางต่อโดยเร็วเพื่อที่จะได้ขึ้นไปรอบนยอดเนินพยัคฆ์คำราม เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วยามเหล่าบรรดาชาวยุทธจากทั่วสารทิศเดินทางขึ้นมาบนเนินพยัคฆ์อย่างมากมายมืดฟ้ามัวดินไปหมดสำนักที่ขึ้นมาเป็นลำดับที่สมต่อจากสำนักหมื่นบุปผาคือสำนักวังเหินหาวและตามมาติดๆคือวัดเส้าหลินและพรรคกระยาจกมีทั้งหมด5สำนักใหญ่และเหล่าบรรดาชาวยุทธอื่นๆที่ไม่มีสังกัดอยู่อีกนับหมื่นคน
“ทุกท่าน...ขอให้ทุกท่านเงียบก่อน”
เสียงผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาดูดุดันและน่าเกรงขามมากยืนขึ้นพูดพร้อมกับทำความเคารพเหล่าบรรดาเพื่อนชาวยุทธและ4สำนักใหญ่เขาคนนี้เป็นเจ้าสำนักวังเหินหาวมีนามว่า”ขุนพลผ้าแดงหวงเหมินลิ่ง”ฉายาของเขาได้มาจากการที่เขานำทัพออกรบกับพวกแมนจูจนได้รับชัยชนะทุกครั้งและทุกครั้งที่เขากลับมาจะโพกผ้าสีแดงซึ่งก็คือเลือดของศัตรูที่เขาสังหารทุกครั้งไปจนเกิดเป็นฉายาขุนพลผ้าแดงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“การที่พวกเรามาชุมนุมกันที่นี้ก็เพราะเรื่องการตายของจ้าวยุทธภพทงซื่อหลางที่ถูกมือสังหารฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมและจะทำการแต่งตั้งจ้าวยุทธภพคนใหม่ขึ้นมิทราบว่าท่านใดอยากคิดที่จะเป็นจ้าวยุทธภพบ้าง”
เมื่อเหล่าชาวยุทธได้ยินอย่างนั้นจึงเงียบไปสักพักและเริ่มมีการจับกลุ่มคุยกันเพื่อที่จะหาว่าใครจะเหมาะสมแก่การเป็นจ้าวยุทธภพคนใหม่ในไม่ช้าเจ้าสำนักง่อไบ๊หวี่หลินเจี้ยนก็ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า
“ข้าว่าผู้ที่น่าจะเป็นจ้าวยุทธภพคนใหม่นั้นข้าขอเสนอท่าน หวงเหมินหลิ่ง ทุกท่านว่าดีหรือไม่เพราะทั้งประสบการณ์ในหลายๆเรื่องข้าน้อยว่าท่านหวงเหมินหลิ่งน่าจะเหมาะสมที่สุดหรือมีใครอยากจะเสนอบุคคลอื่นนอกจากท่าน หวงเหมินลิ่ง”
เมื่อหวี่หลินเจี้ยนพูดจบก็กลับไปนั่งที่อย่างเดิมจนทำให้เกิดเสียงกระซิบขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและครั้งนี้ดูท่าจะวุ่นวายกว่าครั้งแรกอย่างมากเลยทีเดียวเพื่อเป็นการสงบเสียงให้เบาลง เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน “เมิ่งจื้อ”จึงยื่นขึ้นแล้วกล่าวกับทุกคนว่า
“อาตมาก็เห็นด้วยกับความคิดของประสกหวี่หลินเจี้ยนที่จะให้ประสกหวงเหมินหลิ่นเป็นจ้าวยุทธภพคนใหม่เพราะดูทั้งจากประสบการณ์และความน่าเชื่อถือต่างๆ อย่างที่ประสกหวี่หลินเจี้ยได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น”
เมื่อมีเจ้าสำนักถึง2สำนักเห็นด้วยที่จะให้ขุนพลผ้าแดงหวงเหมินลิ่งเป็นจ้าวยุทธภพคนใหม่อีกสองสำนักหรือจะไม่เห็นด้วยจึงทำให้ความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีกและในไม่ช้าชาวยุทธทุกคนจึงเห็นด้วยที่จะให้ หวงเหมินลิ่งเป็นจ้าวยุทธภพคนใหม่
“เดี๋ยวก่อนสิท่านทั้งหลายแต่ข้ายังไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาเป็นจ้าวยุทธภพคนใหม่นี้ เมื่อท่านได้รับแต่งตั้งเป็นจ้าวยุทธภพคนใหม่แสดงว่าฝีมือของท่านนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนข้าน้อยนั้นอยากลองที่จะประมือกับท่านดูสักครั้งหนึ่งไม่ทราบว่าท่านหวงเหมินลิ่งจะอนุญาตได้หรือไม่”
มีเสียงลึกลับจากต้นเสียงรู้ทันทีว่าเป็นผู้ชายเพราะเสียงของเขาคนนี้นั้นดูแล้วดุดันและทรงพลังมากในแต่ละคำพูดที่เขาผู้นั้นพูดออกมา หวงเหมินลิ่งจึงมองหาต้นเสียงนั้นและเขาก็เจอจนได้เป็นผู้ชายจริงๆอย่างที่เขานั้นคิดไว้แต่ผู้ชายคนนี้มองภายนอกแล้วดูลึกลับเป็นนักหนาเพราะเขารูปร่างสูงใหญ่และยังสวมเสื้อและกางเกงสีดำสนิทไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครเพราะบุรุษลึกลับนั้นสวมหมวกฟางปิดบังใบหน้าอันแท้จริงไว้แต่หวงเหมินลิ่งสังเกตเห็นว่าข้างหลังของบุรุษลึกลับนั้นมีห่อผ้าที่ต้องมีอะไรอยู่ในห่อผ้านั้นอย่างแน่นอนหวงเหมินลิ่งจึงตอบกลับไปว่า
“ได้สิท่านจอมยุทธเพื่อที่จะได้เป็นการพิสูตรฝีมือของข้าว่าเหมาะสมพอที่จะเป็นจ้าวยุทธภพคนใหม่ได้หรือไม่แต่ก่อนที่จะประลองข้าขอทราบนามของท่านก่อนได้หรือไม่”
บุรุษลึกลับผู้นี้กลับเงียบไม่มีเสียงตอบกลับมาและชั่วครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นมาว่า
“ขอให้ท่านเรียกข้าว่ามัจจุราชแล้วกันไม่ทราบว่าจะเริ่มประลองกันได้หรือยัง”
‘ชาวยุทธคนไหนนะชื่อมัจจุราชเราไม่เห็นเคยได้ยินแม้แต่คนเดียว’
เพียงแค่หวงเหมินลิ่งคิดถึงเรื่องชื่อของคนผู้นี้ชั่ววูบเหมือนมีลมมาปะทะที่หน้าหวงเหมินลิ่งมองไปก็ต้องรีบถอยกายออกห่างทันทีเพราะเป็นฝ่ามือของชายลึกลับกำลังพุ่งเข้ามาที่หน้าของเขาด้วยความเร็วยากที่จะกันไว้ได้เมื่อถอยมาตั้งหลัก ‘นี้มันวิชาฝ่ามือแหวกนภานี่นาทำไมชายคนนี้ถึงฝึกได้นะมันน่าจะไม่มีแล้วนี้นา’เมื่อคิดได้ดังนั้นหวงเหมินลิ่งจึงกล่าวออกไปว่า
“มิทราบว่าท่านเป็นใครกันแน่...ถึงสามารถใช้วิชาฝ่ามือแหวกนภาของท่านจ้าวยุทธภพทงซื่อหลางได้วิชานี้นอกจากท่านจ้าวยุทธภพคนก่อนก็ไม่มีใครสามารถใช้ได้แล้วมิทราบว่าท่านไปร่ำเรียนมาจากที่ใด”
บรรดาชาวยุทธที่ได้ยินหวงเหมินลิ่งพูดก็ต่างแตกตื่นตกใจเพราะวิชานี้มันสูญหายไปหลังจากจ้าวยุทธภพทงซื่อหลางเสียชีวิตไปนานร่วม10ปีทำไมบุรุษผู้นี้ถึงมีวิชานี้อยู่กับตัว
ความคิดเห็น