ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักชินอ๋อง อัพทุกวัน (ตีพิมพ์กับสนพ.แสนรักอ้ายหนี่)

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 7

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 839
      47
      21 พ.ย. 63

    บทที่ 7

    “อาฉีวันพรุ่งเจ้าตั้งแผงลอย ปล่อยข่าวว่า ตงเทียนจ้านฟ่าง[1]แห่งสำนักเทียบสุริยัน ศิษย์น้องของหมอไคว่ลงมาจากเขาสยบมารเพื่อตรวจรักษาให้ชาวบ้าน โดยไม่คิดเงินสักอีแปะ” 

    “เจ้าค่ะ”

    “ให้คนเตรียมสมุนไพรให้ข้าตามนี้ด้วย” เหยียนเหม่ยเซียนเขียนสมุนไพรห้าหกเทียบส่งให้สาวใช้ สมุนไพรพวกนี้หาซื้อได้จากร้านขายสมุนไพรทั่วไป เธอแค่เอาสมุนไพรมาเคี่ยวยา ชั่งตวงตามสูตรก็กลายเป็นสมุนไพรล้ำค่าหลายอย่างแล้ว

    เธอไม่อาจนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ได้ พี่ใหญ่ตกอยู่ในอันตราย ชายผู้นั้นที่ไปถึงเขาสยบมารต้องมีส่วนรู้เห็นกับการเมือง อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญบางอย่าง จนพี่ใหญ่ต้องช่วยเหลือ เอาเป็นว่าให้พี่รองคาดคั้นคำตอบจากชายผู้นั้นเอาเอง ส่วนเธอ..เธอจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ

    การที่พี่ใหญ่ไม่ได้กลับไปที่สำนักพร้อมกับคนผู้นั้น แปลว่าคนที่พาตัวพี่ใหญ่ไปจะต้องเกิดปัญหา ตัวประกันหายไปหนึ่งคน พี่ใหญ่เองก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร มิสู้ให้เธอเข้าไปยังสถานที่นั้นเองจะดีกว่า เผื่อว่าจะสืบได้ร่องรอยอะไรบ้าง

    ความจริงเหม่ยเซียนอยากหยิกพี่ใหญ่ของเธอนัก ท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในยุทธภพอย่างเดียวมันเงียบเหงาเกินไปหรือ ถึงต้องหาประสบการณ์ที่ตื่นเต้นเช่นนี้

    เด็กสาวส่ายหน้าช้าๆก่อนจะนำมู่ตัน[2]หลากสีจุ่มลงในอ่างน้ำ ความจริงมันคือยาพิษชนิดหนึ่งที่เธอสกัดจากเขี้ยวอสรพิษผสมกับหญ้านิรันดร์ หญ้าชนิดนี้อยู่บนหุบเขาสยบมารงอกเงยบนซากศพของผู้คนที่ล้มตายในหุบเขา ตัวหญ้ามีสีทองส่งกลิ่นหอม หากผู้ใดไม่รู้ไปแตะต้องมันก็สามารถตายได้อย่างไม่รู้ตัว

    ตั้งแต่เธอกลับไปอยู่ที่สำนักสองปี เธอศึกษาหญ้าและสมุนไพรเพิ่มเติมจนทำยาพิษได้หลากชนิด ในโลกนี้มีสิ่งอัศจรรย์หลายอย่างที่เธอไม่เคยพบเจอ นับว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ของเธอแล้ว

     

    เช้าวันต่อมา เหยียนเหม่ยเซียนใส่ชุดสีขาวสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้า บนศีรษะปกคลุมด้วยหมวกปีกกว้างมีดอกมู่ตันหลากสีประดับบนหมวกอย่างสวยงาม รอบด้านของหมวกมีผ้าสีขาวบางทิ้งตัวลงมา เป็นม่านปกคลุมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ด้านในใบหน้าของเธอยังคลุมทับด้วยผ้าปิดหน้าอีกครึ่งซีก

    “ท่านหมอ..ท่านหมอเป็นศิษย์น้องของหมอไคว่หรือ” หญิงชราคนหนึ่งที่เข้ารับการรักษากับเธอเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ หมอไคว่ในสายตาชาวบ้านช่างเรียบง่ายและสูงส่ง แต่กระนั้นบนใบหน้าธรรมดาๆของท่านหมอยังคงความอ่อนโยนไว้หลายส่วน ยามมองแล้วสบายอกสบายใจนัก

    แต่ท่านหมอตงเทียนจ้านฟ่างนั้นต่างกัน รอบกายปกคลุมด้วยม่านบางๆมองไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้า สีขาวนอกจากจะดูสะอาดสะอ้าน ยังส่งให้ท่านหมอท่านนี้ดูสูงส่งเย็นชา ยากเข้าถึง มีเพียงฝ่ามือสีขาวสะอาดที่เรียวเล็ก พอจะมองออกว่าเป็นสตรี

    “เป็นเช่นนั้น” เหม่ยเซียนตอบน้อยคำ เธอจับชีพจรของสตรีสูงวัยตรงหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าต้องแก้ตรงจุดไหน ฝ่ามือเรียวยาวใช้พู่กันจดเทียบยาให้หนึ่งเทียบ ก่อนจะส่งให้อาฉีที่อยู่ด้านหลัง อาฉีจัดสมุนไพรเพียงครู่เดียวก็ออกมาพร้อมห่อยา

    “ท่านยายดื่มยาสามวัน อาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นจะลดลง ท่านอย่าได้หักโหมทำงานจนดึกดื่นนัก”

    “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าทำงานจนดึกดื่น” หญิงชราเบิกตาโต จ้องมองท่านหมอด้วยความใคร่รู้ เหยียนเหม่ยเซียนไม่พูดสิ่งใดต่อ นางเพียงส่ายหน้าน้อยๆผายมือให้สตรีนางนั้นเดินจากไป หลักการนี้ง่ายมากชีพจรของหญิงคนเมื่อครู่วูบโหวง บางคราก็เบาจนแทบไม่ได้ยินทุกครั้งที่นางหายใจเข้าออก สายตาไม่มีจุดศูนย์รวม และฝ่ามือหยาบกระด้างมีรอยเข็มและรอยด้ายเต็มไปหมด อีกทั้งยังเป็นรอยใหม่ เธอถึงเดาได้ไม่ยากว่าคนๆนี้ไม่สบายที่ใด

    เหม่ยเซียนไม่ใช่คนชอบอธิบาย การรักษาผู้ป่วยจึงไม่ใส่ใจเท่าพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นคนอ่อนโยน ละเอียดรอบคอบ และใส่ใจคนรอบข้าง ทุกครั้งที่ลงมือรักษาจะมีรอยยิ้มที่ริมฝีปากตลอดเวลา คารมณ์ก็ดีซ้ำยังเป็นคนตลก ช่างเป็น..หมอในอุดมคติของใครหลายๆคน

    ในชาตินี้เหม่ยเซียนมุ่งเน้นไปทางพิษมากกว่าการรักษา ชาติก่อนเธอก็ไม่ใคร่อยากเป็นหมออยู่แล้ว ทุกครั้งที่ลงมือรักษามีแค่คำทักทายทั่วไป คำให้กำลังใจทางการค้า รอยยิ้มบางๆให้ผู้ป่วยวางใจ เมื่อรักษาเสร็จสิ้นก็ต่างคนต่างไป หาได้ติดค้าบุญคุณ ชาตินี้ที่ยังเลือกเป็นหมอเพราะรู้สึกคุ้นเคยเท่านั้น

    “ท่านหมอช่วยหลานชายข้าด้วย เขากำลังจะตาย ท่านหมอ” ในระหว่างการรักษาของเธอ อยู่ๆก็มีชายผู้หนึ่งอุ้มเด็กชายเข้ามาหา เมื่อเห็นสภาพเด็กชายที่ถูกไม้ขนาดใหญ่เสียบกลางลำตัว ผู้คนก็หันหน้าหนีอย่างนึกเวทนา เจ้าเฒ่าเอ๋ย พาเด็กใกล้ตายมารักษาเช่นนี้ เสียเวลาเปล่าจริงๆ มิสู้เตรียมโลงจัดงานศพยังดีเสียกว่า

    “วางเขาลง ช้าๆ” เหม่ยเซียนดีดตัวเองจากเก้าอี้ที่นั่งมาหลายชั่วยาม สั่งการให้ผู้เฒ่าวางร่างผอมบางของเด็กชายบนตั่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ เธอสั่งการอาฉีอย่างรีบร้อน ให้กางผ้าล้อมรอบตั่งปิดกั้นไม่ให้คนภายนอกเข้ามาวุ่นวาย เสร็จแล้วให้ต้มน้ำสักสองสามหม้อ และผ้าสะอาดหลายผืน

    ไม้ไม่ได้แทงทะลุเส้นเลือดใหญ่ ปากแผลไม่ใหญ่มากเธอก็พ่นลมหายใจ หยิบอุปกรณ์ผ่าตัดของตัวเองออกมาจากกระเป๋า อุปกรณ์พวกนี้เป็นสิ่งที่นึกได้ระหว่างทดลองเย็บแผลของสุนัข จึงสั่งให้คนทำให้เมื่อครั้งอยู่ที่สำนัก เธอพกมันติดตัวไว้ตลอดอย่างเคยชิน เธอถอดหมวกบุปผาของตนเองออก ก่อนจะสวมชุดคลุมไว้ลวกๆ เธอใส่ชุดสีขาว..เธอไม่ต้องการให้ตนเองเปื้อนเลือด

    เธอสั่งให้ผู้เฒ่าออกไปยืนรอด้านนอก ก่อนจะทำการผ่าตัดและเย็บแผลให้เด็กชายอย่างระมัดระวัง แผลไม่ลึก ไม่โดนอวัยวะสำคัญ เส้นเลือดใหญ่ไม่ได้รับความเสียหาย แต่เด็กชายเสียเลือดมาก เกรงว่าหากกลับบ้านไปจะเกิดอาการช็อค เหยียนเหม่ยเซียนสั่งให้อาฉีหยิบยาเทียบหนึ่งมาให้

    ตัวยานี้เป็นยาวิเศษที่เธอคิดค้นเมื่อไม่นาน ส่วนผสมหลักๆจีซูอ่วยเฉ่า[3]ตากแห้งและป่นเป็นผงโรยบนบาดแผลที่ถูกเย็บอย่างเรียบร้อย พร้อมกับเขียนเทียบยาให้อาฉีสามเทียบ อธิบายการใช้กับอาฉี เพื่อให้ไปบอกกับผู้เฒ่าอีกที กำชับอีกรอบว่าระหว่างการขนย้ายผู้ป่วย ต้องใช้เปลหามเท่านั้น อย่าให้ขยับเขยื้อนหนึ่งสัปดาห์ รอให้แผลสมานตัวดีให้เปลี่ยนเป็นยาเทียบที่สอง

    เหยียนเหม่ยเซียนสวมหมวกคลุมศีรษะไว้ตามเดิม ผายมือให้ผู้เฒ่าเข้าไปหาหลานชายของตัวเอง รอบด้านมีชาวบ้านเพิ่มจำนวนขึ้นหลายเท่า พวกเขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา มองไปก็เท่านั้น..ไม่เห็นสิ่งใดอยู่ดี เธอทรุดตัวนั่งตรวจรักษาโรคของผู้ป่วยรายอื่นต่อเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “ท่านหมอ คราวก่อนท่านหมอไคว่ให้ยาตัวนี้กับข้าน้อย อาการดีขึ้นในช่วงแรก แต่หลังๆมาอาการกลับไม่ดีขึ้นเลย” ชายผู้หนึ่งส่งเทียบยาให้เหม่ยเซียนอ่านอย่างกล้าๆกลัวๆ

    “ท่านอย่าได้กังวล ยาตัวนี้ดื่มได้เพียงสามครั้ง ท่านเอายาตัวใหม่ไป ดื่มเพียงสามครั้งแล้วเปลี่ยนเป็นอีกเทียบหนึ่ง อาการของท่านก็จะหายดี” เหม่ยเซียนอ่านเทียบยาของพี่ใหญ่ด้วยความเบื่อหน่าย อยู่ๆก็หายไปเช่นนี้ ยาที่สมควรต้องเปลี่ยนให้คนไข้ กลายเป็นว่าเธอต้องมาสะสางต่อ ไม่ใช่แค่คนนี้คนแรก แต่คนไข้คนอื่นก็มาทำนองเดียวกัน

    “ท่านลุง ขอถามท่าน พี่ใหญ่ของข้า...เขาหายไปกี่วันแล้ว”

    “ไอ้หยา...หนึ่งปีได้แล้วแม่นาง”

    “เขาหายไปได้อย่างไร” เหม่ยเซียนถามอย่างตรงไปตรงมา ถึงอย่างไรเธอก็ให้คนปล่อยข่าวไปแล้ว ว่าศิษย์น้องผู้นี้ เดินทางลงเขามาเพื่อตามหาศิษย์พี่ของตน

    “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ”

    “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เด็กสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ว่าเธอจะถามใคร ทุกคนต่างตอบเช่นนี้เป็นเสียงเดียวกัน รู้ว่าหายไปหนึ่งปีแล้ว ไม่มีผู้คนพบเห็น อยู่ๆก็หายไป แม้กระทั่งทหารที่ประตูเมืองก็ไม่พบ นั่นบ่งบอกว่าพี่ใหญ่ยังอยู่ในเมืองหลวง

    “แต่ข้าได้ยินมาว่าก่อนคืนที่ท่านหมอจะหายไป ท่านหมอไคว่ถูกเชื้อเชิญไปดื่มที่เหลาสุราจนเมาไม่ได้สติ”

    “ขอบคุณท่านลุงมาก”

    การรักษาคนไข้ดำเนินไปเรื่อยๆตลอดทั้งวัน จากคนแรกไปถึงคนที่หนึ่งร้อย เหยียนเหม่ยเซียนไม่ได้บ่นคำใดออกมา ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เจ็บป่วยรุนแรง มีตั้งแต่แขนกระดูกหัก จวบจนเจ็บคอ ปะปนกันมาจนอาฉีเวียนหัว คนพวกนี้ไม่ได้ต้องการมารักษาอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่แล้วมาเพื่อยลโฉมศิษย์น้องของหมอไคว่ น่าเสียดาย นอกจากมือขาวสะอาดแล้วใบหน้าหรือส่วนใดพวกเขาไม่ได้ยลแม้แต่น้อย แต่เหม่ยเซียนประเมินขี้ปากชาวบ้านน้อยไป แค่มือขาวๆเรียวยาวของเธอชาวบ้านก็ลือไปปากต่อปากภายในไม่กี่วันแล้วว่า ท่านหมอตงมีรูปโฉมงดงาม ล่มบ้านล่มเมือง ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะ นางลงเขามาเพื่อตามหาศิษย์พี่ อีกทั้งการรักษาก็เฉียบขาดเทียบเท่าหมอไคว่เลยทีเดียว

    “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไปเก็บของเถิด” เธอมองท้องฟ้าคะเนว่ายามซวีแล้ว รอบด้านเริ่มมืดมิด ชาวบ้านจุดโคมตลอดทางเพื่อเพิ่มแสงสว่าง แต่เหม่ยเซียนไม่ได้เดินตามโคมส่องแสงพวกนั้น เธอลัดเลาะไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านกล่าวว่าท่านหมอไคว่นอนพักที่นั่น

    เดินไประยะหนึ่งเหม่ยเซียนก็ก่นด่าพี่ชายอยู่ในใจ โรงเตี๊ยมมีหลายสิบแห่ง ใยต้องพักโรงเตี๊ยมซ่อมซ่อที่อยู่ในตรอกแคบๆไร้ผู้คนกัน เธอไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดคนหายทั้งคนกลับไม่มีผู้ใดพบเห็น เส้นทางไปโรงเตี๊ยมเช่นนี้ หากเป็นยามปกติมีคนให้เงินเธอหลายพันตำลึงทอง เธอก็จะไม่มาเหยียบเด็ดขาด

     

    หลายวันผ่านไปที่เธอใช้ชีวิตเป็นหมอเทวดาแบบพี่ใหญ่ ตื่นเช้าตั้งแผงตรวจโรค กลางวันถูกเชิญให้ไปทานอาหารที่บ้านของคนไข้หลายราย ตกบ่ายตรวจโรคต่อ จวบจนยามอิ่วก็กลับไปที่โรงเตี๊ยม ทุกๆวันเป็นแบบนี้วนเวียนไม่รู้จบ พักหลังมานี้มีคนกลุ่มหนึ่งจับตาดูเธออยู่ เธอชักเบื่อหน่าย เมื่อไหร่พวกมันจะลงมือกัน เธอขี้เกียจจะรอเสียแล้ว..หรือว่ามีสิ่งใดที่เธอหลงลืมกัน

    “ท่านหมอตงพักดื่มชากินขนมก่อนเจ้าค่ะ ท่านยายให้ข้านำมาให้” เด็กสาวคนหนึ่งถือสำรับของว่างมาวางไว้บนโต๊ะของเธอ คราแรกเป็นแค่แผงลอยเล็กๆตรวจผู้คน ตอนนี้ชาวบ้านร่วมใจกันสร้างเป็นร้านเล็กๆมีหลังคามุงให้เธอแล้ว ส่วนเด็กคนดังกล่าวเป็นหลานสาวคนใดคนหนึ่งของคนไข้ที่เข้ารับการรักษาจากเธอ

    อาฉีกำลังเก็บสมุนไพรอยู่หลังร้าน เหยียนเหม่ยเซียนยกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะชะงักไปกึ่งหนึ่ง กลิ่นนี้...ดูเหมือนว่าพวกมันจะลงมือเสียแล้ว ยานอนหลับที่ผสมในน้ำชานี้รุนแรงชนิดที่ว่าหนึ่งอึกสลบไปหกชั่วยามหมายถึงกับคนทั่วไปน่ะ สำหรับเธอที่ขึ้นชื่อว่าจอมพิษแล้วยานี่ก็เหมือนน้ำเปล่าเท่านั้น

    เหม่ยเซียนดื่มชาเข้าอึกใหญ่ ผ่านไปชั่วครู่ก็ทำท่าสลบฟุบลงไปบนโต๊ะไม้ จงใจเหวี่ยงถ้วยช้าเสียงดังลงบนพื้น จนอาฉีกระวีกระวาดวิ่งออกมา ฉับพลันก็เกิดเงาดำที่ด้านหลังอาฉีฟาดสันมือฉับเดียวที่ท้ายทอยจนร่างผอมๆนั่นล้มลง

    เธอรู้สึกโชคดีที่พวกมันวางแผนให้เธอจิบชากินขนม มากกว่าโดนฟาดคอแบบนั้น เป็นไปได้ว่าพวกมันก็ไม่อยากล่วงเกินศิษย์ของสำนักเทียบสุริยัน

    เด็กสาววัยสิบห้าหนาวแกล้งหลับพริ้มประหนึ่งถูกยานอนหลับจริงๆ พวกมันอุ้มเธอและอาฉีขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่มาจอดบดบังหน้าร้าน หนึ่งในนั้นเขียนป้ายติดหน้าร้านลวกๆทำนองว่า ‘กลับสำนักมีเรื่องด่วน’ ดูท่าแล้วการลักพาตัวพี่ใหญ่ของเธอคงให้บทเรียนกับพวกมันไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่วางแผนรอบคอบขนาดนี้

    “แม่นางล่วงเกินท่านแล้ว โปรดอภัย” หนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆระหว่างที่อุ้มเธอขึ้นรถม้า เหม่ยเซียนอยากหัวเราะ เฮอะ ใส่หน้ายิ่ง รู้ว่าล่วงเกินก็ยังกล้าทำ ดีที่ยังรู้ความไม่ถอดหมวกของเธอออก มิเช่นนั้นเหตุการณ์คงโกลาหล

    รถม้าเคลื่อนตัวไปทิศทางใดบ้างเธอสุดจะรู้ แต่ความโคลงเคลงของรถทำให้เธอแทบอาเจียนออกมา ภาวนาให้ถึงที่หมายเร็วๆ ฝืนนอนผิดท่านานๆแบบนี้หลังเธออาจจะเคล็ดเอาได้ เหยียนเหม่ยเซียนข่มตาไปบ่นไปตลอดทาง จวบจนรถม้าหยุดลงที่จุดหนึ่ง เธอกู่ร้องในใจว่ารอดแล้ว!

    “ได้คนมาหรือไม่”

    “นายท่านโปรดวางใจ นางอยู่ในรถม้าแล้วขอรับ”

    “ดี เค้นจากปากนางให้ได้ว่าทางขึ้นเขาสยบมารอยู่ที่ใด อย่างไรเราต้องได้ตัวมันมาก่อนที่สกุลหลั่นจะลงมือ”

    “ขอรับ”

    “เราไม่ได้อยากได้ท่านหมอไคว่ อย่างไรนางก็เป็นศิษย์น้อง ระวังอย่าได้ล่วงเกินนางนัก อย่างไรสำนักเทียบสุริยันมิใช่คู่ต่อสู้ของเรา”

    “ข้าทราบแล้ว นายท่านเชิญ”  

    เหม่ยเซียนขมวดคิ้ว หมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ได้อยู่กับคนพวกนี้ การที่พวกมันกล่าวถึงเขาสยบมาร แสดงว่าพวกมันเข้าใจผิดว่าคนผู้นั้นที่ขึ้นเขาสยบมารไปพร้อมกับศิษย์สำนักเสียงธรรมเป็นพี่ใหญ่กับบุคคลดังกล่าว นี่หมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ และไม่ได้อยู่กับสกุลหลั่นอะไรนั่นด้วย ต้องมีใครสักคนลักพาตัวพี่ใหญ่ไปอย่างแน่นอน

    แล้วพี่ใหญ่อยู่ที่ใดกัน!

    เด็กสาวเริ่มคิดไม่ตก การที่เธอมาอยู่ที่นี่แสดงว่าเธอคลำถูกทางแล้ว เพียงแต่...เธอช้าไปก้าวเดียว มีคนชิงตัวพี่ใหญ่ไปแล้ว ดีที่เธอสอบถามอาฉีเรื่องสถานการณ์ในราชสำนักมาบ้าง ทำให้แน่ใจอยู่เจ็ดส่วนว่าตัวเองอยู่จวนสกุลหลิน เพราะสกุลหลินและสกุลหลั่นไม่ถูกกัน เมื่อครู่เจ้านายของพวกมันพูดถึงสกุลหลั่นอย่างรังเกียจ

    สกุลหลินสวามิภักดิ์กับสกุลตู้โดยปริยาย เพราะขุนนางหลินแต่งบุตรสาวของขุนนางตู้เป็นฮูหยินใหญ่ ซึ่งเป็นสกุลของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ให้กำเนิดองค์ชายใหญ่จ้าวซางเสวี่ย

    ส่วนสกุลฉางเป็นสกุลของไทเฮา เดิมทีตำแหน่งนี้ไม่ใช่ของฉางไทเฮา แต่พระมารดาของฮ่องเต้ละทิ้งฐานันดร ปลีกวิเวก ทำให้โชคนี้ถูกส่งเข้าปากสกุลฉาง ทว่านางไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อาศัยอยู่ในตำหนักในอย่างสงบเสงี่ยม ได้ข่าวมาว่าหลานสาวของพระนางผูกใจรักกับองค์ชายสาม จึงได้แต่งงานกันกับจ้าวจ้านเจี๋ยที่เกิดจากสนมหลั่นเสียนเฟย สกุลฉางจึงถือหางสกุลหลั่นอยู่กลายๆ

    ฮ่องเต้ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท สายอำนาจจึงแบ่งเป็นสองสาย และเกิดการปะทะกันบ่อยครั้ง

    ไหนๆเธอก็เข้าถ้ำเสือแล้ว ไม่ได้ลูกเสือกลับไปนับว่ามามือเปล่า อย่างน้อยเธอควรได้ข้อมูลมาสักอย่างสองอย่าง เพื่อหาล่องลอยของพี่ใหญ่เสียหน่อย อีกประการหุบเขาสยบมารตอนนี้โดนล้อมทั้งหน้าและหลัง ไม่อาจลงมาอย่างเปิดเผยได้ เกรงว่ากว่าพี่รองจะส่งข่าวมาให้เธอได้ ต้องใช้เวลาอย่างต่ำสองเดือน เรื่องเช่นนี้อาจจะไม่ทันการ  

    “ปลุกนาง”

    ซ่า!

    พวกป่าเถื่อน..เหม่ยเซียนสบถอยู่ในใจ เธอแสร้งทำเป็นสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา หลังจากโดนน้ำเย็นสาดรดใบหน้า ม่านสีขาวบางเบายังไม่ถูกถอดออก นับว่าพวกมันยังโชคดีอยู่บ้าง เหยียนเหม่ยเซียนเหยียดกายขึ้นจากพื้นก่อนจะหันมองหน้าพวกมันที่ยังสวมชุดสีดำปิดหน้าปิดตาอยู่ ในห้องนี้เหมือนห้องรับรองแขกมากกว่าพวกคุกใต้ดิน หรือห้องลับ

    “พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้า” คำถามยอดนิยมถูกพูดออกมาทั้งที่จริงๆเธอก็รู้คำตอบของคำถามนี้อยู่แล้ว

    “แม่นางไม่ต้องรู้ว่าพวกข้าเป็นใคร ข้าเพียงอยากถามคำถามแม่นางไม่กี่ข้อ”

    “ก่อนที่ท่านจะถามอะไรข้า ข้าขอถามว่าศิษย์พี่ของข้าอยู่ที่ใด เป็นพวกเจ้าที่พาตัวเขาไปใช่หรือไม่” เธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ เจือแรงอาฆาตลงไปสามส่วนเพื่อเป็นการข่มขู่

    “แม่นางโปรดใจเย็นก่อน ท่านหมอไคว่เป็นนายท่านเราเชิญตัวเขามาจริง แต่ทว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน มีผู้ไม่หวังดีลอบเข้ามาลักพาตัวท่านหมอไคว่ไปพร้อมบุรุษผู้หนึ่ง เดิมทีนายท่านเชิญท่านหมอมารักษาอาการคนผู้นั้นเท่านั้น”

    เหม่ยเซียนเข้าใจในคำตอบคนที่พวกเขากล่าวมาย่อมหมายถึงบุรุษนิรนามที่ขึ้นเขาเสียงธรรมพร้อมตะเกียบเงินของพี่ใหญ่

    “ภายหลังมีผู้พบเห็นว่าท่านหมอไคว่พาบุรุษผู้นั้นขึ้นไปที่หุบเขาสยบมาร พรรคพวกของข้าตามขึ้นไปแต่ไม่มีใครสามารถกลับมาได้สักคน แม่นาง...ใต้หล้านี้ใครบ้างจะกล้าล่วงเกินสำนักเทียบสุริยัน นายท่านของข้าต้องการให้ศิษย์พี่ของท่านส่งมอบคนมาเสีย ไม่ได้ต้องการทำร้ายท่านหรือท่านหมอไคว่แม้แต่น้อย”

    “การที่ศิษย์พี่ช่วยคนผู้นั้นย่อมแปลว่ารับเขาเป็นคนไข้ หากศิษย์พี่ไม่ยินยอม ตัวข้าก็จนปัญญา” เหม่ยเซียนทำทีเป็นว่าพี่ใหญ่กลับไปสำนักแล้ว เพื่อดูท่าทีของพวกมันว่าจะทำสิ่งใดต่อ

    “เช่นนั้นต้องขอล่วงเกินแม่นาง ไปเมืองชิงกับพวกข้าแล้ว เราจะเดินทางวันพรุ่งนี้ แม่นางโปรดพักผ่อนให้สบายเถิด”

    “เดี๋ยวก่อน สตรีที่มากับข้าเล่า”

    “แม่นางผู้นั้นพักอยู่ห้องข้างๆ ท่านอย่าได้ห่วง”

    พวกมันถอยออกไปข้างนอกหมดแล้ว เธอได้ยินมันสั่งการให้คนเฝ้าอยู่ภายนอกหลายคน เหม่ยเซียนมองแผนการของพวกมันออก มันต้องการใช้เธอเป็นตัวประกัน แลกกับชายนิรนามคนนั้นที่อยู่บนหุบเขา ไม่ได้การ...พี่ใหญ่ต้องการปกป้องคนๆนั้น หากเธอโผล่ไปเป็นตัวประกันจริง พวกท่านย่าและพี่รองต้องถีบหัวชายคนนั้นลงมาอย่างไม่ต้องสงสัย

    เหม่ยเซียนถอดหมวกคลุมศีรษะของตนเองออก ก่อนจะรินน้ำชาดื่มแก้กระหาย เพียงพักใหญ่ๆดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลก็เรืองแสงวาบเพียงครู่สั้นๆ ก่อนจะเหลือบมองไปที่ประตูห้องราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะเข้ามา รอไม่นานนักก็มีร่างโปร่งแสงสีขาวของสตรีผู้หนึ่งโผล่หน้าเข้ามาเพียงครึ่งลำตัว แม่นางผู้นี้...

    “เอ๊ะ เป็นเจ้า”

    “เป็นท่าน”

    นางคือหานรั่วหลาน วิญญาณสาวที่เธอเคยช่วยเมื่อตอนอยู่เมืองชิง อ่า...สถานที่ๆเธออยู่ตอนนี้เป็นจวนสกุลหลินไม่ผิดแน่ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนี้ แล้วก็หานรั่วหลานได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายก่อนตายแล้ว คือได้พบหน้าบุตรชายสักครั้ง ได้กลับมาอยู่กับบุตรชายตามที่หวัง แล้วเหตุใดวิญญาณยังไม่สลายหายไปเกิดใหม่อีกเล่า

    “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

    “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”

    “ข้าเดินตามแสงสีฟ้ามา จำได้ว่าเมื่อคราอยู่เมืองชิงข้าก็เห็นแสงนี้เช่นกัน ไม่คาดคิดเลยว่าจะเจอเจ้าที่นี่” วิญญาณสาวมีสีหน้าเปล่งปลั่ง ประหนึ่งพบเจอญาติมิตร เหม่ยเซียนคิดว่าเธอเข้าใจหานรั่วหลาน หากกลายเป็นวิญญาณไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ วันๆเพียงเฝ้ามองการเติบโตของบุตรอย่างเว้าวอน เธอคงทุกข์ใจมากเป็นแน่

    “ท่านอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ”

    “ใช่แล้ว” นางพยักหน้าพลางอมยิ้ม

    “ท่านจำพี่ชายข้าได้หรือไม่ บุรุษที่มีใบหน้าอ่อนโยนและดูสูงส่งในคราวเดียวกัน เมื่อครั้งอยู่เมืองอี้ยังช่วยข้าสืบหาเรื่องราวของบุตรชายท่านด้วย ท่านจำได้ไหม” เหม่ยเซียนรู้สึกมีความหวัง รัวคำถามใส่วิญญาณตรงหน้าไม่หยุด สวรรค์ช่างเข้าข้างเธอเสียจริง หรือบางทีนี่อาจจะเป็นรัศมี แมรี่ซู[4]ก็เป็นได้

    “ย่อมจำได้!ท่านหมอผู้หล่อเหลาที่ช่วยเหลือผู้คนในเมืองชิง”

    “เช่นนั้น ท่านเห็นเขาที่นี่หรือไม่ แล้วเขาจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “ข้าไม่เห็นเขาที่นี่เลยนะ” รั่วหลานทำสีหน้าสลด หากเป็นบุรุษรูปร่างสูงสง่าใบหน้าเปี่ยมเมตตาผู้เป็นพี่ชายของผู้มีพระคุณ นางย่อมจำได้แน่นอน ยังมีบางครานางยังแอบคิดว่าพี่ชายของสตรีนางนี้หล่อเหลาทุกคน

    เหม่ยเซียนขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่ถูก..เธอมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าพี่ชายอยู่ที่นี่แน่นอน บางทีวิญญาณของแม่นางรั่วอาจจะจำเขาไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่เคยมายังเรือนแห่งนี้ อาจจะไม่ได้พบเจอก็เป็นได้

    “แต่..เมื่อต้นปีก่อนข้าจำได้ว่าเจ้าคนอำมหิตเชิญหมอเทวดาผู้หนึ่งมา รักษาบุตรคนรองของขุนนางตู้ เจ้าเชื่อหรือไม่คุณชายรองท่านนั้นสภาพนับว่าตายไปแล้วครึ่งชีวิต ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆเพียงไม่กี่เดือน ท่านหมอไคว่ก็รักษาเขาจนเกือบหายดี เก่งจริงๆ ถือว่าเป็นบุญตาของข้าแล้วที่ได้เห็น” ประโยคแรกรั่วหลานพูดด้วยความรังเกียจต่อนายท่านสกุลหลิน ส่วนประโยคหลังกล่าวสรรเสริญจากใจจริง หากตอนนั้นนางได้ชายผู้นี้รักษา ชีวิตของนางคงไม่ตายอนาถเช่นนี้

    เหยียนเหม่ยเซียนได้ฟังประโยคดังกล่าว ก็ลอบตบหน้าผากตัวเองอย่างโง่งม เหม่ยเซียนเอ้ยเหม่ยเซียน ยามที่ท่านพี่อยู่เมืองชิง หาได้ปกปิดหน้าตาของตนไม่ เขารักษาผู้คนโดยใช้ชื่อของคุณชายใหญ่สกุลเหยียน ส่วนการรักษาผู้คนโดยใช่ชื่อท่านหมอไคว่ เหยียนเหวินอี้ใส่หน้ากากหนังมนุษย์อำพรางตนเอง “เฮ้อ...ข้าช่าง เลอะเลือนโดยแท้”

    เธอเป็นห่วงพี่ชายมากเกินไป จนลืมตรึกตรองเรื่องรูปลักษณ์ของพี่ชาย ดีที่วิญญาณแม่นางรั่วปากมากนัก เล่าเรื่องตื่นเต้นให้เธอฟังหลายเรื่องอย่างไม่อิดออด เกรงว่าคงเก็บกดมาแรมปีไม่มีผู้ใดพูดคุยด้วย

    “แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นมากมายเชียวล่ะ เจ้ารู้หรือไม่ขุนนางตู้กับเจ้าอำมหิตนั่นใกล้แตกหักกันแล้ว ข้าละสะใจยิ่ง!”

    “หมายความว่าเช่นไร”

    “ขุนนางตู้รู้ได้อย่างไรไม่ทราบว่าบุตรชายอยู่ที่จวนสกุลหลิน ส่งคนเข้ามาบุกชิงตัวบุตรชาย เจ้ารู้หรือไม่ในจวนวุ่นวายไปหมดแยกแยะไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร ข้าเนี่ยอยากให้ดาบไม่มีตาแทงเจ้าหลินฮั่วฝูเสียจริงๆ”

    เหม่ยเซียนเดาว่าพี่ใหญ่คาดการณ์ล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว ถึงให้คนไปส่งจดหมาย และระดมพลรั้งไว้ถึงหนึ่งสัปดาห์ เพื่อเอาตัวรอดออกมา เพียงแต่พี่ใหญ่หายไประหว่างทางได้อย่างไร ศิษย์เสียงธรรมเป็นรองแค่เทียบสุริยัน หากจะกล่าวว่ามีคนลักพาพี่ใหญ่ไประหว่างที่ศิษย์สำนักเสียงธรรมคุ้มครองไม่อาจเป็นไปได้

    นอกจากว่า...พี่ใหญ่จงใจไปกับผู้อื่น



    [1] Zhànfàng จ้านฟ่าง บุปผา 冬天 dōng tiān ตงเทียน ฤดูหนาว

    [2] มู่ตัน คือ ดอกโบตั๋น 

    [3] 积雪草 จีซูอ่วยเฉ่าหรือใบบัวบก

    [4] แม่รี่ซู หมายถึง ตัวละครที่มีลักษณะอุดมคติที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเติมเต็มความรู้สึก ความฝัน หรือจินตนาการบางอย่างของผู้เขียน โดยไม่คำนึงถึงหลักเหตุผลและความเป็นจริงหลายประการ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×