ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักชินอ๋อง อัพทุกวัน (ตีพิมพ์กับสนพ.แสนรักอ้ายหนี่)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      47
      5 พ.ย. 63

    บทที่ 2

    “น้องรักเจ้าจะรีบเดินไปไหนกัน” เสียงผู้เป็นพี่ไม่ได้ทำให้น้องสาวหยุดฝีเท้าลงแม้แต่ก้าวเดียว แสงของโคมไฟหลากสีสะท้อนเข้าสู่ดวงตาสีฟ้าใสกระจ่าง คล้ายมีเปลวเพลิงขนาดย่อมกำลังเริงระบำ พอๆกับร่างของดรุณีวัยแรกแย้มที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบข้าง ร้านค้ามากมายข้างทางแออัดไปด้วยลูกค้าหลายช่วงอายุ

    “พี่ใหญ่รีบมาเร็ว ซาลาเปาร้านนั้นหอมมาก เหม่ยเอ๋อร์อยากกิน!” เด็กสาววัยสิบสามหนาวเดินกลับมาจับมือใหญ่ของพี่ชาย กึ่งลากกึ่งจูงไปยังทิศทางที่ตัวเองต้องการ ห้าปี...ห้าปีหลังจากเธอตกลงบ่ออสรพิษ ช่างเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เธอเคยใช้ชีวิตมาทั้งสองชาติ ร่างกายมีรอยดำคล้ำจากพิษงูทั่วทุกที่ รวมทั้งรอยรัดอันเหนียวแน่นที่ทำให้ตัวเธอเขียวช้ำ อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนัก

    เธอไม่รู้ว่าท่านย่าใช้วิชาใด ได้ยินคล้ายว่าสกัดจุดไม่ให้พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ แต่กระนั้นอวัยวะหลายส่วนก็ถูกทำลายไปไม่มากก็น้อย เธอถูกกรอกยาหลายขนาน ฝังเข็มและถ่ายเลือดบางส่วนออก ทรมานจนอยากตายไปอีกรอบ น่าเสียดาย...ที่ยังไม่ถึงเวลาของเธอ ขาที่เคยเหยียบปรโลกก้าวหนึ่งจึงถอยออกมาช้าๆ ใช้เวลาสามปีในการรักษาร่างกายของเธอ โดยมีพี่ใหญ่คอยตรวจอาการและศึกษาไปพร้อมๆกัน

    สองปีหลังจากนั้นเธอก็ฝึกฝนสารพัดวิชา ทั้งยาพิษและยารักษา การเก็บ ตาก สมุนไพรมีพิษ จวบจนสองสามสัปดาห์ก่อนพวกเธอตื่นมาพร้อมๆกับจดหมายสั้นๆของท่านย่าที่เขียนว่า ‘พากลับให้ทันวันปักปิ่น’

    ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันแรกที่เธอก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านตะวันตกเข้าสู่เมืองชิง ซึ่งเป็นเมืองชายแดน เป็นเรื่องที่น่าตกใจเรื่องหนึ่งหลังจากเดินทางกับพี่ใหญ่ เขาเล่าให้เธอฟังว่าความจริงหมู่บ้านตะวันตกอยู่ห่างจากสำนักเทียบสุริยันไม่เท่าไหร่นัก หากการเดินทางมาถึงหมู่บ้านนี้ได้หมายความว่าการฝึกฝนของท่านย่าได้จบลงแล้ว

    ในคราวที่พี่ใหญ่โดนฝึกฝนก็กินเวลาไปถึงสองปีกว่าเกือบสามปี พี่รองหนึ่งปีเศษ พี่สามสองปี ส่วนเธอ..ใช้เวลาถึงแปดปีเลยทีเดียว ออกจากสำนักเมื่อตอนอายุห้าหนาว กลับสำนักตอนอายุสิบสามหนาว ทั้งรูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนไปมาก ไม่รู้ว่าท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายคนอื่นยังจะจำเธอได้ไหม

    เมื่อนึกถึงน้ำตาก็พานจะไหล ถึงแม้ไม่ได้สนิทอะไรกันมาก แต่ก็นับว่าเป็นครอบครัว อีกทั้งในชาตินี้เธอมีทั้งพ่อและแม่ครบ รวมทั้งมีท่านย่าและพี่ชายถึงสามคน พวกเขาทั้งหมดล้วนให้ความรู้สึกถึงความรักความห่วงใยอย่างเต็มที่ จนเธออดคิดไม่ได้ว่านี่ใช่ภาพฝันหรือไม่

    “ซาลาเปาหรือ อยากกินกี่ลูกเล่า รีบบอกมา เดี๋ยวพี่ชายคนนี้ไปซื้อให้เอง” เหวินอี้ยืดอกชูคออย่างใจป้ำ หลังจากผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายมาด้วยกัน พี่ใหญ่ผู้นี้ดูรักน้องหวงน้องมากขึ้นเป็นกอง

    เหยียนเหม่ยเซียนสูงกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็ไม่นับว่าสูงใหญ่อะไร ออกจะเตี้ยกว่าเด็กในวัยเดียวกันด้วยซ้ำ ใบหน้าที่เคยอ้วนกลมคล้ายซาลาเปาก้อนใหญ่ ตอนนี้เริ่มเรียวยาวขึ้นมาบ้าง แต่ยังคงมีแก้มน้อยๆให้ได้คิดถึงอยู่ ดวงตากลมโตสุกใสคล้ายน้ำทะเลยามต้องแสงอาทิตย์ทำให้คนมองนึกเอ็นดูและร่าเริงไปตามๆกัน ถึงเสื้อผ้าที่สวมอยู่จะมอมแมมไปบ้างเพราะไม่เคยผลัดเปลี่ยนเลยตั้งแต่เดินทางมา มันก็ไม่ได้ทำให้เด็กสาวดูหม่นหมองหรือไร้ค่าเลยสักนิด ยังดีที่ผมดำยาวของนางถูกรวบมัดไว้ด้วยผ้าหลวมๆ ประกอบกับใบหน้ามอมแมมเล็กน้อย ผู้คนจึงไม่สนใจมาก ชาวบ้านจึงคิดว่าเป็นขอทานเดินงานเท่านั้น

    ขอทานบ้าบออันใด ผิวขาวผุดผาดเช่นนี้จะเรียกว่าขอทานได้หรือ เหวินอี้เข่นเขี้ยวในใจ อยากจะพาน้องสาวกลับสำนักโดยเร็ว แต่จะทำเช่นไรได้ ในเมื่อท่านย่าฝากฝังให้พานางมาเดินเที่ยวในเมืองซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับจำเป็น ประจวบกับช่วงงานเทศกาลพอดี ผู้คนจึงพลุกพล่านมากกว่าปกติ

    “กี่ลูกก็ได้หรือพี่ใหญ่” เหยียนเหม่ยเซียนตาโต

    “แน่นอน”

    “งั้นเอาสามลูก เอาไส้ถั่วแดงนะ”

    “ได้ เจ้ารอข้าตรงนี้อย่าเดินไปไหน”

    “พี่ใหญ่ใจดีที่สุด!”

    เด็กสาวยกยอปอปั้นพี่ชายยกใหญ่เพื่อให้เขาไปซื้อซาลาเปาให้ ในขณะที่ตัวเธอเองได้แต่นั่งรอที่เก๋งริมน้ำมองซ้ายทีขวาทีอย่างสนใจ ออกจากป่ามาสองอาทิตย์กว่าเดินทางไม่หยุดจนเริ่มเหนื่อยบ้างแล้ว คนก็เยอะหิวก็หิว หากไม่ได้กลิ่นซาลาเปาหอมหวนเธอคงไม่คิดจะเดินที่นี่แน่

    เมื่อมองดูรอบๆแล้วตลาดในยุคนี้ไม่ได้แตกต่างจากยุคที่เธอจากมาเท่าไหร่ มีแม่ค้าลูกค้า เดินซื้อขายสนุกสนาน ตลอดทางจุดโคมไฟแทนการใช้ไฟฟ้า สว่างไสวด้วยแสงจันทร์สุกสกาว อากาศก็เย็นสบายสดชื่นนัก ต่างจากยุคปัจจุบันมาก ดังนั้นเธอจึงสรุปกับตัวเองว่า ตลาดไม่เคยมีอะไรต่างจากเดิม ที่ต่างคือบรรยากาศมากกว่า

    แหงนมองท้องฟ้าเห็นแสงจันทร์อยู่ไม่ไกลคล้ายเอื้อมถึง ความรู้สึกบางอย่างล่องลอยเข้ามาในใจ คิดถึงใครบางคนที่อยู่แสนไกล..

    นั่งอยู่ครู่หนึ่งอากาศเย็นสบายรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนไป ขนตามแขนลุกชันประหนึ่งเจออากาศหนาวจัด ซ้ำบรรยากาศยังกดดันและหดหู่จนเธอแทบร้องไห้ ดูท่า.. แถวนี้คงมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ 

    “เหม่ยเอ๋อร์ รอนานไหม นี่ซาลาเปาของเจ้า” ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์​แปลกๆขึ้น พี่ใหญ่ที่ปีนี้อายุยี่สิบสามเดินถือซาลาเปาสามลูกมาให้ ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจางๆเพราะฝึกฝนระหว่างเดินทาง ใบหน้าขาวเนียนติดไปทางหวานเล็กน้อย ทำให้เขาคล้ายดาราเกาหลีที่เธอเคยเห็นบ่อยๆ หล่อตี๋มีกล้าม ถ้าหากเขาไม่เข้าป่าไปพร้อมเธอ ป่านนี้คงแต่งงานมีลูกไปสามสี่คนแล้ว 

    “พี่ใหญ่ คืนนี้เราจะนอนที่ไหนกันหรือ” จะเป็นข้างน้ำตก บนต้นไม้ หรือพงหญ้าก็ว่ามาเถิด..เธอชินเสียแล้วที่หลังจะไม่สัมผัสเตียง

    “ที่นั่น” ปลายนิ้วยาวๆชี้ไปทางบ้านเก่าๆหลังหนึ่งซึ่งห่างจากชุมชนไปไกล สภาพบ้านค่อนข้างทรุดโทรมจนไม่สามารถนับเป็นที่อยู่อาศัยได้

    อ่า...ถึงเธอจะเคยชินกับพื้นดิน พื้นหญ้า แต่กับบ้านผีสิงเช่นนี้ขอไม่คุ้นเคยได้หรือไม่

     

    หลังจากเดินหาของกินและซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับได้ส่วนหนึ่งแล้ว พี่ใหญ่ก็พาเธอเข้าบ้านร้างเมื่อครู่ ในตัวบ้านค่อนข้างสะอาด ผิดจากภายนอกลิบลับ คล้ายว่าบ้านนี้ถูกดูแลอย่างดี ทำไมดูแลแค่ข้างในกัน ความจริงด้านนอกสมควรทำให้น่าอยู่กว่านี้สักหน่อย

    “นอนได้หรือไม่”

    “สบายกว่าในป่ามาก พี่ใหญ่อย่าห่วงได้”

    “ดี งั้นพักผ่อนได้แล้ว” พี่ชายผู้แสนดีกระชับผ้าห่มให้น้องสาวอีกครั้ง ก่อนจะล้มตัวนอนข้างๆและหันหลังให้ เพียงครู่เดียวเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขาก็ดังขึ้นบ่งบอกว่า เข้าสู่นิทรารมณ์ไปแล้ว เหยียนเหม่ยเซียนก็เริ่มง่วงบ้างแล้วจึงหลับตาลงช้าๆเตรียมเข้าสู่นิทราเช่นกัน

    ติ๋ง

    “ฮึก...ฮือ..”

    “ช่วย...ช่วยลูกข้าที ช่วยเขาที ฮือ..”

    หญิงสาวร่างสูงในชุดสีขาวโปร่งบางนั่งร่ำไห้อยู่ไม่ไกล ใบหน้าถูกผมยาวดำปิดไว้ส่วนหนึ่ง ริมฝีปากขาวซีดเซียวพอๆกับผิวสีซีดคล้ายคนจมน้ำแล้วขึ้นอืด ตามกระโปรงเต็มไปด้วยเลือดชุ่มฉ่ำ หยดน้ำที่ไหลจากกระโปรงลงพื้นดังไม่ขาดสาย จนคนประสาทสัมผัสดีอย่างเหม่ยเซียนต้องลืมตาขึ้น

    มองด้านข้างยังเห็นพี่ชายหลับอยู่จึงรู้แน่ชัด เธอเจออีกแล้ว...วิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะมีห่วงบางอย่างอยู่ ในชาติก่อนก็คล้ายว่าเธอคุ้นเคยกับวิญญาณหลายตน ไม่คิดว่าความสามารถในชาติก่อนจะสืบทอดมาถึงชาตินี้

    เด็กสาววัยสิบสามหนาวยันกายลุกจากที่นอน แอบกรอกตาขึ้นฟ้าคราหนึ่ง แล้วจ้องมองวิญญาณสาวปลายเท้า "จะร้องไห้ไปใย มีอันใดค่อยพูดค่อยจากันเถิด" 

    "แม่นาง โปรดช่วยข้าที ลูกชายลูกสาวข้า ถูกบิดาพาตัวไป เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่ทราบ เขาร่างกายอ่อนแอเเต่เด็กเจ็บไข้เรื้อรังเรื่อยมา ส่วนลูกสาวข้า.. มัน พวกมันช่างอำมหิต มันคว้านท้องข้า เอาลูกสาวข้าไป แล้วโยนร่างข้าลงน้ำ วิญญาณข้าไม่ได้ตายดี ซ้ำยังมีห่วงมากมายนัก"

    "ท่านน้าอยากให้ช่วยอะไรหรือ"

    "แค้น.. ข้าแค้นมัน ข้าอยากฆ่ามันเสีย"

    "ท่านน้าความแค้นความโกรธเกลียดของท่านข้าคงไม่อาจช่วยเหลือ แต่ถ้าเรื่องอื่นหากทำได้ข้าจะช่วยเต็มที่ ท่านลองตรองดูเถิดบุตรชายหญิงของท่านกำพร้ามารดาให้กำเนิดไปหนึ่งแล้ว หากฆ่าบิดาเขาอีกคน พวกเขาจะเหลือใครหรือไม่" เหยียนเหม่ยเซียนเห็นในวิญญาณสาวผู้นี้ ดูจากรูปร่างลักษณะ​อายุคงน้อยกว่าท่านแม่ของเธอนัก ซ้ำยังต้องเสียลูกไปอย่างไม่เต็มใจ ร่างกายถูกเหยียบย่ำศักดิ์​ศรีเหมือนไม่ใช่มนุษย์​ เธอเองก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ หากให้แก้แค้นฆ่าล้างสกุลคงเหนือบ่ากว่าแรง แต่ถ้าช่วยส่งข่าวหรือสวดส่งวิญญาณเธอก็อาจจะช่วยได้

    "จริงอยู่บิดาของเขาไร้ไมตรีต่อท่าน แต่สายใยของบุตรย่อมแน่นแฟ้น​ ข้าไม่อาจตัดสินว่าเขานำบุตรธิดาของตนกลับไปเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่ถ้าหากท่านยังไม่รู้ข่าวสารเป็นตายร้ายดีของพวกเขา ท่านก็อย่าพึ่งด่วนสรุปไป" เหยียนเหม่ยเซียนอธิบายอย่างใจเย็น เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัว เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์​ก้าวก่าย ซ้ำยังสงสัยอยู่ในหลายๆจุด

    "ฮือ.. แม่นาง โปรดช่วยข้าที ข้าอยากรู้ว่าพวกเขาสบายดีหรือไม่ หากยังไม่ลืมหน้ามารดาผู้นี้ ขอร้องแม่นางให้พวกเขาพาวิญญาณข้าจากแม่น้ำกลับบ้านด้วย ไม่ต้องตั้งป้ายวิญญาณก็ได้ ข้าแค่อยากอยู่กับเขา อยากดูพวกเขาเจริญ​เติบโตอย่างดี อยากปกป้องดูแลเขาเช่นหน้าที่มารดาที่ควรทำ ฮือ.. แม่นาง โปรดช่วยข้าด้วย" วิญญาณผู้เป็นแม่ร่ำไห้ ทั้งคิดถึงลูกคิดถึงบ้าน กอดขาเธอไม่ปล่อย

    “เอาล่ะ ข้าจะค้นหาข้อมูลให้ ท่านบอกมาเถิดว่าสกุลสามีท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”

    “สกุลหลิน หลินฮั่วฝู สามีของข้า”

     

    ย่างเข้าสารทฤดูหยาดพิรุณโปรยปรายเล็กน้อย ไม่ถึงกับรุนแรงจนเดินฝ่าไปไม่ได้ แต่ก็หาได้เบาเช่นที่ควร หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว ในตอนเช้าของวันถัดมาเหยียนเหม่ยเซียนก็เล่าความที่เกิดขึ้นให้พี่ชายฟัง โดยกล่าวอ้างว่าเป็นความฝันที่น่ากลัว แกล้งซุกซบ ตัวสั่นให้พี่ชายปลอบขวัญอยู่พักใหญ่ กำชับหนักแน่นว่าหากไม่ช่วยเหลือจะโดนตามอาฆาตหมายเอาชีวิต คนในยุคนี้เชื่อในโชคลางความฝัน มีหรือพี่ใหญ่จะไม่คล้อยตาม เขายังช่วยเต็มที่อย่างไม่อิดออด

    ในช่วงสายของวันนั้นเหวินอี้เขียนจดหมายฝากศิษย์ในสำนักคนหนึ่งที่ซุ่มอยู่ในเงามืดคอยให้ความช่วยเหลือ ส่งจดหมายถึงมือท่านย่าโดยตรง ใจความในจดหมายกล่าวแค่ขออยู่ในเมืองชิงสักพักเพราะน้องสาวต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกสำนักสักครึ่งปี แล้วจะพากลับไปให้ทันวันปักปิ่น

    แน่นอนว่าท่านย่าไม่ปฏิเสธ ซ้ำยังเห็นดีเห็นชอบด้วย จึงปล่อยให้พวกเขาเที่ยวเล่นในเมืองสักพัก กว่าจะถึงวัยปักปิ่นก็อีกสองปี ที่จริงก็ตั้งใจให้นางคุ้นเคยวิถีชาวบ้านอยู่แล้ว แต่กลัวหลานสาวจะคิดถึงบ้านจึงให้พากลับบ้านก่อน แล้วค่อยท่องเที่ยวยังไม่สาย ประสบกับเป็นความต้องการของนางเองที่อยากอยู่เมืองชิงสักพัก คนเป็นย่าก็เบาใจ อย่างน้อยมีเจ้าใหญ่อยู่ก็คงดูแลน้องได้

    หลานชายหญิงทั้งสองคนนางเป็นคนฝึกมากับมือ ทั้งเรื่องพิษและการรักษาล้วนวิเคราะห์ข้อมูลได้เฉียบขาด เจ้าใหญ่ใจร้อนไม่รอบคอบแต่ความรู้เรื่องสมุนไพรไม่เคยผิดพลาด ส่วนเหม่ยเซียนทั้งรอบคอบ ใจเย็นและไตร่ตรองได้ดี คงช่วยกันได้ไม่มากก็น้อย นางจึงวางใจให้ทั้งคู่ท่องเที่ยวตามลำพัง

    “ท่านย่าให้เราท่องเที่ยวสักพักได้ แต่ต้องกลับไปให้ทันวันปักปิ่น” พี่ใหญ่อ่านจดหมายในมือ ก่อนจะปรายตามองน้องสาวที่ขีดๆเขียนๆบางอย่างในสมุดพก

    หนึ่งเดือนกว่าแล้วที่พวกเขาตั้งรกรากในเมืองชิง เบี้ยหวัดที่ท่านย่าให้ไว้ก็น้อยลงเช่นกัน โชคดีที่เหม่ยเซียนคิดการไกลเปิดตั้งโรงหมอเล็กๆในบ้านที่พวกเขาอาศัย เริ่มแรกเดินรักษาผู้ป่วยตามที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน โดยเก็บค่าใช้จ่ายถูกกว่าโรงหมอทั่วไปก่อนจะแนะนำให้มาหาที่โรงหมอของตนได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าแรกๆเธอไม่หวังได้กำไร เธอหวังสืบข่าวจากชาวบ้านมากกว่า พอนานวันเข้าโรงหมอก็ยิ่งเป็นที่รู้จัก หากพี่ใหญ่ให้ยาตัวใดไปกินแล้วหายเป็นปลิดทิ้ง ชื่อเสียงของเขาก็ยิ่งขจรไกลไปทั่ว จนตอนนี้โรงหมอเล็กๆก็กลายเป็นที่รู้จักทั่วเมืองชิง

    “มีสมุนไพรขาดบ้างไหมเจ้าคะ” เหม่ยเซียนเอ่ยถามในขณะที่เขียนบัญชีรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือน สาเหตุที่โรงหมอเธอถูกกว่าใครเพราะเธอหาสมุนไพรเองมิได้ซื้อต่อที่ใด ด้วยพลังยุทธและการฝึกฝนที่ผ่านมา การเข้าออกป่าจึงไม่ใช่เรื่องยาก ต่างจากโรงหมอที่อื่น

    ป่าในเขตเมืองชิงเชื่อมต่อกับหุบเขาสยบมาร ร้อยคนเข้าก็กลับมาไม่ถึงร้อย ทั้งอันตรายจากธรรมชาติและอันตรายจากลูกศิษย์ต่างๆหลายสำนักที่เร้นกายอยู่ในป่า ดังนั้นหมอในเมืองนี้จึงต้องแย่งชิงซื้อขายสมุนไพรกันอย่างดุเดือด

    “ยังมีอยู่ทุกอย่าง คราวก่อนเจ้าเอามากักตุนไว้เสียเยอะ ดีที่ซ่อนไว้ภายนอก มิเช่นนั้นคงถูกขโมยไปหมด”

    การที่โรงหมอมีชื่อเสียงมากใช่ว่าจะดี แรกๆอาจจะมีแค่ชาวบ้าน หลังๆเหล่าคหบดีหรือขุนนางยศต่ำๆเริ่มไหลเวียนกันมาบ้างแล้ว สร้างความริษยาให้กับโรงหมอที่เป็นอย่างมาก เมื่อหลายคืนก่อนมีโจรย่องเบาเข้ามาในที่พัก กวาดห่อยาบนโต๊ะไปหลายห่อ ดีที่เหม่ยเซียนเป็นคนรอบคอบนำหญ้าแห้งกลิ่นแรงไปตากแดดแล้วใส่ไว้ในถุงเหล่านั้น ล่อเหยื่อมาติดกับ ไม่คิดว่าโจรพวกนี้จะโง่ไม่ตรวจดูของให้ดีก่อน

    “วันนี้ไม่มีนัดกับคนไข้รายใด เจ้าสนใจไปโรงน้ำชากับพี่ใหญ่หรือไม่” พี่ใหญ่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี เขาไม่เคยคิดจะขัดน้องสาวของตนเลยสักครั้ง ยิ่งนางตั้งโรงหมอขึ้นมายิ่งทำให้เขาได้ฝึกปรือวิชาความรู้ไปในตัว จริงอยู่ที่ตอนฝึกฝนในป่าท่านย่าพาไปตามหมู่บ้านต่างๆ รักษาผู้ป่วยมานับไม่ถ้วน แต่ถ้าหากห่างวิชา เขาก็เกรงว่าจะลืมเลือนไปเสียหมด

    “ไปเจ้าค่ะ” เหม่ยเซียนยิ้มร่า ปล่อยบัญชีไว้บนโต๊ะทันที เธอก็อยากยืดเส้นยืดสายบ้าง อุดอู้อยู่แต่ในโรงหมอจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน

    “เจ้าจะไปไหน ข้าไปด้วย” น้ำเสียงล่องลอยมากับอากาศทำให้เธอกรอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย

    นับจากคืนนั้นที่นางมาไหว้วานให้สืบเรื่องบุตรของตนให้ ไม่ว่ายามเช้า ยามสาย หรือยามค่ำคืนวิญญาณสาวตนนี้ก็เกาะติดเธอไม่ปล่อย เธอไปซ้ายนางไปซ้าย เธอไปขวานางไปขวา ไม่รู้ว่ากลัวตนจะพลาดเรื่องราวของบุตร หรือว่าวิญญาณตนนี้เหงากันแน่!

    “วุ่นวายชะมัด”

    “เจ้าว่าอันใดนะเหม่ยเอ๋อร์”

    “เปล่าเจ้าค่ะ”

    สองศรีพี่น้องพร้อมหนึ่งวิญญาณเดินตามๆกันไปจนถึงโรงน้ำชา ด้านหน้ามีเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งคอยต้อนรับขับสู้ลูกค้าให้เข้าไป ในขณะเดียวกันก็แกล้งปัดกวาดไล่ขอทานให้พ้นหน้าร้านด้วย เหม่ยเซียนมองเสี่ยวเออร์คนนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ งานบริการส่วนใหญ่ต้องเอาใจใส่ลูกค้า ถึงแม้ว่าลูกค้าดังกล่าวจะแต่งตัวอย่างไร หรือฐานะเช่นใด ก็ไม่ควรไปดูถูก

    “น่ารังเกียจนัก” วิญญาณสาวนามหลินรั่วหยางบ่นเสียงดังก่อนนจะแลบลิ้นปลิ้นตาประหนึ่งเด็กสามขวบ เหม่ยเซียนส่ายหน้าระอาอีกรอบ เธอไม่เคยได้ยินเรื่องที่วิญญาณตายแล้วจะลืมนิสัยของตนเองนะ ส่วนใหญ่ก็อาจจะลืมว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน

    “โอ้...นั่นท่านหมอเหยียนมิใช่หรือ” เสี่ยวเอ้อวัยกลางคนเดินเข้ามาหาพี่ใหญ่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สองมือประกบกันอย่างนบน้อม ต่างจากตอนขับไล่ขอทานเมื่อครู่ลิบลับ แน่สิ...ตอนนี้พี่ใหญ่เป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ถึงแม้โรงหมอจะทรุดโทรมไปบ้างไม่น่าเชื่อถือ แต่ฝีมือการรักษาเป็นหนึ่งไม่มีสองรองใคร

    “ใช่แล้ว ข้ามากับน้องสาว มีโต๊ะว่างบ้างหรือไม่”  เหวินอี้ยิ้มไม่คล้ายยิ้ม เห็นพฤติกรรมที่เขาทำกับขอทานแล้วยิ่งรังเกียจ แต่ภาพลักษณ์หมอผู้มีเมตตาค้ำคอจำต้องยิ้มแย้มให้กับผู้คนตลอดทาง

    เสี่ยวเอ้อร์หันมองน้องสาวท่านหมอครู่หนึ่งด้วยสายตาพิจารณา สำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวพานทำให้เหม่ยเซียนต้องสำรวจตนเองตาม อ่า...เมื่อตอนเช้ามืดเธอปลอมตัวเป็นขอทานไปสืบข่าวแถวจวนพักร้อนสกุลหลิน โดยการใส่เสื้อผ้าเก่าๆสีขมุกขมัว อันที่จริงเป็นเสื้อผ้าชุดที่เธอใส่ออกจากป่า เรือนผมสีดำไม่ได้มัดไว้ปล่อยรุงรังจนบดบังใบหน้าหวานใส ตามตัวก็เอาดินโคลนป้ายไว้ปิดบังผิวกายของตน

    “น้องสาวของท่านคือขอทานนี่หรือ” ทั้งสีหน้าและท่าทางรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

    เหวินอี้หันมามองน้องสาวของตนอีกครั้ง ไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติเพราะเห็นท่าทางมอมแมมของนางตั้งแต่เข้าป่า ซ้ำยังพอใจมากเพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นความงามภายในของนาง จึงไม่ได้เอ่ยปากให้นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนเหม่ยเซียนก็เคยชินกับการแต่งกายสกปรกไปเสียแล้ว

    “ใช่แล้ว ท่านมีปัญหาใดหรือ”

    “เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถให้ท่านเข้าไปได้ ด้านในมีขุนนางยศใหญ่จากเมืองหลวงหลายคน คงไม่อาจนำสิ่งสกปรกเข้าไปทำให้เกิดรำคาญสายตาได้” เสี่ยวเอ้อพูดอย่างไม่ไว้หน้า หากเปรียบกับหมอจิตใจดีแต่ยากจน กับขุนนางใหญ่โตแล้ว คงเลือกขุนนางพวกนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

      เหวินอี้ไม่กล่าวสิ่งใดอีกเขาเพียงกระตุกยิ้มมุมปากแล้วพาน้องสาวตนเดินจากไป มองสีหน้าเหยียดหยามของเสี่ยวเอ้อด้วยความดูแคลนพร้อมหมายมาดในใจหากชายผู้นี้ต้องการความช่วยเหลือใด เขาจะไม่เอื้อมมือให้เด็ดขาด บังอาจดูถูกน้องสาวของเขา

    “นั่นไงๆ ข้าเจอแล้ว” หลังจากก้าวขาได้ไม่กี่ก้าว เสียงร่าเริงของบุรุษคนหนึ่งก็ดังขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือพัดจับจีบสีเขียวอ่อนลายภูผาหมอก บดบังใบหน้ากึ่งหนึ่งของเขาไว้ แต่กระนั้นดวงตาเปล่งประกายสดใสกลับทำให้เธอจำได้อย่างแม่นยำ พี่รองเหยียนหย่งเล่อ ปีนี้เข้ายี่สิบเอ็ดหนาวส่วนสูงพอๆกับพี่ใหญ่แทบไม่แตกต่าง ใบหน้าอ่อนเยาว์และทะเล้นเกินไปจนน่าหมั่นไส้

    ต่างจากพี่สามที่ตามมาลิบลับ นอกจากส่วนสูงจะชะลูดกว่าพี่ใหญ่แล้วใบหน้านิ่งสงบประหนึ่งว่าฉาบด้วยน้ำแข็ง แทบไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น ข้างเอวพกกระบี่ขาวดำสองด้ามด้วยกัน ถึงแม้อายุจะเพียงสิบเก้าหนาวแต่ใบหน้าคล้ายใกล้วัยสามสิบเข้าเต็มที

    “พี่รอง พี่สาม พวกท่านมาได้อย่างไร” เหม่ยเซียนดวงตาเป็นประกาย นับแต่ตั้งรกรากที่เมืองชิง พี่รอง และพี่สามมาเยี่ยมเยือนบ่อยครั้ง และทุกครั้งจะมีสมุนไพรล้ำค่ามาให้เสมอ

    “มาหาเจ้าอย่างไรเล่า พี่รองมีของดีมาให้เจ้าด้วย” คุณชายรองสกุลเหยียนอมยิ้มมีเลศนัย ตบๆที่หน้าอกตัวเองสองสามทีเป็นเชิงใบ้ว่าของล้ำค่าที่ว่าอยู่ที่ใด

    “พี่รองช่างรู้ใจเหม่ยเอ๋อร์ที่สุด”

    “เหอะ ก็แค่สมุนไพรที่ท่านย่าฝากมานั่นล่ะ” พี่ใหญ่เหลือบมองด้วยความหมั่นไส้ มีอย่างที่ไหนพอเจ้ารองมา ความสนใจทั้งหมดของเหม่ยเอ๋อร์ก็หันเหไปทางนั้นหมด น่าโมโหนัก

    “อย่ามัวแต่พูดคุย” เหยียนเสวี่ยหมิงพูดขึ้นทำให้รู้ว่ารอบด้านมีชาวบ้านไม่น้อยให้ความสนใจมาทางพวกตนออกนอกหน้า นั่นสิ...พี่ใหญ่มีชื่อเสียงเป็นถึงหมอเทวดาท่าทางสำรวม พี่รองก็หล่อเหลาออกแนวคุณชาย ยังไม่รวมพี่สามที่ดูเข้มแข็งองอาจอีก สรุปแล้วเมื่อคนทั้งสามยืนอยู่จุดเดียวกัน กลายเป็นศูนย์รวมของสายตาไปเสีย

    “เอาล่ะๆ ในเมื่อโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ต้อนรับ เช่นนั้นไปนั่งเหลาอาหารนั่นก็แล้วกัน” พี่ใหญ่ชี้ไปอีกทางอย่างอารมณ์ดี เห็นน้องสามอารมณ์ไม่ดี เขากลับอารมณ์ดียิ่ง

    “สืบสาวเรื่องราวถึงไหนแล้ว” พี่สามเปิดประเด็นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลังจากสั่งอาหาร สุราและน้ำชาจากเสี่ยวเอ๋อร์แล้ว

    “ยังไม่ได้อะไรเท่าไหร่เลยพี่สาม ดูเหมือนจวนสกุลหลินจะมาพักผ่อนที่จวนนี้แค่ไม่กี่วัน คล้ายจวนตากอากาศ หลายวันมานี้ สอบถามบ่าวในจวนก็ไม่ได้ความ เหมือนว่าพวกเขามีหน้าที่ทำความสะอาดและดูแลจวน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวเจ้านาย”

    “ดูท่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดแล้ว” พี่ใหญ่พึมพำเสียงเบา ยกสุราขึ้นหนึ่งจอกกระดกรวดเดียวจนหมด

    “เอาเถิด จะทำอะไรก็ทำ แต่อย่างลืมวันสำคัญของตน”

    “พี่สามวางใจ เหม่ยเอ๋อร์จะหาทางพบหน้าคุณชายน้อยสกุลหลินให้เร็วที่สุด” เหยียบเหม่ยเซียนคลี่ยิ้มให้ เรื่องราวที่ท่านน้าผีไหว้วานหาใช่เรื่องลำบาก เพียงพบหน้าคุณชาย อ้อนวอนให้พาวิญญาณมารดากลับบ้าน จากที่เธอไปนั่งขอทานหน้าจวนสกุลหลินได้พักหนึ่งจึงได้รู้ว่าสกุลหลินจะมาพักที่จวนนี้ทุกๆปี ช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว เธอคาดว่าน่าจะไม่เกินสัปดาห์หน้าพวกเขาต้องมาแน่

    “เอาล่ะๆ อย่าเครียดกันนักเลย นานๆได้พบกันทีดื่มกันเสียหน่อย” พี่รองตบบ่าพี่สามกับพี่ใหญ่เบาๆ ชวนกันร่ำสุราด้วยท่าทางร่าเริง ผิดกับเหม่ยเซียนโดยสิ้นเชิง เธอหลอกพวกเขาว่าโดนวิญญาณอาฆาตรแค้น หากไม่ช่วยเหลือชีวิตคงมอดม้วย ทั้งที่ความจริงเธอไม่ได้โดนขู่เช่นที่อ้าง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ หากจะให้เล่าว่าเธอมองเห็นวิญญาณตั้งแต่กำเนิด ก็ดูน่าอัศจรรย์นัก ประกอบกับดวงตาที่มีสีผิดแปลกพวกเขาคงได้มองเธอประหลาดแน่

    เหยียนเหม่ยเซียนได้แต่ยกชาขึ้นจิบพลางส่งสายตาลุแก่โทษให้พวกเขา โดยไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าพี่สามกำลังจ้องมองตนอยู่ไม่วางตา

    “พวกเจ้าจะอยู่กี่วัน”

    “ท่านย่าอนุญาตให้พวกข้าอยู่นานหน่อย เผื่อช่วยเหลืออะไรนางได้บ้าง” พี่รองยักคิ้วกวนให้หนึ่งครา ก่อนจะโดนจอกสุราจากมือพี่ใหญ่กระแทกเข้าเต็มหน้า “โอ้ย! พี่ใหญ่ท่านจะรังแกกันเกินไปแล้ว”

    “พี่ชายของเจ้าช่างสง่างามนัก”

    พรวด!

    “เหม่ยเอ๋อร์ เป็นอันใดหรือไม่” พี่ใหญ่ละมือจากการขว้างกาสุรา ก่อนจะลุกมาลูบหลังให้ด้วยความตกใจ เหม่ยเซียนสำนักน้ำชาไออยู่สองสามรอบก่อนโบกมือให้พี่ชายว่าตนเองสบายดี สงบได้พักหนึ่งก็ตวัดสายตาเย็นเยียบใส่วิญญาณสาวที่อยู่ใกล้ๆ

    ไม่คาดคิด...ว่านางจะตามมาด้วย!

    “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม เหม่ยเอ๋อร์ขอกลับก่อน ปวดท้องรุนแรงมากเจ้าค่ะ” เหม่ยเซียนลุกขึ้นโค้งศีรษะขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว หยิบห่อยาใส่อกเสื้อ ก่อนจะก้าวออกจากเหลาอาหารตามหลังวิญญาณโปร่งใสไปติดๆ เมื่อครู่วิญญาณรั่วหลานกระซิบบอกว่าตระกูลหลินสายหลักมาถึงที่จวนแล้ว และบุตรชายของตนกำลังเดินชมงานเทศกาลอยู่ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานเทศกาล ผู้คนจึงพลุกพล่านมากกว่าปกติ แต่คนเป็นแม่หรือจะจดจำบุตรชายของตนไม่ได้ นางจึงรีบมาบอกแก่เหม่ยเซียน

    เด็กสาววัยสิบสามหนาวสวมใส่ชุดขอทานวิ่งพล่านทั่วตลาด โชคดีที่ชุดสกปรกโสโครก บรรดาคุณหนูคุณชายจึงหลบทางให้อย่างไม่ลังเล เธอมาหยุดยืนที่จุดๆหนึ่งก่อนจะตะลึงงันไปชั่วขณะ

    คราแรกคิดว่าเรื่องราวจะจบลงโดยง่าย เกลี้ยกล่อมคุณชายสกุลหลานให้จุดธูปเชิญวิญญาณมารดา แค่นั้นก็จบภารกิจที่เธอต้องทำแล้ว มิคาดคิดว่าเรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่เป็น

    เด็กชายอ้วนกลมผิวพรรณผุดผาดสะอาดตาสวมชุดผ้าไหมเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม ผมยาวดำสลวยแค่ประบ่าส่วนหนึ่งมวยไว้ด้านบน อีกส่วนปลายสยาย รอบกายเต็มไปด้วยสาวใช้คอยดูแลจนคนทั่วไปแทบเข้าหาไม่ถึง ส่วนสูงแค่เข่าสาวใช้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอายุไม่เกินสิบหนาวแน่ๆ

    หากเป็นเช่นนี้เธอจะคุยกับเด็กรู้เรื่องหรือ อันว่าเด็กก็คล้ายผ้าขาวสะอาด บริสุทธิ์หาใดเปรียบ “ซูหยาง...ลูกแม่” หานรั่วหลานสะอึกสะอื้นมองบุตรชายตนด้วยความรักและเวทนาในตัวเอง เป็นมารดาแท้ๆแต่มิอาจได้อุ้มชู ยังไม่ทันเห็นบุตรชายเติบใหญ่ใส่กวานก็ต้องม้วยมอดเสียแล้ว ซ้ำร้ายวิญญาณยังไม่ไปผุดไปเกิด ร่างกายถูกกลบฝังรวมกับศพไร้ญาติก็โดนพรากจากตั้งแต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ บุตรสาวคนเล็กเป็นตายเช่นไรก็หารู้ไม่

    “ท่านน้าบุตรชายท่านอายุน้อยขนาดนี้ ท่านคิดว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดหรือ” เหม่ยเซียนอยากร่ำไห้ ลำพังเธอไม่รักใคร่เอ็นดูเด็กอยู่แล้ว อย่าว่าแต่พูดคุยเลย เฉียดเข้าใกล้สักนิดก็ไม่มี

    “แม่นาง..ช่วยข้าด้วย” ผีสาวน้ำตานองหน้าดวงตาแดงก่ำ แทบคุกเข่ากอดขาอยู่ลอมล่อ

    “ก็ได้ๆ ท่านน้าลุกขึ้นก่อน” ดีที่มุมนี้ไม่มีคนมาก ไม่เช่นนั้นคงมีแต่คนมองเธอบ้า พูดคนเดียว พึมพำคนเดียว แต่ถึงจะไม่พูดคุยคนเดียว สภาพเธอตอนนี้ก็ไม่ต่างจากขอทานเสียสติเท่าไหร่ จริงสิ...ไหนๆก็เสียสติแล้วก็เอาให้สุดๆไปเลยแล้วกัน เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่ ข่มกลั้นความอายไว้

    “งู! มันเลื้อยมาแล้ว มันอยู่นั่นๆ กรี๊ดด ไปแล้ว กรี๊ดๆ” เด็กขอทานวัยสิบสามหนาวร้องโหวกเหวกชี้ไม้ชี้มือใหญ่โตพร้อมสาดยากล่อมประสาทชนิดเห็นผลเร็วไปข้างหน้า ผู้คนที่ได้ยินก็วิ่งกันจ้าละหวั่นอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ประกอบกับยาที่ออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว เห็นภาพหลอนคิดว่าเชือกเป็นงูก็มี

    “มันอยู่นั่นๆ หนีเร็ว!” เมื่อยาออกฤทธิ์ก็มีคนส่วนหนึ่งที่เกิดอาการหลอนไปกับเธอด้วย ฝูงชนวิ่งกันไปมาวุ่นวายไปทั่ว ในจังหวะนั้นเองเธอก็รีบคว้ามือคุณชายน้อยแล้วพาวิ่งไปทิศทางใดไม่อาจทราบท่ามกลางความวุ่นวาย เกือบถูกเหยียบบ้าง คุณชายเกือบล้มบ้าง แต่สุดท้ายก็ประคับประคองจนมาถึงริมแม่น้ำ

    “ถือไว้แล้วพูดตามข้า” เหม่ยเซียนคว้าธูปที่อยู่ในศาลเจ้าริมน้ำมาดอกหนึ่งจุดไฟก่อนจะส่งให้คุณชายน้อย เด็กชายไม่เพียงแค่มึนงง ริมฝีปากบางยังคว่ำคล้ายเสี้ยวพระจันทร์ ดวงหน้างอง้ำน้ำตาคลอเบ้า เหม่ยเซียนก็คิดกับตัวเองว่า ซวยแล้ว..ตลอดชีวิตไม่เคยโอ๋เด็กด้วย อย่างร้องนะเจ้าหนู..อย่างร้อง..

    “แง ฮืออ”

    เวรกรรม เหยียนเหม่ยเซียนแทบจะเอาหัวโขกหินตายเสียเดี๋ยวนั้น

    “คุณชายน้อย อย่างพึ่งร้อง พูดตามข้าก่อน” รีบอัญเชิญวิญญาณ เธอจะได้หมดหน้าที่!

    “ฮือ เจ้าเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน ลักพาตัวข้าหรอ จะกินตับข้าหรอ..ฮือ” ใครสั่งใครสอนว่าโดนลักพาตัวแล้วจะโดนกินตับกัน!

    “ไม่ใช่ๆ คุณชาย ข้ามาดี ข้าแค่จะพาท่านมาขอพรอย่างไรเล่า เมื่อครู่ท่านอยากได้ขนมนั่นไม่ใช่หรือ นี่ไง..ข้าพาท่านมาขอพร รับรองว่าท่านอยากได้อะไรต้องได้แน่นอน” ดีที่ประสาทสัมผัสเธอไวและแม่นยำ ตอนที่คุณชายเดินดูร้านรวงต่างๆเกิดอยากได้ถังหูลู่ เสียดายที่ไม้สุดท้ายถูกแย่งชิงตัดหน้าเพียงนิดเดียว เด็กชายก็หน้างอง้ำขัดใจตั้งแต่นั้นมา สายตาก็เหลือบแลถังหูลู่ในมือคนอื่นตลอดทาง

    “จริงนะ! ข้าจะได้จริงๆนะ” ดวงตาเล็กตี่เบิกกว้างอย่างตื่นเต้น ประกายในตายังแวววาวคล้ายดาราบนฟ้า ผ้าขาวตรงหน้ากลับทำให้เธอรู้สึกกระดากอายเสียจริง

    “แน่นอน แต่ท่านต้องพูดตามข้า รับรองคืนนี้ถังหูลู่และขนมที่ท่านต้องการจะมาปรากฏในห้องท่าน”

    “ได้ๆ รีบว่ามาเร็วเข้า”

    เหยียนเหม่ยเซียนยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยบทสวดมนต์เชิญวิญญาณให้คุณชายท่องตาม บทสวดจะว่ายาวไหมก็ไม่ แต่จะกล่าวว่าสั้นเลยคงไม่ได้ ยิ่งให้เด็กห้าหนาวท่องแล้วช่างยืดยาดจนอดหวั่นไม่ได้ ผ่านไปราวๆหนึ่งเค่อแล้ว สกุลหลินเป็นสกุลใหญ่ ต้องส่งคนออกตามหาคุณชายแน่ และถ้าหากคนพวกนั้นมาพบเธอทำลับๆล่อๆเข้า มาดว่าชีวิตน้อยๆของเธอคงอยู่ไม่เป็นสุข

    “ขอเชิญหานรั่วหลานกลับไปกับข้า” ประโยคสุดท้ายนี้ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะต้องเรียกดวงวิญญาณของรั่วหลานให้กลับไปกับคุณชาย ดังนั้นจึงต้องระบุชื่อแซ่ให้ชัดเจน เพียงเท่านี้หน้าที่ของเธอก็จะสิ้นสุดลง

    “ขอเชิญหานรั่ว...”

    “คุณชายน้อย นั่นเจ้าทำอะไร!” เสียงโวยวายดังมาจากสาวใช้คนหนึ่งที่วิ่งตามมาถึงริมน้ำ เหยียบเหม่ยเซียนพึมพำกับตัวเองว่าแย่แล้ว!

    “เหยาเหยา”

    “พูดต่อคุณชาย พูดให้จบ ไม่เช่นนั้นคืนนี้ท่านจะเสียใจไปตลอดชีวิต” เหม่ยเซียนเร่ง ดีที่คุณชายยังอยากได้ขนมจึงต่อประโยคจนจบ

    “ได้ๆ ขอเชิญหานรั่วหลานกลับไปกับข้า”

    เหม่ยเซียนลอบถอนหายใจ แต่วางใจได้ไม่นานคมกระบี่สายหนึ่งก็ตัดผ่านใบหน้าเธอไปครึ่งชุ่น ทหารคุ้มกันจวนสกุลหลินวิ่งตามมาถึงจุดเกิดเหตุริมน้ำแล้ว ทุกคนต่างมีอาวุธครบมือและถือคบเพลิงไว้อีกข้าง หนึ่งในนั้นเข้ามาประชิดตัวเธอทันทีมันตวัดดาบหมายจะฟันเธอครึ่งร่างให้ขาด ดีที่เรียนวิชาตัวเบามาบ้างจึงหลบได้ทันท่วงที เหม่ยเซียนเร่งเท้าวิ่งไปอีกด้านของตลาด แตะปลายเท้าขึ้นตามยอดไม้หรือบนหลังคา โดยมีทหารนายหนึ่งเกาะติดไม่ห่าง มันลงมือเป็นจังหวะ จ้วงแทงมาข้างหน้าไม่ยั้ง จนไม่มีกิ่งไม้หรือหลังคาให้หลบหลีกแล้ว ด้านหน้าเป็นราวกั้นเหวที่มีความสูงแค่ช่วงเอว

    เมืองชิงด้านหนึ่งมีแม่น้ำที่ไหลจากน้ำตกบนหุบเขา ตัวเมืองเองก็ตั้งอยู่บนที่สูง แน่นอนว่าต้องมีเหวบ้างเป็นธรรมดา แต่เหวด้านหน้าคือเหวไร้ก้นบึ้ง เป็นเขตอันตรายที่ไม่มีใครย่ำกายเข้ามา ทั้งลมกระโชกแรงคล้ายมีใครฉุดลงเหวตลอดเวลา และเสียงโหยหวนที่เกิดจากลมก็ชวนให้น่าขนลุกนัก

    “พะ..พี่ชาย ค่อยพูดค่อนจากันก่อน”

    ทหารนายนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง เบื้องบนสั่งการหากใครทำร้ายคุณชายหรือมาข้องเกี่ยวท่าทางมีพิรุธให้กำจัดทิ้งไม่ต้องรีรอ ซึ่งขอทานตรงหน้ามีท่าทางลับๆล่อๆ กำจัดทิ้งให้สิ้นซากคงไม่เป็นอันใด ดาบมันวาวง้างขึ้นสุดแขน เตรียมบั่นคอเด็กสาวเต็มที่ เหม่ยเซียนหลับตาปี๋ ด้านหน้าก็ตาย ด้านหลังก็ตาย เอาวะ ถ้าจะตายอย่างน้อยก็ขอให้เหลือหลักฐาน เผื่อพี่ใหญ่ พี่รองจะได้รู้ว่าน้องสาวดื้อด้านเช่นเธอไม่อยู่บนโลกแล้ว

    เคร้ง!

    “พี่สาม!” ก่อนดาบคมจะบั่นศีรษะเล็ก กระบี่ขาวดำก็ถูกดึงออกจากฝัก ขวางวิถีดาบก่อนจะโรมรันต่อสู้ นัยน์ตาดุเหลือบมองเธอด้วยความตำหนิ แต่กระนั้นหัวใจที่แห้งผากของเธอกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ไม่คาดคิดว่าพี่ชายคนนี้จะเป็นห่วงตน ด้วยลักษณะนิสัยไม่ค่อยพูดจาและเย็นชาของเขาทำให้เธอไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่นัก ต่างกับตอนเด็กๆโดยสิ้นเชิง

    “เหม่ยเอ๋อร์ เป็นเช่นไรบ้าง” พี่ใหญ่และพี่รองตามมาติดๆ พวกเขากระโดดม้วนตัวลงจากหลังคาบ้าน  เร่งฝีเท้าเพื่อเข้ามาดูอาการของน้องสาว เจ้าของชื่อคลี่ยิ้มด้วยความซาบซึ้ง นี่กระมัง..ที่เรียกว่าความสุขของครอบครัว

    “กลับไปที่บ้านไม่เจอเจ้า เป็นห่วงแทบแย่ เจ้านี่นะ” พี่รองถอนหายใจอย่างโล่งอก ยกมือหมายจะลูบศีรษะยุ่งเหยิงของน้องสาว

    “เหม่ยเอ๋อร์สบายดี ขอโทษพวกท่านด้วย กรี๊ดด” เด็กสาวร้องลั่นในจังหวะที่ตัวเองกำลังจะยืนขึ้น อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีมือหนึ่งฉุดรั้งร่างเธอให้ผลักลงเหวเบื้องหลัง หัวใจเล็กขมวดเกร็ง ความดันเลือดสูบฉีดจนแทบสิ้นสติ ในหูแว่วเสียงคำรามก้องของพวกเขา ช่าง...ห่างไกลเหลือเกิน



    ---------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีนักอ่านทุกท่านนะคะ ตอนนี้ไรท์ว่างจากการทำงานแล้ว กำลังจะกลับมาอัพเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

    ใครที่เคยติดตามก่อนหน้านี้ อาจจะหลงลืมไปแล้ว หรือบางคนอาจจะจำได้อยู่ แต่ทว่าไรท์อยากให้ลืมไปให้หมดค่ะ แล้วเริ่มต้นอ่านใหม่ เนื่องมาจากไรท์ได้ทำการปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปจากเดิม และยังขัดเกลาภาษาบางส่วน ทั้งชื่อตัวละครหรือเหตุการณ์ต่างๆ


    ปล.อย่างพึ่งกล่าวโทษกันเลยนะเจ้าคะ ไรท์งานเยอะจริงๆค่ะ

    สุดท้าย ขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังไม่หายไปไหน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×