ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักชินอ๋อง อัพทุกวัน (ตีพิมพ์กับสนพ.แสนรักอ้ายหนี่)

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 11

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 666
      45
      27 พ.ย. 63

    บทที่ 11

    อาการของพี่สามดีขึ้นเรื่อยๆ เธอทำการถ่ายเลือดเสียให้พี่สามทุกๆห้าวัน ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเลือดพิษก็ถูกถ่ายออกมาจนหมด บาดแผลที่ด้านหลังสมานตัวเหลือไว้เพียงรอยจางๆ สติของพี่สามดีกว่าวันแรกมาก เพราะสารเสพติดที่อยู่ในร่างกายลดน้อยลง แต่กระนั้นก็ทำให้พี่สามปวดหัวอยู่เป็นนิจและยังไม่สามารถตอบสนองได้แบบคนทั่วไป มีบางคราที่คลุ้มคลั่งเช่นกัน ส่วนดวงตา...ยังคงบอดสนิทไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน

    โชคดีที่พิษไม่ได้ทำลายระบบสมองของพี่สามจึงฟื้นคืนได้อย่างช้าๆ เช่นนี้อีกไม่เกินหนึ่งเดือน พี่สามก็สามารถรับรู้ได้เหมือนคนทั่วไปแล้ว เหลือก็แต่ดวงตาที่ต้องใช่สมุนไพรจากเมืองชิง เกรงว่าจะต้องใช้เวลามากกว่าเดิม เพราะยามนี้เมืองชิงเข้าสู่ฤดูหนาว ไม่แน่ว่าสมุนไพรที่เหวไร้บึ้งจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้

    เหม่ยเซียนได้แต่ถอนหายใจ ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมด

    “พี่สามท่านอยากจะออกไปสูดอากาศหรือไม่ เหม่ยเอ๋อร์จะพาท่านไป” เด็กสาวกล่าวถามบุรุษร่างสูงที่ซูบซีดกว่าแต่ก่อนมาก เขานั่งอยู่บนรถที่มีล้อเลื่อนได้ซึ่งเธอเป็นคนออกแบบเอง ขาของพี่สามตอนนี้ไร้ความรู้สึก มันเป็นอาการข้างเคียงเพราะฝังเข็มนานเกินไป เพียงกายภาพสักสองเดือนก็สามารถเดินได้เป็นปกติแล้ว

    “อืม” พี่สามพึมพำในลำคอได้แค่นั้น เพราะว่าสติยังไม่กลับมาอย่างสมบูรณ์ การรับรู้จึงเชื่องช้ากว่าแต่ก่อน ถึงแม้เขาจะพูดหรือไต่ตรองเช่นเมื่อก่อนไม่ได้ แต่เธอแอบเห็นรอยน้ำตาที่หางตาของพี่สามทุกคืน เขารับรู้ทุกอย่างที่เธอพูด แต่เขาไม่สามารถบังคับตนเองให้ตอบกลับได้

    “พี่สาม ท่านเชื่อข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะรักษาท่านจนหายดีอย่างแน่นอน” พิษที่พี่สามโดนเป็นตัวเดียวกับที่ผสมในน้ำชาของท่านอ๋องโดนไม่ผิดแน่ เพียงแต่คราวนี้มีส่วนประกอบบางอย่างที่เธอไม่รู้จัก เธอจำต้องผสมพิษนี้ขึ้นมาใหม่และทดลองกับตนเอง ทั้งนี้เธอก็ปรุงยาแก้พิษควบคู่กันไปด้วยเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด แต่สมุนไพรแก้พิษทั้งหมดอยู่ที่เมืองชิง เธอไม่อาจกระทำการเร่งรีบได้

    เหยียนเสวี่ยหมิงปิดเปลือกตาลง สองมือที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้ล้อเลื่อนกำแน่น สันกรามนูนขึ้น เส้นเลือดปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด เหม่ยเซียนรู้ว่าเขากำลังพยายามข่มอาการลงแดงของตนเอง เธอยื่นมือกอบกุมมือใหญ่ของพี่สามไว้ อาการของพี่สามหนักกว่าที่เธอคิดไว้มาก ไม่เหมือนผู้ป่วยสารเสพติดที่เธอเห็นในชาติก่อนแม้แต่น้อย มันรุนแรงกว่ามาก

    “ข้าจะพาท่านกลับเข้าไปในห้อง จะได้ทานข้าวแล้วพักผ่อน”

    “อืม”

    เหยียนเหม่ยเซียนแสร้งใช้น้ำเสียงร่าเริงแจ่มใส ไม่อยากให้พี่สามรับรู้ถึงความกังวลของตนเอง คอยคีบกับใส่ถ้วยของเขา บางทีก็ยื่นจ่อริมฝีปากประหนึ่งว่าอาหารโอชะเหล่านี้พี่สามต้องลองให้ได้ ทั้งที่ความจริงเธอไม่อาจทนดูภาพที่พี่สามคีบข้าวคีบกับหล่นระหว่างทางเข้าปากเพราะมองไม่เห็นได้

    หลังจากปรนนิบัติพี่ชายทานอาหารเสร็จ เธอก็ประคองเขาเข้าไปในห้องนอนเรือนธาราพิสุทธิ์ นับตั้งแต่พี่สามมา ห้องนี้ก็กลายเป็นห้องของพี่สามไปเสียแล้ว ส่วนเธอก็นอนที่ห้องปีกข้าง เสี่ยวซัวกับอาฉีจึงจำต้องไปนอนที่ห้องรับแขก

    “คุณหนูเจ้าคะ คนของเราพบหญ้าที่คุณหนูวาดเมื่อสองวันก่อนแล้วเจ้าค่ะ ขนส่งจากพ่อค้าต่างแดนจริงๆด้วย ตอนนี้กำลังจับคนมา”

    “ทางการยังไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่”

    “หากเป็นสองวันก่อนยังเจ้าค่ะ”

    “ปล่อยพวกนั้นไว้สักสองสามคน คอยให้คนจับตาดูไว้ตลอด หากพวกมันจะขายหญ้าเหล่านั้นให้ใคร พยายามลากให้ทหารมาเห็นกับตา เข้าใจใช่หรือไม่”

    “ข้าสั่งคนให้ทำตามที่คุณหนูสั่งแล้วเจ้าค่ะ”

    “ดีมาก ตรวจสอบว่าใครเกี่ยวข้องกับค่ายทหารบ้าง ลากตัวพวกมันทุกคนไปจวนสกุลเหยียน ปิดประตูลงกลอนให้เงียบที่สุด” หน่วยข่าวของสำนักเสียงธรรมไม่สามัญ ขอเพียงแค่ไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่มีทางที่ทางการจะจับได้ไล่ต้อนทัน เรื่องหญ้าชนิดนี้ก็เช่นกัน

    เอาล่ะ...รอสักสองสามวันเธอจะกลับไปจัดการเรื่องนี้สักครั้ง

    เรื่องที่เธอจงใจปล่อยให้พ่อค้ากลุ่มหนึ่งลอยนวล เพราะเธอต้องการให้ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรด้วยตนเอง ว่าหญ้าชนิดนี้มีอยู่จริง หาใช่เรื่องที่เธอกุขึ้นมา เมื่อพระองค์ทรงทราบ เธอจะทำการผลิตพิษที่ผสมพืชชนิดนี้ให้พระองค์ทอดพระเนตร อนึ่งนั้นเพื่อยืนยันว่าพี่สามโดนพิษกัดกร่อนจิตใจอย่างที่เธอพูดไว้ อย่างน้อยโทษหนักก็อาจจะเบาลง แต่เธอไม่สามารถส่งตัวการจริงๆให้กับฝ่าบาทได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อว่าพระองค์จะไม่เป็นธรรม เพียงแต่ พวกมันเป็นตัวการที่ทำให้พี่สามโดนพิษ แค้นในครานี้หากเธอไม่ได้ชำระด้วยตนเอง ย่อมไม่อาจปล่อยวาง

    เหยียนเหม่ยเซียนเงยหน้ามองท้องนภาที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่พากันส่องแสงระยิบระยับอวดโฉมอย่างงดงาม แต่ทว่างดงามเช่นไรก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของเธอผ่อนคลายได้แม้แต่น้อย ยามที่อยู่ในสำนัก ค่ำคืนที่มีดาวเต็มฟ้า ทั้งพี่ใหญ่ พี่รอง พี่สามต่างปีนหลังคาขึ้นมาเพื่อชมดาวกับเธอ อีกทั้งยังโดนท่านพ่อตำหนิเพราะกลัวเธอไหลลงมาจากหลังคาอีก

    คืนวันที่แสนมีความสุขเหล่านั้น เมื่อย้อนมองกลับมายามนี้ช่างทำให้เธอปวดใจนัก

    “พี่ชายเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”

    “พี่สามอาการทางกายดีขึ้นมาก แต่สภาพจิตใจ...” เหม่ยเซียนได้แต่ถอนหายใจ แต่เพียงครู่เดียวก็รู้สึกความอบอุ่นที่แผ่ลามจากเอวคอด เห็นแขนของท่านอ๋องเลื้อยมากอดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เด็กสาวไม่ได้ปฏิเสธการโอบกอดปลอบใจของเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ซุกลงที่อกอุ่นราวลูกนกที่ต้องการที่พึ่งพิง ฝ่ามือเรียวยาวติดหยาบกระด้างลูบไล้เรือนผมสีดำน้ำหมึกของนางอย่างอ่อนโยน

    “เมื่อเช้ามีคนส่งข่าวจากเมืองเล่อ พบพ่อค้าที่ขายหญ้าชนิดนี้จริงๆ”

    อืม...เธอประเมินความสามารถของทางการต่ำไป ใช้เวลาเพียงสองวันก็สามารถจับกุมพ่อค้าเหล่านั้นได้แล้ว ดูเบาไม่ได้จริงๆ ดีที่อาฉีทำตามทำสั่งของเธอเสร็จอย่างรวดเร็ว

    “จริงหรือเพคะ”

    “เจ้าจะจัดการเช่นไรต่อ”

    “ท่านอ๋องในกลุ่มพ่อค้าเหล่านี้ ไม่แน่ว่าจะมีคนเกี่ยวข้องกับค่ายทหาร อย่างไรก็ควรเป็นท่านอ๋องที่จัดการเจ้าค่ะ” เธอโกหก เรื่องนี้พวกมันเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพี่สาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของครอบครัวของเธอโดยตรง จะยกให้ผู้อื่นจัดการได้อย่างไร พ่อค้าที่อยู่ในกำมือชินอ๋อง ย่อมเป็นพ่อค้าปลีก หาใช่พ่อค้ารายใหญ่

    การจะติดต่อกับค่ายทหารได้ ไม่มีทางที่พ่อค้าปลีกจะกระทำได้ เพราะมันเสี่ยงเกินไป หากมีเรื่องผิดพลาดขึ้นมาย่อมเป็นปัญหาระหว่างแคว้น

    “วางใจเถิด ข้าจะทวงความยุติธรรมให้พี่ชายของเจ้าเอง” จ้าวอวี้หลงลูบเรือนผมของเด็กสาวเบามือ ความอบอุ่นอ่อนโยนที่แสดงออกมา ทำให้เหยียนเหม่ยเซียนนึกอึดอัดอยู่ในที

    ขอโทษที่หลอกลวงท่านนะเจ้าคะท่าน ถึงสำนักเทียบสุริยันมีกฎห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่ได้ห้ามยืมมือผู้อื่นฟาดดาบใส่ขุนนางเสียหน่อย

    คนที่ทำร้ายพี่สาม จะอย่างไรเธอต้องลากมันออกมาลงดาบให้ได้

     

    “ปล่อยฉันไป ได้โปรด” เสียงครวญครางภาษาต่างถิ่นดังลอดออกมาจากห้องหนึ่งในเรือนสกุลเหยียน ห้องนี้อยู่ลึกที่สุดและมีประตูปิดถึงสามชั้น หากเป็นคนนอกจะไม่มีทางหาห้องนี้เจอ เพราะเป็นห้องลับที่บานประตูถูกออกแบบให้ฝังกับผนัง ปกติแล้วจะปิดเสียงได้ถึงแปดส่วนจนคนภายนอกไม่ได้ยิน แต่เสียงดังขนาดนี้เกรงว่า บุคคลในห้องคงโดนทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง

    น่าเสียดายที่ศิษย์ของสำนักเสียงธรรมเองก็ไม่เคยรู้จักภาษาเหล่านี้ พวกเขาจึงแปลไม่ออกได้แต่ทรมานนักโทษไปเรื่อยๆจนกว่าเจ้านายจะมา สงสารก็แต่นักโทษที่ประเมินจากสายตาแล้วราวๆห้าสิบคน สี่สิบคนถูกขังไว้ในกรงประหนึ่งสัตว์เดรัจฉานสภาพชุ่มโชกไปด้วยเลือด เกรงว่าสี่สิบคนนั้นคงโดนทรมานจนหายใจรวยรินแล้ว ส่วนอีกสิบคนถูกขึงมัดกับเก้าอี้จนขยับส่วนใดบนร่างกายไม่ได้

    “หุบปาก” เหยียนเหม่ยเซียนสวมหมวกอำพรางกายเช่นเดิม เธอใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับพวกเขา จนหนึ่งในนั้นนึกว่าเธอเป็นชาวต่างถิ่นเช่นเดียวกัน ปากร้องขอให้เธอช่วยเหลือจนน้ำตานองหน้า

    “ได้โปรด แม่นาง ปล่อยพวกเราไป”

    เสียงสบถตัดพ้อและกล่าวปฏิเสธมากมายดังขึ้นมาอีกครั้ง บางคนถึงกับด่าทอที่เธอกระทำการอุกอาจลักพาตัวชาวต่างแดนโดยไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง หึ...พวกเขานำสิ่งเสพติดเข้ามาในแคว้น ร้อยทั้งร้อยมีจักรพรรดิองค์ใดยินยอม ให้ประชาชนมัวเมากับของไร้แก่นสารพวกนี้กัน

    “กรอกยาให้พวกมันดื่ม” พิษตัวนี้มีชื่อว่า ‘ทะลวงหัวใจ’ ความหมายของมันก็ตามชื่อที่เรียก มันถูกสกัดจากเขี้ยวอสรพิษชนิดอ่อน ผสมกับน้ำขิงที่มีฤทธิ์ร้อน เร่งการเต้นของหัวใจ หากไม่ได้รับยาแก้พิษได้ทันเวลาย่อมตายเหมือนโดนอสรพิษกัดไม่มีผิด

    เธอไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่วิธีเดียวที่จะแก้พิษของพี่สามได้ คือนำยาพิษต้นตำหรับมาแกะว่ามีสมุนไพรใดผสมบ้าง ตัวการเป็นใครต้องคาดคั้นจากคนพวกนี้เอา พิษที่พี่สามโดนนอกจากขับกล่อมประสาท ยังมีพิษที่ส่งผลต่อดวงตา ซึ่งเป็นพิษตัวเดียวกับท่านอ๋อง นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อย่างหนึ่ง ดังนั้นหากคนพวกนี้ตายไป แต่ได้หลักฐานมาก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว  

    “แม่นางเอาอะไรให้พวกข้าดื่ม”

    “แน่นอนว่าเป็นยาพิษ” เหม่ยเซียนแค่นเสียงหัวเราะ “ข้ามียาแก้พิษ เพียงแต่..ข้าต้องการคำตอบ”

    “อะไร”

    “ใครเป็นคนติดต่อกับพวกทหาร”

    “ข้าไม่รู้”

    “ข้าจะรอคำตอบถึงเช้าวันพรุ่งนี้”

    เด็กสาวพูดภาษาอังกฤษทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องลับด้วยความเงียบงัน เธอให้เวลาพวกมันถึงเช้าเท่านั้น หากยังไม่มีใครตอบคำถามเธอได้ ก็จงตายเงียบๆโดยที่ไม่มีใครรู้ไปเถิด เธอไม่กลัวว่าจะมีใครสืบสาวมาถึงเธอได้ อย่างมากก็แค่ปล่อยอสรพิษเข้าไปในห้อง ให้พวกมันได้ทำร่องรอยไว้บนตัวพ่อค้าเหล่านั้น แล้วค่อยโยนศพพวกมันไว้ริมทางในเมืองเล่อ เพียงเท่านี้ผู้คนก็คาดเดาได้ว่าพวกพ่อค้าตายเพราะอสรพิษ กว่าจะมีคนเจอทำคงอืดเขียวหาร่องรอยการโดนทรมานไม่เจอเสียแล้ว

    เหม่ยเซียนไม่ใช่คนจิตใจโหดเหี้ยม แต่ทว่า...คนพวกนี้เป็นต้นเหตุทำให้พี่สามต้องทุกข์ทรมาน หากไม่มีพวกมัน พี่สามก็คงไม่มีวันอัปยศเช่นนี้

     

    จ้าวอวี้หลงมองเด็กสาวที่กระโดดข้ามกำแพงอย่างคล่องแคล่ว ร่างน้อยๆของนางรีบผลุบหายเข้าไปในเรือนธาราพิสุทธิ์อย่างรวดเร็ว ประหนึ่งไม่อยากให้ใครพบเห็น ชายหนุ่มไม่ได้เปิดโปง เพียงแต่ยืนพิงต้นไม้ใหญ่อีกด้านเงียบๆ นับตั้งแต่นางออกไปและกลับเข้ามารวมแล้วราวหนึ่งชั่วยาม จุดหมายของนางคือจวนสกุลเหยียน

    เหมียเอ๋อร์หนอเหม่ยเอ๋อร์ กระทำสิ่งใดไม่ห่วงตนเองบ้างเลย เป็นเขาเสียอีกที่ไม่กล้าหลับตานอนเพราะกลัวนางจะเกิดเรื่องอีก ถึงแม้จะรู้ว่านางมีวิชาพิษล้ำเลิศ แต่วิชายุทธไม่ก้าวหน้าเท่าผู้อื่น  

    สิ่งที่จ้าวอวี้หลงสงสัยมากที่สุดคือ นางมีธุระใดที่สกุลเหยียนยามนี้ โดยปกติหากต้องการหรืออยากได้สิ่งใด นางล้วนใช้อาฉีหรือเสี่ยวซัวให้ไปทำแทนทั้งสิ้น ครานี้นางไปด้วยตนเอง เกรงว่าคงเกี่ยวกับพ่อค้าหญ้ากระมัง ปากบอกให้เขาจัดการ แท้ที่จริงตนเองก็ลงมือนำไปหลายก้าว ร้ายกาจจริงๆเชียว

    “ท่านอ๋อง พวกมันไม่ยอมเอ่ยปากอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ” หลงอี้ได้รับหน้าที่เป็นผู้สอบปากคำนักโทษคราวนี้ รู้สึกตนเองไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง

    “ทำแค่พอเป็นพิธี” เพราะอย่างไรพ่อค้าตัวการก็อยู่ในกำมือของนางอยู่แล้ว

    “ท่านอ๋อง มีการเคลื่อนไหวจริงๆขอรับ บางทีอาจจะเป็นคนของสำนักสยบเมฆาที่สกุลหลินจ้างมา” หนึ่งเดือนมานี้ หลงหยางได้รับหน้าที่ใหม่คืออารักขาคุณหนูเหยียนให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายในจวน เว้นแต่ในห้องหับ ห้ามเข้าไปเด็ดขาด คราแรกเขาคิดว่าเป็นงานง่ายๆ และใช่ มันง่ายได้เพียงเดือนเดียว เมื่อคุณหนูเหยียนก้าวเท้าออกจากตำหนักชินอ๋อง เหล่านักฆ่าที่มีไอสังหารหลายกลุ่มไล่ตามแม่นางเหยียนทันทีที่นางก้าวออกไป ตัวเขาเองก็ไร้สามารถจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน จนนึกโกรธที่ตนละเลยการฝึกฝน และลำพองใจ

    “ท่านอ๋อง แต่ดูเหมือนว่าพวกมันทำเพียงจับตาดูคุณหนูเหยียนเท่านั้น หาได้มุ่งทำร้าย เพราะมีโอกาสหลายหนให้โจมตี แต่พวกมันก็นิ่งเฉย”

    “พยายามจับตัวพวกมันมาให้ได้” จ้าวอวี้หลงสั่งเสียงเรียบ ไม่ว่านางจะกระทำสิ่งใดอยู่ ขอเพียงไม่ผิดต่อบ้านเมืองเขาพร้อมสนับสนุน แม้นางไม่บอกกล่าว เขาก็ไม่ถือโทษโกรธแต่อย่างใด แม้นางจะยืมมือเขาเสมือนหมากตัวหนึ่งในกระดานก็ตาม

    แต่ทว่า...ท่านอ๋องไม่รู้เลย ว่ากลุ่มคนที่ติดตามเหม่ยเซียน หาใช่คนจากสำนักสยบเมฆา

     

    เป็นอีกวันที่จ้าวหลางเหวินมาเยี่ยมเยียนพี่สามถึงเรือนธาราพิสุทธิ์ บางทีเหม่ยเซียนนึกสงสัย ฝ่าบาทมีงานมีการทำหรือไม่ เหตุใดจึงมีเวลาว่างมาตำหนักพยัคฆ์หวนของท่านอ๋องได้ทุกวี่ทุกวัน ถึงแม้ตำหนักนี้จะอยู่ไม่ไกลวังหลวงก็ตาม แต่การแต่งชุดเหลืองอร่ามออกมาเช่นนี้ย่อมเป็นที่สะดุดตา

    พระองค์ไม่กลัวโดนลอบสังหารเลยหรือ...

    “อืม สีหน้าดูดีขึ้นจริงๆ” จ้าวหลางเหวินนั่งข้างเตียงพี่สาม ใช้มือขาวผุดผ่องจับปลายคางพี่สามหันไปหันมา ไม่เกรงใจดวงตาเขียวๆของคนบนเตียงที่ส่งให้แม้แต่น้อย

    เหยียนเหม่ยเซียนฝังเข็มบนร่างกายของพี่สามหลายจุด เพื่อไม่ให้เขาขยับตัวได้ชั่วคราว เธอกลัวเขาลุกขึ้นมาอาละวาดใส่ฮ่องเต้ แล้วเรื่องราวจะใหญ่โตกว่านี้

    “เจ้ารู้หรือยังว่าพี่ชายเจ้าโดนพิษอันใด”

    “เรียนฝ่าบาท พิษที่พี่สามโดนมีส่วนหนึ่งคล้ายพิษที่ท่านอ๋องโดนไม่ผิดแน่เพคะ พิษที่ดวงตาต้องใช้สมุนไพรจากเมืองชิงจึงจะถอนได้ ส่วนพิษที่แพร่กระจายสู่สมอง เหม่ยเอ๋อร์ไร้ความสามารถ จึงไม่อาจปรุงยาแก้พิษออกมาได้” เหม่ยเซียนมีสีหน้าหนักใจ คนที่ท่านอ๋องส่งไปเมืองชิงส่งข่าวกลับมาว่ายังไม่มีทางลงไปยังหุบเหวไร้บึ้ง ทำให้เหม่ยเซียนแทบโขกศีรษะกับพื้นดิน โดดลงไปในหุบเหวก็รังแต่เอาชีวิตไปทิ้ง ความจริงทางเข้าเหวไร้บึ้งควรเข้าทางหมู่บ้านของท่านลุงตงเล่ย เดินตามธารน้ำตกไปถึงจะเจอถ้ำที่ท่านอ๋องเคยพำนัก เธอร่างแผนที่คร่าวๆใส่กระดาษไปอีกปึกใหญ่ ส่งให้ทหารของท่านอ๋อง

    ขณะเดียวกันก็ส่งศิษย์ของสำนักเสียงธรรมปลอมตัวเป็นชาวบ้านไปช่วยตามหาอีกแรง กลายเป็นว่าการตามหาสมุนไพรต้องยืดระยะเวลาไปอีกพักใหญ่ ซึ่งใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว หากหาสมุนไพรไม่ทันวันหิมะตก เกรงว่าอาการของพี่สามต้องรอไปอีกหนึ่งปีถึงจะถอนพิษได้

    “น่าเสียดาย” จ้าวหลางเหวินจดจ้องใบหน้าบุรุษบนเตียงนิ่ง ประหนึ่งคิดอ่านสิ่งใดอยู่ เหม่ยเซียนไม่อาจทราบว่าสิ่งที่พระองค์คิดเป็นเรื่องดีหรือร้าย ทำให้อดกังวลไม่ได้

    “ฝ่าบาท แต่เหม่ยเซียนมีสิ่งหนึ่งอยากให้ทอดพระเนตรเพคะ” เด็กสาวส่งผ้าสะอาดผืนหนึ่งให้ฮ่องเต้ ก่อนที่จะผูกผ้าดังกล่าวกับใบหน้าครึ่งล่างของตนเอง เป็นตัวอย่างให้ฮ่องเต้ดู หลังจากนั้นครู่หนึ่ง อาฉีที่มีผ้าปิดจมูกเช่นเดียวกันก็เดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับชากาในมือ เหม่ยเซียนเดินไปหาพี่สาม ถอนเข็มออกจากร่างกายของเขา

    เหยียนเสวี่ยหมิงกระตุกร่างกายอย่างแรง ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากที่นอนด้วยอาการคลุ้มคลั่ง วันนี้เหม่ยเซียนไม่ได้ให้ยาระงับประสาทกับพี่สาม ทำให้เขามีอาการเช่นวันแรกๆที่ฝ่าบาทเจอไม่มีผิด ดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดปูดโปน เขานั่งอยู่บนเตียง ทำท่าฮึดฮัดราวกับจะหาสิ่งใด ทั้งที่ดวงตามองไม่เห็น

    “หลงหยางท่านจับพี่สามไว้” เสี่ยวหลงหยางเข้ามาในห้องอย่างรู้งาน อีกทั้งรับผ้าจากอาฉีไปปิดจมูกตนเองเป็นที่เรียบร้อย เขาล็อคแขนของพี่สามที่ทำท่าจะพุ่งลงจากเตียงไว้ อาฉีรู้จังหวะยิ่ง กระโดดไปหน้าเตียง จับถ้วยชาจวี๋ฮวากรอกปากพี่สามอย่างรวดเร็วจนเขาแทบสำลัก

    เพียงครู่เดียว อาการคลุ้มคลั่งของพี่สามก็เบาลงจนแทบสงบเสงี่ยม หลงหยางปล่อยพี่สามแล้ว เขานั่งทึมทื่อบนเตียงไม่ขยับ “พี่สามหายปวดหัวแล้วใช่หรือไม่"

    เสวี่ยหมิงพยักหน้า

    “พี่สามเหตุใดท่านถึงมีสภาพเช่นนี้”

    “รอง...คุณชายรอง..”

    “เจ้าว่าอันใด พูดดังๆสิ!” หลางเหวินฮ่องเต้รอไม่ได้แม้เพียงประโยคเดียว รีบตะคอกใส่คุณชายสามเสียงดัง จนร่างสูงกำยำบนเตียงถึงกับสะดุ้ง

    คุณชายรองหรือ... หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวกับคุณชายรองตู้ เหม่ยเซียนสังเกตสีหน้าฝ่าบาทหลายครา คาดว่าประโยคเมื่อครู่ของพี่สาม อีกฝ่ายคงไม่ได้ยินแน่ๆ เรื่องนี้ต้องสืบให้กระจ่างก่อน บุตรคนรองสกุลตู้ยักยอกเงินของทหาร หากพี่สามเข้าไปเกี่ยวข้องอีกคนคงหลุดจากข้อหานี้ยาก

    “ฝ่าบาทอย่าใจร้อนเพคะ” เด็กสาวมองพี่ชายของตนที่มีอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง จนอาฉีต้องรินชากรอกปากคุณชายสามอีกรอบ ถึงได้สงบลง เหม่ยเซียนเดินไปข้างเตียง หยิบเข็มขึ้นมาอีกหลายเล่มก่อนจะฝังเข้าจุดต่างๆของร่างกายเพื่อให้เขาหลับไป

    “ฝ่าบาททรงตามหม่อมฉันไปดูการทดลองเล็กๆที่ห้องฝั่งตรงข้ามเถิดเพคะ” เหยียนเหม่ยเซียนถอนหายใจคลายความอึดอัด เหลือบมองพี่สามที่นอนนิ่งด้วยความทุกข์ตรม เธอไม่อยากให้พี่สามต้องมาโดนแบบนี้เลยสักนิด เหม่ยเซียนพาฮ่องเต้ไปยังห้องหนังสือฝั่งตรงข้าม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องปรุงยาของเธออย่างสมบูรณ์

    “คุณหนูท่านอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ”

    “ดี เช่นนั้นเชิญฝ่าบาท และท่านอ๋องที่ห้องนี้เพคะ” เมื่อเห็นชินอ๋องเดินเข้ามาในเขตเรือนด้วยชุดสีดำขลิบเงิน ตัดกับเรือนผมสีขาวสะอาดที่ดูอย่างไรก็สะดุดตา ไม่ต่างกับพระเชษฐาเลยสักนิดก็อดพึมพำไม่ได้ หล่อเหลาทั้งพี่ทั้งน้อง

    ในห้องมีหม้อปรุงยา คันชั่ง ที่บดยา และกระต่ายสองสามกรงถูกคลุมด้วยผ้าเอาไว้ บนโต๊ะข้างหม้อปรุงยามีหญ้าหน้าตาประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นชนิดหนึ่ง มันสวยงามมากทีเดียว อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมสะอาดทะลุเข้ามาถึงด้านในห้องผ้าปิดจมูก

    “ฝ่าบาท นี่คือหญ้าพิษที่หม่อมฉันยึดมาจากพ่อค้าเมืองเล่อ พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นกระต่ายทั้งสามกรงแล้วใช่หรือไม่”

    ฮ่องเต้พยักหน้า

    “กรงแรกเหม่ยเอ๋อร์ให้กระต่ายสูดดมหญ้าตัวนี้ทุกวัน นับแล้วนี่เป็นวันที่สี่ เหม่ยเอ๋อร์จะลองเอาหญ้าออกนะเจ้าคะ” เหยียนเหม่ยเซียนล้วงหญ้าพิษออกจากกรงกระต่าย ผ่านไปราวๆหนึ่งก้านธูปกระต่ายก็เริ่มแปลกไป มันกระสับกระส่าย หันซ้ายหันขวา วิ่งวนทั่วทั้งกรงเสมือนหาสิ่งใดอยู่ พักใหญ่ๆก็ซึมลง เหม่ยเซียนรอเวลาจนครบหนึ่งจิบชา ก็วางหญ้าดังกล่าวกลับเข้าไปในกรง กระต่ายที่กระวนกระวายก็นิ่งลงจนสังเกตได้

    จ้าวหลางเหวินไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงพยักหน้าบอกให้นางเปิดกรงที่สอง “ฝ่าบาท กรงที่สอง เหม่ยเอ๋อร์ต้มน้ำจากพืชชนิดนี้ให้มันกินเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม และเมื่อเช้าหม่อมฉันไม่ได้ให้น้ำจากพืชชนิดนี้ให้มัน ทรงทอดพระเนตรเพคะ”

    กระต่ายกรงที่สองวิ่งวนอยู่ในกรงเสมือตัวแรก เพียงแต่มีอาการคลุ้มคลั่งมากกว่าตัวแรกมากนัก มันวิ่งชนกรงไปมากระวนกระวายตามหาสิ่งใดตลอดเวลา ประเดี๋ยวนิ่งประเดี๋ยววิ่ง กระสับกระส่ายจนเหม่ยเซียนอดเอาผ้าขึ้นมาคลุมอีกครั้งไม่ได้

    “กรงสุดท้าย เป็นกระต่ายที่หม่อมฉันพึ่งได้มาเมื่อเช้า ยังไม่ผ่านการทดลองใดๆเพคะ แต่ว่า..หม่อมฉันจะให้ดื่มชาจวี๋ฮวาที่มีส่วนผสมของหญ้าพิษลงไป ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรนะเพคะ” เหม่ยเซียนรับถ้วยชาจากอาฉีมา ก่อนจะวางลงไปในกรง กระต่ายสีขาวปลอดแลบลิ้นเลียชาถ้วยนั้นทันที ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม กระต่ายตัวนั้นก็แน่นิ่งและหมดลมหายใจไปในที่สุด

    “เกิดสิ่งใดขึ้น” คราวนี้หลางเหวินฮ่องเต้ตระหนักอย่างแท้จริง ชานี้เป็นเขาที่มอบให้อนุชา คราแรกที่เห็นนางนำชาป้อนคุณชายสามก็ได้แต่ตำหนิในใจ ชาดีเช่นนี้ไปป้อนนักโทษได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นคุณชายสามที่สงบลงเขาก็เริ่มไม่เข้าใจ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องมองกระต่ายทั้งสองกรงแรกก็นึกสงสัยว่านางจะเล่นสิ่งใด

    แต่...กระต่ายตัวที่สามนี้ เป็นกระต่ายที่เขาเห็นว่าสาวใช้ของนางอุ้มมาจากตลาดเมื่อเช้าไม่ผิดแน่ เพียงดื่มชาไปครู่เดียว ถึงกับแน่นิ่งได้ ไม่กลายเป็นว่าชานี้มีอันตรายหรือ!

    จ้าวอวี้หลงก็เริ่มเข้าใจสิ่งใดแล้ว เขาหันมองพระเชษฐาของตนเองอย่างกังวล เพราะเกรงว่าเสด็จพี่จะโทษตนเอง

    “ฝ่าบาทอย่าพึ่งตระหนกเพคะ หม่อมฉันจะอธิบายให้ฟัง ทรงทอดพระเนตรสิ่งนี้ก่อน” เหยียนเหม่ยเซียนหยิบเข็มเงินออกมาสามเข็ม เข็มแรกจิ้มลงบนพืชพิษ ปรากฏว่าเข็มไม่เปลี่ยนสี เธอใช้เข็มเงินจิ้มลงบนน้ำของกรงที่สองและสามเช่นเดียวกัน ปรากฏว่าเข็มทั้งสามไม่เปลี่ยนเป็นสีดำแม้แต่เล่มเดียว

    ท่านอ๋องขมวดคิ้ว เป็นไปได้หรือ ทั้งๆที่กระต่ายทั้งสามมีอาการโดนพิษเหมือนกัน แต่เข็มเงินไม่เปลี่ยนสี เกรงว่าเข็มเงินของนางจะมีปัญหาหรือไม่

    เด็กสาวรู้ว่าพวกเขาคิดสิ่งใด จึงนำเข็มทั้งสามหย่อนลงไปในถ้วยหนึ่งซึ่งมีสารหนูแช่น้ำอยู่ เพียงครู่เดียวเข็มเงินก็ปรากฏสีดำขึ้นมาทันที หลางเหวินเบิกตากว้าง ท่านอ๋องก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที

    “เอาล่ะ เราออกจากห้องนี้ก่อนเถิดเพคะ” เด็กสาวพาทั้งสองคนไปยังห้องรับรองตรงกลาง ถอดผ้าคลุมหน้าออก ก่อนจะให้เสี่ยวซัวไปเตรียมน้ำและของว่างมาสองสามอย่าง เธอสังเกตสีหน้าของสองบุรุษไปพลาง รับน้ำชาจากอาฉีขึ้นจิบไปพลาง แต่สองบุรุษกลับไม่ยอมแตะน้ำชาแม้เพียงนิดเดียว

    “นี่หมายความว่าเช่นไรกัน รีบอธิบายมาเร็วเข้า” หลางเหวินหมดความอดทน ชาตัวนี้ไม่เพียงมีที่ตำหนักอ๋อง ตำหนักของพระองค์ หรือแม้แต่ตำหนักในก็มีกินมีใช้อย่างล้นหลาม เพราะเป็นเครื่องบรรณาการจากเมืองเล่อ หากทุกคนที่บริโภคสิ่งนี้เข้าไปมีอาการเช่นคุณชายสาม ในภายภาคหน้าไม่ได้แปลว่าถึงคราวล่มสลายของแคว้นหรอกหรือ

    “เสด็จพี่พระทัยเย็นก่อน”

    “ให้เราใจเย็นได้อย่างไร การทดลองก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่ามันอันตรายแค่ไหน แล้วเจ้า...” หลางเหวินฮ่องเต้ไม่สามารถเก็บงำสีหน้าได้อีก เขาสำรวจพระอนุชาของตนอย่างห่วงใย แต่เล็กจนโตเขาสองคนเป็นทั้งพี่น้องและสหาย ฟันฝ่าอุปสรรคน่านับประการมาด้วยกัน หากอนุชาเป็นอะไรขึ้นมาพระองค์ย่อมมีส่วนผิด

    “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว ตั้งแต่เหม่ยเอ๋อร์มาเยือนตำหนักพยัคฆ์หวน เหม่ยเอ๋อร์ทำการยึดชาของท่านอ๋องมาทั้งหมด เพราะเอะใจตั้งแต่แรก ดังนั้นท่านอ๋องยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีเพคะ”

    จ้าวหลางเหวินถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “ฝ่าบาท พิษนี้หาได้ร้ายแรงอย่างที่ทรงเห็น เพียงแต่กระต่ายมีกระเพาะเล็กกว่าคน เมื่อดื่มชาเข้าไปทำให้สิ้นอายุไขเร็วกว่า แต่กระนั้นหากคนได้รับเป็นจำนวนมากในระยะเวลาต่อเนื่อง และขาดการดื่มไปเมื่อไหร่ ก็จะมีอาการซึมเศร้า บางที่ก็อาจจะคลุ้มคลั่งได้แต่ไม่ร้ายแรงเท่าพี่สาม” ความจริงเหม่ยเซียนไม่อยากให้พี่สามเป็นหนูทดลองด้วยซ้ำ แต่ต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้เหม่ยเซียนก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน

    “ฝ่าบาทชาจวี๋ฮวาผสมกับหญ้าพิษทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรง แต่ทว่ายาแก้พิษไม่อาจปรุงขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะมีตัวยาชั้นเลิศแค่ไหน ทางเดียวที่จะหายาแก้พิษได้คือจับตัวผู้บงการเบื้องหลังนะเพคะ”

    “เรื่องนี้เรารู้ดี เราจะให้ชินอ๋องคาดคั้นพวกมันให้ถึงที่สุด”

    “ฝ่าบาทจริงอยู่ว่าท่านอ๋องสามารถส่งทหารไปจับกุมพ่อค้าที่ขายพืชเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่ทว่าจับไปสิบคนแล้วอย่างไรเล่าเพคะ พวกมันมีเป็นร้อยเป็นพัน จะกลับมาค้าขายเมื่อใดอีกก็ย่อมได้ หากเป็นเช่นนั้น เหม่ยเอ๋อร์คิดว่า แคว้นเกาจะถึงคราวล่มสลายอย่างแท้จริง”

    “ความหมายของเจ้าคือ”

    “เราควรเชิญทูตจากต่างแดนมาเจรจาเรื่องการค้าขายในแคว้นเกาอย่างชัดเจนเพคะ” เท่าที่เธอทราบมา การค้าทางทะเลพึ่งถูกเปิดเสรีเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน โดยมีอดีตฮ่องเต้เป็นผู้ริเริ่ม แต่ทว่าหลังจากฮ่องเต้ทรงสวรรคต ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันก็ไม่ได้เหลียวแลเรื่องการค้าขายทางทะเลเท่าไหร่ ได้เพียงส่งขุนนางไปดูแลเท่านั้น ซึ่งเธอเดาว่าขุนนางดังกล่าวคงรับส่วยจนอุดมสมบูรณ์ ไม่สนใจเรื่องถูกผิดเป็นแน่

    “เรื่องนี้เราส่งล่ามไปเชิญแล้ว คาดว่าภายในเดือนนี้ท่านทูตจะเดินทางมาถึง” จ้าวหลางเหวินนึกโทษตัวเองอยู่ในใจ หลังจากขึ้นครองราชย์ เขามัวแต่สะสางกลิ่นเน่าเหม็นในราชสำนัก และตรึงกำลังที่ชายแดนเมืองต่างๆเพราะสถานการณ์ไม่สู้ดี เมืองเล่อเห็นว่ายังไม่มีสิ่งใดร้ายแรงจึงได้ส่งขุนนางไปดูแลเท่านั้น ดีที่เขาคิดจะทำการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับต่างแดน จึงได้ส่งล่ามไปแจ้งข่าวกับผู้ดูแลน่านน้ำเพื่อเชิญทูตของชาวต่างแดนให้มาเจรจากัน  

    “ฝ่าบาทเพคะ เรื่องทูตก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องคนร้ายที่วางยาพี่สามก็อีกเรื่องเพคะ พ่อค้าต่างแดนนำพืชพิษพวกนี้มาค้าขายในแคว้นอย่างเอิกเกริก แต่ผู้ที่วางยาพี่สามยังลอยนวลอยู่ในเมืองเล่อนะเพคะ”

    “พูดเช่นนี้เหม่ยเอ๋อร์ต้องการสิ่งใด”

    “หม่อมฉันจะขอไปสืบหาผู้กระทำผิดด้วยตนเองที่เมืองเล่อเพคะ” สิ้นเสียงของเหม่ยเซียน จ้าวหลางเหวินได้แต่ลอบมองสีหน้าอนุชาของตนเองว่าเปลี่ยนแปลงเช่นไร เมื่อหลายวันก่อนเขาได้ข่าวมาว่าทหารของอวี้หลงจับตัวพ่อค้ามาได้ แต่เค้นถามเช่นไรก็ไม่มีความคืบหน้า จนเริ่มไม่แน่ใจว่าพวกพ่อค้าเหล่านี้รู้เรื่องการซื้อขายหรือไม่ แต่การที่เด็กสาวพูดเช่นนี้ ย่อมแปลว่านางรู้เรื่องอะไรมาไม่มากก็น้อย

    “เจ้ารู้สิ่งใด” เป็นจ้าวอวี้หลงที่เริ่มถาม เริ่มสังหรณ์ใจเมื่อหลายคืนก่อนที่นางลอบไปสกุลเหยียนเสียแล้ว

    เหยียนเหม่ยเซียนอ้ำอึ้งด้วยความลังเล หลังจากที่จับตัวเหล่าพ่อค้ามานี่ก็เข้าวันที่ห้าแล้ว เธอได้รับคำสารภาพในวันถัดมาจากพ่อค้ารายหนึ่งซึ่งพ่อค้ารายนี้เป็นพ่อค้าปลีกที่รับหญ้ามาจากพ่อค้ารายใหญ่อีกทีหนึ่ง พ่อค้าปลีกรายนี้ยังบอกอีกว่า พ่อค้ารายใหญ่ทำข้อตกลงซื้อขายหญ้ากับขุนนางในเมืองเล่ออย่างลับๆ หลังจากทั้งสองบรรลุข้อตกลงกันแล้วก็จะทำสัญญาซื้อขายอย่างเปิดเผย แต่สัญญานั้นคือสิ่งใดไม่อาจทราบ ขุนนางคนใดก็ไม่รู้เช่นกัน

    ยามนี้เหม่ยเซียนส่งพ่อค้าจำนวนหนึ่งกลับไปแล้ว พร้อมกับศิษย์สำนักเสียงธรรมคอยตามประกบ เพื่อไม่ให้พวกมันได้ซื้อขายหญ้านี้กับใคร อีกประการเพื่อไม่ให้พ่อค้ารายใหญ่ผิดสังเกตเกินไปนัก ส่วนหญ้าที่พวกมันขาย เหม่ยเซียนยึดไว้เป็นของกลางทั้งหมด เพื่อเอามาทดลองยา

    “ฝ่าบาท ท่านอ๋องความจริงแล้วเมื่อหลายวันก่อน คนของเหม่ยเอ๋อร์ที่แฝงตัวอยู่เมืองเล่อสืบข่าวบางอย่างมาได้เพคะ” เหยียนเหม่ยเซียนเล่าเรื่องสัญญาของขุนนางและพ่อค้ารายใหญ่ แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เธอจับคนมาเค้นความอย่างเอิกเกริก เพราะเกรงว่าพวกเขาจะตกใจ

    “ชั่วช้า! ตอนนี้ใครเป็นผู้ว่าการเมืองเล่อกัน!”

    “เป็นขุนนางสกุลตู้” จ้าวอวี้หลงตอบ เขาอยู่เมืองเล่อมานับปี หลังจากพ้นจากความตาย ล่มเรือพวกนอกรีตไปหลายร้อยลำ มีหรือจะไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าเมือง

    “ฝ่าบาทเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ของราชสำนัก เหม่ยเอ๋อร์จะไม่ก้าวก่าย แต่พวกมันมีส่วนที่ทำให้พี่สามเป็นเช่นนี้ เหม่ยเอ๋อร์คงนิ่งนอนใจไม่ได้ ขอประทานอนุญาตให้เหม่ยเอ๋อร์ไปสืบความอย่างลับๆที่เมืองเล่อด้วยเพคะ” การสืบความครั้งนี้ไม่อาจให้ท่านอ๋องหรือฮ่องเต้ออกหน้าได้ หากพวกที่อยู่เบื้องหลังรู้ตัว พวกมันอาจจะทำลายหลักฐานไปเสียหมด

    เมื่อครู่พี่สามกล่าวถึงคุณชายรองออกมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่แน่ว่าก่อนที่พี่สามจะสูญเสียตัวตนไปอาจมีความเกี่ยวข้องกับคุณชายรอง พี่ใหญ่เองก็ถูกลักพาตัวไปรักษาคุณชายรอง ซึ่งตอนนี้คุณชายรองสกุลตู้ถูกสำนักเสียงธรรมช่วยเหลืออยู่บนเขาสยบมาร ขึ้นไม่ได้ลงไม่ได้ สืบความสิ่งใดก็ไม่ได้

    สกุลตู้เองตอนนี้เป็นถึงผู้ว่าราชการแทนที่เมืองเล่อ หากเกี่ยวข้องกับคดีหญ้าจริง หลักฐานทุกอย่างก็ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

    น่าเสียดายที่พี่สามไม่ชอบให้มีผู้คุ้มกันตั้งแต่เด็ก ยิ่งเข้าค่ายทหารไป เหล่าศิษย์เสียงธรรมก็ถูกกันออกหมด ทำให้เธอไม่สามารถเรียกใครมาสอบถามได้อีก

    บางทีหากเธอถอนพิษให้พี่สามได้ หลายๆเรื่องคงกระจ่างมากกว่านี้ พี่ใหญ่ยังส่งข่าวเมื่อคราวก่อนมาได้นับว่ายังสบายดีอยู่ พี่รองอยู่บนเขาสยบมาร ถึงแม้จะลงมาไม่ได้ แต่หาได้เดือดร้อนอะไร เหลือแค่เธอเท่านั้นที่ต้องตามสืบเรื่องพวกนี้ด้วยตนเองแล้ว

    “เราอนุญาต”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×