คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตัดสินใจ [100%]
'เป็นนักพิทักษ์ฝัน ลูกต้องคอยดูแลอย่าให้ใครก้าวข้ามมิติมั่วซั่วเข้าใจไหม?'
'เอ่อ...ผมไม่อยากเป็นเลยนี่ฮะพ่อ...'
'อ้าว! ไม่ดีหรอ จะได้เท่ห์ๆ แบบพ่อไง ฟ้าววววว ลอยได้ด้วยนะ'
'ไม่ฮะ ผมอยู่เฉยๆ ดีกว่า'
'แกนี่มันเฉื่อยชาจริงๆ ไม่เห็นเหมือนพ่อแม่แกเลย'
'แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้เรื่องเหมือนพ่อนะฮะ'
โป๊ก!
'แต่วิฬาร์ต้องระวังไว้นะลูก ถ้าเจอป้าที่ชื่อป๊อบปิ้น ลูกต้องหนีแกสุดชีวิต อย่าไปเสวนาด้วยเด็ดขาดเลยรู้ไหม?'
'ทำไมล่ะฮะ?'
'เพราะเธอจะลากลูกไปลงโทษน่ะสิ หึหึหึหึหึหึหึหึ'
เชสเชอร์มองไปรอบๆ นึกเสียใจที่ไม่นึกเชื่อฟังคำสั่งสอนของไอ้พ่อไม่รู้เรื่องนั่น ยังไงล่ะ! ตอนนี้เขาก็ถูกป้าป๊อบปิ้นลากมาสู่มิติส่วนตัวในคฤหาสน์ผีสิงสุดหรูนี่จนได้ แถมป้าแกยังกระดิกนิ้วเท้ามองเขาอย่างสมเพชอีกด้วย!
พิพากษาทัณฑ์ นักพิทักษ์ฝัน!
"เชสเชอร์ นักพิทักษ์ฝันลำดับที่สิบห้า เจ้าจงก้มหน้าก้มตายอมรับความผิดที่เจ้าได้ก่อขึ้น! หนึ่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎข้อห้ามสูงสุดของนักพิทักษ์ฝันนั่นคือห้ามใช้ประตูมิตินั้นเอง สอง จงใจละเลยการปฏิบัติหน้าที่โดยการชักนำสิ่งใดข้ามประตูมิติ สาม ลักลอบเข้าไปยังดินแดนในความฝันของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และสี่ ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยการปล่อยให้มีคนข้ามประตูมิติแล้วยังเพกเฉย และห้า ทำให้คอของข้าต้องมีรอยข่วนที่ไม่น่าพิศมัย"
"เดี๋ยวนะ! ข้อห้านี่อะไรกัน?"
"อ้อ! ห้า ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน พยายามขัดขืนเมื่อมีการจับกุม เชสเชอร์ ลำพังแค่ความผิดห้ากระทงนี้เจ้าก็สมควรจะได้รับการกักบริเวณที่นี่นานจนตายแล้วเกิดใหม่ได้แล้ว ทำใจซะเถอะเด็กน้อย" ป๊อบปิ้นแสยะยิ้ม วิฬาร์ก้มหน้านิ่ง เธอโบกร่มคันสวย พลันโซ่ตรวนขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทางเข้าหาร่างเด็กหนุ่มหมายจะพันธนาการเขาไว้
เคร้ง!
จู่ๆ โซ่พวกนั้นก็ชนกับกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งล้อมรอบเด็กหนุ่มไว้ เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกาย
"อะไรกัน! อาวุธของเจ้าก็อยู่กับข้านี่!" ป๊อบปิ้นมองอย่างตื่นตะลึง "แล้วเจ้าใช้เวทย์มนตร์ที่ไหน?"
"ไม่..ป๊อบปิ้น ผมไม่ผิด..." วิฬาร์พึมพำ พยายามยันตัวเองยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล "ผมเห็นเธอคนนั้นกำลังโศกเศร้าเพราะแมวที่จากไป จิตใจของเธอกำลังสร้าง"เงา"ของเจ้าแมวตัวนั้นขึ้นมาบนโลกแห่งความเป็นจริง มันจะกินจิตใจของเธอไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายเธอก็จะสูญเสียจิตใจของเธอไปตลอดกาล... ผมแค่ทำให้เธอได้เห็นความฝัน ให้เธอได้เห็นว่าแท้จริงแล้วแมวตัวนั้นตายไปแล้วจากโลกแห่งความเป็นจริง ผมทำให้เธอร่าเริงอีกครั้ง ทำให้"เงา"ของเจ้าแมวตัวนั้นหายไปได้!
นี่ต่างหากไม่ใช่หรือคือหน้าที่ของนักพิทักษ์ฝัน คือปกป้องไม่ให้ความฝันซ้อนเหลื่อมในความจริงต่างหาก!" ดวงตาสีเขียววาวโรจน์จ้องมองมาทางป๊อบปิ้น ใบหน้าที่มุ่งมั่น น้ำเสียงอันหนักแน่น นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่เขาพยายามแถขึ้น แต่เป็นความจริงที่เขาเชื่อจากจิตใจ!
"จะว่าไปมันก็จริง...อุ๊บ!" ป๊อบปิ้นเผลอปิดปากตัวเอง
"ถ้าอย่างนั้น ถ้าผมจะเป็นนักพิทักษ์ฝันที่ไม่เหมือนพ่อ ไม่เหมือนคนไหนๆ ก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ? ผมมีสิทธิ์ที่จะเลือกวิธีการของผมเองไม่ใช่หรือไง?"
"ยายเด็กเหลือขอ!?" ป๊อบปิ้นบันดาลโทสะเงื้อร่มขึ้น ปลายโซ่นับสิบเส้นพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง
"พอแล้วน่าป๊อบ" เสียงทุ่มต่ำดังขึ้นข้างหลังเด็กหญิง มือใหญ่และแข็งแรงจับข้อมือเล็กเอาไว้
เชสเชอร์เงยหน้าขึ้น เบื้องหลังของมาดามป๊อบปิ้นคือชายร่างสูงผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายเขาราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ดวงตายิ้มเป็นประกาย อยู่ในชุดมอซอราวกับว่าเพิ่งรอดชีวิตมาจากป่าดงดิบ หนวดเคราเขียวครึ้ม นี่แหละคืออีกบุคคลบนโลกที่เชสปรารถนาจากใจว่าอย่าให้เจอะเจอกันอีกเลย
"ไม่ได้เจอกันนานนะ ^^" (เดี๋ยวนะ! ไอ้รอยยิ้มอิอินั่นคืออะไร!?) เพียงป๊อบปิ้นเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้น โซ่ทั้งหมดก็พุ่งเข้าหารอยยิ้มนั่นทันที
ทว่าเพียงพริบตาโซ่ก็ถูกตวัดออกไป เพียงพริบตา ที่เห็นคมดาบเป็นประกายกับแสงไฟ หากเพียงชั่วพริบตาจริงๆ ดาบนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน "ป๊อบยังใจร้ายกับผมเหมือนเดิม" ชายคนนั้นปล่อยมือหญิงสาวออก พลันที่เธอกลับตัว ฟาดฝ่ามือลงไปบนแก้มของเขาทันที!
ชายผู้นั้นคว้ามือไว้ทัน ใบหน้าประดับรอยยิ้มยียวน พลันที่มืออีกข้างลอยเข้าประทับบนแก้มอีกข้าง!
"แหม้! ซ้ายมายา มุขนี้เก่าแล้วนะ ฮ่าๆๆ"
"แต่ก็ยังใช้ได้กับคนอย่างแก!"
คนอย่างแกคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะจุ๊บแก้มของเด็กหญิงไปที ทำเอาเธอนิ่งงัน "ป๊อบ พอเถอะน่า แค่ยึดอาวุธของเขาไว้ก็น่าจะพอแล้วนี่ นักพิทักษ์ฝันที่ปราศจากอาวุธคู่กายก็ไม่ต่างอะไรกับแมลงวันไม่มีปีกหรอก"
"แต่...เด็กคนนี้ กำแหง...ต้องทำโทษ!"
"งั้นถือว่าเห็นแก่ผมแล้วกันนะป๊อบ" เขาทำท่ายื่นหน้าเข้าไปอีกรอบ ป๊อบปิ้นรีบขยับหนีทันที "ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของผม"
นั่นแหละคำที่เชสไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต! พ่อ! ชายกักขฬะคนนี้เป็นพ่อของเขา! เป็นเชสเชอร์รุ่นที่สิบสี่ผู้ซึ่งวันๆ เอาแต่ร่อนเร่พเนจรไม่ทำหน้าที่ของตน! อย่างนี้จะให้เขานับถือเป็นบุคคลตัวอย่างในการดำเนินชีวิตได้อย่างไร!?
"เฮอะ!" ป๊อบปิ้นคลายพลัง โซ่ทั้งหมดตกลงบนพื้นส่งเสียงเกรียวกราว เชสเชอร์ผู้พ่อปลดปล่อยเด็กหญิงตัวเล็ก ก่อนโผถลาเข้าหาบุตรชายตัวเอง "วิฬาร์จ๋าาาาาา คิดถึงจังเลยยยยย ><"
เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวเพียงเล็กน้อย ร่างใหญ่ๆ ก็โจนเข้าหาเสาบันได ถูไถไปกับเสา
"ไปให้พ้นจากอาณาจักรของข้าได้แล้ว แล้วอย่าทำผิดอีก ไม่งั้นคราวหน้า ไม่ใช่แค่อาวุธ แต่จะเป็นชีวิตของเจ้า!" ป๊อบปิ้นขู่ วาดร่มที่อยู่ในมือ พลันที่เกิดกระแสลม พัดหอบพ่อลูกจอมจุ้นออกไปจากมิติบ้านผีสิง
เชสเชอร์ลืมตา ทั้งเขาและพ่อกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว แสงแดดอบอุ่นส่องสว่าง ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าครามสดใส ทุ่งหญ้าหน้าบ้านดูน่าพิศมัยยิ่งกว่าสิ่งใด ...เชสย้อนคิด...ไม่เคยรู้สึกว่าโลกของตนน่าอยู่ถึงเพียงนี้มาก่อน...นี่อาจจะเป็นเหตุให้บรรดา"ตัวอะไรๆ" จากโลกอื่นชอบมาเที่ยวเล่นที่โลกแห่งนี้สินะ...
"พูดได้ดีนี่วิฬาร์ สมเป็นลูกชายของพ่อ"
"จะเข้าบ้านก่อนรึเปล่า" เด็กหนุ่มเชื้อเชิญ เดินเข้าบ้านหน้าตาเฉย
"แหม้! ยังเหินห่างเหมือนเดิมสินะ" ผู้เป็นพ่อยิ้ม หากรอยยิ้มนั้นไม่ได้ฉายแววประกายหยอกเย้าเหมือนเคย
>>>>>>>>>>>
โต๊ะกลมใหญ่รายล้อมด้วยบรรดาชายในชุดสูท ไม่ใช่เพียงแค่ใบหน้า...หากแต่จิตใจของพวกเขาล้วนซ่อนอยู่ในเงามืด มีเพียงริมฝีปากที่เห็นอยู่รางๆ ใต้แสงจากหลอดไฟ การประชุมครั้งนี้ไม่มีป้ายชื่อวางด้านหน้า หากทุกคนต่างก็รู้จักกันดี แม้แต่เลขาฯ สาวสวยที่เดินนำเครื่องดื่มมาแจกผู้ร่วมประชุม ครั้นเห็นใบหน้าลางๆ ของพวกเขาแต่ละคนก็ต้องเบิกตาตื่นตระหนก ตัวสั่นราวลูกกวางที่เจอฝูงพญาราชสีห์ผู้ปกครองผืนป่าทั้งมวล
เธอถูกไล่ออกไปจากห้องประชุมแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วริมฝีปากของพวกเขาก็เริ่มเอ่ยคำเจรจา หากอยู่นอกเงามืดแล้ว ริมฝีปากของพวกเขาก็มีไว้เพื่อพูดจาเจรจาเพื่อ"ประโยชน์ของประเทศ" หากแต่ในที่มืดเช่นนี้แล้ว มีผลประโยชน์สำคัญเพียงหนึ่งเดียว
"คดีลอบทำร้ายเขาคนนั้น...ทุกท่านคงจำได้ดี" ชายผู้หนึ่งกล่าวต่อจากที่ค้างไว้ "โดนยิงซะขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อด้วยซ้ำว่าจะรอดมาได้ นั่นก็เป็นสิ่งยืนยันอีกอย่างถึงการมีอยู่ของกลุ่มคนเหล่านั้น"
"ไม่น่าเชื่อ...พวกเขาจะมีตัวตนอยู่จริงงั้นหรือ?" ชายอีกคนหนึ่งผู้ขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ริมฝีปากสั่นระริก
"ถ้าพวกเขามีอำนาจมากขนาดนั้น เราก็น่าจะต่อรองให้พวกเขามาทำงานเพื่อพวกเราได้" อีกคนเสนอขึ้น
"ยากมากครับ ยากมาก" ชายคนแรกกล่าว "พวกเขาทำงานตามความปรารถนา เจอก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ"
"เอาเงินฟาดหัวมัน" ชายอีกคนตะโกนขึ้น น้ำเสียงตื่นเต้นไม่แพ้กัน "เงิน ตำแหน่ง ที่ดิน! ประเคนให้มันเท่าที่พวกมันต้องการ ขอเพียงแต่ให้อำนาจนั้นมาอยู่กับพวกเรา"
"ไม่มีอะไรโน้มน้าวการตัดสินใจของพวกเขาได้ครับ" เขากล่าวอย่างถือไพ่เหนือกว่า
"ผมไม่เชื่อว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนใจคนได้"
"แต่กระผมเกรงว่า พวกเขาจะไม่ใช่"คน"อย่างพวกเราน่ะสิครับ" ชายผู้นั้นว่า ทำให้ทั้งวงประชุมเงียบไปอีกครั้ง
"พูดมาได้ดี ผมชักจะสนใจแล้วสิ ว่าพวกเขาจะทำประโยชน์ให้กับผมได้มากขนาดไหนกัน" ชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้น น้ำเสียงหวานราวเสียงจากเทพบุตร "แต่ข้อหนึ่งที่ผมยังเคลือบแคลงใจอยู่ คือพวกเขามีอำนาจอย่างที่คุณกล่าวอ้างมาจริงๆ งั้นหรือ?"
"พวกเขามีตัวตนอยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์มายาวนาน บางทีก็อยู่ในรูปของภูติผี เทพเจ้า เทวดา หรือปิศาจ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาแสดงบทบาทอย่างชัดเจน นั่นก็คือเมื่อตอนที่ครั้งเสียกรุงครั้งที่สองโน่นแน่ะครับ"
"นานขนาดนั้นเชียว?"
"พวกเขาอยู่เหนือกาลเวลาครับ" ชายผู้นั้นยังกล่าวอ้างสรรพคุณต่อไป "และพลังอำนาจที่พวกเขามี ก็เหนือกว่าที่ประวัติศาสตร์มนุษยชาติเคยครอบครอง"
"พอแล้ว!!!" ผู้เข้าร่วมประชุมอีกคนตบโต๊ะฉาด ส่งผลให้ชายผู้นั้นประกบปากสนิทในทันที "คุณมัวแต่พูดถึงความน่ากลัวน่าเกรงขามของพวกมัน! ฟังดูยังไงมันก็น่าเหลวไหลสิ้นดี! ถ้าทำยังไงพวกมันก็ไม่อาจมาร่วมมือกับพวกเราได้ก็หาทางกำจัดซะ ไม่ใช่มาพูดพล่ามแบบนี้!"
"ถึงพวกเขาจะเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่อยากร่วมมือกับ พณฯท่านนี่คะ" เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นกลางวงประชุม ทันใดที่ พณฯท่านหันขวับไปข้างขวาแล้วก็ต้องขนลุกขนพอง เมื่อจู่ๆ ในความมืดนั้นก็มีหญิงร่างโปร่งในชุดยาวสีดำยืนอยู่ระหว่างพวกเขา!
"ก...แกเข้ามาได้ยั...อุ๊บ!" พลันที่ทุกเสียงในโต๊ะประชุมนั้นต้องถูกบุคคลแปลกหน้าช่วงชิงไป เธอโจนขึ้นไปบนโต๊ะประชุม เผยตัวตนในแสงไฟ ร่างของเธอสูงเกือบถึงเพดาน กวางตามองทุกคน พลันความกลัวจากเบื้องลึกที่ซุกซ่อนอยู่ใต้หน้ากากจอมปลอมของบุคคลชั้นสูงของประเทศเหล่านั้นก็ผุดกลับขึ้นมาครอบงำ มันราวกับว่าพวกเขาได้เจอราชินีแห่งภูติผีที่พวกเขาเคยวิ่งหนีครั้นยังเด็ก ผิวของเธอขาวซีดจนรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คน ดวงตาคมกริบมองไปรอบๆ เวที แต่ดวงตานั้นแสนน่ากลัว...เพราะมันไม่มีลูกกะตาดำ! แม้เครื่องแต่งกายจะเป็นเพียงชุดดำเรียบยาวกรอมเข่า หากยามที่ผ้าเหล่านั้นพลิ้วไหว มันก็สะท้อนแสงไฟงดงามราวกับคลื่นรัตติกาลไร้แสงดาว
"ต้องขออภัยทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องขอเก็บเสียงของพวกท่านมาก่อน เกรงว่าจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกแก่คนโดยรอบ" เธอว่า น้ำเสียงเย็นยะเยือก "ดิฉันเป็นตัวแทนจากกลุ่มบุคคลที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนากันอยู่นี่แหละค่ะ เนื่องจากพวกเราเห็นว่าทุกท่านคงจะอยากรู้จักพวกเรา และหากว่าการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี เราอาจจะมีความร่วมมืออันดีต่อกันก็ได้
"สิ่งที่พวกท่านต้องการ เราจะทำตามที่พวกท่านเรียกร้องทุกอย่าง"
"แล้ว...พวกแกต้องการอะไร?" ชายคนหนึ่งอ้าปากถามอย่างยากเย็น
"ก็อย่างที่พวกท่านรู้ พวกเราแค่ต้องการความเพลินเพลินจำเริญใจเพื่อจะผ่านเวลาอันแสนยาวนานและน่าเบื่อนี้ไปก็เท่านั้น" ผู้มาจากรัตติกาลว่า
พลังอำนาจ...ที่พวกเขาเคยคาดหวัง หากแต่ก็เคลือบแคลง บัดนี้กระจ่างในสายตาของเหล่า พณฯท่านเหล่านี้แล้ว! หากสิ่งที่มีอำนาจยิ่งกว่าการครอบครองระเบิดนิวเคลียร์มาเสนอให้ถึงตรงหน้าเช่นนี้แล้ว มีหรือผู้หิวกระหายเหล่านี้จะไม่คว้าไว้!
"บัดนี้ ถึงเวลาที่พวกท่านต้องตัดสินใจ ว่าจะร่วมมือกับพวกเราหรือไม่?" เธอย้ำคำถาม
แล้วปลาก็ฮุบเหยื่อที่ล่อไว้อย่างง่ายดาย
รัตติกาลตอบรับสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ภายใต้ใบหน้าขาวซีดเรียวสวยนั้น เธอกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง นึกสมเพชพวกเขายิ่ง...หน้ากากชั่วร้ายที่พวกมันสวมในคราบชายสูทผูกไทด์มายาวนานเป็นสิบๆ ปีไม่ได้ทำให้มันเห็นแม้เพียง"หน้ากากไร้อารมณ์"ของเธอได้เลย แม้ว่าพวกมันจะตอแหลปลิ้นปล้อนประชาชนทั่วหล้ามามากมายเท่าไร แต่ก็ไม่อาจจับได้แม้คำโกหกหนึ่งประโยคของเธอ และถึงแม้ว่าพวกมันจะทำชั่วช้าสามานย์สูบเลือดสูบเนื้อของแผ่นดินมาประเทศเกือบล่มสลาย แต่มันก็ไม่อาจแม้แต่เพียงเอะนึกคิดถึงสิ่งที่มันจะต้องเสียนับจากนี้ไป!
เหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์กำลังจะเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง...และคราวนี้ก็คงจะน่าสนุกสนานสำหรับพวกมันอีกเช่นเคย แม้ว่านั่นจะหมายถึงจุดจบของมนุษยชาติก็ตาม
>>>>>>>>>>
ความคิดเห็น