ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fiction] ไม่บอกเธอ Tao & Kacha

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter - 1

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 56


    Title : ไม่บอกเธอ

    Couple : Tao & Kacha

     

     

    อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ 
    ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ ตั้งแต่วันแรกเจอ ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ”

     

    เขาได้ยินเสียงรอสายเพลงนี้มาเป็นครั้งที่สอง และถ้ายังมีครั้งที่สามคงต้องบอกบริษัทให้จัดการกับพนักงานของตัวเองซักหน่อย นี่มันเลยเวลานัดมากี่โมงแล้วไม่รู้หรือไง!

     

    (( ฮัลโหล เห้ย! ! เต๋า พี่ขอโทษว่ะ วันนี้ไปไม่ได้จริงๆ))

     

    “ตลกละพี่กิต บ่ายสองมีงานจนถึงค่ำ พี่จะให้ผมไปคนเดียวหรือไง ลองยกเหตุผลที่ยอมรับได้ในการทิ้งศิลปินมาซักสามข้อซิ”

     

    ((โอเคๆ มึงฟังนะ ข้อหนึ่ง วันนี้กูไม่สบาย ข้อสอง กูนอนอยู่โรงพยาบาล ข้อสาม กูเตรียมเออาร์เฉพาะกิจไว้ให้แล้ว))

     

    “แล้วไหนวะเออาร์เฉพาะกิจของพี่”

     

    ได้ยินเสียงพี่คนสนิทแว่วๆมาตามสาย แต่ผมกลับจับใจความไม่ได้เพราะคนที่กระตุกชายเสื้อจากด้านหลังดึงความสนใจทั้งหมดไปเสียก่อน

     

    “กำลังพูดถึงเราอยู่หรือเปล่า?”

     

    ไอ้เด็กคนนี้เป็นใคร?

     

    เด็กคนที่ใส่เอี๊ยมกับหมวกแสน็ปแบคแถมยังกินไอติมแท่งไม่สนใจอุณหภูมิสิบแปดองศาของประเทศไทยตอนนี้ ถึงไม่รู้ว่าใครแต่ผมก็เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหันมาสนใจเขาอย่างจริงจังไปแล้ว

     

    “พี่กำลังพูดถึงเออาร์ที่พี่กิตจะส่งมาแทน ถ้าน้องใช่ล่ะก็...”

     

    “ใช่! จะไปกันได้หรือยัง บ่ายโมงกว่าแล้ว วันนี้ BTS พังด้วยยังซ่อมไม่เสร็จตั้งหลายสถานี นั่งมอไซ 250 บาท แท็กซี่ไม่ไป ส่งรถ”

     

    ไม่รู้อาการหงุดหงิดที่มีในตอนแรกมันหายไปไหนหมด แค่คำพูดไม่กี่ประโยคถึงทำให้ผมอมยิ้มได้ขนาดนี้

    จะยอมรับก็ได้ว่า...

     

    ถูกใจ

     

    BTS ไม่ได้พัง แค่ระบบมีปัญหา”

     

    “มันก็คล้ายๆกันแหล่ะ เออใช่ ลืมบอกอีกอย่างรถตู้บริษัทไม่มีนะวันนี้”

     

    “ห๊ะ!? ว่าไงนะ!?”

     

    “จะตกใจทำไมเล่า นายมีมอไซไม่ใช่หรือไง เอากุญแจมานี่ เดี๋ยวขับให้” ใครยอมให้ขับก็บ้าแล้ว ตัวเล็กแค่นี้ประคองรถจะไหวหรือเปล่ายังไม่รู้

     

    ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูขืนช้ากว่านี้อีกนิดไม่ทันแน่ ผมเลยตัดสินใจเกี่ยวเอาสายเอี๊ยมนั้นลากให้ไปด้วยกัน เจ้าตัวเล็กเดินไวกว่าที่คิด ถึงจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งแต่ก็ตามทันผมจนได้

     

    “โหหหหหห นี่มัน Ducati 1199 Panigale สวยสุดยอด! ! นึกว่าจะขับแบบธรรมดาๆซะอีก” เห็นดวงโตๆที่จ้องมองรถคันใหญ่ที่แดงสดของผมแล้วก็ชวนให้อมยิ้มออกมาก่อนจะวางมือของตัวเองไว้บนหัวทุยบังคับให้หันมาหาแล้วใส่หมวกกันน็อคทับหมวกใบเดิมของเขา

     

    ผมเพิ่งรู้...

     

    ว่าการใส่หมวกกันน็อคให้คนอื่นจะทำให้เลือดในกายมันอุ่นขึ้นมาได้ขนาดนี้ กว่าจะคาดสายรัดให้เขาได้ก็ใส่ช่องผิดช่องถูกจนอีกคนต้องปัดมือผมออกแล้วใส่เสียเอง

     

    “เคยซ้อนมอเตอร์ไซใช่ไหม??” ลองถามดูก่อน ท่าทางแก่นๆแบบนี้คงไม่น่าเป็นห่วง

     

    “โอ้ยยยยยย สบ๊ายยยย ซิ่งเลย รับรองไม่มีหล่น”

     

     

    คุณคงเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่เกลียดการจราจรในกรุงเทพใช่ไหมครับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่คุณรู้ไหม วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดในการบิดคันเร่งไปบนถนนที่มีการจราจรพลุกพล่านและแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอัมพาตบางช่วง

     

    ทำไมน่ะหรือครับ

     

    ถ้าคุณมีคนกอดอยู่ด้านหลังจนแนบชิดกัน มีเสียงบ่นว่าหนาวอยู่ข้างหู ผมรับรองว่าต่อให้รถติดจนถึงพรุ่งนี้เช้าคุณก็จะยังอารมณ์ดียังไงล่ะ

     

     

    แต่ผมก็อยู่กับช่วงเวลานั้นได้ไม่นานอย่างที่คิด สิบนาทีให้หลังเราทั้งคู่ก็มาถึงลานจอดรถของห้างดังที่จัดงาน วันนี้แฟนๆของผมยังมารอรับเหมือนเคยและแน่นอนว่าเขาคงจะรอส่งจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน

     

    ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นจุดสนใจมาตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมีกล้องคอยจับภาพ จนเมื่อเด็กคนหนึ่งถอดหมวกกันน็อคออกถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์ เสียงเรียกพี่เต๋าๆดูจะขาดหายไปพร้อมกับสายตาของใครหลายคนที่ละไปสนใจกับ

     

    ไอ้เด็กที่มันยืนยิ้มอยู่นั่น!

     

    “ไปเร็ว งานจะเริ่มแล้ว ต้องไปเตรียมตัวอีก”

     

    “ไม่ถ่ายรูปกับแฟนๆนายก่อนเหรอ?” มีที่ไหนเออาร์ใจดีขนาดนี้ ที่เห็นมาก็มีแต่กันศิลปินกับแฟนคลับจนโดนหมั่นไส้

     

    “เดี๋ยวเลิกงานแล้วค่อยมาถ่ายก็ได้” หันไปกุมข้อมือเล็กให้เดินตามในขณะเดียวกันก็พูดคุยกับแฟนคลับไปตลอดทาง มาถึงหลังเวทีเออาร์ของผมยังจะทิ้งศิลปินอีก

     

    “ก็นายไปร้องเพลงอีกตั้งเกือบชั่วโมง ให้เราไปเดินเล่นในงานก่อนสิ”

     

    “ไม่ได้!

     

    “ทำไมถึงไม่ได้! !” ผมแทบจะเกาหัวถ้าไม่กลัวพี่ช่างทำผมจะด่าเพราะเสียทรงล่ะก็นะ

     

    “เป็นห่วง!

     

     

    เงียบ...

     

    เขาเงียบ ผมเองก็เงียบ ต่างคนต่างมองหน้ากันอยู่แบบนั้นก่อนที่ผมจะยอมแพ้ส่งมือถือให้เขา

     

    “อ่ะ เล่นเกมรอ ห้ามไปไหนเด็ดขาด เข้าใจไหม?” ปากบางนั้นเม้มเข้าเม้มออกอยู่สองสามทีก่อนที่เจ้าตัวจะตอบกลับมา

     

    “แสกนลายนิ้วมือให้ด้วย”

     

     

    ก็แค่นั้น

     

    อยากจะขอโทษแฟนๆล้านครั้ง วันนี้ผมร้องผิดไปหลายเพลง ขนาดเพลงตัวเองยังสลับท่อนจนต้องส่งไมค์ให้พวกเขาช่วย แถมยังไม่ค่อยได้คุยเล่นบนเวทีอีกต่างหากสัญญาว่าครั้งหน้าจะชดเชยให้แบบทบต้นทบดอก แต่วันนี้ผมไม่ไหวจริงๆครับ พอลงเวทีมาก็เจอเออาร์พิเศษนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวชวนให้เดินเข้าไปหา

     

    “เป็นอะไร มีอะไรน่าขำนักหรือไง”

     

    “มีดิ่ นี่ไง โดนแซวในทวิตเตอร์เต็มเลย แต่ละคนนี่นะ จัดเต็มมาก อยากตอบมากเหอะ แต่นึกขึ้นได้ว่านายอยู่บนเวทีจะตอบได้ไงเนอะ” ผมดึงมือถือตัวเองกลับมาก่อนจะเก็บไว้ในกระเป๋า

     

    “นิสัยไม่ดีป้ะ อ่านของคนอื่น”

     

    “ตัวเองให้เขาเล่นเองป้ะ??”

     

    เออ! ยอม!

     

    “เสร็จงานนี้แล้วมีไปอัดรายการต่อนะ” ผมรับคำพร้อมกับถอดไวเลสส่งคืนพี่ทีมงาน

     

    “สตูอยู่ใกล้ๆ นายไปเองแล้วให้เรารออยู่นี่ได้ไหมอ่ะ”

     

    “นี่ยังไม่เลิกความคิดที่จะเที่ยวเล่นอีกเหรอ?”

     

    “ก็ยังอยากดูกันดั้มตรงซุ้มนู้นอยู่นี่” ไม่บอกป่าว ยังชี้ตำแหน่งให้เขารู้ด้วย

     

    “ไม่ได้ นี่มาทำงานนะ ไม่ใช่มาเที่ยว วันหลังต้องบอกพี่กิตว่าอย่าเอาเด็กๆมาทำงานแทนอีก โอ้ย! ตีทำไม!” ผมคลำไหล่ตัวเอง ไม่เจ็บหรอกครับ แต่งงมาก

     

    “เราอายุ 23 เท่านาย เหมือนจะลืมแนะนำตัวไป ว่าเราชื่อคชา และตอนนี้ เคืองมาก! !

     

    เคืองผมแล้วก็เดินดุ่มๆนำไปที่รถ ยิ้มแย้มให้แฟนคลับของผม รับของจากแฟนคลับของผม ถ่ายรูปกับแฟนคลับของผม ใครมันน่าจะเป็นคนเคืองมากกว่ากันวะ!

     

     

     

    กว่าจะเสร็จงานวันนี้ความมืดก็โรยตัวเข้ามาแทนที่พร้อมกับถนนหนทางที่เต็มไปด้วยไฟจากรถหลายคัน สงสารก็แต่คนที่ช่วยหิ้วของฝากจนเต็มสองมือ ไหนจะต้องประคองตัวเองบนรถมอเตอร์ไซอีก ผมขับอย่างระมัดระวังที่สุดจนมาถึงคอนโดตัวเอง จัดวางข้าวของแล้วก็เห็นเขาที่แยกของตัวเองออกจากของๆผมอย่างขะมักเขม้น

     

    “จะกลับบ้านยังไง?”

     

     

    เงียบ

     

    “พรุ่งนี้ยังจะมาอยู่ไหม?”

     

    ก็ยังเงียบ

     

    “ตกลงว่างอน?”

     

    “ไม่ได้งอน แต่เคือง”

     

    โอเค เคืองก็เคือง

     

    “ไปหาของอร่อยๆกินกันไหมล่ะ?” เขาว่า เลี้ยงเด็กต้องเอาของกินเข้าล่อครับ

     

    “นี่เป็นการง้อเหรอ?” ปากถาม มือก็ยังไม่หยุดชื่นชมขนมในถุง

     

    “ถ้างอนก็ง้อ แต่ถ้าเคืองก็แค่อยากชวนเฉยๆ หิวแล้ว แถวนี้มีร้านนึงแซ่บมากอยากกินไหมล่ะ จะพาไป” เขาลุกขึ้นยืน กระชับหมวกตัวเองเข้าที่เรียบร้อย

     

    “นายเลี้ยงนะ”

     

     

     

     

     

     

    “ไม่น่าเชื่อคนอย่างนายจะกินอาหารอีสานเป็นด้วย แถมข้างทางอีก จัดว่าเด็ด” เขาหัวเราะขำ มือก็จดเมนูที่ตัวเองอยากกินลงไปด้วย

     

    “คนแบบฉันนี่มันแบบไหน จะบอกว่าเกิดและโตที่กาฬสินธุ์นะคร้าบบบ เห็นหล่อๆแบบนี้ ว่าไม่ได้หรอก” เขาเบะปาก มันน่านัก!

     

    “ที่ว่าหล่อนี่ คนอื่นบอกหรือคิดเอาเอง” ปากกล้า เห็นเขาส่งเมนูให้พนักงานแล้ว ผมถึงกล้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเชยคางเขาให้สบตากัน

     

    “ให้เวลามองสิบวิ แล้วบอกซิ ว่าหล่ออย่างที่ใครๆบอกจริงหรือเปล่า” แทนที่จะหลบ เขากลับขยับเข้ามาหา ท้าวข้อศอกไว้กับโต๊ะ

     

    เราต่างจ้องตากัน

     

     

    ตาโตซ่อนอยู่ใต้ผมหน้าม้าที่เริ่มยาวและถูกปัดลวกๆ

    จมูกโด่ง

    ปากเชิด

    กับแก้มใสซับสีชมพูเรื่อ

     

    อ่า....น่ารัก

     

    “ก็หล่อ แต่น้อยกว่าเรานิดนึง” เสียงของเขาดึงผมออกจากภวังค์พร้อมกับเมนูแรกที่มาเสิร์ฟ ผมว่าร้านนี้อร่อยนะ แต่วันนี้มันอร่อยเป็นพิเศษยิ่งเห็นเขาชมไม่ขาดปากคนพามายิ่งชื่นใจ ก่อนที่หมูชิ้นใหญ่จะถูกยื่นมาให้

     

    “อร่อยทุกอย่างเลยอ่ะ ชิมอันนี้ดิ่ มันนิดๆกำลังดีเลย นุ่มด้วย” ผมกุมมือข้างนั้นของเขาไว้ก่อนจะงับเนื้อตรงปลายซ้อมเข้าปาก

     

     

    “อื้มมมม นุ่มจริงๆด้วย”

     

    “ใช่ไหมล่ะ ปล่อยมือเราดิ่ จะกินบ้าง”

     

    ไม่นานสารพัดเมนูก็เรียบเป็นหน้ากลอง สาบานเถอะว่านี่มากินกันแค่สองคน คชาอยากลองทุกเมนูจนเราแทบลุกออกจากร้านไม่ไหว ความตั้งใจแรกของผมคือเราจะเดินย่อยรับลมเย็นกันไปเรื่อยๆจนถึงคอนโดแต่เขากลับไม่เห็นด้วย

     

    “ขอบคุณมากนะ อร่อยสุดๆ วันหลังจะมาเลี้ยงคืน เรากลับก่อนล่ะ”

     

    ห๊ะ เดี๋ยวนะ

     

    “จะกลับยังไง?”

     

    “แท็กซี่ไง ไม่ไกลมากหรอก นั่งไปครึ่งชั่วโมงก็ถึง” สิบนาทีก็ไกลมากแล้วสำหรับผม

     

    “ไม่ได้ เดี๋ยวขับรถไปส่ง”

     

    “โหยยย ไม่เอา เกรงใจ นายจะได้ไม่ต้องไปๆมาๆด้วยไง เรากลับเองได้ ลูกผู้ชายจะกลัวอะไร” ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ผู้ชายที่มีรูปลักษณ์ระบุเพศยากแบบนี้จะให้กลับบ้านคนเดียวได้ยังไง

     

    “เอาน่า นายอย่าทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิงได้ไหม โตแล้วนะเว้ย อายุ 23 แล้ว เมื่อก่อนกลับบ้านเช้าแม่ยังไม่ว่าเลย” เขาพูดมาขนาดนี้จะให้ผมทำยังไงล่ะครับ

     

    “แล้วของที่คอนโดล่ะ ไม่เอากลับไปด้วยเหรอ?”

     

    “เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเอาก็ได้” หมายความว่า....

     

    “พรุ่งนี้จะมาอีกใช่ไหม?”

     

    “จะมาดูแลนายจนกว่าพี่กิตจะหายเลยแหล่ะ” พี่กิตเป็นอะไรนะครับ ผมไม่แน่ใจ ตอนโทรศัพท์คุยกันคุณได้ยินไหม? ผ่าตัดต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเดือนหรือเปล่านะ น่าจะใช่ล่ะมั้ง

     

    “งั้นเอาเบอร์มือถือมา” โชคดีที่เขายอมให้แต่โดยดี ผมโบกรถให้เขาก่อนเราจะบอกลากัน

     

    “เดี๋ยวโทรหา คุยกับฉันจนกว่าจะถึงบ้านนะ รู้ไหม” เขาพยักหน้ารับส่งๆ ผมมองจนไฟท้ายลับหายไปถึงได้กดโทรหาเขาแต่ให้ตายเถอะ! ! ทำไมไม่รับสายวะ

     

     

    เศรษฐพงศ์ไม่เคยโทรหาใครเกินสามสายคนๆนั้นต้องรับ แต่นี่อะไร เขายังไม่หยุดกดโทรออกจนเดินมาถึงคอนโด ทนความอึดอัดในใจไม่ไหว สุดท้ายต้องต่อสายหาคนป่วยจนได้

     

    “พี่! ทำไมคชาไม่รับโทรศัพท์”

     

    ((เอ้า กูจะรู้ไหม))

     

    “เบอร์ถูกหรือเปล่า ลองเช็คซิ” บอกเบอร์ไปปลายสายก็ทวนกลับมาว่าเป็นเบอร์ของคชาไม่ผิดแน่นอน แล้วทำไมไม่รับวะ โอ้ยยยย นี่เดินวนในห้องจนรู้สึกว่าของมันเกะกะไปหมด ไม่ทันได้หยิบหนังสือแถวนั้นมาปาเล่นก็มีสายเรียกเข้าซ้อนเข้ามาเสียก่อน

     

    “ทำไมเพิ่งมารับสายตอนนี้! รู้ไหมฉันโทรหากี่ครั้ง!

     

    ((ก็...เยอะอยู่...ขอโทษได้ไหมล่ะ)) ปลายสายอ้อมแอ้มบอก ผมทิ้งกายลงตรงปลายเตียง ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองให้ผ่อนคลาย

     

    “คชา...นี่มันไม่สนุกนะ ทำไมไม่รับสาย บอกแล้วใช่ไหมว่าให้คุยกับฉันจนว่าจะถึงบ้าน”

     

    ((ลืมเปิดเสียง....))

     

    “แล้วไม่รู้สึกที่มันสั่นหรือไง”

     

    ((ใส่ไว้ในกระเป๋าเป้อ่ะ))

     

    “พรุ่งนี้จะซื้อสายคล้องคอให้” เสียงอ่อนๆนั่นมันทำให้อารมณ์ครุกรุ่นอ่อนยวบ ให้ตายเถอะ เขาไม่รู้หรือไงว่าผมเป็นห่วงจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

     

    ((ใกล้ถึงบ้านแล้ว ถึงแล้วจะอาบน้ำนอนเลย นายก็นอนซะนะ พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ))

     

    “อย่าเพิ่งวาง จนกว่าจะเข้าห้องแล้ว ช่วยทำให้ฉันเป็นห่วงนายน้อยกว่านี้หน่อยเถอะคชา”

     

    ((เป็นห่วงเราทำไม?))

     

     

    นั่นสิ เป็นห่วงทำไม

     

     

    “ถึงบ้านหรือยัง?” หาคำตอบไม่ได้ก็เปลี่ยนเรื่องซะ

     

    ((กำลังลงจากรถ))

     

    “เข้าบ้านหรือยัง?”

     

    ((ไขกุญแจรั้วอยู่))

     

    “เข้าบ้านหรือยัง?”

     

    ((ไขกุญแจประตูบ้านอยู่)

     

    “ถึงห้องหรือยัง?”

     

    ((ไหว้แม่แล้ว กำลังจะหาขนมกินกับน้องๆนายจะวางได้หรือยัง?))

     

    “เจอกันพรุ่งนี้นะ”

     

    ((อื้ม ฝันดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ))

     

     

    ปลายสายตัดไปแล้ว แต่ผมยังฟังเสียงสัญญาณที่ดังถี่พร้อมกับยิ้มให้ตัวเองอยู่ก่อนจะเป็นฝ่ายกดวางบ้าง พรุ่งนี้เช้ายังมีภารกิจที่ต้องทำอีกเยอะ หวังว่าคงจะเจอเรื่องราวดีๆ คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ?

     

     

     

    อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ 
    ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ ตั้งแต่วันแรกเจอ ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ
    พอรู้จักก็อยากจะทักทาย พอไม่เจอแล้วใจก็วุ่นวาย 
    เธอหายไปก็ห่วงเธอแทบตาย จะเป็นเช่นไร ตรงนั้นมีใครดูแลหรือไม่ก็ไม่รู้




     

    To be con.

    สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกท่านค่ะ
    เรื่องใหม่มาอีกหัว น้ำตาจะไหล ในหัวอยากแต่งแค่ฉากเดียว และจบในตอน แต่มันเลยเถิด ฮือออออออ ทำไมช่วงนี้มีปัญหากับการแต่งฟิคสั้นตลอด เอาเป็นว่าจะรีบมาต่อนะคะ ทั้งสามเรื่อง ชอบไม่ชอบยังไง คอมเม้นท์บอกกันบ้างนะขอบคุณทุกคนค่ะ

    ฝันดีนะคะ อย่าลืมว่ามีคนเป็นห่วง
    ด้วยรับจาก...ณ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×