ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The legend of Banirmaure

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : Promise

    • อัปเดตล่าสุด 27 มิ.ย. 50


     

                    ชายหนุ่มได้แต่เงียบโดยไม่ได้ตอบอะไรออกไป   ทั้งๆที่ตามนิสัยปกติ  คงตอบวาจาเผ็ดร้อนกลับไปนานแล้ว  แต่สตรีร่างเล็กบอบบางคนนี้คนทำให้เค้าได้แต่เงียบรอคำพูดต่อไปของเธอ  แต่กลับไม่มีวาจาใดๆเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางราวกลีบกุหลาบนั้นแม้แต่นิดเดียว


                  
    ช่วงเวลาผ่านไปอย่างยาวนานที่ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดๆออกมา


                  
    ในที่สุดออดริคก็เป็นคนตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้น  
    แอร์แตนิเต้.......  เรากลับกันเถอะ   ชั้นจะให้เธอพัก   อยู่ในที่ๆเธอเรียกมันว่าบ้านก็แล้วกัน..........


                   
    หญิงสาวหันกลับมาส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับชายหนุ่ม   แล้วเดินนำออกจากป่าไป  


                   
    ระหว่างทางหญิงสาวก็ชวนชายหนุ่มคุย


                   
    ออดริค  คุณจะออกเดินทางเมื่อไหร่


                   
    ไม่รู้สิ   ผมไม่มีจุดหมายปลายทางในการเดินทาง


               “
    คุณเคยได้ยินตำนานเรื่อง แม่มดแห่งเบนีมัว บ้างไหม?


               “‘
    เบนีมัว?    อะไรของคุณน่ะ    นิทานก่อนนอนของหนูน้อยหรือไง     ถึงมันจะเย็นแล้ว  แต่ผมยังไม่นอนหรอกนะมันยังหัวค่ำอยู่เลย


                     หญิงสาวเพียงแต่เหลือบตาไปมองชายหนุ่มอย่างเงียบๆ 
    .............................  มันเป็นตำนานของแม่มดแห่งเมืองเบนีมัว   เมืองแห่งการขอพรและการต้องคำสาป   เมืองที่ไม่มีวันหลับไหล  และไม่หยุดนิ่งยังไงล่ะ .........   ตามตำนานเล่าว่าที่เมืองเบนีมัวนั้น   มีแม่มดคนนึงอาศัยอยู่ที่เมืองนั้น.......     ผู้คนต่างเรียกเธอว่าแม่มดแห่งเบนิมัว      ใครก็ตามที่สามารถเดินทางไปถึงเมืองนั้นก็จะได้รับพรหนึ่งประการจากแม่มด    แต่เค้าว่ากันว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ถูกสาป         เมืองเบนิมัวนั้นจะไม่อยู่นิ่งกับที่   มันจะเปลี่ยนและย้ายไปตลอดเวลา  จากมิติหนึ่ง  ไปสู่อีกมิติหนึ่ง.........  ย้ายไปย้ายมาตลอดเวลาเลยล่ะ   จนไม่มีใครสามารถหาเมืองนั้นเจอ    คนภายนอกจึงไม่มีใครสามารถหาเมืองนั้นเจอเพื่อขอพรได้    และสุดท้ายก็ต้องตายระหว่างการเดินทางหรือไม่ก็ต้องล้มเลิกไปในที่สุด    ส่วนคนที่อยู่ภายในเมืองแห่งเบนิมัวนั้นต่างก็เป็นคนที่ถูกสาป   ใครก็ตามที่พยายามหนีออกจากเมืองนั้นสุดท้ายถึงแม้ว่าจะหนีออกมาได้ต่างก็ต้องได้รับคำสาปต่างกันออกไปยังไงล่ะ.................

    โห.........เล่าซะละเอียดเชียว   เล่าอย่างกับเป็นคนในเมืองเบนีมัวเลยแฮะ  ว่าแต่ว่านะ  ไอ้ตำนานที่คุณว่าน่ะ  ผมยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย..........  เฮ้!  ทำไมถึงเงียบไปล่ะแอร์แตนีเต้ ชายหนุ่มเสริมเมื่อเห็นว่าหยิงสาตรงหน้าเงียบไปอีกครั้ง


                “
    ปะ......เปล่าหรอก   ไม่มีอะไร...


                  “
    .....................   เราไปทางลัดกันดีกว่า  จะได้ไปถึงเร็วๆ   ส่วนเรื่องจะเดินทางเมื่อไหร่คงต้องคุยกันอีกที      ถ้าอยากกลับไปเร็วคงจะต้องผ่านสุสานซักหน่อย   คงไม่ได้กลัวผีใช่มั๊ยล่ะ  คุณน่ะ


                “
    เอาสิ  จะได้ถึงเร็วๆ  ออดริคกะจะแกล้งเจ้าหล่อนสักหน่อย   แต่หญิงสาวกลับไม่มีทีท่าสะทกสะท้านอะไรเลย  อย่างนี้ต้องแกล้งซะหน่อยแล้วมั้งเรา


                  ออดริคเดินนำหญิงสาวลัดเลาะตามป่าสนมาเรื่อยๆ  ผ่านตัวเมืองที่มีคนหนาแน่น  และก็มาถึงสุสานที่เงียบสงัดไร้ผู้คน    หมอกหนาตาบดบังทัศนียภาพจนเหลือแค่ภาพข้างหน้าเพียงจางๆ    พื้นหิมะสีขาวยิ่งทำให้สุสานแห่งนี้ดูงดงาม    เงียบสงัด   และลึกลับราวกับต้องมนตรา  


                สักพักหนึ่งหญิงสาวกลับเป็นคนเดินนำขึ้นมาแทน  

    เฮ้นี่คุณ  จะเดินไปทางไหนล่ะ   ทางออกน่ะอยู่ทางนั้นต่างหาก  ชายหนุ่มส่งเสียงประท้วงมาจากด้านหลัง  แต่หญิงสาวก็เพียงแต่หันมาปรามด้วยการยกนิ้วชี้จรดริมฝีปากเท่านั้น  

    แอร์แตนิเต้  เดินนำออดริคจนกระทั่งถึงใต้รูปปั้นพระแม่มารีรูปใหญ่ที่ทำจากหินแกรนิต   แล้วก็ยืนแอบซุ่มอยู่ด้านหลังรูปปั้นนั้น

    ............  ?  ชายหนุ่มยืนเดินตามมาสมทบสะกิดหญิงสาว    เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถามและไปทางจุดๆหนึ่งซึ่งมีหญิงวัยกลางที่อายุน่าจะประมาณสามสิบต้นๆ    สวมอาภรณ์สีดำสนิท  นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ด้านหน้าป้ายหลุมศพสีขาวสะอาด   เบื้องหน้าคือช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ช่อใหญ่  บรรยากาศเบื้อหน้าช่างเต็มไปด้วยความเศร้าโศก  

    นี่.....!”  ชายหนุ่มตั้งท่าสงสัย   จะอ้าปากถามหญิงสาวแต่ก็ถูกปรามไว้ด้วยสายตาคมดุที่ส่งมา

     สักพักหนึ่งหญิงกลางคนก็เดินออกไป    แอร์แตนิเต้ก็เดินเข้าไปหน้าหลุมศพแทนที่    แทนที่จะไปนั่งตรงหน้าหลุมศพ  แต่หญิงสาวกลับมานั่งอยู่ด้านหลังหลุมศพ   เยื้องจากหญิงสาวไป  คือเด็กชายตัวเล็ก

    เส้นผมสีทองเข้มจนเกือบน้ำตาล  และดวงตาสีเดียวกันบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก   ดูจากหน้าตาและขนาดตัวแล้วคงจะอายุไม่เกิน 10 ปี    แต่ที่สะดุดตาชายหนุ่มที่สุดก็คือ..........เด็กคนนี้ไม่มีขา

    เฮ่ย  .....ไม่มีขาแล้วยืนได้ยังไง   นอกเสียจาก.......

    เอ่อ........แอร์แตนิเต้   เด็กคนนี้........

    ชั้นรู้แล้ว...........   ชั้นรู้อยู่แล้ว  ว่าแด็กคนนี้เป็นใคร                 สวัสดีจ๊ะ  หนูน้อย  .......เธอร้องไห้ทำไมเหรอ   ใครไปรบกวนหลุมศพของเธอ?   หรือว่ามีอะไรพอที่ชั้นพอจะช่วยได้ไหมจ๊ะ  แอร์แตนิเต้เอ่ยถามเด็กชายตัวเล็กอย่างอ่อนโยน

    ผะ....ผม  ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับพี่สาว.........  ผม.....ผมแค่อยากพบแม่เท่านั้นเอง  เด็กน้อยสะอึกสะอื้นตอบหญิงสาว

    .............งะ งั้นเหรอ...........  ผู้หญิงคนเมื่อกี้คือแม่ของนายสินะเจ้าหนู   ส่วนดอกไม้นี่ก็......................    อ๊ะ! ขอโทษที... ออดริคเสริมขึ้นมาเมื่อได้ยินคำตอบของเด็กชาย    แต่กลับต้องเงียบเสียงลงด้วยสายตาดุที่ส่งมาจากคนร่างบาง

    น่าแปลกนะ   ที่เรามาเจอกันวันนี้  ไม่ใช่ก่อนหน้านี้..................  คำถามของหญิงสาวสร้างความฉงนให้กับชายหนุ่มและเด็กน้อยได้เป็นอย่างดี

    ....................?  ครับ?

    ปะ............ปล่าวหรอกจ๊ะ    อย่าถือสาฉันเลยนะ

    ไปเถอะน่า  แอร์แตนิเต้   อยู่นี่มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ  ออดริคส่งเสียงท้วงมาด้านหลัง

    ตะ.....แต่ว่า

    เถอะน่า!  มันมืดแล้วนะ  เธออยากเจอแบบเมื่อวันก่อนอีกรึไง

    ได้ผล คำพูดของชายหนุ่มจากด้านหลัง  ช่วยเรียกสติของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี  ถึงจะไม่ค่อยพอใจและไม่เต็มใจอย่างยิ่ง  แต่หญิงสาวก็ต้องกลับไปพร้อมชายหนุ่มอยู่ดี  จึงได้แต่ลุกขึ้นกล่าวลากับเด็กน้อย    แล้วเดินตามแผ่นหลังของชายหนุ่มจนกระทั่งลับไปในสายหมอก

    ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่อ่อนแสงลงไปทุกที  แล้วพระจันทร์ก็เข้ามาแทนที่   แต่ทว่า  ดวงตาทั้งสามคู่กลับไม่สามารถข่มหลับลงได้  ได้แต่มองดวงจันทร์อยู่เกือบรุ่งเช้า

    ....................................................................................................................................................................

    อรุณสวัสดิ์จ๊ะ  เธออยู่แถวนี้รึเปล่าจ๊ะหนูน้อย  หญิงสาวตะโกนเรียกเด็กน้อยดังลั่นสุสานอันเงียบสงบนั้น

    แต่เงียบ...............  ไม่มีคำตอบใดหลุดเร้นออกมาจากความเงียบและความสงบน่าเกรงขามของสถานที่    หญิงสาวได้เพียงแต่ถอนหายใจแล้วเดินเหม่อลอยไปจนถึงหน้าผา  ปลายสุดของสุสาน.............

    หญิงสาวร่างระหงปล่อยอารมณ์และความคิดไปกับทิวทัศน์ที่กว้างไปสุดลูกหูลูกตานั่น   เบนีมัว.......จะอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์แห่งนี้รึเปล่าหนอ  พระอาทิตย์เริ่มขึ้นสู่ขอบฟ้าทีละนิด    นกพิราบสีขาวบินมาทางสุสานแล้วโผเข้าเกาะกิ่งไม้     บางตัวก็บินมาเกาะที่ไหล่ของหญิงสาวอย่างรอคอย  เหมือนกับคนที่รอ..............    รอคอยไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดอย่างเธอ   

    สักพักเมื่อฝูงนกพิราบบินตามมาร้อมรอบหญิงสาว   เด็กน้อยที่แอบดูอยู่ก็อดที่จะทึ่งและชื่นชมไม่ได้

    โอ้โห  ยอดไปเลย    สุดยอดเลยครับพี่สาว  เด็กน้อยวิ่งมาทางหญิงสาว       แต่ฝูงนกก็มิได้ขยับบินหนีไป 

    หนึ่งในนั้นบินมาวนเวียนที่รอบตัวเด็กน้อยอย่างซุกซน   

    ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะชอบเธอนะ  หญิงสาวกล่าวกับเด็กน้อย สัตว์น่ะเข้าใจจิตใจของอีกฝ่าย          ว่ากำลังดีใจหรือเสียใจ  ต้องการให้ทำอะไรหรือไม่ต้องการให้ทำอะไร        ดังนั้นถ้าต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับพวกมันจากใจจริง  มันจะเข้าใจเอง...................................    ที่ไม่เข้าใจอีกฝ่ายน่ะ   มีเพียงมนุษย์เท่านั้นแหละ

    งั้นก็หมายความว่า  พี่สาวเป็นเพื่อนกับคุณนกนี่เหรอครับ   เด็กน้อยถามหญิงสาวด้วยความกระตือรือร้น

    ใช่จ๊ะ  เด็กพวกนี้น่ะ  เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของชั้น   แต่ตอนนี้ชั้นคิดว่าชั้นมีเพื่อนมากกว่านั้นแล้วนะ   ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะ   เลโอ.........

    พี่สาวรู้จักชื่อผม?

    ชั้นดูจากป้ายบนหลุมศพนั่นแหละจ้ะ       ........ แอร์แตนิเต้ จ๊ะ

    ทั้งสองนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นกันอยู่เนิ่นนาน   จนกระทั่งหญิงสาวเป็นฝ่ายถามเด็กน้อยขึ้นมาก่อน  เลโอ    ทำไม...........เธอถึงอยากเจอแม่เธออีกครั้งล่ะ

    ...............ผมอยากจะพบแม่อีกครั้ง   เพื่อบอกลาครับ  ผมอยากให้แม่มีความสุข     ไม่ต้องเสียใจกับการจากไปของผมหรอก     ผมน่ะไม่ได้จากแม่ไปซักหน่อย     เพราะผมจะอยู่ในใจ   อยู่ในความทรงจำของแม่ไปตลอดกาลยังไงล่ะครับ..........  แต่มันคงเป็นไปไม่ได้  ยิ่งผมเห็นแม่ร้องไห้  มีแต่ความทุกข์  ผมยิ่งอยากจะพบแม่  อยากให้แม่ใช้ชีวิตในส่วนของผมด้วย

    .................................   เลโอ   เธอเคยได้ยินนิทานเรื่องแม่มดแห่งแบนีมัวไหม

    อ๊ะ!  รู้จักครับ  คุณแม่น่ะเคยเล่าให้ผมฟังตอนผมยังเป็นเด็ก    ผมยังเคยคิดเลยนะครับว่าถ้าเมืองเบนีมีวมีจริง   ผมจะขอให้ผมได้เจอกับแม่อีกสักครั้ง    แค่ครั้งเดียวก็ยังดี

    งั้น............   หญิงสาวลุกขึ้นมองท้องฟ้า  แล้วหันมาพูดกับเด็กน้อยอีกครั้ง   เราจะออกเดินทางกันเลยไหมล่ะ   มันคงจะเป็นการเดินทางที่สนุกแน่ๆ

    .....ครับ   เลโอยิ้มรับหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม

    เป็นอันว่าตกลง      พรุ่งนี้เวลานี้ดีไหม  แล้วเจอกันนะเลโอ

    ..............................................................................................................................................................

    อีกทางด้านหนึ่ง ณ ใจกลางเมืองใหญ่       เสียงกริ่งดังขึ้นหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีแต่ความเงียบสงบ    หญิงวัยกลางคนได้มีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะ  ที่เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย    เธอแนะนำตัวว่าชื่อแอร์แตนิเต้  จากกริยาท่าทางของหญิงสาวร่างบางแล้ว  คงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเป็นอย่างดี    ตลอดระยะเวลาที่คุยกัน   หญิงสาวไม่เคยถอดเสื้อคลุมออก  หรือให้ใครแตะต้องตัวเลย   แต่สิ่งที่สร้างความแปลกใจให้กับสตรีเจ้าของบ้านคือคำพูดทิ้งท้ายก่อนการจากไปของเธอว่า.......

    ได้โปรดอย่าเสียใจไปเลย.....   หากคุณเสียใจ  หากคุณร้องไห้.....   ทางทิศตะวันตก  จะมีคนเสียใจแล้วร้องไห้ไปกับคุณด้วย     ได้โปรดเชื่อมั่นและมีชีวิตอยู่ต่อไปแทนเลโอด้วยนะคะ    เพื่อสักวันนึง.......  เด็กคนนั้นจะได้มาพบคุณและกล่าวคำอำลากับคุณค่ะ

    ................................................................................................................................................................................

    ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆสาดส่อง   แผ่แสงสีทองอาบไปทั่วสุสานแห่งนั้น    สตรีร่างบอบบางเหลียวมองผ่านทิวทัศน์เบื้องหน้าไปยังกระท่อมเล็กๆที่ชายป่า  ด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง 

     
                  
    ลาก่อนนะ    ออดริค.........  ในวินาทีที่กำลังจะหันกลับไปหญิงสาวก็ต้องเผลอร้องอุทานมาอย่างตกใจ   เมื่อเบื้องหน้าคือชายหนุ่มเจ้าของชื่อ

      
                 
    คิดจะไปโดยไม่บอก ไม่กล่าวกันเลยหรือแอร์แตนีเต้  หรือคิดจะมาก็มา  คิดจะไปก็ไป   ชายหนุ่มบริภาษกับหญิงสาวด้วยใบหน้าอันเฉยชา   เกือบจะกึ่งๆโกรธด้วยซ้ำ

     
                  
    ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก.......   ชั้นขอโทษนะที่รบกวนเวลาของคุณ   งั้นก็ลาก่อนนะ   ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง  หญิงสาวกำลังจะเตรียมเดินหนี     ออกอาการกลัวดวงตาสีชาคู่นั้นด้วยซ้ำ      แต่ก็ถูกลำแขนแข็งแรงกันไว้

      
                 
    ใครบอกว่าผมจะมาลา   ผมจะเดินทางไปกับคุณต่างหากล่ะ.........

     
                  
    คะ?  หญิงสาวเงยหน้าถามชายหนุ่มด้วยสีหน้างงๆ

     
                  
    อ้าว!  ไม่เข้าใจหรือไงคุณ    แหม......  ผมก็หลงนึกว่าคุณพูดกันเข้าใจแล้วซะอีก..............ที่ไหนได้

     
                  
    ที่ไหนได้อะไรไม่ทราบ..........

                   
                  “ปล๊าวววว  ผมก็พูดไปงั้นแหละ   ไปกันได้รึยังครับเลดี้  ชายหนุ่มทำท่าผายมือได้อย่างกวนประสาทที่สุด 

      
                        
    แอร์แตนิเต้ดินผ่านชายหนุ่มไปด้วยอารมณ์กรุ่นๆ  แต่คนที่เดินตามหลังหญิงสาวกับเด็กน้อยไปสิ  หัวเราะได้ตลอดการเดินทาง.................

     

    ........................................................................................................................................................................................


                “
    นี่...........แอร์แตนิเต้     เข้าใจอยุ่หรอกว่าผู้หญิงน่ะต้องรักษาหุ่น  แต่คุณจะไม่กินอะไรเลยหรือไง


              “
    ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า......  ชั้นจะลดให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ    ชั้นไม่จำเป็นต้องกินของพวกนี้หรอก


              “
    คุณจะบ้าเหรอไง    เป็นคนก็ต้องกินอาหารสิ  ไม่งั้นจะมีแรงเดินทางได้ยังไง.........  จะกินดีๆหรือให้ป้อนน่ะ


               “
    จะกินก็กินไปคนเดียวเลยไป    ชั้นกินเองได้  ไม่ต้องมายุ่ง


                    เสียงทะเลาะกันที่มักจะจบลงแบบนี้แทบจะทุกมื้อ  ทำให้เด็กน้อยต้องยิ้มขันผู้ใหญ่สองคนที่อยู่ข้างหน้า      ทั้งๆที่เหตุการณ์ก็เหมือนจะดำเนินไปเหมือนปกติ  แต่วันนี้ต่างออกไปจากทุกวัน  บรรยากาศรอบๆตัว  ก็เหมือนปกติ  ทิวทัศน์ที่เป็นป่าเขาบ้าง  หมู่บ้านบ้าง  ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มและวิญญาณตัวน้อยรู้สึกอะไรมากนัก   แต่หญิงสาวกลับพูดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด


                       เย็นวันนั้นเองที่ชายหนุ่มได้พบคำตอบว่าเพราะอะไร   หมู่บ้านที่มองเพียงผิวเผินก็เหมือนกับหมู่บ้านอื่นๆที่เดินทางผ่านมา  แต่ทว่า..........  เหมือนที่เห็นนี้กลับไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลยแม้แต่คนเดียว


                     สภาพอาคารและถนนหนทางต่างร้างไร้ผู้คน   แต่กลับสะอาดสะอ้านเหมือนเพิ่งได้รับการทำความสะอาดขัดถูเมื่อไม่นานมานี้เองทำให้ชายหนุ่มแปลกใจ  


                  “
    เดี๋ยวผมไปสำรวจรอบๆให้ก่อนนะ   แล้วเจอกันครับ  พูดจบเลโอก็หายไปกับกำแพงหนา


                       เมื่อออดริคและแอร์แตนิเต้เดินผ่านตัวบ้านมาหลายๆหลังก็พบกับร้านค้าร้านหนึ่งซึ่งถูกจัดแต่งอย่างมีสไตล์ตามยุค    แต่ทว่า......  เมื่อออดริคเดินเข้าไปสำรวจ     สถานที่แห่งนี้ก็ไร้ผู้คนเช่นกัน


                       ชายหนุ่มเดินอกมาจากร้านด้วยสีหน้างงงวย  และทำท่าเป็นเชิงบอกคนที่เหลือว่าไม่มีอะไรหรือใครอยู่อีกเช่นเคย  ทันใดนั้น.......  เพียงชั่วพริบตาเดียวที่หางตาของชายหนุ่มเหลือบไปเห็นเงาของคนอยู่ที่ซอกตึกฝั่งตรงข้าม
       ฝีเท้าของผู้ที่เดินทางและต่อสู้มาอย่างช่ำชองย่อมเร็วกว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอยู่แล้ว


                      เด็กหญิงตัวเล็กอายุไม่น่าจะเกิน 1
    4 ปี  ถูกลากออกมาจากซอกตึก    ชุดกระโปรงสีส้มดำพองฟูราวกับฟักทองวันฮาโลวีนก็ไม่ปาน   ช่างเหมาะเจาะลงตัวกับผมหยิกเป็นลอนสีแดงเข้มกับใบหน้าขาวผ่องเป็นอย่างดี     แต่เมื่อดวงตาของหญิงสาวสบกับดวงตาสีม่วงของอีกฝ่ายก็ต้องผงะออก


                      นั่น.........   คือดวงตาของผู้ที่ถูกสาปอย่างแท้จริง  และเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความมืดมิดสุดจะหยั่งลึกได้
      หญิงสาวพยายามจะเปล่งเสียงออกมา  แต่ทว่า  แต่ละคำมันช่างยากเย็นนัก   ร่างกายก็เหมือนจะหนักอึ้ง


                      เด็กหญิงตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับหญิงสาวแล้วหันหน้าไปถามชายหนุ่มที่ยังคงกำข้อมือเล็กไว้แน่นว่า  
    นี่ๆ  พี่ชายๆ  อะไรเอ่ยมีชีวิต  แต่ไม่กระดุกกระดิก    ลืมตาอยู่แต่มองไม่เห็น


                “
    หะ....หา?  ชายหนุ่มมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสีหน้างงงวยแล้วเงยหน้ามองหญิงสาวมาเพื่อขอความช่วยเหลือ   แต่ก็พบแต่ใบหน้าซีดเผือด  ที่มองมาทางเขาอย่างประหวั่นพรั่นพรึง


                “
    อ๊ะๆ! พี่ชายขี้โกงนี่นา  จะถามพี่สาวใช่ไหมล่ะ   เด็กไม่ดีน่ะต้องถูกลงโทษนะ..........   เพียงแค่เด็กหญิงพูดจบเท่านั้น   ดวงตาของชายหนุ่มก็เหมือนจะหนักอึ้ง     และนั่นเป็นความจำสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะทรุดตัวลงกับพื้นและสลบไป............


                 “
    เท่านี้ก็เรียบร้อย...........  

     

    ....................................................................................................................................................................................
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×