ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่ายรักหัวใจอสูร

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 230
      1
      15 ก.ย. 66

    เพียงแค่รู้สึกตัวลืมตามาเห็นหน้าคมกริชเท่านั้น ภาสินีก็แทบอยากจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าคนใจร้ายที่อยู่ข้างเตียงในเวลานี้

                คมกริชร้อนใจมากสั่งให้เด็กชายโต้งไปตามหมอมาดูอาการของหญิงสาว เมื่อหมอมาถึงทำให้รู้ว่าเธอมีไข้และร่างกายอ่อนเพลียมาก เด็กชายเล่าให้เขาฟังว่าภาสินีมาถึงที่นี่ตั้งแต่บ่าย และออกไปตะลอนทั้งวันท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด

                "ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ หมอ" น้ำเสียงชายหนุ่มกังวลเล็กน้อย

                "ไม่ครับ เพียงแต่คนไข้ร่างกายอ่อนเพลียมาก ยิ่งช่วงนี้อากาศร้อนอาจทำให้เป็นไข้แดดได้ พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ วันสองวันก็น่าจะดีขึ้น" คุณหมอลากลับไปในอนามัยหลังจากที่ตรวจคนไข้เสร็จ เด็กชายโต้งทำหน้าที่ส่งคุณหมอแทนคมกริชที่เริ่มดูแลคนป่วย

                "เช็ดตัวหน่อยไหม" เขาถามพลางยกกะละมังน้ำเข้ามาในห้อง

                "ไม่ ฉันจะอาบน้ำ" สาวน้อยขยับตัวจะลุกขึ้นยืน แต่หน้ามืดวิงเวียนศีรษะเกือบจะล้มดีที่คมกริชรับไว้ทัน

                "อย่าดื้อได้ไหม" คมกริชแกล้งดุ

                ตั้งแต่เล็กจนโตถ้าภาสินีไม่ดื้อเอาแต่ใจเป็นคุณหนูโวยวายไม่มีเหตุผล ก็คงไม่ต้องถูกเขาขัดใจอยู่ร่ำไปหรอก ใครๆ ก็ตามใจเจ้าหล่อนจนวางท่าเป็นเจ้าหญิงน่าหมั่นไส้นัก คงมีแค่คมกริชเท่านั้นที่ขัดไปเสียทุกเรื่องจนกลายเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งของเธอไปโดยปริยาย

                "มาเร็ว เช็ดตัว ถอดเสื้อ" บุรุษพยาบาลจำเป็นบิดผ้าในกะละมังเตรียมพร้อม

                "เอ่อ..." คนป่วยหน้าแดงเมื่อเห็นอีกฝ่ายท่าทางเอาจริง

                แย่แล้ว คมกริชกำลังจะตั้งท่าเช็ดตัวให้จริงๆ ภาสินีไม่ยอมให้เขามาแตะเนื้อต้องตัวใกล้ชิดเหมือนที่ผ่านมาแน่ เธอกำลังคิดหาทางออกว่าจะทำอย่างไร ถึงไม่ต้องให้ชายหนุ่มมาวุ่นวายกับตนเอง

                "เร็วซิ ถอดเสื้อ" คมกริชเร่งอีก เพราะภาสินีอิดออดไม่ยอมขยับทำอะไร ตอนนี้หัวค่ำยังพอเช็ดตัวได้ แต่ถ้าดึกกว่านี้กลัวว่าจะทำให้ไข้กลับ

                "ฉันจะเข้าห้องน้ำ ฉันอยากเข้าห้องน้ำ"

                "ก็บอกซิ จะได้พาไป" ชายหนุ่มค่อยๆ ประคองจับมือภาสินีเดินเข้าห้องน้ำอย่างระมัดระวังและทะนุถนอม

                กริยาอาการที่แสนอ่อนโยนราวกับคนที่รักและห่วงใยกันจริงๆ ทำให้ภาสินีเผลอคิดคนเดียวว่า ทำไมที่ผ่านมาทั้งคู่ไม่เคยมีช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ด้วยกันเลยแม้แต่น้อย คนที่รักและทะนุถนอมตามใจเธอเห็นจะมีแต่วัชระ พี่ชายร่วมโลกที่แสนจะรักและตามใจอย่างที่สุด

                แต่กับเขา คนที่ทำให้ร้องไห้ โกรธ โมโหและขัดใจได้ตลอดเวลา คมกริชไม่เคยเห็นด้วยหรือตามใจในสิ่งที่อยากได้ ถ้าไม่ทำตัวเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ ก็จะคอยกระแหนะกระแหนพูดจาไม่ดีใส่ และสุดท้ายคนที่ทำให้ร้องไห้ก็จะกลายมาเป็นคนที่เช็ดน้ำตาให้ทุกทีซิน่า

                ห้วงความรู้สึกหนึ่งภาสินีเองก็อยากมีช่วงเวลาดีๆ แบบนี้กับคมกริชเช่นกัน เพียงแต่ว่าอยากได้รับการเอาใจที่ไม่ใช่แค่พี่สาวกับน้องชายเท่านั้น

    แต่อยากได้ความใส่ใจ การทะนุถนอมที่มาจากส่วนลึกของจิตใจชายหนุ่ม คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ให้น้ำท่วมหลังเป็ดเสียจะง่ายกว่า ผู้ชายที่ไม่ชอบหน้าเธออย่างเขา คงไม่มีวันทำอะไรให้ด้วยความรู้สึกที่มากจากหัวใจแน่ แม้แต่เรื่องคืนนั้น...

     

                เขายืนรออยู่หน้าห้องน้ำเกือบสิบนาที ได้ยินเสียงน้ำราดโครมอยู่ด้านในทำให้ฉุกใจคิดว่าภาสินีทำอะไรมากกว่าที่บอก คมกริชเคาะประตูแทบพังเพื่อให้คนที่อยู่ด้านในเปิดประตูให้ และโมโหมากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าเธอทำอะไรก่อนหน้า

                "ใครใช้ให้อาบน้ำ ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเป็นไข้" เขาถามเสียงขุ่น อยากจะจับเจ้าหล่อนมาตีให้ก้นลายนัก คอยดูเถอะ ถ้าคืนนี้เป็นอะไรอีกล่ะก็ จะสมน้ำหน้าให้

                "หมอบอกว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกอย่างฉันอยากอาบน้ำก็เลยอาบ" ภาสินีทำเวลาแทบตาย เมื่อครู่รีบตักน้ำราดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องให้คมกริชมาเช็ดตัวให้

                "เธอนี่มัน..." คมกริชไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาดุเจ้าหล่อนอีกแล้ว

                ดื้อ ไม่ฟังใคร รั้นไม่เข้าเรื่อง นี่แหล่ะ ภาสินีของแท้ ทำไมนะ ทำไมเจ้าหล่อนไม่คิดจะเชื่อฟังในสิ่งที่ตนพูดบ้าง ทีกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นวัชระ พี่ชายสุดที่รักของเขา แม่เจ้าประคุณทั้งคะทั้งขา พูดอะไรก็เชื่อยอมทำตามไปเสียทั้งหมด

                ทีกับเขา ก่อนหน้าที่จะมาเป็นคู่หมั้นก็เป็นคู่กัดเบอร์หนึ่งที่ทั้งสองครอบครัวรู้กันดีว่า พบกันครั้งไหนไม่มีที่ภาสินีและคมกริชจะพูดกันดีๆ สักครั้ง เมื่อเปลี่ยนสถานภาพเป็นคู่หมั้น แม่เจ้าประคุณก็ขยันขัดคำสั่งเสียทุกอย่าง แล้วนี่ มาเป็นภรรยาโดนพฤตินัย แม่เจ้าประคุณก็ไม่วายทำให้โมโหได้ทุกครั้งซิน่า

                เห็นทีว่าเขาจะต้องหาทางปราบพยศคนดื้ออวดดีให้อยู่หมัดจริงๆ เสียแล้ว ก่อนที่จะต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับการชอบขัดคำสั่งไปตลอดชีวิต เพราะคมกริชตัดสินใจที่จะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นด้วยการแต่งงานกับภาสินีให้เร็วที่สุด

     

                คนอวดดีนอนหนาวสั่นขดตัวใต้ผ้าห่มหนาถึงสองผืน คมกริชรีบไปเอากะละมังใส่น้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาหญิงสาว ดีที่เขายังไม่นอนและแวะออกมาดูตอนดึกว่าภาสินีเป็นอย่างไรบ้าง ถึงได้รู้ว่าเจ้าหล่อนกำลังจับไข้จนครางออกมาให้ได้ยินว่าหนาว

                "หนาว หนาว"

                "คุณแพท คุณแพท" ชายหนุ่มเอามืออังที่ศีระษะของหญิงสาว แล้วรีบวิ่งกลับไปเอายาแก้ไขที่หมอให้ไว้เมื่อตอนเย็นมาป้อนภาสินี

                "หนาว หนาว" เจ้าตัวละเมอครางออกมาคำเดิม สาวน้อยขอตัวงอหาไออุ่นมากขึ้น คมกริชเห็นแล้วทั้งสงสารทั้งเป็นห่วง

                "กินยาก่อนคุณแพท ไข้จะได้ลด" คมกริชปลุกให้หญิงสาวตื่นขึ้นมากินยาลดไข้

                "ไม่กิน" คนป่วยเบือนหน้าหนี

                "กินหน่อย"

                เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนกินยายาก สมัยเด็กๆ ต้องใช้ทั้งวิธีหลอกล่อสารพัดเพื่อให้กินยาได้ในแต่ละครั้ง คราวนี้ก็เช่นกันแม้ป่วยขนาดนี้ ก็ใช่ว่าภาสินีจะยอมกินยาง่ายๆ

                "ไม่กิน" สาวน้อยลืมตามาเห็นยาเม็ดโตที่คมกริชยื่นให้แล้วเบือนหน้าหนี

                พิษไข้ที่กำลังรุมเล่นงานทำให้ภาสินีงอแงมากขึ้นกว่าเดิม คมกริชค่อยๆ ตะล่อมให้กินน้ำเข้าไปก่อนแล้วจึงยื่นยาให้ แต่คนป่วยเบือนหน้าหนีและทำท่าจะนอนลูกเดียว

                "มา พี่กริชป้อน" เขามีวิธีที่จะทำให้ภาสินีกินยาได้

                ยาเม็ดโตสีขาวถูกเม้มไว้ที่ริมฝีปากของคมกริชครึ่งหนึ่ง ภาสินีดื่มน้ำเข้าไปเล็กน้อยตามการคะยั้นคะยอของชายหนุ่ม จากนั้นเขาจึงจู่โจมอย่างสายฟ้าแล่ปไม่ให้คนป่วยได้ทันตั้งตัว ด้วยการแนบริมฝีปากตนเองเข้าไปหาเรียวปากที่กำลังเผยอ ส่งยาเม็ดสำคัญเข้าไปในปากได้อย่างง่ายดายและหลอกล่อให้กลืนลงคอด้วยจูบแสนหวานอย่างอ่อนโยนที่สุด

                ภาสินีไม่ทันได้ลิ้มรสความขมของยาเม็ดนั้น เพราะงุนงงกับจูบที่คนดูแลคนไข้มอบให้ตามมาติดๆ คมกริชแระเล็มเบาๆ พอให้เคลิ้ม แต่ก่อนจะถอนจูบออกมาขอละเลียดความนิ่มนวลหอมหวานพอเป็นพิธี และปล่อยให้คนป่วยได้พักผ่อนในเวลาต่อมา

                ไม่เพียงเท่านั้น คมกริชยังช่วยดูดซับความร้อนตามใบหน้าและซอกคอคนป่วยด้วยจูบที่พรมอย่างละมุนละไม ซึ่งช่วยให้คนที่ทรมานเพราะพิษไข้รู้สึกดีจนหลับลงได้ในที่สุด

                "ยังหนาวอยู่ไหม" เขากระซิบถามอย่างอ่อนโยน

                "หนาว" ภาสินีละเมอตอบ

                คมกริชอุทิศตัวเองเป็นผ้าห่มให้คนป่วยได้อบอุ่นอุ่น เขาขยับตัวแทรกเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนา ใช้ร่างกายกำยำโอบอุ้มสาวน้อยไว้ทั้งหมด ถ่ายทอดไออุ่นให้เนื้อนิ่มได้คลายความหนาวเพราะพิษไข้ ไม่กลัวเลยว่าตนอาจจะไม่สบายไปอีกคนได้ ยอมให้ภาสินีซุกตัวเข้ามาเบียดแนบชิดด้วยความเต็มใจ ยิ้มอย่างมีความสุขราวกับว่ารอคอยเวลานี้มาแสนนาน ที่จะได้ปกป้องคุ้มครองเธอในยามเดือดร้อนมีภัย ให้ปราศจากจากอันตรายใดๆ ทั้งปวงด้วยหัวใจและร่างกายที่ทำด้วยความยินยอมอย่างที่สุด

     

                เช้าวันรุ่งขึ้น

                เสียงนกร้องข้างหน้าต่างปลุกให้สาวน้อยลืมตาตื่นด้วยความสดชื่น ภาสินีรู้สึกได้ว่าอาการป่วยของตนเองดีขึ้นมากแล้ว เช้านี้ไม่เวียนศีรษะหรือหนาวสะท้านเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา

                "อุ๊ย"

    สาวน้อยกำลังจะลุกขึ้นจากที่นอนพบว่ามีแขนของใครบางคนโอบกอดตัวไว้ไม่ห่าง คมกริชขึ้นมาอยู่บนเตียงเดียวตั้งแต่เมื่อไรกัน

                "ว้าย" ร่างเล็กที่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่งถูกรั้งให้ลงมานอนราบที่พื้นเตียงอยู่ภายใต้อ้อมกอดของชายหนุ่มอีกครา

                "ไม่สบายต้องนอนเยอะๆ หลับตาเร็ว" คมกริชพึมพำเบาๆ ที่ข้างหูโดยที่ยังไม่ลืมตา

                "ฉันไม่ง่วงแล้ว" ภาสินีขืนตัวออกจากอ้อมแขนนั้น

                "แต่ฉันง่วง เมื่อคืนกว่าจะเช็ดตัวให้ไข้ลดปาเข้าไปตีสาม ขอนอนอีกหน่อยแล้วเดี๋ยวค่อยตื่นแล้วกัน"

                เมื่อคืนกว่าจะจัดการเช็ดตัวให้ไข้ลด คมกริชต้องคอยตื่นมาเป็นระยะเพื่อจัดการลดไข้ให้คนป่วยที่หลับไม่ได้สติ กว่าที่สภาพร่างกายของภาสินีจะเข้าสู่ภาวะปกติก็เลยเช้าวันใหม่แล้ว

                "ไปนอนห้องตัวเองซิ มานอนเตียงคนอื่นทำไม" ภาสินีเอ่ยปากไล่

                "คนอื่นซะที่ไหน ผัวเมียกันต่างหาก" คมกริชพูดพลางซุกหน้าลงมาที่ข้างแก้มสาวแล้วกระซิบต่อไปอีกว่า

                "ผัวเมียก็ต้องนอนเตียงเดียวกันซิ หรือไม่จริง"

                "ตาบ้า ลุกเดี๋ยวนี้เลยนะ" คนเพิ่งหายป่วยหน้าแดงใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

                "จะให้ลุกไปไหน อากาศกำลังดี ได้นอนกอดเมียแบบนี้จ้างให้ก็ไม่ลุกเด็ดขาด" เขาพูดอย่างอารมณ์ดีแถมตั้งท่านอนต่อจริงๆ ด้วย

                "ไม่ลุกก็ปล่อย ฉันจะไปทำอย่างอื่น" ในเมื่อเขาไม่ลุกเธอไปเองก็ได้

                "ทำอะไร เช้าๆ แบบนี้ไม่เห็นมีอะไรให้ทำเลย มาเร็ว นอน" คมกริชดึงดันจะนอนต่อให้ได้

                ช่วงเวลาดีๆ ที่ได้อยู่กับภาสินีตามลำพังหาได้ยาก โดยเฉพาะเวลาที่เจ้าหล่อนไร้พยศด้วยแล้วแบบนี้ยิ่งต้องรักษาไว้ให้นานที่สุด

                "ไม่ได้ พระใกล้จะมารับบาตรแล้ว" สาวน้อยโวยวายลั่น

                ภาสินีตัดสินใจดันตัวเองลุกขึ้นแล้วไปจัดการอาบน้ำแต่งตัวใหม่เตรียมลงไปใส่บาตรที่ท่าน้ำหน้าบ้าน เธอแปลกใจเล็กน้อยที่ออกมาไม่เห็นคมกริชอยู่บนเตียงนอน จึงเดาว่าเขาคงกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองแล้ว

     

                พระสงฆ์พายเรือเข้ามาใกล้ท่าน้ำหน้าบ้านสวน ภาสินีพนมมือนิมนต์พระคุณท่านให้มารับบาตร เด็กชายโต้งนั่งอยู่ข้างๆ เป็นผู้จัดเตรียมสิ่งเหล่านี้และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคอยส่งของให้หญิงสาว

                "นิมนต์ค่ะ" สาวน้อยทำความเคารพอย่างนอบน้อม เอื้อมมือจับทัพพีตักข้าวเตรียมตักลงในบาตรพระ

                "ผมช่วย"

                คมกริชเดินลงมาจากเรือนทันเวลาพอดี เมื่อรู้ว่าภาสินีลุกขึ้นแต่เช้าเพื่อมาใส่บาตรเขาจึงรีบกลับไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วตามลงมาสมทบ โชคดีที่พระเพิ่งพายเรือมาถึงจึงได้ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกับหญิงสาวพร้อมกัน

                "ทำหน้าให้สดใสซิ ทำบุญนะ" เขากระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน เมื่อภาสินีไม่ยอมหยิบจับอะไรต่อ นั่งนิ่งปล่อยให้คมกริชทำอยู่ฝ่ายเดียว

                "ใครใช้ให้ลงมา" สาวน้อยเค้นไรฟันถาม พลางเอื้อมมือหยิบดอกไม้วางไว้บนฝาบาตรพระองค์แรก

                "ทำบุญร่วมกันเป็นมงคลแบบนี้ ปล่อยให้ทำคนเดียวได้ไง ผมเป็นสามีก็ต้องลงมาร่วมบุญกับภรรยาซิ ถึงจะถูก" ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

                "นาย..." ภาสินีพยายามทำใจให้สงบ เมินหน้าหนีไม่มองทั้งที่ในใจแสนจะหมั่นไส้คนช่างพูดเสียเหลือเกิน

                "เอาน่า ตั้งใจนะ ทำบุญกันเถอะ" คมกริชหันมาสมานสามัคคีด้วยวาจาและรอยยิ้มที่แสนอ่อนหวาน เอื้อมมือมาจับมือของสาวน้อยประเคนข้าวของใส่บาตรอีกครา

                สองมือตักข้าวประเคนลงในบาตรร่วมกัน อีกทั้งอาหารคาวหวานที่ทั้งคู่ช่วยกันประเคนจนหมด ภาสินีรู้สึกสบายใจที่ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้สำเร็จ เสียงพระให้พรลั่นท่าน้ำทั้งคู่ร่วมกันกรวดน้ำอุทิศบุญแด่สรรพสัตว์ผู้ยาก ก่อนที่คมกริชจะยกถ้วยน้ำไปเทที่ต้นไม้เป็นอันเสร็จสิ้น

                "อนุโมทนาด้วยนะ แล้วพรุ่งนี้จะใส่อีกหรือเปล่า" คมกริชถามขณะที่เดินตามขึ้นมาบนเรือน

                "ใส่ นายจะทำไม" สาวน้อยหันหน้ามาถามด้วยความสงสัย

                คมกริชทำให้หัวใจเธอวุ่นวายสับสนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปหมดแล้วในเวลานี้ เขามาที่นี่ด้วยท่าทีที่แปลกไปจากทุกครั้งที่เจอหน้า กริยาอาการที่แสดงออกราวกับไม่ใช่คมกริชที่เคยรู้จักมาก่อน เขาอ่อนโยน สุภาพ ช่างเอาใจ พูดจาหวานหูและไม่มีท่าทีขัดใจอะไรเธอแม้แต่น้อย

                "เดี๋ยวเย็นนี้จะไปซื้อของมาเพิ่มให้ไง พรุ่งนี้เราจะได้ถวายสังฆทานกัน" เขาพูดอย่างกระตือรือร้น

                "ถ้าอยากทำเดี๋ยวจะบอกให้โต้งเตรียมของเพิ่มให้อีกชุด นายอยากจะทำอะไรก็เชิญตามสบาย"

                "ทำไมต้องเพิ่มด้วย แค่ซื้อสังฆทานมาเพิ่มแล้วใส่ด้วยกันเหมือนเดิมแค่นั้น"

                "ฉันทำของฉัน นายทำของนายไม่เกี่ยวกัน" ภาสินีเกี่ยง

                "ไม่มีของฉัน ไม่มีของใคร มีแต่ของเรา ของเราสองคนผัวเมีย เข้าใจไหม" คมกริชคว้ามือหญิงสาวไว้แล้วพูดต่อไปว่า

                "ใส่บาตรเสร็จก็ไปกินข้าวจะได้กินยา แล้ววันนี้ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นอยู่บ้าน"

                "ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย ที่จริงนายกลับกรุงเทพฯไปซะวันนี้เลยดีกว่า ไปใส่บาตรที่กรุงเทพฯแล้วกัน" ภาสินีเอ่ยปากไล่อีกเป็นครั้งที่สอง

                "ทำไมชอบไล่นัก" เขารวบตัวหญิงสาวเข้ามากอด

                สาวน้อยรีบเอามือดันอกแกร่งไว้ไม่ให้ตัวเองเข้าไปใกล้มากเกินความจำเป็น ตาบ้านี่ มาทำให้หัวใจและความรู้สึกหวั่นไหวสับสนอลหม่านไปหมดแล้ว

                "ปล่อยนะ" หญิงสาวพยายามดันตัวออกห่าง กลัวว่าเด็กชายโต้งหรือใครจะขึ้นมาเห็น

                "ไม่ปล่อย บอกก่อนว่าทำไมชอบไล่ฉันไปไกลๆ อยู่เรื่อย" เขาดึงดันเอาตัวภาสินีเข้าไปคุยต่อในห้องจนได้

                "ปล่อยนะ" สาวน้อยร่ำร้องให้ปล่อย แต่คมกริชดึงรั้งเอาตัวเข้ามาในห้องนอนแล้วลงกลอนประตูไม่ให้ออกมาได้

                "จะทำอะไร" หญิงสาวระแวงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเขาลงกลอนประตูห้องแน่นหนา

                "คุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าคุยไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องออกไปไหนแล้ววันนี้" ท่าทางคมกริชขึงขังจริงจังอย่างเห็นได้ชัด

                "ทำไมต้องไล่ด้วย ฉันมีอะไรน่ารังเกียจถึงต้องไล่กันนัก เช้านี้ไล่สองครั้งแล้วนะ และถ้าไล่อีกครั้งล่ะก็..." เขาหรี่ตามองสาวน้อยที่ยืนหน้างออยู่ตรงหน้า

                "ถ้าพูดไล่อีก ฉันจะจัดการเธอ" จะจัดการยังไงเดี๋ยวค่อยคิด แต่รับรองว่าภาสินีจะไม่กล้าไล่อีกแน่

                "เผด็จการ เอาแต่ใจ นิสัยไม่ดี" ภาสินีเอ่ยขึ้นลอยๆ ไม่เจาะจงใครทั้งสิ้น

                "ว่าใคร" เขาถามอย่างเอาเรื่อง

                "ใครรับไปก็คนนั้น" สาวน้อยย้อนเข้าให้

                "ในห้องมีกันแค่เราสองคน ไม่ว่าฉันแล้วหมายถึงใคร" คมกริชชักสีหน้าเดินย่างเข้าไปหาทันที

                "ก็บอกแล้วไง ใครรับก็คนนั้น" ภาสินีถอยหลังหนีเมื่อเห็นคนที่เดินมาทำท่าเหมือนโมโห

                "ที่พูดว่าฉันใช่ไหม" เขาถามย้ำอีกครา

                "ไม่รู้" สาวน้อยสะบัดเสียงตอบ หันหน้าหนีไม่กล้าสบตาคนถาม

                ไม่ใช่เพราะกลัวว่าคมกริชจะทำร้าย แต่เพราะหัวใจมันรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ตอนเช้าที่ตื่นมาและพบว่าอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ยิ่งรู้ว่าเมื่อคืนเขาเป็นคนดูแลเช็ดตัวเพื่อให้ไข้ลดและหายดีเป็นปกติจนตอนนี้

                ภาสินีก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าสิ่งที่คมกริชกระทำให้เป็นเพราะหน้าที่หรือสิ่งอื่น ไม่รู้ว่าที่เขาตามมาถึงอัมพวาเพราะต้องการสิ่งใดจากตนกันแน่ แต่การกระทำที่เปลี่ยนไปมีความอ่อนโยนเข้ามาแทนที่ มันทำให้หัวใจของเธอเริ่มสับสนและอึดอัด เพราะไม่รู้ว่าหน้าไหนคือตัวจริง หน้าไหนคือคนใจร้ายที่ชอบทำให้หัวใจดวงนี้บอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานานหลายปีกันแน่

                "จะมีสักครั้งไหมที่เราจะพูดดีๆ กันบ้าง" น้ำเสียงชายหนุ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คนถูกถามเมินหน้าหนีไม่ตอบกลับใดๆ ทั้งสิ้น ทำเอาคมกริชต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ

                "เอาเถอะ ต่อไปนี้ฉันจะพูดดีๆ ก่อน ในฐานะที่เป็นพี่" เขาพูดเองเออเองสรุปคนเดียว

                "ส่วนเธอก็ต้องพูดกับฉันดีๆ เข้าใจไหม" เขาหันมากำชับภาสินีที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรตอบ

                "ทำไมต้องบังคับ" สาวน้อยท้วงขึ้นมาคำแรก

                "อยากให้คนอื่นพูดดีด้วยก็ไม่เห็นจะยาก หัดพูดดีๆ กับคนอื่นก่อน ไม่ใช่เที่ยวสั่งให้คนอื่นพูดดีแล้วตัวเองพูดไม่เพราะ" ภาสินีได้ทีรีบพูดต่อ

                "พูดไม่เพราะ ไม่รักษาน้ำใจคนอื่น ไม่ฟังเหตุผล เอาแต่ใจ เผด็จการ บังคับ ว่าแต่คนอื่นไม่ดูตัวเอง แบบนี้ใครอยากจะอยู่ใกล้ๆ" พอได้พูดคราวนี้สาวน้อยก็ร่ายยาวจนคมกริชฟังแทบไม่ทัน

                "เคยไหมจะถามเหตุผลคนอื่นว่าทำเพราะอะไร เห็นอะไรไม่ถูกใจไม่ชอบใจก็เอาแต่ว่า เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง จะเสียใจแค่ไหน พอตอบโต้กลับก็หาว่าไม่ดีอย่าโน้นอย่างนี้ เคยสำรวจตัวเองบ้างไหมว่าทำดีกับคนอื่นแล้วหรือยัง"

                "เธอ..." ชายหนุ่มชะงัก ไม่โกรธแต่พูดไม่ออกมากกว่า ไม่รู้มาก่อนว่าภาสินีจะคิดแบบนี้

                "ฉันทำอะไร นายเคยถามเหตุผลไหมว่าทำไม ไม่เคยถาม และทุกครั้งนายจะสรุปเองว่าฉันผิด นายถูก แล้วนายก็จะว่า จะด่า พูดโน้นพูดนี้ให้ฉันหมดกำลังใจจะอธิบายต่อ ถ้านายดีมากแต่ฉันผิดทุกอย่าง งั้นเราก็ไม่ต้องมาอยู่ใกล้ๆ กันดีกว่า ต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด"

                "นี่..." คมกริชไปต่อไม่เป็นเข้าให้แล้ว

                ภาสินีชำเลืองมองหน้าคนพูดเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคมกริชไม่เอ่ยอะไรต่อจึงตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง แต่ทว่าคนที่ยืนอึ้งเพื่อเรียบเรียงคำพูดขัดขึ้นมาเสียก่อนว่า

                "ตกลงว่าฉันต้องทำไง เธอถึงจะเลิกไล่แล้วพูดด้วยดีๆ สักที" น้ำเสียงคนพูดอ่อนใจเล็กน้อย ให้ตายเถอะ ไม่ว่าจะที่นี่หรือที่ร้านหรือที่ไหนก็ตาม ไม่มีสักครั้งที่ภาสินีจะไม่ไล่ให้ไปไกลๆ หน้า

                "นายก็เลิกทำนิสัยแย่ๆ ที่ทำมาตลอดชีวิตซิ" ภาสินีหันมาสบตาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า

                "นายอยากให้ใครทำดีด้วย ก็ควรทำดีกับเขาก่อน หรือถ้าอยากให้ใครพูดดีด้วยก็ต้องพูดดีกับเขาก่อน ไม่ใช่สั่งว่าให้คนอื่นต้องพูดดีๆ ด้วย เพราะนั่นคือการบังคับ ไม่ใช่สิ่งที่คนอยากทำให้ด้วยหัวใจ"

                "ฉัน..." คมกริชอ้าปากค้าง แม่เจ้า นี่ที่ผ่านมาเขาทำอะไรไว้กับเจ้าหล่อนนักหนาหรือ

                "ถ้าทำได้ค่อยมาพูดกันใหม่ แต่ถ้าทำไม่ได้ตลอดชีวิตนี้เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ถอย ฉันหิวข้าว จะไปกินข้าว" สาวน้อยไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น เปิดประตูเดินออกไปปล่อยให้คมกริชยืนนิ่งเป็นหุ่นต่อไปอย่างนั้น

     

                คมกริชหมดปัญญาที่จะคิดเองต่อว่าควรทำอย่างไรกับเรื่องของภาสินีดี เพราะทีแรกที่ตัดสินใจตามมาอัมพวาก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่า ยินดีจะรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นด้วยการแต่งงานกับเจ้าหล่อนซะ

                ทว่าเมื่อมาถึงยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไร ก็มาเจอภาสินีไม่สบายเสียก่อนแถมพออาการดีขึ้นก็มีเรื่องอื่นเข้ามาแทรก ยังไม่ทันได้บอกสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรกก็ต้องมาจอดสนิทเพราะคำพูดที่แม่เจ้าประคุณเอ่ยออกมาเมื่อครู่

                "พี่วัช" คมกริชตัดสินใจติดต่อไปหาที่พึ่งเพียงคนเดียวที่น่าจะพอให้คำปรึกษาเรื่องนี้ได้

                เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าภาสินีมีความรู้สึกเช่นไรกับตนเอง จนกระทั่งที่เจ้าหล่อนพูดออกมาเมื่อครู่นี้ ไม่มีสักคำที่เอ่ยปากชมว่าดีหรือชื่นชมชัดเจน นอกจากจะเป็นคำต่อว่าในทางเสียหาย ซึ่งถ้ามองกันตามจริงคมกริชก็ยอมรับว่า นั่นคือสิ่งที่กระทำกับหญิงสาวมาตลอดชีวิต

                เขาไม่เคยพูดดีด้วย พูดจาห้วนไม่ไพเราะ ไม่รักษาน้ำใจ เอาแต่ความคิดของตนและสิ่งที่ต้องการ เผด็จการ บังคับ ขู่เข็ญให้เธอทำตามทุกอย่างตามที่ต้องการหมด ไม่เคยฟังหรือสนใจว่าภาสินีจะให้เหตุผลกับเรื่องนั้นๆ ว่าอย่างไร อะไรที่เจ้าหล่อนเอ่ยหรือคิด

    สำหรับคมกริชมันคือนิสัยเอาแต่ใจของคุณหนู ซึ่งตนเองรับไม่ได้และไม่ต้องการให้ใครมาทำเช่นนี้ด้วย

                การตอบสนองของเขาที่มีต่อภาสินีจึงเป็นแง่ลบเสียมากกว่าเรื่องบวก เรียกว่าแทบไม่มีเรื่องดีๆ ให้น่าจดจำเลยแม้แต่น้อย ยังดีที่คมกริชรู้จักผ่อนลงหากว่าแม่เจ้าประคุณร่ำไห้เสียใจเอาเป็นเอาตายชนิดที่ไม่มีใครทำให้เงียบได้ ก็จะเป็นคนปากเสียที่สร้างเรื่องทุกอย่างมาแต่ต้นนี่ล่ะ ที่เป็นคนเช็ดน้ำตาและปลอบขวัญให้หายเสียใจ แต่...

                มันไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำหรือเป็นความประทับใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนมีต้นเหตุมาจากการกระทำเริ่มต้นจากคำพูดหรือท่าทางที่ไม่ดีซึ่งออกมาจากปากของนายคมกริชคนนี้ก่อนเป็นที่ตั้ง สรุปก็คือเขาเริ่มและจบด้วยตนเอง เป็นทั้งเทพบุตรและอสูรใจร้ายในร่างเดียวกันนั่นเอง

                "ผมอยู่อัมพวาที่บ้านสวนของภาสินี" น้องชายเกริ่นนำแล้ววกเข้าเรื่องด่วนที่กำลังร้อนใจในเวลานี้

                "พี่วัช แม่น้องสาวตัวดีของพี่เฉ่งผมซะไม่มีชิ้นดีเลย รู้ไหม...." คมกริชทวนคำพูดทุกคำของภาสินีให้วัชระรู้ ก่อนจะทำหน้ามุ่ยเพราะปลายสายหัวเราะชอบใจกลับมา

                "ผมไม่ได้โทร.มาฟังเสียงพี่หัวเราะเยาะนะ แต่อยากให้พี่ช่วยคิดว่าต้องทำไงดี ถึงจะทำให้ภาสินียอมพูดดีๆ ด้วย ไม่งั้นนะ พูดแค่คำสองคำก็ทะเลาะกันแล้ว ผมปวดหัวไม่รู้จะใช้วิธีไหนดี บังคับก็แล้วขู่ก็แล้ว หมดมุกแล้วพี่" ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนแผ่หราบนเตียงใหญ่ด้วยท่าทีหมดแรงจริงๆ

                นี่เป็นครั้งแรกที่คมกริชไม่รู้ว่าจะต้องใช้วิธีไหนคุยกับภาสินี เรื่องที่เขาจะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอยากให้เธอรับรู้และกระทำด้วยความยินดีและเต็มใจ คมกริชไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องล้อเล่น ที่อยากแต่งก็แต่งอยากเลิกก็เลิก สำหรับชายหนุ่มแล้วแต่งงานคือการร่วมชีวิตไปจนนิรันดร์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×