คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 6
เมธาวีกลับมืดกว่าเมื่อวานอีก พรตทำกับข้าวไว้รอกินมื้อเย็นด้วย แต่เมื่อมาถึงมาถึงหญิงสาวก็ขอตัวไปอาบน้ำพักผ่อนโดยบอกว่าเหนื่อยไม่อยากกินอะไรแล้ว นิพนธ์กำลังจะกลับเช่นกันแต่พรตเรียกไว้ก่อน
“วันนี้ไปถึงไหนมา” ชายหนุ่มถามเสียงห้วน รู้สึกไม่พอใจที่นิพนธ์พาเมธาวีมาส่งบ้านมืดค่ำ แถมหญิงสาวยังมีสภาพอิดโรยขนาดนี้
“ไปดูที่” นิพนธ์ตอบสั้นๆ
“ผมรู้ว่าไปดูที่ แต่ไปถึงไหนทำไมกลับเอาป่านนี้” น้ำเสียงพรตแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด นิพนธ์ยักไหล่เบาๆ เหมือนไม่สนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร
“ก็มันหลงทาง ขับรถวนตั้งหลายชั่วโมง ลงไปดูก็ไม่ใช่อีก คุณมีอะไรจะถามอีกไหม พรุ่งนี้ผมต้องมารับน้องวีแต่เช้าอีก”
“จะไปไหน”
“ก็ไปดูที่ไง วันนี้ก็ไม่เจอพรุ่งนี้ก็ต้องไปหาใหม่”
“ผมถามหน่อย คุณจำไม่ได้หรือไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วไอ้ที่บอกว่าไปดูเนี่ย คลำทางไปไม่ได้มีแผนที่หรือโฉนดเลยใช่ไหม” พรตซักรายละเอียดถี่ยิบ
“ที่ดินปู่ย่าตายยายมีเป็นร้อยไร่พันไร่ ผมจะจำได้หมดไหม ที่เคยเห็นหรือเคยไปก็อยู่ใกล้ๆ ถึงพอจะจำได้ แต่ไอ้ที่ไม่เคยไปอีกล่ะ มันก็ต้องหลงต้องหากันแบบเนี่ยแหล่ะ” นิพนธ์ว่าไปตามเรื่อง
“หมายความว่าพวกคุณไปหาที่ๆ ไม่เคยเห็น ไม่เคยไป รู้แต่ว่ามีที่ดินตรงนั้นตรงนี้งั้นซิ” พรตพอเข้าใจแล้วแต่ก็ยังสงสัยว่า
“แล้วไม่มีที่ดินที่มีขนาดเท่ากับที่คุณต้องการอยู่ใกล้บ้างเลยหรือไง”
“ที่ดินที่คุณพูดถึงน่ะ มี” นิพนธ์พยักหน้ารับ
“แล้วทำไมพวกคุณไม่แลกกันด้วยที่ผืนนั้น”
“คงต้องไปถามน้องวีเองแล้วล่ะว่าทำไมไม่แลก ที่ดินแค่ห้าไร่เองนะ อ้อ ถ้าคุณไม่อยากให้น้องวีเหนื่อยก็ช่วยพูดให้น้องวียอมแลกที่ดินกับผมซิ จะได้ไม่ต้องไปตากแดดนั่งรถเป็นวันๆ เสียเวลาทำมาหากินแบบนี้” นิพนธ์ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วเดินจากไป ปล่อยให้พรตยืนงงซ้ำสองว่ามันเรื่องอะไรกัน
พรตขึ้นมาตามเมธาวีลงไปกินข้าวแต่เจ้าตัวปฏิเสธคำเดิมว่าไม่หิวและอยากพักผ่อนมากกว่า เขาไม่เซ้าซี้เรื่องกินข้าวแต่เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นที่ค้างคาใจแทน
“คุณจะเอาที่ผืนไหนแลกกับเขา” พรตถามคำแรก
“ฉันยังไม่รู้ค่ะ คงต้องรอให้พี่นิพนธ์ตัดสินใจ” เมธาวีพูดตามตรง หลายวันมานี่ที่ดินที่ไปดูมาล้วนไม่ถูกใจนิพนธ์สักผืน
“เขาบอกว่าที่ดินข้างโรงเรียนแค่ห้าไร่ แล้วคุณก็มีที่ดินที่ขนาดเท่ากันแถวนี้ แล้วทำไมไม่จัดการให้เรียบร้อยจะได้ไม่ต้องลำบากหาที่อื่น” ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจต่อไปอีกว่า
“หมอนั่นพูดเหมือนว่าคุณไม่ยอมให้ที่ๆ เขาต้องการงั้นเหรอ”
เมธาวีนิ่งไปเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้ารับ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ โดยไม่พูดอะไร ยิ่งทำให้พรตสงสัยและอยากรู้มากขึ้นไปอีกว่า เพราะอะไรหญิงสาวถึงไม่ยอมให้
“นายนิพนธ์อยากได้ที่ดินตรงไหน หรือว่าต้องใช้เงินเพิ่มอีกเท่าไร”
“ไม่ต้องเงินเพิ่มค่ะ ตรงกันข้ามถ้าให้ที่ดินผืนนั้นไป พี่นิพนธ์ต้องจ่ายเงินคืนมาด้วยซ้ำ เพียงแต่...”
“แต่อะไร” เขาถามด้วยความอยากรู้
“ฉันให้ที่ดินผืนนั้นไม่ได้ค่ะ คุณย่าสั่งไว้ว่าไม่ให้มีการเปลี่ยนมือเจ้าของเด็ดขาด”
“แต่ถ้าไม่ให้แล้วเขายืนกรานว่าจะเอาที่ผืนนี้แลกกับโรงเรียน คุณจะว่าไง” พรตย้อนถาม เมธาวีนิ่งเพราะเรื่องนี้ก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ
“เขาอยากได้ตรงไหน” ถ้าให้เดา พรตเดาว่าที่ดินที่นิพนธ์ต้องการน่าจะมีราคามากกว่าที่ดินห้าไร่ข้างโรงเรียนนั่น และเดาต่อไปไม่ยากว่าเมธาวีคงไม่มีวันยอมให้ง่ายๆ แน่
“ที่ตลาดสดที่เราไปเมื่อเช้าค่ะ” เมธาวีตัดสินใจบอก
“ตลาดแลกกับที่ดินตาบอดข้างโรงเรียนเนี่ยนะ เออ นายนิพนธ์นี่หัวหมอจริงๆ มิน่าเล่า เขาถึงได้บอกให้ผมมาพูดกับคุณซะ จะได้ไม่ต้องลำบากไปดูที่ให้เสียเวลา” พรตเข้าใจแล้ว อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้มั่นใจว่าสัญชาติญาณที่คิดไว้ไม่ผิดจริงๆ นายนิพนธ์มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลจริงๆ
“แล้วที่ดินที่ไปดูกันมาสองวันนี่ ขนาดเท่ากันเลยหรือเปล่า”
“พี่นิพนธ์ว่าเท่า แต่พอไปดูเขาก็ไม่ชอบเพราะว่ามันไม่ติดถนน บางที่เราก็ยังหาไม่เจอค่ะ”
“นี่อย่าบอกนะว่าไปโดยไม่มีแผนที่ ไม่มีโฉนดอะไรเลย ไม่ได้เช็กพิกัดก่อนไป ดุ่มไปเลยใช่ไหม”
มิน่าเล่า เมธาวีถึงกลับมาในสภาพนี้ ก็คงตะลอนไปกับนายนิพนธ์ตากแดดร้อนๆ จนหมดแรงนี่เอง ว่าแต่...
“คุณเป็นคนจำได้หรือหมอนั่นจำได้”
“ส่วนใหญ่พี่นิพนธ์จำได้ค่ะ เพราะว่าที่ดินพวกนั้นคุณปู่ของพี่นิพนธ์มาจำนองไว้กับคุณย่าตั้งแต่ฉันยังเด็ก พี่นิพนธ์บอกว่าเคยไปดูที่กับคุณปู่คุณย่ามาแล้ว” เมธาวีเอ่ย
“แล้วโฉนดอยู่ที่ใคร” พรตถามต่อ
“อยู่ที่ฉันค่ะ แต่ฉันยังไม่เคยรังวัดใหม่หรือทำอะไรเลย บางที่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ตรงไหน”
พรตถึงบางอ้อ จำได้ว่าคุณย่าของเมธาวีเป็นเศรษฐีนีเรื่องที่ดิน ท่าทางว่าหญิงสาวก็คงจะได้รับมรดกตกทอดมาไม่น้อย เอาเถอะ สมบัติของเธอก็คือของเธอ พรตแค่รับรู้ไว้แต่ว่า...
“คุณควรจัดการเรื่องโฉนดและตรวจสอบว่ามันอยู่ที่ไหนให้เรียบร้อย เรื่องนี้ผมช่วยคุณได้” ชายหนุ่มอาสาด้วยใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้โชคช่วยฉันอยู่” เมธาวีบอกตามตรง
โชคอีกแล้ว แหม พรตชักจะหมั่นไส้ รู้สึกว่าเจ้าโชคช่างใกล้ชิดสนิทสนมกับเมธาวีเสียเหลือเกิน ถึงขั้นเก็บความลับกุมข้อมูลของกันและกันขนาดนี้ ไหนจะทำงานให้แทบจะทุกอย่างเลยก็ว่าได้ ชักสงสัยแล้วว่าเจ้าโชคหรือเปล่าที่จะมาตีท้ายครัวครอบครัวเขา
“คุณมีความลับอะไรกับเจ้าโชค” จู่ๆ พรตก็ถามโพล่งขึ้นมากลางคัน
“ความลับอะไรคะ ไม่มีนี่” เมธาวีทำหน้างงไม่เข้าใจที่เขาถาม
“เรื่องที่คุณสั่งเจ้าโชคว่าห้ามเล่าให้ผมฟังเด็ดขาด มันคือเรื่องอะไร” สายตาพรตประสานมาที่หญิงสาวอย่างแน่วแน่ เขาต้องการคำตอบที่ชัดเจนและละเอียด
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ โชคคงล้อคุณเล่น” หญิงสาวหลบสายตาที่จ้องมองไม่ห่าง นึกในใจว่าโชคพูดอะไรออกมาบ้าง
“ไม่ล้อเล่นหรอก วันนี้ผมโทร.ไปหานายโชคแล้ว” พรตดักทุกทางไว้หมดแล้ว
“คุณแต่งงานกับผมเพราะเรื่องนายนิพนธ์ คุณย่าต้องการปกป้องคุณจากหมอนั่น แล้วทำไมจู่ๆ ถึงนึกอยากจะหย่าแล้วกลับมาที่นี่อีก หรือว่า...” ชายหนุ่มเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“เปลี่ยนใจอยากกลับมาหาพี่ชายร่วมโลกอีก”
“คุณพรต” เมธาวีหน้าบึ้งเล็กน้อย
“ฉันไม่เคยคิดอะไรกับพี่นิพนธ์แล้วก็ไม่มีวันจะคิดด้วย”
“แล้วคุณคิดว่าหมอนั่นคิดเหมือนคุณไหม ถ้าไม่คิดก็คงไม่ยึกยักเรื่องที่ดินนั่นหรอก” พรตพอจะเดาอะไรหลายอย่างได้แล้ว
“ฉันจัดการเองได้ คุณอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวตัดบท
“จะให้ผมอยู่เฉยได้ไง เมียออกไปตะลอนกับผู้ชายอื่นทุกวัน แถมไอ้ผู้ชายคนนั้นมันยังคิดไม่ซื่ออีก ผมขอสั่งห้ามไม่ให้คุณออกไปกับมันอีก เรื่องที่ดินหรือโฉนดผมจะให้เจ้าหน้าที่มาจัดการให้คุณเอง ส่วนเรื่องหาที่ดินแลกกันไว้เรื่องโฉนดเรียบร้อย คุณกับผมค่อยพาเขาไปดูที่อีกรอบ แล้วถ้ายังไม่ตกลงค่อยว่ากันใหม่” พรตเอ่ยเสียงดังฟังชัดคล้ายออกคำสั่งกลายๆ
เขาไม่ไว้ใจนิพนธ์ ไม่วางใจให้อยู่ใกล้เมธาวี พรตไม่อยากเดาเหตุการณ์ในทางที่ร้ายแต่ก็ต้องคิดไว้ก่อน ความสัมพันธ์ของทั้งสองในอดีตเป็นไงไม่สน สนใจแค่ว่าไม่อยากให้นิพนธ์อยู่ใกล้เมธาวีเท่านั้นพอ
“คุณพรต เรื่องนี้ฉันจัดการเอง บางอย่างฉันก็ทำไปบ้างแล้ว คุณไม่ต้องทำอะไรให้ทั้งนั้น ส่วนเรื่องพี่นิพนธ์ มันไม่มีอะไรทั้งนั้นไม่ว่าก่อนหน้าหรือตอนนี้ ฉันบริสุทธิ์ใจและเชื่อว่าเขาก็เป็นอย่างนั้น”
“โอ้โห ใจนางฟ้าเหลือเกิน เอาเถอะ คุณจะเป็นนางฟ้านางสวรรค์มองโลกยังไงก็ช่าง แต่ผมขอสั่งให้คุณห้ามไปไหนกับหมอนั่นอีกเด็ดขาด” คราวนี้เสียงพรตเอาจริง
“คุณไม่มีสิทธิ์มาห้าม พี่นิพนธ์เป็นญาติฉัน” เมธาวีเถียงกลับบ้าง
“แล้วผมเป็นใคร ทำไมถึงห้ามคุณไม่ได้” เขาย้อนถามเสียงเข้ม
เมธาวีไม่ตอบ ทั้งคู่เงียบไปชั่วขณะ พรตรู้ว่าการออกคำสั่งจะทำให้หญิงสาวไม่พอใจแต่ก็ต้องทำ เขาไม่อยากให้มีปัญหาอื่นตามมาทีหลัง
“เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” พรตเอ่ย
“ฉันไม่คุยอะไรกับคุณทั้งนั้น ชีวิตฉัน ฉันตัดสินใจและดูแลเองได้” เมธาวีเชิดหน้าเล็กน้อย
“ถ้าดูแลเองได้ คุณย่าคงไม่ต้องจับผมแต่งงานกับคุณ เพื่อเอาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลผมมาปกป้องคุณหรอก จริงไหม”
“คุณ”
“ตอนนี้คุณอยู่ภายใต้คำว่าเมียนายพรต ก็ต้องเชื่อและฟังที่ผมพูด” พรตย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่น
“ฉันไม่เคยอยากใช้คำนั้น ไม่เคยคิดจะเอาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลคุณมาปกป้องตัวเอง ฉันยอมรับว่าเคยกลัวจนต้องหนีและโชคดีที่คุณย่าเมตตา แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการหนีไม่ได้ช่วยอะไร ความเมตตาที่คุณย่ามอบให้ปกป้องฉันชั่วชีวิตไม่ได้ ฉันต้องรู้จักดูแลและปกป้องตัวเอง นี่ต่างหากคือสิ่งที่ฉันกำลังทำ”
พรตนิ่งไปเล็กน้อย เมธาวีจึงเอ่ยต่อไปว่า
“ฉันรู้สึกผิดมาตลอดที่ทำให้คุณต้องมาวุ่นวาย คุณควรได้กลับบ้านตัวเองใช้ชีวิตกับคนในครอบครัว โดยไม่ต้องทนเห็นหน้าคนที่มาสร้างภาระให้อย่างฉัน และนี่คือเหตุผลในการขอหย่าของฉัน หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
พรตเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เมธาวีจึงเอ่ยออกมาอีกว่า
“ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็ช่วยจัดการสิ่งที่ฉันต้องการให้เรียบร้อย แล้วไม่ต้องทำอะไรให้ฉันทั้งนั้น ฉันจะพยายามดูแลทำเองให้ได้ด้วยตัวเอง”
“ด้วยการขอให้คนอื่นอย่างนายโชคช่วยแต่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากผม ก็ได้ ถ้าคุณอยากทำแบบนั้นก็ตามใจ หวังว่านายโชคจะช่วยคุณได้สมปรารถนาในทุกสิ่งนะ” พรตทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินออกนอกห้องไปทันที ปล่อยให้เมธาวีพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินเสียงปิดประตูจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีน้ำตาคลอเต็มสองตาเลย
ท่าทีของพรตเมื่อครู่เหมือนไม่แยแสไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ตอนอยู่ที่บ้านพิราธัสแม้ว่าเขาจะมีสายตาเย็นชายามพบกัน แต่เมธาวียังไม่รู้สึกอึดอัดใจเท่าตอนนี้เลย หญิงสาวไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ รู้แค่ว่ามันโหวงๆ ในอกชอบกลแต่ก็ไม่คิดจะหาคำตอบ เพราะตอนนี้เมธาวีรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวเหมือนจะเป็นไข้จนอยากจะนอนมากกว่าสิ่งใด
อากาศเย็นมาพร้อมลมโชยทำให้พรตเริ่มอารมณ์ดีขึ้น เขานั่งอยู่ใต้ถุนด้านล่างเก็บจานชามในครัวล้างเรียบร้อยแล้วค่อยมานั่งตอบอีเมล์ลูกน้อง ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนเก้าอี้ไม้ มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีหมู่ดาวนับร้อยนับพันบนนั้น
ถ้าอยู่ที่คอนโดในกรุงเทพฯพรตคงไม่มีโอกาสได้เห็นดาวเช่นนี้ ชีวิตชั้นบนเกือบสุดของคอนโดหรู มีเพียงแสงไฟจากอาคารใกล้เคียงเป็นหมู่ดาวจำแลงแทน และมีเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำแทนสายลมที่พัดโชยเย็นชื่นใจในเวลานี้
พรตไม่ได้ขึ้นไปดูเมธาวีเลยตั้งแต่ออกจากห้อง และเธอก็ไม่ได้ย่างกรายลงมาข้างล่างเช่นกัน เขาคิดว่าป่านนี้เธอคงหลับเพราะความเหนื่อยที่ออกไปตะลอนกับนิพนธ์มาถึงสองวัน และแน่นอนว่าพรุ่งนี้ก็คงต้องไปอีก
“ว่าไง” พรตกดรับสายโทรศัพท์ที่เข้ามา เป็นโชคนั่นเอง
“อยู่ข้างล่าง นายมีอะไร” เสียงพรตราบเรียบตอบคำถามของคนที่โทรศัพท์เข้ามาว่าตนอยู่ไหน
“คุณวีของนายคงหลับสนิทไปแล้วมั้ง วันนี้กว่าจะกลับมาก็มืด พรุ่งนี้ก็คงต้องออกไปตะลอนกับหมอนั่นอีก นายมีอะไรไว้โทร.หาพรุ่งนี้เช้าก็ได้นี่”
“คุณวีไม่รับสาย ปกติเวลานี้ยังไม่น่านอนนะครับ” โชคถามด้วยความแปลกใจ
“ก็ออกไปตะลอนเหนื่อยไง สองวันแล้วนะที่ไม่ได้อะไรกลับมา นายไม่บอกคุณวีของนายให้เปลี่ยนแผนใหม่ดูบ้างล่ะ หาที่ดินแถวนี้ที่ขนาดเท่ากับที่ข้างโรงเรียนซิ จะได้ไม่ต้องออกไปให้เหนื่อยแบบนี้” พรตว่า
“ก็คุณนิพนธ์ระบุมาชัดเจนว่า ถ้าจะแลกที่กันก็ต้องเป็นที่ตลาดเท่านั้น เพราะเขาไม่เอาผืนอื่น” โชคเล่าตามที่ได้ยินมา
“หมอนั่นพูดแบบนั้นเหรอ” พรตฟังแล้วชักสงสัยจึงเอ่ยถามว่า
“ถ้าอยากได้แต่ที่ตรงนั้นแล้วทำไมถึงไปดูทีกับคุณวีของนายทุกวันล่ะ ในเมื่อมีธงในใจอยู่แล้วว่าจะเอาที่ตลาดให้ได้”
“ก็คุณวียืนกรานว่าให้ไม่ได้ เพราะคุณย่าสั่งว่าห้ามเปลี่ยนมือ คุณวีรู้ว่าถ้าคุณนิพนธ์ได้ไปก็จะต้องขายแน่ และคงไม่ขายแค่ผืนตลาดเท่านั้น ว่าแต่คุณวีออกไปดูที่แถวไหนครับ” โชคย้อนถาม
“ไม่รู้ แต่จะบอกว่าเป็นการทำงานที่มั่วมาก นายโทร.มาก็ดีแล้ว เรื่องโฉนดไปถึงไหนแล้ว” พรตวกกลับมาเรื่องที่ต้องการอยากรู้อีก
“โฉนดอะไรครับ” โชคถามด้วยความงุนงง
“ก็คุณวีของนายบอกว่าให้นายจัดการเรื่องโฉนดไม่ใช่เหรอ”
“ผมดูแลแค่เรื่องโฉนดของโรงเรียน ตลาด แล้วก็ที่นาใกล้ตลาดเท่านั้น ที่ดินเก่าแก่ผืนอื่นโฉนดอยู่กับคุณวีซึ่งยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“อะไรนะ” น้ำเสียงพรตดังขึ้นเล็กน้อย
“นี่เท่ากับว่าไปควานหาที่โดยไม่รู้อะไรสักอย่างงั้นซิ”
“ผมก็ไม่รู้ว่าคุณวีไปดูตรงไหน แต่ที่ดินสมบัติคุณย่าคุณวีเยอะมาก คุณวีคงหวังว่าจะถูกใจคุณนิพนธ์สักแปลงแล้วรามือจากการอยากได้ที่ดินตลาดมั้งครับ” โชคเดาว่าเมธาวีคงคิดเช่นนั้น
“ไม่มีทาง นายนิพนธ์บอกฉันเองว่าต้องการแค่ที่ดินที่ตลาด ที่อื่นเขาไม่สน”
“ถ้าอย่างนั้นงานนี้ก็คงต้องเจรจากันยาว เพราะคุณนิพนธ์ก็ยืนกรานว่าไม่เอาที่ผืนอื่นกับผมเหมือนกัน สงสารคุณวีนะครับ ต้องรักษาคำสั่งคุณย่าและก็ต้องทำให้ความต้องการเรื่องโรงเรียนเป็นจริงให้ได้ อ้อ ผมฝากบอกคุณวีด้วยว่าจะไปหาอีกสองสามวันนะครับ”
“นายจะมาทำอะไร” เสียงพรตเข้มขึ้นเล็กน้อย
“ผมจะไปจัดการเรื่องรังวัดโฉนดที่นาของคุณวี เท่านี้นะครับคุณพรต ฝากบอกคุณวีด้วย สวัสดีครับ” โชควางสายหลังจากแจ้งข่าวเรียบร้อย พรตนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมชั่วครู่ ในสมองปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ เพื่อหาผลดีผลเสีย รวมถึงคิดหาทางออกเรื่องนี้เพื่อช่วยเมธาวีด้วย และแล้วในที่สุดเขาก็รู้ว่าต้องหาทางดัดหลังคนอย่างนายนิพนธ์เช่นไร และงานนี้เมธาวีต้องใจเด็ดเท่านั้น
พรตปิดประตูห้องอย่างเบามือที่สุด เขาเข้ามาเอาเสื้อผ้าไปอาบน้ำเห็นเมธาวีหลับอยู่บนเตียง เดาว่าเธอคงเหนื่อยมากจึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงประตูเปิด ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนที่ฟูกข้างเตียงเหมือนเคย ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะต้องบอกแผนการที่คิดออกให้หญิงสาวฟัง แต่เมื่อกำลังจะเคลิ้มหลับกลับได้ยินเสียงครางเบาๆ ดังมาจากบนเตียง
พรตผงกหัวขึ้นมองเห็นเมธาวีรู้สึกตัวพยายามจะลุกขึ้น แต่ที่แปลกใจก็คือท่าทางเธอเหมือนไม่ค่อยมีแรง และทำท่าจะล้ม
“คุณ” พรตรีบลุกขึ้นรับตัวเธอและล้มลงไปบนที่นอนด้วยกัน
เมธาวีไม่รู้ตัวว่าล้มลง ใบหน้าหวานที่กำลังหลับตาพริ้มสะกดให้สายตาพรตจดจ้องมองอยู่ชั่วครู่ เขาเพิ่งได้มีโอกาสมองเธอใกล้ๆ เป็นครั้งแรก ริมฝีปากนั้นที่เขาเคยได้สัมผัส ตอนนี้มันอยู่ใกล้ๆ เย้ายวนใจให้เข้าไปหา แต่คนอย่างพรตเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ทำอะไรใครยามไม่รู้สึกตัว การได้มองเมธาวีแบบนี้ทำให้เขารู้สึกได้อย่างหนึ่งว่า ‘เมียตัวเอง’ สวยเหลือเกิน
แต่แล้วพรตก็ต้องปรับอารมณ์เมื่อเมธาวีขยับตัวเล็กน้อย เธอขดตัวคล้ายกลับว่ากำลังหนาวซุกหน้าลงที่กลางอกเขา กลิ่นหอมจากเรือนผมดำทำให้พรตกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที ผิวกายที่แนบชิดมีไอร้อนที่ทำให้รู้ว่าเมธาวีกำลังเป็นไข้
“คุณ” พรตร้องเรียกเธอเบาๆ แล้วเอามือแตะลงที่แขน
ใช่เลย เมธาวีเป็นไข้ตัวร้อน เขาเอามือแตะที่หน้าผากอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ไม่ผิด เธอมีไข้และเมื่อกี้เสียงครางที่ได้ยินก็คงเพราะไข้ขึ้นเป็นแน่
“ก็ซ่าออกไปตากแดดทุกวันไง พูดแล้วไม่เชื่อ” พรตบ่นเบาๆ พร้อมทั้งขยับตัวลุกขึ้น อุ้มคนที่กำลังหลับมานอนในท่าที่สบาย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
พรตกลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกะละมังผ้าขนหนูผืนเล็กและยาแก้ไขที่หาได้ในครัว ชายหนุ่มบิดผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วค่อยๆ เช็ดหน้าให้เมธาวีอย่างเบามือ
“ไม่เอา” เสียงพึมพำเบาๆ ของคนที่กำลังหลับตา หญิงสาวเบือนหน้าหนีการเช็ดตัว
“คุณเป็นไข้ เช็ดตัวหน่อย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม
“หนาว ไม่เอา” เมธาวีพึมพำเบาๆ แล้วพลิกตัวหนี แต่พรตดึงเธอกลับมาแล้วบังคับให้เช็ดตัวต่อ
มือเขาค่อยๆ ซับผ้าขนหนูลงที่ซอกคออย่างถนอม ท่าทางของเมธาวีทำให้พรตรู้ว่าเธอคงไข้ขึ้นสูงมาก เพราะทุกครั้งที่เขาซับผ้าลง ร่างเล็กคล้ายกับสะท้านพิษไข้ที่ปะทะไอเย็น
“หนาว อย่าค่ะ” หญิงสาวขดตัวพลิกหนีอีกครั้งเมื่อพรตเอาผ้าขนหนูไปซับน้ำใหม่
“กินยาหน่อย เผื่อไข้จะได้ลด พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปหาหมอแต่เช้า”
“ไม่เอา” หญิงสาวส่ายหน้าทันที
“เร็ว หันมา” พรตร้องเรียก แต่เมธาวีไม่ยอมหันหน้ากลับมาหา เขาจึงต้องพลิกตัวเธอกลับมาแล้วส่งยาให้
“กินซะ”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นไร” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ตัวร้อนขนาดนี้ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก พรุ่งนี้ไม่ต้องออกไปกับนายนิพนธ์แล้วนะ วันไหนก็ไม่ต้องไปทั้งนั้น ดูซิเนี่ย กลับมาเป็นไข้มันคุ้มกันไหม” ชายหนุ่มบ่นยืดยาว เมธาวีได้แต่ฟังเฉยๆ ไม่ตอบโต้อะไรแต่ก็ไม่ยอมรับยาไปกิน
“กินยาซิ” เขาย้ำอีกครั้ง
เมธวีค่อยๆ ลุกขึ้นรับยาไปถือไว้อย่างเสียไม่ได้ หญิงสาวพยายามประคองตัวเองลุกขึ้นยืนแม้ท่าทางจะโงนเงนไปมา พรตต้องรีบเข้ามาประคองไว้แล้วถามว่า
“คุณจะไปไหน”
“ห้องน้ำค่ะ”
“กินยาก่อนแล้วเดี๋ยวผมพาไป”
“ฉัน เอ่อ เดี๋ยวขึ้นมากิน ขอไปห้องน้ำก่อน”
“ก็ได้ ผมพาไป” ว่าแล้วพรตก็อุ้มเมธาวีไว้แนบอก หญิงสาวตกใจไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ เธอกลัวจึงลืมตัวคว้าบ่าพรตไว้แน่น
“อนุญาตให้ซบได้นะ” ชายหนุ่มอมยิ้ม เมธาวีรู้สึกเขินแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำหน้านิ่งๆ แล้วปล่อยให้เขาพาลงไปห้องน้ำ
พรตนั่งรอหญิงสาวอยู่ที่เก้าอี้ไม้ตัวโปรด อากาศยามดึกน้ำค้างลงหนักจนรู้สึกเย็น แต่ดาวบนฟ้ากลับยิ่งเปล่งประกายชัดเจน ความเงียบสงบทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเหลือเกิน เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้พรตละสายตาและหันไปมอง เมธาวีค่อยๆ เดินออกมา แต่จังหวะนั้นเองหญิงสาวก็สะดุดพรมเช็ดเท้าหน้าห้องน้ำทำท่าจะล้มลง
“วี” พรตรีบเข้าไปประคอง โชคดีที่เขาเข้ามาเร็วหญิงสาวจึงไม่ล้มลงที่พื้น แต่ข้อเท้าที่สะดุดเสียหลักทำให้รู้สึกเจ็บจนยืนไม่ได้
“ขา” เธอร้องบอกเบาๆ พรตรีบประคองเมธาวีไปนั่งแล้วก้มลงมาดูขา
ข้อเท้าเธอเจ็บและลงน้ำหนักมากไม่ได้ ตอนนี้เมธาวีทั้งเป็นไข้ทั้งเจ็บขาจะเดินเหินทำอะไรก็ไม่ถนัด พรตจึงตัดสินใจอุ้มคนป่วยซ้ำซ้อนกลับขึ้นไปบนห้องเอง
เขาวางคนป่วยลงบนเตียงช้าๆ เมธาวีขยับตัวเข้าที่ในท่าที่สบายขึ้นแล้ว พรตเอามืออังที่ศีรษะอีกรอบ ท่าทางไข้จะไม่ลดแล้วแถมยังขาเจ็บอีก มีหวังพรุ่งนี้คงได้ระบมเนื้อตัวเป็นแน่
“กินยาก่อน” ชายหนุ่มยื่นยาและแก้วน้ำให้ เมธาวีเบือนหน้าหนี พรตรอสักครู่แล้วพอเดาออกได้ว่า
“ไม่ชอบกินยา” เขาถึงบางอ้อเมื่อเจ้าตัวยังคงนิ่งเฉย
“จะกินเองหรือจะให้ผมป้อน” พรตนั่งลงที่ขอบเตียง
“ตอนนี้คุณเป็นไข้แล้วก็ขาแพลง พรุ่งนี้คงได้ระบบทั้งพิษไข้แล้วก็ขาเจ็บ ถ้าไม่กินยารอให้หายเองคงหลายวันแน่ กว่านายโชคจะมาก็อาทิตย์หน้า คุณจะอยู่กับผมสองคนในห้องนี้ทั้งวันทั้งคืนไหม” ชายหนุ่มแกล้งถาม
“พรุ่งนี้ฉันให้ใครพาไปหาหมอก็ได้ ถ้าไม่ไหวก็นอนโรงพยาบาล”
“ใครของคุณนี่ใคร นายนิพนธ์งั้นเหรอ หรือครูป้อม ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้ครูป้อมไปสัมนาที่กรุงเทพฯ กว่าจะกลับมาก็อีกหลายวัน ส่วนนายนิพนธ์นี่ คุณไว้ใจเขาแค่ไหน” พรตย้อน เมธาวีทำหน้างอเล็กน้อย
“ระหว่างผม สามีตามกฎหมาย กับนายนิพนธ์ ลูกพี่ลูกน้องที่คิดจะเคลมคุณตลอดเวลาที่มีโอกาส คุณคิดว่าจะให้ใครพาไปหาหมอ แล้วใครที่คุณจะไว้ใจและปลอดภัยมากกว่ากัน ผมหรือหมอนั่น”
“ฉันจะเรียกรถพยาบาล” เมธาวีเอ่ย
“อย่าทำให้มันยุ่งยากน่า ให้รถพยาบาลบริการคนอื่นที่หนักกว่าคุณเถอะ กินยาซะ” ชายหนุ่มยื่นยาให้อีกครั้ง หญิงสาวยังนิ่งไม่รับ
พรตแกะยามาใส่มือเธอแล้วยื่นแก้วน้ำตาม เมธาวีไม่ยอมรับซ้ำยังหันหน้าหนี เขาจึงจับมือหญิงสาวบังคับกลายๆ ให้กินยาแล้วรีบป้อนน้ำตามในที่สุด
เมธาวีจำใจต้องกลืนยาที่ขมคอลงไป โดยมีสายตาดุดันของพรตคอยจ้องมองอยู่ นอกจากนั้นพรตยังเอาผ้าขนหนูมาซับที่หน้า ซอกคอ และแขนทั้งสอง แต่ที่ทำให้เธอถึงกับสะดุ้งก็คือการที่เขาพูดว่า
“ปลดกระดุมเสื้อ”
“คุณจะทำอะไร” เมธาวีรีบถาม
“เช็ดตัวไง จะได้นอนสบายขึ้น คิดอะไรอยู่”
“ไม่ต้องค่ะ เท่านี้พอแล้ว ขอบคุณมาก ฉันดีขึ้นแล้ว” หญิงสาวเอามือกุมกระดุมเสื้อนอนไว้แน่น
“ตามใจแต่ถ้าพรุ่งนี้ไข้ไม่ลด ผมจับคุณเช็ดตัวอีกแน่” พรตไม่ขู่แต่ทำจริง เขาเก็บของวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงให้เรียบร้อย แล้วจึงหันมาห่มผ้าให้เมธาวี
“คืนนี้ผมจะนอนข้างๆ”
“ทำไม” หญิงสาวทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“ก็เผื่อคุณจะอยากเข้าห้องน้ำอีก หรือไข้ขึ้นอีกรอบ ผมจะได้ลุกขึ้นมาดูทันไง” ชายหนุ่มให้เหตุผล
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว คุณลงไปที่เดิมเถอะ เดี๋ยวติดไข้ขึ้นมาจะยุ่ง”
“ผมแข็งแรงไม่ได้ออกไปตะลอนตากแดดเหมือนคุณ ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก เอาเป็นว่าผมนอนข้างๆ มีอะไรก็เรียกแล้วกัน” ว่าแล้วพรตก็ลืมตัวลงนอนข้างๆ หน้าตาเฉย
เมธาวีไม่กล้าไล่เพราะเกรงใจที่เขาช่วยดูแล อีกทั้งตอนนี้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรบอกไม่ถูก หญิงสาวพลิกตัวคะแคงขดตัวใต้ผ้าห่มเพื่อให้รู้สึกอุ่นขึ้น พอกำลังจะเคลิ้มเมธาวีก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูว่า
“หนาวใช่ไหม ผมกอดนะ จะได้รู้สึกอุ่นขึ้น”
เมธาวีทำได้เพียงพลิกตัวตามแรงโน้มนั้น เพียงแค่หันมาใบหน้าก็ปะทะกับแผงอกแข็งแรงของพรต และอ้อมกอดที่แนบกระชับตัวเธอเข้ากับเขาได้อย่างพอดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมจึงรู้สึกว่าอบอุ่นสบายเหลือเกินสามารถนอนหลับต่อได้อย่างเป็นสุขในทันที
ฝากอีบุ๊คด้วยนะคะ
|
|
|
ความคิดเห็น