ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวร่ายรัก ซีรีย์ชุด รอยฝันวันวิวาห์

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 66


    กว่าจะกลับเข้าบ้านอีกครั้งก็ดึกพอสมควร รถพยาบาลมารับนางแช่มเข้ากรุงเทพฯไปรักษาตัวตามที่พรตจัดการให้ ส่วนโชคต้องขับรถกลับกรุงเทพฯเพื่อไปประสานงานต่อและพามยุริน บุตรสาวของนางแช่มติดรถไปด้วย พรตและเมธาวีจึงกลับบ้านมากันเพียงสองคนเท่านั้น

    “คุณไปนอนห้องโน้น” เมธาวีเอ่ยคำแรกเมื่อพรตเดินตามเข้ามาในห้องนอน

    “ห้องโน้นป้าแช่มยังไม่ได้ทำความสะอาด ที่นอนผ้าห่มอะไรก็ไม่มี” ชายหนุ่มพูดตามความจริง เขาเป็นคนบอกนางแช่มเองว่าจะพักห้องเมธาวี ดังนั้นนางแช่มจึงไม่ได้ทำความสะอาดห้องพักแขก

    “เดี๋ยวฉันไปทำให้” เมธาวีทำท่าจะเดินออกไป แต่พรตรั้งแขนไว้แล้วเอ่ยว่า

    “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากนักเลย นอนห้องนี้แหล่ะ รับรองผมไม่หน้ามืดหรอก” ชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉยแล้วลากกระเป๋ามาไว้ที่มุมห้อง

    เมธาวีได้แต่ยืนมองพรตที่เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสัมภาระออกมาทีละชิ้น พ่อเจ้าประคุณจัดการเอาเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า ทำราวกับว่าจะอยู่ที่นี่ไม่มีกำหนด แต่ที่ทำให้หญิงสาวอึ้งก็คือ ที่นอนปิกนิกที่นางแช่มเอามาวางไว้ตอนไหนไม่รู้ พรตหยิบมันมาปูข้างเตียงเธอเรียบร้อย

    “ผมจะไปอาบน้ำแล้วนะ” เขาเอ่ยพร้อมคว้าผ้าเช็ดตัวและถุงใบเล็กเดินออกไปจากห้อง พรตดูคุ้นเคยคล้ายกับว่าเป็นเจ้าของบ้านอยู่ที่นี่มานาน เมธาวีถอนหายใจเบาๆ แล้วรีบจัดการข้าวของตัวเองให้เรียบร้อย หญิงสาวรีบไปดูห้องนอนแขกว่าสามารถใช้งานคืนนี้ได้เลยไหม แล้วก็เป็นอย่างที่พรตว่า ยังไม่มีการทำความสะอาดใดๆ ทั้งสิ้น

    เมธาวีไม่มีทางเลือกนอกจากจำต้องนอนห้องเดียวกับพรต หญิงสาวอาบน้ำกลับเข้ามาก็พบว่าเขาไม่อยู่ในห้อง เธอไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะไปไหนทำอะไร ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว เมธาวีอยากจะพักผ่อนมากกว่าเพียงแต่...

    “หิวไหม” พรตเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถือจานมาด้วย กลิ่นไข่เจียวกับข้าวร้อนๆ ยิ่งทำให้พยาธิในท้องเมธาวีร้องดังขึ้น

    “ป้าแช่มของคุณหุงข้าวไว้หม้อหนึ่ง ยังไม่มีกับอะไรเลย ผมเจียวไข่มา กินด้วยกันไหม” พรตถามพลางยื่นจานให้

    เมธาวีส่ายหน้าแล้วล้มตัวนอนบนเตียง แม้กลิ่นไข่เจียวจะหอมแค่ไหน ท้องจะร้องตะโกนบอกว่าอยากกินเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะกินข้าวจานเดียวกับพรตแน่

    “ผมกินไม่หมดหรอก ลุกมากินเถอะ” ชายหนุ่มเดินอ้อมมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า เมธาวีพลิกตัวหนีพร้อมเอ่ยสั้นๆ ว่า

    “ฉันไม่หิว คุณกินเถอะ ถ้าจะนอนช่วยปิดไฟด้วย”

    “ผมเห็นคุณไม่ได้กินอะไรเลยเมื่อตอนเย็น หรือว่าไม่อยากกินจานเดียวกับผม เดี๋ยวไปทำมาให้ต่างหากก็ได้นะ”

    “ไม่เป็นไร ฉันจะนอนแล้ว” เมธาวีรีบบอกแล้วหลับตาทันที

    โธ่เอ๋ย ท้องน้อยของแม่อย่าร้องให้อับอายเชียวนะ จมูกจ๋า อย่าดมกลิ่นหอมนี่เด็ดขาด เมธาวีหิวใจจะขาดแต่ก็ไม่ยอมบอกและปฏิเสธความมีน้ำใจของอีกฝ่ายอย่างไร้เยื่อใย

    เสียงช้อนกับจานกระทบกันเป็นจังหวะ บ่งบอกให้รู้ว่าเขาตักข้าวเข้าปากกี่ครั้ง กลิ่นหอมของไข่เจียวที่จางหายเดาได้ไม่ยากว่ามันใกล้จะหมดเต็มที่ และในที่สุดเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น พรตเดินเอาจานออกไปเก็บพร้อมๆ กับเมธาวีที่ถอนหายใจดังๆ ลั่นห้อง อดกลั้นความหิวโหยแทบแย่ เอาเถอะ พรุ่งนี้เช้าจะกินชดเชยให้สมกับที่นอนหิวทั้งคืน

    กลิ่นหอมของข้าวต้มหมูโชยมาจากในครัว เมธาวีจูงจักรยานคู่ใจเข้ามาก็ได้กลิ่นแล้ว พรตคงจะเข้าครัวทำกับข้าวอีกเป็นแน่ และก็จริงอย่างที่คิดเขากำลังตั้งโต๊ะอาหารเช้าหน้าตาน่ากินอยู่พอดี

    “กินข้าวคุณ” ชายหนุ่มชวนอย่างอารมณ์ดี ท่าทางคล่องแคล่วของพรตทำให้เมธาวีอดที่จะมองไม่ได้ เช้านี้เขาอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อเชิ้ตสีอ่อนแขนสั้นเช่นกัน ชุดลำลองนี้ทำให้ดูเด็กลงและเป็นมิตรมากขึ้น

    “ผมตื่นมาก็ไม่เห็นคุณแล้ว ไปไหนมาแต่เช้า”

    “ออกไปตลาดมา” เมธาวีตอบสั้นๆ กลั้นลมหายใจไม่ดมกลิ่นหอมที่ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งชวนให้หิว นึกโกรธตัวเองที่ก่อนเข้าบ้านรองท้องมาเพียงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋สองตัวเท่านั้น

    “ได้อะไรมา” เขาถามพร้อมกับหันมามอง ในมือของเมธาวีว่างเปล่าไม่มีอะไรติดมา

    “ฉันกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาเรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวเอ่ย

    “แล้วของผมล่ะ” พรตทวงหน้าตาเฉย

    “คุณทำข้าวต้มแล้วไง”

    “ข้าวต้มนี่ ผมทำเพราะเมื่อวานข้าวเหลือ ในตู้เย็นมีหมูกับผักนิดหน่อยพอจะทำได้ แต่ที่ผมถามก็คือ คุณตื่นแต่เช้าไปตลาดเมื่อกินปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ แล้วไหนล่ะ อาหารเช้าของผม”

    “ก็ข้าวต้มนี่ไง” เมธาวีงงกับคำถามวนไปวนมาของเขา

    “ข้าวต้มนี่ผมทำ แต่อาหารเช้าที่ภรรยาต้องเตรียมให้สามีล่ะ อยู่ไหน” สายตาชายหนุ่มจ้องมองมาที่เมธาวีแล้วรอฟังคำตอบ

    เอาตรงๆ เมธาวีก็อึ้งเหมือนกันกับคำถามของเขา เธอยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า ไม่ได้นึกถึงพรตเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เช้าตื่นมาเพราะความหิวจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวขี่จักรยานออกไปตลาดเพื่อหาอะไรรองท้อง หายหิวแล้วจึงกลับบ้านไม่ได้คิดถึงอีกคนเลยจริงๆ

    “คุณไม่ได้นึกถึงผมเลยใช่ไหม” พรตถามช้าๆ ชัดๆ เมธาวีพูดไม่ออก ไม่คิดว่าเขาจะย้อนถามตรงไปตรงมาเช่นนี้

    “ผมไม่คิดว่าคุณจะแล้งน้ำใจขนาดนี้นะ คนอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ถึงจะไม่ชอบหน้ากันแต่ก็ควรจะนึกถึงกันบ้างสักนิดก็ยังดี ซื้อมาแล้วผมไม่กินคราวหน้าคุณไม่ซื้อ ผมจะไม่ว่าสักคำ แต่นี่คุณไม่คิดถึงผมเลย”

    เมธาวีรู้สึกผิดในใจขึ้นมาทันที ความจริงแล้วเธอก็เพิ่งนึกได้ตอนที่ขี่จักรยานเกือบจะถึงบ้านว่าพรตยังไม่มีอาหารเช้า แต่ก็คิดว่าเขาอาจจะไม่ถูกปากกับอาหารธรรมดาเหล่านี้ หรือไม่ก็อาจจะขับรถออกไปหากินที่ถูกใจเอง

    “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณกินอะไร ก็เลยไม่ได้ซื้อมา” เมธาวีเอ่ยคำขอโทษเบาๆ

    “ไม่รู้แล้วทำไมไม่ถาม เบอร์โทรศัพท์ผมไม่มีหรือไง”

    เมธาวีน่าจะมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาเพราะคุณย่าคงให้ไว้ แต่การส่ายหน้าคือคำตอบที่ทำให้พรตแปลกใจ

    “คุณย่าไม่ให้ไว้หรือไง”

    “ให้ค่ะ แต่ฉันไม่ได้เมม” หญิงสาวบอกตามตรง

    “อะไรนะ ไม่ได้เมม คุณไม่มีเบอร์สามีตัวเองได้ไง” คราวนี้พรตชักจะรู้สึกว่า ตนเองไม่มีตัวตนในชีวิตของเมธาวีมากเกินไปแล้ว

    “ฉันไม่คิดว่าจะมีเรื่องต้องคุยกับคุณ เอาเป็นว่าเราต่างคนต่างดูแลตัวเองดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องคอยพะวงอีกฝ่าย คุณอยากทำอะไร อยากกินอะไรก็จัดการตัวเองไปเลย ไม่ต้องหาเผื่อฉัน” หญิงสาวบอกหน้าตาเฉย

    “เมธาวี รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” น้ำเสียงพรตแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย

    แค่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตนในสายตาผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย พรตก็รู้สึกว่าเสียหน้าและเหมือนไม่มีความสำคัญมากพอแล้ว ยิ่งมาถูกตัดรอนให้ต่างคนต่างอยู่ ต่างใช้ชีวิตแบบนี้อีก เขาชักสงสัยแล้วว่าเมธาวีมาแต่งงานด้วยเหตุผลอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าหล่อนถึงไม่อินังขังขอบกับคำว่า เมียนายพรตคนนี้เลยแม้แต่น้อย

    “คุณพูดเหมือนว่าผมไม่ใช่สามีคุณ แต่เป็นคนอื่นที่คุณไม่เคยให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย ผมถามคำหนึ่งเถอะ คุณแต่งงานกับผมเพราะอะไรกันแน่”

    คำถามของพรตทำให้เมธาวีอึ้งพูดอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นสายตาที่จ้องมองมาราวกับกำลังจับผิดบางสิ่ง ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดมากขึ้น เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้วนเวียนเข้ามาใกล้กับชีวิตมากนัก ทั้งที่ตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาระหว่างทั้งคู่เป็นคู่ขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้

    “ตอบผมซิ บอกให้รู้หน่อยว่าคุณแต่งงานกับผมเพราะอะไรกันแน่ ทำไมคุณถึงให้ความสำคัญผมน้อยกว่าผู้ชายคนอื่นในฮาเร็มของคุณ หรือว่าผู้ชายทำอะไรให้คุณถูกใจ มีอะไรที่ผมไม่มีงั้นเหรอ” พรตพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ๆ

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เอาเป็นว่าฉันขอโทษที่ไม่ได้ซื้ออะไรมาให้คุณกินเช้านี้ แต่ก็อย่างที่บอกต่อไปเราต่างคนต่างจัดการชีวิตตัวเองดีกว่า” พูดจบเมธาวีก็ทำท่าจะเดินขึ้นบ้านแต่พรตดึงแขนไว้

    “ผมไม่ทำแบบนั้นแน่ และคุณก็มีหน้าที่ต้องดูแลผม”

    “หา อะไรนะ” หญิงสาวตาโตเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด

    “คุณได้ยินไม่ผิด ชีวิตผม เรื่องของผมทุกอย่างเป็นหน้าที่คุณจัดการ” พรตพูดหน้าตาเฉย

    “คุณแต่งงานกับผม เป็นเมียผม จะชั่วดีอย่างไรก็ต้องดูแลผัวตัวเอง ถูกต้องไหม”

    “นี่คุณ...” เมธาวีชักเริ่มไม่พอใจ

    “อีกอย่างที่นี่ก็บ้านคุณ ผมไม่รู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน อะไรใช้ได้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหนถึงจะเจอตลาด ดังนั้นคุณก็ควรเป็นคนดูแลจัดการให้ อ้อ อีกอย่าง ตอนที่คุณอยู่ที่บ้านผม นอนห้องนอนผม ใช้ชีวิตในฐานะเมียนายพรตมาเกือบปี ถามคำหนึ่งว่าคุณได้รับความสบาย อาหารสามมื้อครบใช่ไหม เสื้อผ้ามีคนซักรีดให้ใช่หรือเปล่า ไปไหนก็มีคนขับรถให้ หรือแม้แต่ชุดชั้นในก็มีคนซักให้ ดังนั้นตอนนี้ผมมาอยู่บ้านคุณในฐานะสามี เรื่องพวกนี้มันก็ต้องเป็นคุณไม่ใช่เหรอ”

    “ฉันไม่มีเวลาจะมาทำเรื่องไร้สาระพวกนี้ให้หรอกนะ ถ้าคุณอยากมีคนทำให้ก็กลับกรุงเทพฯไปซะ ที่นั่นมีคนรองมือรองเท้าได้ถูกใจแน่”

    “ผมว่าไม่เกี่ยวกับเวลาหรอก แต่คุณไม่อยากทำมากกว่า หรือว่าคุณเป็นพวกชอบสังคม ไม่สนงานบ้าน หน้าใหญ่กับคนอื่น ส่วนคนในบ้านอยู่ตามยถากรรม” พรตยั่วโมโหต่อไปอีกว่า

    “แต่เท่าที่ดูคุณคงไม่น่าเป็นถึงขั้นนั้น งั้นผมพอจะรู้เหตุผลอีกอย่างแล้วว่าเพราะอะไร” เขาแกล้งอมยิ้มซึ่งมันทำให้เมธาวีหมั่นไส้มากจนต้องเมินหน้าหนี

    “คุณไม่อยากอยู่ใกล้ผม เพราะกลัวจะทำใจหย่าจริงๆ ไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ”

    “คุณพรต มันจะหลงตัวเองมากไปแล้วนะ” เมธาวีตาขวางใส่ ยิ่งเห็นเขายิ้มยั่วก็ยิ่งหมั่นไส้มากขึ้น

    “หรือไม่จริง ถามหน่อยเวลาผมยิ้มใจคุณเต้นแรงบ้างไหม เวลาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้” เขารวบเอวสวยได้รูปเข้ามาแนบชิดแล้วก้มลงกระซิบข้างหู

    “ร้อนๆ หนาวๆ บ้างหรือเปล่า หรือว่ารู้สึกอยากให้ผมใกล้ชิดคุณมากกว่านี้อีก”

    “คนบ้า ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” เมธาวีพยายามจะผลักไสออกห่าง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำพรตก็ยิ่งแกล้งกอดรัดแน่นขึ้นจนตอนนี้ใบหน้าเธอแนบอยู่กับแผ่นอกของเขาแล้ว

    “นี่ ปล่อยนะ”

    “ไม่ปล่อย บอกหน่อยซิว่าไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ คุณไม่ใจเต้น ไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ มากกว่านี้”

    “ฉันไม่รู้สึกอะไรกับคุณทั้งนั้น ปล่อยนะ คนบ้า ปล่อย” เมธาวีออกแรงทุบที่กลางอกแต่ดูเหมือนว่าพรตจะไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

    “ปากบอกว่าไม่ แต่ท่าทางคุณบอกอย่างตรงกันข้ามเลยนะ จริงๆ ที่คุณไม่อยากใกล้ผมก็กลัวว่าจะแพ้ใจตัวเองต่างหาก” ว่าแล้วพรตก็หัวเราะชอบใจ ยิ่งเห็นแก้มเมธาวีแดงก่ำก็ยิ่งหัวเราะดังขึ้น

    “ปล่อยนะ บอกให้ปล่อยไง”

    “ผมไม่ปล่อยและจริงๆ ผมก็มีสิทธิ์ทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ” ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ ลมหายใจที่เฉี่ยวปลายจมูกสาวทำให้แก้มเมธาวีร้อนผ่าวขึ้นมาอีก

    “อย่ามารุ่มร่ามกับฉันนะ ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณ” เมธาวีสะบัดหน้าหนีออกแรงผลักพรตจนกหลุดจากการกอดรัด

    “คุณทำใจหย่ากับผมไม่ได้หรอก เมธาวี” พรตเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

    “ฉันจะหย่า” หญิงสาวสวนกลับทันควัน แม้จะสบประสายตายตาร้อนแรงที่ทอดมองมา แต่เมธาวีก็ทำเป็นมาดมั่นไม่หวาดหวั่นทั้งที่ความจริงหวั่นไหวกับสัมผัสใกล้ชิดนั้นจนเกือบเสียความเป็นตัวเองไป

    “ก็ลองดู มาดูกันว่าถ้าเราเป็นสามีภรรยากันเหมือนคนอื่นๆ คุณยังจะอยากหย่ากับผมไหม” พรตอมยิ้ม

    “งั้นคุณก็จะรู้ไว้ตั้งแต่วันนี้เลยว่า ฉันพร้อมจะเซ็นชื่อเสมอโดยไม่รู้สึกเสียใจ เสียดายหรือผิดหวังใดๆ เลยสักนิด” เมธาวีตอบกลับด้วยน้ำเสียงชัดเจนเช่นกัน

    “ไม่จริงหรอก ผู้ชายอย่างนายพรตคนนี้ จะทำให้คุณไม่กล้าพูดคำว่าหย่าอีกเลยตลอดชีวิต คอยดูซิ”

    เมธาวีพยายามบอกตัวเองว่าพรตพูดเพื่อเอาชนะเท่านั้น เขาไม่มีวันทำได้อย่างที่พูดแน่ เพราะเธอเป็นแค่ภรรยาตามกฎหมายที่เขาจำเป็นต้องรับเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกองมรดก เช่นเดียวกับที่เธอจำเป็นต้องแต่งงานก็เพื่อทำตามความประสงค์ของผู้ใหญ่เช่นกัน เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากต่างฝ่ายต่างรักษาผลประโยชน์ของตนเท่านั้น ไม่มีเรื่องราวของหัวใจเลยสักนิด

    “ก็แล้วแต่คุณ อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่บอกก่อนว่าห้ามวุ่นวายกับฉัน”

    “เสียใจ เพราะผมยืนยันคำเดิมว่า คุณต้องทำหน้าที่ภรรยาของผมในทุกๆ เรื่อง” พรตยืนยันเสียงแข็ง

    “ฉันคงทำไม่ได้เพราะการที่ภรรยาจะดูแลสามีให้ดีนั้น ทั้งสามีภรรยาต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจร่วมชีวิต และศึกษาสนใจเรื่องราวของอีกฝ่ายหลังแต่งงานเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ให้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ซึ่งคุณกับฉันไม่รู้จักกัน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นฉันคงดูแลคุณไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวพูดตามตรง

    “ถ้างั้นก็รู้จักผมตั้งแต่ตอนนี้ซิ แล้วผมก็ทำความรู้จักคุณให้ลึกซึ้งเช่นกัน ถ้าผมทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นสามีที่ดีไม่ได้ ผมจะหย่าโดยไม่มีข้อแม้ หรือถ้าคุณบอกว่ามีใครที่ดีกว่าผมคำเดียว ผมจะหย่าให้ทันที มีไหมล่ะ ไอ้ผู้ชายที่คิดจะสวมเขาเป็นชู้กับเมียชาวบ้านน่ะ”

    “คุณคิดว่าตัวเองรู้จักคำว่าครอบครัวมากแค่ไหน การเอาชนะกันไม่ได้ทำให้ชีวิตครอบครัวมีสุขได้ สิ่งที่คุณทำตอนนี้ก็เพราะต้องการเอาชนะฉัน  เอาเป็นว่าฉันขอโทษถ้าทำให้คุณรู้สึกไม่ดี เสียหน้า หรือเสียชื่อเสียง แต่ฉันสัญญาว่าทันทีที่ได้ใบหย่าเราจะไม่มีวันรู้จักกันอีก”

    “ครอบครัวเป็นเรื่องของดีไซน์ ก็เหมือนการสร้างบ้านสักหลัง รูปแบบโครงสร้างอาจจะเหมือนกัน แต่รูปแบบการใช้ชีวิตไม่มีวันเหมือนกันแน่” พรตเอ่ยต่อไปอีกว่า

    “ผมไม่ต้องการคำขอโทษ แต่ต้องการให้คุณรู้ว่าผู้ชายอย่างนายพรตดีพอที่จะเป็นสามีคุณ การหย่าจะเกิดขึ้นต่อเมื่อผมตัดสินใจเท่านั้น และคุณต้องทำหน้าที่เมียโดยไม่มีข้อแม้”

    “ฉันทำไม่ได้ค่ะ” เมธาวีไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีแล้ว เหตุผล คำโต้แย้งของพรต ไม่มีประโยชน์ไหนเลยที่บอกว่าจะหย่าให้ง่ายๆ คำถามก็คือ เขาจะเก็บเธอไว้ทำไมกัน

    “แต่คุณต้องทำและทำด้วยความเต็มใจ นั่นคือการแสดงความบริสุทธิ์ใจในเหตุผลการขอหย่าของคุณ ว่าไม่ได้มาจากความบกพร่องในหน้าที่ภรรยา”

    “คุณ” เธอพูดไม่ออกหาเหตุผลมาหักล้างต่อไม่ได้ พรตพูดถูก ความบริสุทธิ์ใจในการขอหย่า มาจากเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ใช่ความบกพร่องในหน้าที่ภรรยา

    “ได้ แต่คุณต้องสัญญาว่าฐานะสามีภรรยาจะอยู่แค่ในนามเท่านั้น ฉันไม่ต้องการผูกพันอะไรทั้งสิ้น และฉันขอยืนยันตรงนี้เลยว่าต้องการใบหย่าเพื่ออิสระของเราทั้งสองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

    “เรื่องอื่นไว้พูดกันทีหลัง แต่นับจากนาทีนี้เป็นต้นไปเราสองคนคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะไม่มีการพูดเรื่องหย่าอีก” พรตสบตาเมธาวี ซึ่งหญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เป็นการยอมรับ

    “กินข้าวได้แล้ว” ชายหนุ่มชำเลืองมองข้าวต้มที่วางอยู่บนโต๊ะ

    “ปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไม่ทำให้คุณอิ่มหรอก ผมรู้”

    เมธาวียังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงเรียกเมธาวีหวานหยดย้อยก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน พรตหันหน้าไปมองตามเพราะคิดว่าน่าจะเป็นครูคนเดิมที่เคยเจอเมื่อวาน แต่กลับไม่ใช่ เจ้าของเสียงหวานที่เรียกชื่อเมธาวีลั่น เป็นชายหนุ่มร่างสูงแต่งตัวทะมัดทะแมงหน้าตาก็พอใช้ได้อยู่

    “น้องวีครับ” เขาเดินส่งยิ้มหวานมาหาเมธาวีโดยมองข้ามพรตไปเลย

    “กินข้าวเช้าหรือยังเอ่ย วันนี้ป้าแช่มทำอะไรให้กิน ขอพี่ฝากท้องด้วยได้ไหม” หมอนั่นเดินมาดูที่โต๊ะเห็นข้าวต้มหมูน่ากินสองชามวางอยู่จึงเอ่ยปากว่า

    “พี่ขอกินข้าวด้วยนะ” ว่าแล้วก็นั่งลงทันที

    “ใครอนุญาตให้คุณกินข้าวที่นี่ ไม่ทราบ” เสียงพรตเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อแขกที่มาใหม่กำลังเอื้อมมือจะจับช้อนในชามข้าวต้มคำแรก

    เขาเงยหน้าขึ้นมองคนถามทันที ส่วนพรตแทบจะตาลุกเป็นไฟเผาอีกฝ่าย

    “ใครครับน้องวี ขอโทษทีพี่ไม่ทันสังเกตว่าน้องวีมีแขก”

    “ไม่ใช่แขกแต่เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเมธาวี ก็เท่ากับเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เช่นกัน” พรตเอ่ยเสียงดังฟังชัด ในขณะที่เมธาวีแทบหัวใจวายเมื่อพรตแนะนำตัวเองให้นิพนธ์รู้ว่าเป็นสามีของเธอ

    เมธาวีเพิ่งแต่งตัวเสร็จกำลังจะออกไปกับนิพนธ์ที่รออยู่ด้านล่าง พรตเดินหน้าบึ้งเปิดประตูเข้ามาในห้อง หญิงสาวแอบสังเกตสีหน้าเขาก็เดาได้ไม่ยากว่าคงอารมณ์ไม่ดีแน่ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรพรตก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

    “ช่วยลำดับความสัมพันธ์ของคุณกับหมอนั่นให้ผมฟังใหม่อีกทีซิ”

    “พี่นิพนธ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉัน คุณปู่ของพี่นิพนธ์เป็นน้องชายคนละแม่ของคุณย่าค่ะ” เมธาวีลำดับสั้นๆ

    “แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องการแต่งงาน” พรตอยากรู้เรื่องนี้มากกว่า

     “ฉันไม่ได้บอกใครค่ะ” เมธาวีเอ่ยเสียงเรียบ

    “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่บอกญาติพี่น้องได้ไง นอกจากหมอนั่นแล้วคุณมีญาติคนอื่นอีกไหม” พรตรู้สึกว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นอย่างยิ่ง

    “ไม่มีค่ะ จะมีก็ญาติห่างๆ ที่อยู่กันคนละจังหวัดแต่ก็ไม่ได้ติดต่อกันมาเป็นสิบปีแล้ว” หญิงสาวแทบจะนึกหน้าญาติเหล่านั้นไม่ออกด้วยซ้ำ

    อาจเพราะบิดามารดาจากไปตั้งแต่ยังเล็ก และคุณย่าของเธอก็เป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ได้สุงสิงกับญาติคนอื่นมากนัก จะมีก็แต่ครอบครัวของนิพนธ์ที่ไปมาหาสู่กันบ่อยที่สุด ดังนั้นเมธาวีแทบไม่รู้จักใครอื่นเลยนอกจากครอบครัวลูกพี่ลูกน้องคนนี้เท่านั้น

    “เอาล่ะ ถ้างั้นฟังนะ หมอนี่ไว้ใจไม่ได้ คุณห้ามอยู่ใกล้หรือไปไหนสองต่อสองเด็ดขาด” พรตเตือนจากสัญชาติญาณ

    “พูดอะไรของคุณ นั่นพี่ชายฉันนะ ทำไมถึงได้คิดอกุศลแบบนี้” เมธาวีฟังแล้วชักรู้สึกไม่พอใจ

    “ผมเป็นผู้ชายด้วยกันดูออกและไม่ได้อกุศล แต่นายนิพนธ์คนนี้ไว้ใจไม่ได้จริงๆ” ชายหนุ่มยืนยันคำเดิมหนักแน่น

    “คุณอย่าเหมาว่าคนอื่นจะนิสัยเหมือนตัวเองได้ไหม ฉันกับพี่นิพนธ์โตมาด้วยกัน ไม่มีทางที่เขาจะคิดอะไรแบบนั้นแน่”

    “ผมเตือนด้วยความหวังดีนะ คุณกับหมอนั่นเป็นแค่ญาติห่างๆ ไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา สายตาเขาผมดูออกว่าคิดอะไร ขอบอกเลยว่าอยู่ห่างๆ ดีที่สุด ผมไม่รู้ว่าเขาหวังอะไรจากคุณ แต่มันไม่ใช่สายตาที่พี่น้องมองกันแน่”

    หลังจากที่เขาประกาศตัวว่าเป็นสามีของเมธาวี สีหน้าของนิพนธ์แสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ชนิดที่เรียกว่าถามซ้ำกันหลายครั้งหลายคราเลยทีเดียว

    และที่พรตแน่ใจยิ่งกว่าแน่ใจก็คือ ท่าทีของนิพนธ์ที่มีต่อเมธาวี มีความล้ำเส้นระหว่างคำว่าลูกพี่ลูกน้องจนน่าหมั่นไส้ ภายนอกเผินๆ อาจดูไม่ออกว่านิพนธ์คิดอะไรในใจ แต่สัญชาติญาณบางอย่างบอกพรตว่าเข้าใจไม่ผิด หมอนั่นคิดอะไรกับญาติสาวคนสวยนี้แน่

    “แล้วนี่จะไปไหนกัน” พรตถามต่อทันที

    “จะออกไปดูที่ดินด้วยกันหน่อยค่ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ

    “ผมไปด้วย” เขารีบพูด

    “ไม่ได้ค่ะ ไปหลายที่ไม่รู้จะกลับตอนไหน อีกอย่างอากาศร้อนต้องตากแดดคุณอยู่บ้านดีกว่า” เมธาวีพูดด้วยความหวังดี

    “ผมจะไป” พรตยืนกรานคำเดิม

    “ไปไม่ได้ค่ะ อ้อ ฉันอยากให้คุณอยู่บ้านรอเจอครูป้อมด้วย”

    “หมอนั่นจะมาอีกทำไม” พรตนิ่วหน้า เมียเขานี่ช่างเสน่ห์แรงเหลือเกิน หัวกระไดบ้านไม่แห้งจริงๆ

    “ครูป้อมจะเอาเอกสารมาให้ คุณช่วยรับไว้ก็พอ เดี๋ยวฉันกลับมาแล้วจะจัดการต่อเอง” เมธาวีหยิบกระเป๋าเป้เตรียมตัวไป

    “เดี๋ยว” เขาร้องเรียกพร้อมหยิบโทรศัพท์ตนเองออกมา จากนั้นเดินมาที่เป้ของหญิงสาวควานหาโทรศัพท์

    “จะทำอะไรคะ”

    “นี่เบอร์ผม แอดเบอร์เดี๋ยวไลน์ก็จะขึ้นตาม เบอร์กับไลน์คุณอันเดียวกันใช่ไหม” พรตพึมพำถามแล้วกดบันทึกทุกอย่างไว้ในโทรศัพท์ทั้งสองเครื่อง

    “ถ้ามีเรื่องสำคัญโทร.เบอร์ ถ้าไม่มีจะโทร.ไลน์หรือส่งข้อความก็ได้ ผมออน์ยี่สิบสี่ชั่วโมง อ้อ อยู่ตรงไหนแชร์โลเกชั่นมาในไลน์ให้รู้ด้วย” เขาสั่งเสร็จสรรพ

    “นี่ฉันต้องบอกให้คุณรู้ทุกเรื่องหรือไง” เมธาวีย้อนถามประชดเล็กน้อย

    “ผมให้คุณออกไปกับผู้ชายสองต่อสอง แล้วยังจะอยู่บ้านรับผู้ชายของคุณอีกคน โดยไม่พูดสักคำก็ดีเท่าไรแล้ว” ไม่วายที่พรตจะประชดกลับ

    “คุณ” หญิงสาวถลึงตาใส่ พรตยิ้มยั่วยียวนกวนประสาทมากขึ้นไปอีก

    “ผมจะรอกินข้าวเย็น หวังว่าก่อนตะวันตกดินคุณคงถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว”

    “จะพยายาม” เมธาวีเมินหน้าหนีดึงกระเป๋าเป้กลับไปสะพายตามเดิมจากนั้นจึงเดินลงไปหานิพนธ์ที่รออยู่ข้างล่าง ส่วนพรตได้แต่มองตามหลังด้วยความกังวล เห็นทีงานนี้ต้องหาทางพิสูจน์ให้รู้ดำรู้แดงกันสักทีว่า นายนิพนธ์เป็นคนอย่างไรกันแน่

    พรตได้ยินเสียงกริ่งจักรยานหน้าบ้าน เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นครูป้อมมาตามที่เมธาวีบอกไว้แน่ เขาเดินออกมาจากในครัวเพื่อมาหาแขกที่ยืนรออยู่ เพียงแค่เห็นหน้าพรตเท่านั้นครูป้อมก็ยิ้มแหยทำท่าเหมือนเกร็งที่ได้เจอกัน

    “สวัสดีครับ” คุณครูหนุ่มทักทายอย่างนอบน้อม

    “เอาเอกสารอะไรมา ฝากผมไว้ได้เลย” พรตพูดเสียงเรียบ ครูป้อมรีบส่งเอกสารที่อยู่ในตะกร้าหน้าจักรยานให้ พรตสังเกตว่ามีหลายแฟ้มมากกว่าเมื่อวาน

    “ทำไมวันนี้มีหลายอันจัง แล้วแฟ้มพวกนี้เกี่ยวกับอะไร ทำไมต้องเอามาให้ที่นี่ด้วย”

    “เอ่อ คือ” ครูป้อมอึกอักเล็กน้อย

    “ผมเป็นสามีเมธาวี ผมรู้ทุกอย่างที่เธอทำ แค่บอกมาว่างานอะไรผมก็เข้าใจแล้ว” พรตยักไหล่เบาๆ เหมือนกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก

    “เอกสารที่ดินของโรงเรียนที่คุณวีจะซื้อเพิ่ม แปลนอาคารเรียนหลังใหม่ที่ช่างแก้ไขครบทุกจุดตามที่คุณวีบอกไป แล้วก็บรรดาอุปกรณ์การเรียนที่ต้องใช้ครับ”

    “หือ” คราวนี้พรตหูผึ่ง ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรแต่เอาจริงๆ งานใหญ่ไม่ใช่เล่น

    พรตเปิดเอกสารดูคร่าวๆ ก่อนจะบอกให้อธิบาย และซักถามในส่วนที่สงสัยอย่างละเอียด ทำให้รู้ว่าเมธาวีกำลังทำเรื่องซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อขยายโรงเรียน และสร้างอาคารเรียนหลังใหม่รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนทุกชิ้นให้

    “แล้วนี่สรุปเรื่องแบบอาคารกันหรือยัง” พรตเปิดแบบดูช้าๆ

    อาคารเรียนห้าชั้นคงพอรับนักโรงเรียนของที่นี่ได้ สัดส่วนการใช้พื้นที่ค่อนข้างลงตัวพอสมควร แต่มีบางจุดที่พรตเห็นว่าน่าจะปรับปรุงแก้ไข

    “คุณมีไฟล์แบบอาคารไหม” ชายหนุ่มถาม

    “มีครับแต่ว่าอยู่ในเมล์ ผมต้องกลับไปที่โรงเรียนก่อน” ครูป้อมตอบ

    “ช่วยส่งเข้าเมล์นี้ที ผมจะให้ผู้ชำนาญดูให้ละเอียดอีกที แล้วจะรีบส่งคืนให้คุณโดยเร็ว อ้อ มีกำหนดจะสร้างเมื่อไร”

    “คุณวีวางแผนไว้ว่าถ้าจัดการเรื่องที่ดินเรียบร้อย ก็จะเริ่มลงมือทันทีครับ”

    “ที่ดินที่เมธาวีจะซื้อเป็นของใคร” พรตชวนคุย

    “ผมก็ไม่ทราบครับ คุณวีบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง น่าจะเรียบร้อยเร็วๆ นี้”

    “โอเค งั้นครูกลับไปส่งเมล์ให้ผม แล้วกลับมาหาอีกทีได้ไหม”

    “คุณพรตมีอะไรหรือเปล่าครับ” ครูป้อมถามด้วยความแปลกใจ

    “ผมจะช่วยดูเรื่องข้าวของที่จะซื้อไง เผื่อมีซัพพลายเออร์ที่ราคาถูกและดี โรงเรียนจะได้ของดีคุณภาพสูงไปใช้ไง” น้ำเสียงที่เป็นกันเองของพรตทำให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลาย ครูป้อมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแล้วขอตัวกลับไปโรงเรียนต่อ ก่อนจะบอกเวลาว่าจะกลับมาอีกทีช่วงบ่ายสาม

    อีบุ๊คมาแล้วค่ะ 

     

    Thumbnail Seller Link
    เจ้าสาวร่ายรัก
    ยิปซี
    www.mebmarket.com
    “เพราะวีรู้ว่าคนอย่างคุณพรตพูดคำไหนคำนั้น วีเชื่อในความบริสุทธิ์ใจ แต่วีก็จะรอดูว่าคุณพรตทำได้อย่างที่พูดไหม” “ทำไมเชื่อง่าย ไม่งอ...
    Get it now
    Thumbnail Seller Link
    จำนนรักจอมมาร
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    “ถ้าขืนพูดคำว่าจะหย่า ผมจะจูบแบบเมื่อคืนนะ รู้ไหม เอ๊ะ หรือว่าต้องทำให้ดูก่อนว่าเป็นไง” โมกข์กระซิบข้างๆ หูแล้วหัวเราะเบาๆ  ลมหายใจอุ่นๆ ร...
    Get it now
    Thumbnail Seller Link
    รักร้ายใต้เงาทราย
    คันธมาลี
    www.mebmarket.com
    "เธอขี่ม้าเป็นเหรอ" เขายื่นหน้ามากระซิบถามข้างหู"จำได้ว่าขี่อย่างอื่นที่ง่ายกว่า ยังทำไม่ถนัดเลยแล้วขี่ม้าเธอจะ...""หยุดพ...
    Get it now
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×