คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
พิธีแต่งงานของอรพิมกับทรงฉัตรในช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดี ชายหนุ่มเพิ่งได้เห็นหน้าผู้ชายของอรพิมที่คุณทิพย์บอกเมื่อหลายวันก่อน พฤกษ์ นิยมสุขนั่นเอง ทนายหนุ่มฝีมือดีที่คุณทรงพุ่มเคยพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เพิ่งได้รู้จักกันเป็นเรื่องเป็นราวก็วันนี้เอง
ทรงฉัตรสังเกตว่าพฤกษ์ดูจะเป็นห่วงเป็นใยว่าที่เจ้าสาวของตนตลอดเวลา ความใกล้ชิดสนิทสนมนี้คงไม่ใช่แค่การร่วมงานกันเท่านั้น มันต้องมีอะไรที่มากกว่าเพราะเท่าที่เห็น ดูเหมือนว่าทุกเรื่องของอรพิมนั้นทนายหนุ่มจะรู้ดีกว่าใครทั้งหมด
“แม่ว่ามันชักจะยังไงอยู่นะ ตาฉัตร แม่น้าสาวก็ไม่โผล่มาให้เห็นส่งหลานกับทนายความมาแทน ดูสิแขกผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่ญาติ เป็นลูกค้าทั้งนั้น” คุณทิพย์ตั้งข้อสังเกตความผิดปกติของงานแต่งงานในวันนี้
ดลยาไม่มาปรากฏตัวทั้งที่ความจริงแล้วควรมาเป็นญาติผู้ใหญ่ฝั่งเจ้าสาว แขกที่มาร่วมงานรวมถึงคนที่ทำหน้าที่ผู้ใหญ่แทน กลับเป็นประธานบริษัทที่มีชื่อเสียงซึ่งคุณทรงพุ่มและนางรู้จักคุ้นหน้าเป็นอย่างดี สร้างความสงสัยให้กับคุณทิพย์เหลือเกินว่า เพราะอะไรดลยาจึงไม่มางานสำคัญเช่นนี้ และมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เกิดงานวิวาห์นี้ขึ้น
“พ่อบอกว่าคุณดลยากลับมาไม่ทันครับ ตอนนี้เธออยู่อเมริกา” ทรงฉัตรกระซิบตอบมารดาที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องมองเจ้าสาวที่กำลังเดินเข้ามาหา เพื่อร่วมส่งแขกที่ทยอยกลับในเวลานี้
“ดีนะ ตัวเองบัญชาการอยู่เมืองนอกส่งหลานสาวมาจัดการ เจ้าทนายนั่นก็เหมือนกันไว้ใจไม่ได้ ฉัตรต้องคอยจับตามองดูให้ดีๆ นะลูก คอยดูด้วยว่าสองคนนั้นทำอะไรในบริษัทบ้าง” คุณทิพย์ทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินหนี ไม่อยากเห็นหน้าศรีสะใภ้ที่ก้าวมายืนเคียงข้างบุตรชาย
“เธอสนิทกับนายพฤกษ์อะไรนั่นถึงขั้นไหนแล้ว” ทรงฉัตรกระซิบถามเจ้าสาวคนสวยที่ยืนอยู่เคียงข้าง
วันนี้อรพิมสวย สวยกว่าทุกวันที่เคยเห็น เจ้าสาวแสนสวยแม้จะไม่ค่อยมีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนใบหน้าสักเท่าไรก็ตามที แต่ก็ไม่ได้บดบังความสวยของเจ้าสาวเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ทรงฉัตรเข้าใจเองว่า การที่เจ้าหล่อนไม่ยิ้มก็เพราะไม่เต็มใจที่จะเข้าพิธีวิวาห์ด้วย แต่อาจมีเหตุผลอื่นนั่นก็คือ พฤกษ์นั่นเอง
“แล้วนายสนิทกับแม่นางเอกนั่นถึงไหนต่อไหนแล้วล่ะ” อรพิมย้อนถามกลับไปบ้าง
แม้วันนี้มุกดาราจะไม่ได้มาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ แต่อรพิมก็ได้ยินเสียงซุบซิบของแขกที่มาร่วมงานบางคน ที่เอ่ยถึงนางเอกสาวซึ่งพลาดการเป็นเจ้าสาวในวันนี้ รวมถึงการพูดคุยกันต่างๆ นานาถึงสาเหตุงานวิวาห์สายฟ้าแลบที่ไม่มีวี่แววมาก่อนของเธอกลับทรงฉัตรอย่างสนุกปากเลยทีเดียว
“นี่สนใจผมมากถึงขนาดหาข้อมูลเชียวเหรอ” ทรงฉัตรชำเลืองมองเจ้าสาวของตน เพื่อสังเกตสีหน้าว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
นางเอกสาวไม่มาร่วมงานในวันนี้ ไม่ใช่เพราะเสียใจกับงานวิวาห์ครั้งนี้ แต่เพราะติดงานส่วนตัวทำให้ไม่มีโอกาสได้มาร่วมแสดงความยินดี แต่กระนั้นมุกดาราก็ยังส่งของขวัญพร้อมคำอวยพรในฐานะเพื่อนที่แสนดีมาให้
“หาข้อมูลอะไร” อรพิมหันมาสบตาคนถาม
“ก็หาว่าผมคบกับใคร คุยกับใครบ้าง หรือว่าคุณไม่ได้ทำแต่เป็นคนอื่นทำให้” ทรงฉัตรเดาว่าอาจจะเป็นพฤกษ์ ซึ่งมีท่าทีสนิทสนมกับเจ้าสาวของตนเสียเหลือเกิน มันก็ไม่แปลกหากทนายหนุ่มจะทำเช่นนั้น อย่างน้อยอรพิมก็จะได้รู้เสียบ้างว่า คนอย่างทรงฉัตรเป็นที่สนใจของใครต่อใครมากมายแค่ไหน
“ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก ของแบบนี้ความลับมันไม่มีในโลก โดยเฉพาะคนบางคนที่ชอบทำอะไรโจ่งแจ้งไม่สนใจสายตาคนอื่น” อรพิมเชิดหน้า
“พวกทำตัวเป็นไฮโซนิยมไม้ประดับสวยๆ ทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา วันๆ ดีแต่หาเรื่องคนอื่นสมองคิดอะไรดีๆ ไม่เป็น มักจะไม่รู้ว่าอะไรควรและไม่ควร แต่ถึงคุณกับเธอจะไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ฉันก็ไม่สนเพราะไม่อยากลดตัวไปเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ”
ทรงฉัตรหน้าชากับคำพูดจิกกัดของอรพิม มุกดาราไม่เคยว่าเจ้าหล่อนสักคำหนำซ้ำยังพยายามพูดให้เข้าใจเธออีกต่างหาก แต่นี่อะไรเจ้าสาวที่พ่อเลือกให้กลับใช้คำพูดถากถางเหน็บแนมทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เป็นแบบนั้น
“มีสิทธิ์อะไรไปว่ามุกแบบนั้น มุกไม่ใช่ไม้ประดับบ้าบออย่างที่คุณพูด จะว่าคนอื่นดูตัวเองก่อนดีไหมว่าทำดีแล้วหรือยัง” ทรงฉัตรอดไม่ได้ที่จะต้องเหน็บกลับไปบ้าง
“ฉันทำดีแน่ และทำดีชนิดที่คุณจะต้องไม่มีวันลืมเลยล่ะ อย่าลืมเตรียมคำขอบคุณฉันไว้นะ” เจ้าสาวคนสวยทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินจากไปดั่งนางพญาตามแบบฉบับของอรพิม
ทรงฉัตรนับหนึ่งถึงร้อยดังๆ ในใจ นี่ขนาดเข้าพิธีแต่งงานแล้วเจ้าหล่อนยังไม่มีทีท่าอ่อนน้อมต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ไม่อยากคิดเลยว่าต่อไปแม่เจ้าประคุณจะวางท่าอะไรอีก เห็นทีงานนี้เขาต้องสั่งสอนให้รู้เสียบ้างแล้วว่า การเป็นเมียที่ดีควรทำตัวอย่างไร
คนที่อรพิมคิดถึงที่สุดเวลานี้ก็คือน้าสาวสุดที่รัก ผู้เป็นต้นเหตุของงานแต่งงานในวันนี้ เธอปลีกตัวขึ้นมาพักผ่อนในห้องพักของโรงแรมก่อนเวลางานเลี้ยงช่วงเย็นจะเริ่ม เมื่อมีเวลาอยู่ลำพังอรพิมก็ยิ่งคิดถึงดลยาและอดน้อยใจไม่ได้ว่า วันสำคัญที่สุดในชีวิตของตนเช่นนี้ น้าสาวผู้เปรียบเสมือนมารดากลับไม่มาร่วมงาน ซ้ำปล่อยให้เธอต้องเผชิญหน้ากับสามีอย่างทรงฉัตร ซึ่งพูดได้เต็มปากเลยว่าทั้งคู่ไม่มีวันลงรอยกันอย่างแน่นอน
“คุณพิม” เสียงพฤกษ์ดังขึ้นทางด้านหลัง อรพิมรีบเช็ดน้ำตาที่แก้มให้แห้งแล้วจึงหันมาหาผู้ช่วยคนสนิท
“ว่าไงพฤกษ์ ได้เวลาแล้วเหรอ” อรพิมพยายามทำใจลงไปร่วมงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของตน แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่ได้ยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ยังไม่ต้องลงไปตอนนี้ ดูนี่ก่อน” ทนายหนุ่มวางแทบเล็ตตรงหน้าและต่อสัญญาณอินเตอร์เนทข้ามทวีปไปหาใครบางคนที่เจ้าสาวคนสวยคิดถึงสุดหัวใจ
“หนูพิม” เสียงน้าสาวสุดที่รักทักทายพร้อมกับโบกมือด้วยรอยยิ้ม
“น้ายา” อรพิมแทบจะหยิบมันขึ้นมากอดเสียด้วยซ้ำ ทันทีที่เห็นหน้าคนที่คิดถึงน้ำตาแห่งความดีใจเสียใจก็ร่วงหล่นอีกครา
“วันแต่งงานไม่ร้องไห้นะ ยิ้มสิลูก ยิ้มให้น้ายาดูสิว่าหลานน้าสวยแค่ไหน สวยมากลูก หนูพิมเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเลย”
“น้ายาจะมาเมื่อไรคะ” อรพิมถามเสียงเครือ พยายามยิ้มให้น้าสาวสุดที่รักเห็น
“อีกสักพักนะ น้ายังพักไม่หายเหนื่อยเลย ทำงานมาเท่าอายุหนูพิม ขอพักให้สบายใจหน่อย หนูพิมทำงานแทนน้าได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวหลังงานพิมจะเริ่มโปรเจคที่น้ายาสั่งทันที”
“ดีจ้ะ มีอะไรก็ถามทรงฉัตรนะ ต่อไปหนูพิมต้องเชื่อฟังพี่เขา มีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน แต่งงานแล้วพี่เขาก็คือผู้นำในชีวิตหนู”
ผู้นำเหรอ นำความหายนะมาสู่ชีวิตต่างหาก ตั้งแต่วันที่เขาล่วงเกินจูบเธอในห้องหอ หญิงสาวก็ไม่คิดญาติดีหรือเป็นมิตรด้วยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครรู้ว่าทรงฉัตรเป็นคนอย่างไรกันแน่ ทุกคนว่าเขาดีทั้งๆ ที่จริงแล้วเป็นนักฉวยโอกาสและปากเสียมาตลอด
“รับปากน้านะ หนูพิม ต่อไปจะเชื่อทรงฉัตร ไม่ดื้อกับพี่เขา” คุณดลยาย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ น้ายา” หญิงสาวรับคำเสียงเบา
“เชื่อน้านะ ทรงฉัตรเป็นคนดี หนูพิมจะมีสามีที่ดีที่รักและดูแลไปตลอดชีวิต”
“ค่ะ น้ายา” อรพิมฝืนรับคำ ดลยาหันมาสั่งงานพฤกษ์ต่อ ปล่อยให้เจ้าสาวทำใจอีกสักหน่อยก่อนจะต้องลงไปร่วมงานหลังจากที่การสนทนาจบสิ้นลง
พิธีส่งตัวเสร็จสิ้นแล้ว คุณทรงพุ่มกับคุณทิพย์ทำหน้าที่พ่อแม่สามีรับไหว้อรพิมเป็นสะใภ้อีกครั้ง แม้คุณทิพย์จะไม่ได้ยินดีกับการได้เธอมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่เพราะบรรยากาศรอบข้างที่ทุกคนต่างยินดีกับบ่าวสาวทำให้นางต้องเล่นไปตามบท
“มาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงครอบครัวเราไว้” คุณทิพย์พูดเป็นนัย
“อย่าลืมที่แม่บอกนะฉัตร ลูกสองคนจะได้มีทางเดินชีวิตที่มีความสุข” คำพูดมารดาเหมือนจะบอกให้ทรงฉัตรรู้ว่าควรทำอย่างไร
“พ่อดีใจที่ได้หนูพิมมาเป็นลูกสาวอีกคน ต่อไปนี้พ่อและเจ้าฉัตรจะดูแลหนูเอง” คุณทรงพุ่มจับมือสะใภ้ไว้และเอามือของทรงฉัตรมาวางทับ
“ถ้าจะให้ดีมีหลานให้พ่ออุ้มสักคนสองคน แค่นี้พ่อก็มีความสุขมากแล้ว”
ถ้าเป็นบ่าวสาวทั่วไปคงได้เขินอายสะเทิ้นกันทั่วห้องหอ แต่นี่อรพิมได้แต่ยิ้มที่มุมปากไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไร ในขณะที่ทรงฉัตรเองก็ได้แต่นิ่งไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น
ยิ่งผู้ใหญ่ทยอยกันออกจากห้อง อรพิมยิ่งรู้สึกประหนึ่งกำลังจะขาดใจและเริ่มมองหาตัวช่วย พฤกษ์อยู่ที่ไหน คราวนี้ทำไมไม่เห็นเขามาอยู่ในห้องด้วย หญิงสาวพยายามมองหาจนเกือบจะเดินออกไปที่ประตู
“อย่าจ้ะ คนโบราณถือ บ่าวสาวต้องอยู่ในห้องหอคืนนี้ กลับเข้าไปเร็ว” ญาติผู้ใหญ่ทางคุณทรงพุ่มเตือนด้วยความเอ็นดู
อรพิมจำต้องอยู่ในห้องหอกับทรงฉัตรเพียงลำพัง กำลังคิดว่าจะเตรียมรับมือให้ผ่านคืนนี้ได้อย่างไรดี เจ้าบ่าวทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินหายเข้าไปในห้องน้ำสักพักก่อนจะออกมาในชุดนอน คืนนี้ทั้งสองใช้ห้องนี้เป็นเรือนหอชั่วคราวแล้วพรุ่งนี้จึงกลับไปที่บ้านบริบูรณ์ปัญญา
“ไม่อาบน้ำเหรอ เร็วเข้าผมจะนอนแล้ว” ทรงฉัตรเมื่อยและเหนื่อยมากอยากจะหลับใจจะขาดแล้ว แต่เขาเป็นคนนิสัยประหลาดเวลานอนต้องไม่มีเสียงอะไรดังใกล้ๆ ไม่เช่นนั้นจะนอนไม่หลับ
“จะนอนก็นอนไปสิ ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย” อรพิมลุกขึ้นถอดมาลัยวางไว้ที่หัวเตียง
“เดี๋ยว” ชายหนุ่มเรียกพร้อมกับดึงตัวเข้าไปหา
อรพิมใจหายวาบเมื่อรู้ว่าเขากำลังรูดซิบด้านหลังลงอย่างรวดเร็ว อย่าบอกนะว่าจะทำอะไรเธอโดยที่ไม่ปล่อยให้ได้อาบน้ำก่อน
“อย่า” หญิงสาวสะบัดตัวหนีทันที
“ผมรูดซิบให้เพราะคิดว่าคุณทำไม่ได้แน่ รีบอาบน้ำแล้วมานอนซะ เวลานอนผมไม่ชอบให้มีเสียง อ้อ ไม่ต้องกลัวผมไม่ปล้ำคุณแน่ ถ้าคุณไม่ยั่วผมก่อน”
“นาย นี่มัน”
อรพิมไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับทรงฉัตรอีกต่อไป ฝากไว้ก่อนเถอะถ้ามีโอกาสเมื่อไรจะเอาคืนแน่ เธอใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำในนานที่สุด จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับไปแน่แล้วจึงค่อยออกมาและล้มตัวลงนอนบนเตียง ก่อนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าในที่สุด
ชีวิตแต่งงานของบ่าวสาวเป็นไปตามที่ตกลงกัน ต่างคนต่างอยู่และต่างคนต่างใช้ชีวิต อรพิมและทรงฉัตรเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ นอกจากนี้ปัญหาระหว่างแม่ผัวกับสะใภ้ก็ไม่จบสิ้นง่ายๆ เพราะท่าทีของคุณทิพย์ที่มีต่อหญิงสาว บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นอย่างไร
“ออกจากบ้านแต่มืดทุกวัน กลับก็ค่ำเรียกว่าไม่ตะวันตกดินไม่ถึงบ้าน ขยันมากเกินไปหรือเปล่า” คุณทิพย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร เมื่อสวนกับศรีสะใภ้หน้าบ้าน
“หนูมีประชุมตอนบ่ายไม่ทราบว่าจะเสร็จกี่โมงคะ ถ้าเลิกดึกหนูจะทานเข้ามาเลย” อรพิมตอบแม่สามีด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่จะกินข้าวหรือไม่กิน แต่มันอยู่ที่เธอกับตาฉัตรทำงานที่เดียวกัน แต่ทำไมลูกชายฉันกลับบ้านแต่หัววัน ในขณะที่เธอถ้าไม่ใกล้ห้าทุ่มก็ไม่กลับ” นางมองด้วยสายตากำลังจับผิด “อย่าลืมว่าแต่งงานแล้ว ทำอะไรก็ควรจะนึกถึงหน้าตาฉัตรบ้าง เลิกงานแล้วก็กลับบ้านมาดูแลครอบครัวตัวเอง อย่ามัวแต่ไถลนอกบ้าน”
อรพิมถอนหายใจเบาๆ กับท่าทีของแม่สามี นับตั้งแต่แต่งงานเข้ามาการกินข้าวในบรรยากาศครอบครัวมีน้อยมาก และทุกครั้งที่กินข้าวคุณแม่สามีของเธอก็เอาแต่พูดถึงคนอื่นที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะด้วย ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนางเอกสาวคนสวยมุกดารานั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับอรพิมเหลือเกิน
อรพิมสะสางงานที่บริษัทไปตามหน้าที่ พฤกษ์หอบเอกสารปึกใหญ่เข้ามาวางที่โต๊ะ อย่างน้อยชีวิตของอรพิมก็ไม่ได้น่าเบื่อไปเสียทุกเรื่อง ทนายหนุ่มยังเป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา
“อะไร” อรพิมเงยหน้ามองกองเอกสารตรงหน้า
“งานที่คุณพิมสั่งไง กว่าจะได้ครบต้องเดินไปแจกยิ้มที่แผนกบัญชีทุกวันจนเมื่อยปากแล้ว” ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทีเหน็ดเหนื่อย
“ก็ดีแล้ว แจกยิ้มแล้วได้งาน” อรพิมพูดด้วยรอยยิ้มพลางก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเองต่อ
“นี่ทำอะไร” พฤกษ์ชะโงกหน้ามามองงานตรงหน้า
“ดูระบบบัญชี ตอนนี้กำลังให้ฝ่ายบัญชีแจ้งลูกค้าเรื่องการเปลี่ยนระบบเก็บเงินใหม่”
“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ทนายหนุ่มสงสัย
“ของเราไม่แย่แต่ของเดิมแย่มาก”
อรพิมไม่อยากบอกว่าหลายวันมานี้เจอจุดที่ทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงินหลายแห่ง ทั้งเรื่องที่ลูกค้าบางรายจ่ายเงินไม่ตรงตามกำหนดหรือบางคนจ่ายไม่ครบแล้วไม่มีการติดตามเท่าที่ควร ทำให้เมื่อเจอปัญหาใหญ่ทุกอย่างจึงเกือบสะดุด
“เขารู้กันบ้างไหม” พฤกษ์หมายถึงทรงฉัตรหรือคุณทรงพุ่ม
“คุณลุงรู้แต่ห้องข้างๆ ไม่รู้ รายนั้นถนัดวาดออกแบบอย่างเดียว ไม่สนใจทั้งสิ้นว่าเกิดอะไรขึ้น” อรพิมหมายถึงทรงฉัตรนั่นเอง
“จะไปไหนคุณพิม” ทนายหนุ่มร้องถาม เมื่อเห็นเจ้านายสาวลุกขึ้น
“ประชุม ฝากเอาเอกสารพวกนี้ไปให้ที่บ้านที ไว้เสาร์อาทิตย์ค่อยนั่งไล่ดูอีกที
“ฝากคุณฉัตรไปแล้วกัน”
“บ้านพิมไม่ใช่บ้านเขา พรุ่งนี้พิมจะไปนอนบ้าน” หญิงสาวรีบบอก
“แต่งงานไม่ถึงสองอาทิตย์จะกลับบ้านแล้วเหรอ” พฤกษ์มองหน้าอรพิมด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“บ้านเราก็มีอยู่บ้านคนอื่นให้เขาบ่นว่ามากๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
“คิดมากน่า คุณพิม” ชายหนุ่มสังเกตว่าสีหน้าอรพิมดูไม่มีความสุขในเวลาที่พูดถึงครอบครัวของทรงฉัตรสักเท่าไร
“ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น นาทีนี้รีบทำงานให้เสร็จ งานเสร็จเมื่อไรพิมจะได้ชีวิตของพิมคืนมาเสียที เอาเอกสารไปให้ด้วยนะ” อรพิมพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไปห้องประชุมทันที โดยมีสายตามองตามด้วยความห่วงใยของพฤกษ์
พฤกษ์มองกองเอกสารบนโต๊ะเจ้านายสาว แล้วนึกว่าควรทำอย่างไรให้ความรู้สึกของอรพิมดีขึ้น สายตาทนายหนุ่มมองไปที่ประตูเชื่อมระหว่างห้องของอรพิมและทรงฉัตร หรือว่างานนี้เขาจะเล่นบทกาวใจเสียเอง เผื่อว่าอะไรๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้
ทรงฉัตรประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นทนายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตร ปกติแล้วพฤกษ์แทบจะตัวติดกับภรรยาในนามของเขาราวกับเป็นคนเดียวกัน เรียกว่าเห็นอรพิมที่ไหนต้องเห็นพฤษ์ที่นั่น แล้ววันนี้ลมอะไรหอบทนายฝีปากดีมาถึงที่นี่ได้
“สวัสดีครับคุณทรงฉัตร” พฤกษ์เป็นฝ่ายทักทายเจ้าของห้องก่อน เขาเห็นแววตาแห่งความประหลาดใจของอีกฝ่าย แต่ไม่พูดอะไรเพราะเดาออกได้ว่าทรงฉัตรคิดอะไรอยู่ในใจกับการที่ตนเข้ามาที่นี่ในวันนี้
“มีอะไรหรือเปล่าคุณพฤกษ์ เชิญนั่งก่อนสิครับ” เจ้าของเชื้อเชิญด้วยมารยาท
“ผมแค่จะแวะมาถามว่า วันศุกร์นี้คุณฉัตรจะไปค้างที่บ้านคุณพิมด้วยหรือเปล่า ผมจะได้สั่งให้แม่บ้านจัดเตรียมอาหารไว้ให้” พฤกษ์พูดหน้าตายและแอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายว่ามีปฏิกริยาใดๆ ต่อคำถามนี้หรือไม่
“ไปค้างงั้นหรือ” ทรงฉัตรทำหน้างง เรื่องนี้ไม่เห็นอรพิมเคยบอกว่าจะกลับไปค้างบ้านตัวเอง หรือว่ามีอะไรอีก
“คุณพิมบอกผมว่าจะกลับบ้านไปตรวจเอกสารสำคัญ ต้องใช้สมาธิมากในการอยู่กับกองเอกสารพวกนั้น ผมเดาว่าคุณทรงฉัตรต้องไม่รู้แน่เลย เพราะว่าเอกสารพวกนั้นผมเพิ่งเอามาให้คุณพิมเมื่อกี้ เลยแวะมาถามว่าคุณสองคนจะไปช่วยกันดูเอกสารด้วยกันหรือเปล่า”
“เอกสารอะไร” ทรงฉัตรถามด้วยความสนใจ มีเอกสารอะไรที่ต้องให้อรพิมตรวจเป็นพิเศษงั้นหรือ
“เอกสารเกี่ยวกับบัญชีครับ แต่ผมไม่รู้ว่าข้อมูลในเอกสารคืออะไร นี่คุณพิมก็กำลังประชุมเรื่องนี้อยู่”
“ถ้าสำคัญขนาดนี้รบกวนคุณพฤกษ์ช่วยส่งเอกสารมาให้ผมที และคงไม่ต้องรบกวนไปตรวจงานถึงบ้านของอรพิมหรอกครับ ห้องทำงานบ้านผมกว้างพอที่จะเก็บเอกสารทั้งบริษัทได้” ทรงฉัตรไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้คลาดสายตาแน่ มันสำคัญมากขนาดที่ต้องย้ายที่ทำงานกันให้วุ่นวายเลยงั้นหรือ งานนี้ ขอดูหน่อยว่าเจ้าหล่อนกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
“ได้ครับ งั้นผมให้เด็กเอามาไว้ในห้องคุณฉัตรเลยแล้วกัน และฝากส่งต่อให้คุณพิมด้วย” พฤกษ์ได้โอกาสสั่งการให้พนักงานยกเอกสารทั้งหมดมาไว้ที่ห้องของทรงฉัตรทันที
ทรงฉัตรแปลกใจว่าทำไมอรพิมจึงเรียกดูบัญชีอะไรมากมายขนาดนี้ เขาหยิบเอกสารบางแผ่นมาอ่านถึงทำให้รู้ว่าเธอกำลังตรวจสอบเรื่องโปรเจคที่มีปัญหา
“ผมฝากคุณฉัตรด้วย คุณพิมชอบทำงานจนลืมกินข้าวบางทีก็ปวดท้องโรคกระเพาะกำเริบบ่อยๆ อ้อ คุณพิมแพ้กุ้งนะครับ เธอทานกุ้งไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ทนายหนุ่มทิ้งท้ายไว้ก่อนจากไป
ทรงฉัตรเพิ่งรู้ว่าเมียแต่งคนเก่งที่พ่อชมนักชมหนา มีโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคฮิตของคนทำงานที่ไม่รู้จักแบ่งเวลา และรู้เพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า แพ้กุ้ง ซึ่งต่อไปเขาจะกลับไปสั่งให้แม่ครัวที่บ้านทำอาหารที่ไม่มีกุ้ง เพื่อให้อรพิมกินอาหารได้อย่างสบายใจ
อรพิมไม่ได้กลับบ้านตามที่ตั้งใจไว้ เพราะคุณทรงพุ่มต้องการให้เธอและทรงฉัตรช่วยเป็นตัวแทนไปบริจาคเงิน ให้กับมูลนิธินิสิตนักศึกษาที่ตนเป็นประธานทุกปี
แม้จะไม่อยากไปสักเท่าไรแต่อรพิมก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดี เธอแต่งตัวด้วยชุดราตรีสีเขียวอ่อนเปิดไหล่เนียนเล็กน้อยและสวมเครื่องประดับเข้าชุดกัน มาดบุคลิกผู้บริหารที่เห็นทุกวันในชุดสูทสีดำถูกลบไปอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญทำให้ทรงฉัตรถึงกับตาค้างเมื่อเห็นศรีภรรยาเยื้องกรายลงมาจากด้านบน
ทรงฉัตรบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้ชำเลืองมองคนข้างกายตลอดเวลา คืนนี้อรพิมสวยเสียจนเขาไม่อาจจะละสายตาไปจากเธอได้ ท่วงท่ารอยยิ้มดั่งนางพญาที่เคยตำหนิกลับสะกดทุกสายตาของชายหนุ่มไว้ รวมถึงทำให้เกิดความภาคภูมิใจด้วยว่า ผู้หญิงข้างกายคนนี้ไม่ธรรมดาเสียจริง
และก็เป็นจริงอย่างที่ทรงฉัตรคิดไว้ไม่ผิด อรพิมเป็นดาวเด่นของงานที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชมและอยากรู้จัก ไม่ใช่แค่แขกที่ได้พบเท่านั้นแม้แต่มุกดาราที่มาร่วมงานในคืนนี้ ก็ยังอดชื่มชมและออกปากกับทรงฉัตรด้วยความจริงจากใจเลยว่า
“คุณพิมสวยจังเลยค่ะ สวยเหมือนนางพญาเลย” มุกดารากล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมจริงๆ
“ขอบคุณครับมุก คืนนี้มุกก็สวยนะ” ทรงฉัตรชมนางเอกสาวกลับ
“แหม สวยอย่างไรก็ไม่สู้คุณพิมหรอกค่ะ แล้วฉัตรจะไม่แนะนำให้มุกรู้จักหน่อยเหรอ”
“แน่ใจนะว่าอยากรู้จัก”
“แน่ใจสิคะ ไปเร็ว มุกอยากรู้จักเธอ” มุกดาราเดินตามทรงฉัตร ซึ่งเดินมาหาอรพิมที่กำลังพูดคุยกับผู้ใหญ่ของงานในคืนนี้
อรพิมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่พบมุกดาราในคืนนี้ แต่เมื่อนางเอกสาวแนะนำตนเองพร้อมกับบอกว่ามาร่วมงานคืนนี้เพื่อช่วยรับบริจาค อีกทั้งท่าทีเป็นมิตรที่แสดงความจริงใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อรพิมรู้สึกดีกับมุกดารามากขึ้น
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เสียดายวันแต่งมุกติดงานโชว์ตัวเลยไม่ได้ไปร่วมยินดีด้วย” มุกดารายิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะคะ”
อรพิมจำได้ว่ามุกดาราส่งของขวัญมาร่วมอวยพรในงานวิวาห์ที่เพิ่งผ่านไป แต่เพราะรู้จากพฤกษ์ว่านางเอกสาวคือคู่ควงของทรงฉัตร ก่อนที่จะต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับตน ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าแสดงความชื่นชมกลับไปในตัวนางเอกสาว เพราะไม่รู้ว่าสถานความสัมพันธ์ของมุกดาราและทรงฉัตรเป็นเช่นไร
อรพิมเห็นพฤกษ์อยู่ในงานด้วยแล้วจึงโบกมือให้รู้ว่าตนอยู่ตรงไหน เพียงแค่เห็นพฤกษ์เท่านั้นอารมณ์ที่แสนดีของทรงฉัตรก็เปลี่ยนไปทันที ยิ่งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของศรีภรรยาที่ดูจะดีใจเหลือเกิน กับการที่พฤกษ์มาร่วมงานครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้ทรงฉัตรรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแทน
“ใครคะ ฉัตร เพื่อนคุณพิมเหรอ” มุกดารากระซิบถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นท่าทีสนิทสนมกันของพฤกษ์และอรพิม
“ชื่อพฤกษ์เป็นทนายของบริษัท และเป็นคนดูแลพิมทุกอย่าง” ทรงฉัตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือย
“มิน่าดูสนิทกัน” นางเอกสาวพยักหน้าเข้าใจ
“อืม สนิทกันมาก” ทรงฉัตรเน้นเสียงด้วยความหงุดหงิด
อรพิมแนะนำพฤกษ์ให้มุกดารารู้จักในฐานะเพื่อนของทรงฉัตร ทนายหนุ่มทำความรู้จักนางเอกสาวโดยไม่บอกให้รู้ว่า ตนมีข้อมูลใดมาก่อนหน้าและคอยจับตาดูท่าทีของมุกดาราไว้เป็นข้อมูลในหัวตลอดเวลา รวมถึงสังเกตพฤติกรรมของทรงฉัตรและอรพิมว่าเป็นอย่างไรบ้าง
แม้พฤกษ์และมุกดาราจะไม่ค่อยได้พูดกันมากนัก แต่นางเอกสาวรู้สึกได้ถึงท่าทีแปลกๆ โดยเฉพาะสายตาที่มองจ้องเหมือนจับผิดของทนายหนุ่ม ซึ่งทุกครั้งที่สบตากันโดยบังเอิญจะปรากฏแววตาเช่นนี้เสมอ แต่ที่ทำให้ใจนางเอกสาวติดลบก็คือ รอยยิ้มที่มุมปากอันแสนยียวนกวนประสาทของพฤกษ์ ที่ทำให้มุกดาราคิดได้ว่า พ่อเจ้าประคุณมีอะไรในใจแน่
“มุกกลับก่อนนะคะ ฉัตร” มุกดาราไม่อยากทนเห็นสายตาประหลาด ที่มองทีไรก็รู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มเยาะตนในเรื่องที่ไม่ทราบแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ คือไม่เป็นมิตร
“ไม่อยู่จนงานเลิกเหรอ” ทรงฉัตรอยากมีเพื่อนคุยต่อ เพราะอรพิมถูกใครต่อใครดึงตัวไปทำความรู้จัก แน่นอนว่าเขาได้แต่มองอย่างชื่นชมอยู่ห่างๆ และมีมุกดาราคุยเป็นเพื่อนในบางโอกาส
“ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่อยากเห็นหน้าคนโรคจิต”
“มุกว่าไงนะ” ทรงฉัตรได้ยินไม่ถนัด
“ไม่มีอะไรค่ะ มุกบอกว่าเหนื่อยนิดหน่อยอยากกลับไปพัก แล้วเจอกันนะคะฉัตร” นางเอกสาวกล่าวลาอีกครั้ง
งานจบลงด้วยความเรียบร้อยดี อรพิมและทรงฉัตรกล่าวลาทุกคนที่มาร่วมงานในคืนนี้ พฤกษ์เดินตามมาส่งเจ้านายสาว จังหวะนั้นเองทนายหนุ่มถือโอกาสแยกตัวกลับไปอีกทางหนึ่ง
“ไปก่อนนะคุณพิม” พฤกษ์บอกลาเพื่อแยกไปที่จอดรถของตน
“แล้วเจอกัน” อรพิมหันมาโบกมือให้เพื่อล่ำลา และกำลังจะหมุนตัวเดินตามทรงฉัตรไป จังหวะนั้นเองรองเท้าส้นสูงเจ้ากรรมดันเกิดพลิก หญิงสาวเซถลาทำท่าจะหงายหลังดีที่พฤกษ์คว้าตัวไว้ทัน
“เป็นไงบ้าง” ทรงฉัตรหันมาเห็นพอดีจึงรีบเข้ามาดูอรพิม แต่เมื่อเห็นหญิงสาวอยู่ในอ้อมแขนของพฤกษ์ก็ทนไม่ได้ รีบรวบตัวเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทันที
“คุณพิมเจ็บหรือเปล่า” พฤกษ์ไม่สนใจท่าทีที่ทรงฉัตรแสดงออก แต่ห่วงว่าอรพิมจะเจ็บตรงไหนไหม
“ไม่เป็นไรพฤกษ์ เดี๋ยวกลับบ้านไปทายานวด” อรพิมเจ็บที่ข้อเท้าจนยืนไม่ไหว
“กลับบ้านเถอะ” ทรงฉัตรไม่พูดมากประคองอรพิมเดินออกไปทันที จู่ๆ หัวใจเขามีคำว่า หวง ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยเฉพาะเมื่อศรีภรรยาคนสวยเลือกพฤกษ์เป็นที่พึ่งแทนที่จะเป็นตนซึ่งเป็นสามี
“นี่ ช้าๆ หน่อยได้ไหม ฉันเจ็บนะ” อรพิมร้องออกมาอย่างทนไม่ได้
“ผมรู้ว่าคุณเจ็บ แต่เหตุผลที่เจ็บตัวก็เพราะมัวแต่ร่ำลากันไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงทรงฉัตรประชดอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งคิดก็ยิ่งหมั่นไส้ อรพิมเห็นตนเป็นอะไร ทำไมถึงได้ให้ความสำคัญกับพฤกษ์นัก
“ปล่อยนะ ฉันเดินเองได้” อรพิมขืนตัวไว้ไม่ยอมเดินไปด้วย รู้สึกไม่พอใจคำพูดของอีกฝ่าย
“อยากล้มโชว์คนอื่นมากหรือไง มานี่” ทรงฉัตรไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆ ทั้งสิ้น อุ้มตัวคนขาเจ็บเดินไปที่รถทันที ในขณะที่อรพิมจำเป็นต้องยอมให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้น เพราะเวลานี้อาการปวดรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว
มุกดาราออกมาจากงานได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่สามารถไปไหนได้เพราะรถของเธอมีรถใครที่ไหนไม่รู้มาจอดขวางไว้ ต้องรอจนพนักงานที่มีหน้าที่ดูแลตามตัวเจ้าของรถมาจัดการปัญหาให้นางเอกสาว
“ทำไมจอดรถแบบนี้ รู้ไหมว่าคนอื่นเสียเวลาแค่ไหน” มุกดาราพูดลอยๆ ไม่เจาะจงว่าใคร แต่ตั้งใจให้เจ้าของรถได้ยิน
“ผมก็ใส่เกียร์ว่างไว้ คุณก็เลื่อนหน่อยสิ” พฤกษ์ตอบกลับโดยไม่มองหน้าเช่นกัน
“มันธุระอะไร ที่ฉันต้องมาเลื่อนรถคุณ” นางเอกสาวหันมาทำท่าจะต่อว่า แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะพฤกษ์ขึ้นรถและขับออกไปต่อหน้าต่อตาเธอ
“คนบ้า ไม่มีมารยาท” หญิงสาวบ่นพึมพำตามหลัง แล้วขึ้นรถเตรียมกลับบ้านเช่นกัน
พฤกษ์แวะทำธุระที่ปั้มน้ำมันใกล้สถานที่จัดงาน เขาขับรถฟังเพลงที่ชอบไปตามทางอย่างมีความสุข แต่แล้วเจ้ากรรม เส้นทางข้างหน้าเหมือนจะมีปัญหา เมื่อรถของนางเอกสาวจอดข้างทางพร้อมเปิดไฟกระพริบ ในขณะเดียวกันก็มีรถอีกคันซึ่งมีผู้ชายตัวโตกว่าลงมายืนที่ถนน
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” พฤกษ์ชะลอรถเปิดกระจกมาถาม เขามองไปที่รถของนางเอกสาวซึ่งยังนั่งนิ่งอยู่ในรถ
“แม่นี่ไม่ยอมลงจากรถ บอกว่าจะรอประกันท่าเดียว คนยิ่งรีบๆ อยู่ด้วย” ชายคนดังกล่าวพูดด้วยท่าทีโมโห
พฤกษ์ตัดสินใจจอดรถแล้วลงไปช่วยนางเอกสาว เขาเคาะกระจกเรียกมุกดารา และเจรจาให้เธอลงมาจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น
“นาย...” นางเอกสาวทั้งตกใจและดีใจที่เห็นหน้าพฤกษ์
“ลงมาคุยกับคู่กรณีคุณก่อน เร็ว” พฤกษ์เข้าใจความรู้สึกของมุกดาราเป็นอย่างดี นางเอกสาวยอมลงจากรถมายืนข้างหลังทนายหนุ่ม ซึ่งทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยโดยปริยาย
“จะเอาไงว่ามา” คู่กรณีถามเสียงดัง
“ฉันผิด ฉันเลี้ยวไม่ทันมอง คิดว่ารอด” มุกดารากระซิบบอก“บอกเขาว่าต่างคนต่างซ่อมก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลา”
“แผลไม่ได้ใหญ่โตมาก ต่างคนต่างซ่อมดีไหมครับ จะได้ไม่เสียเวลา” พฤกษ์เอ่ยด้วยท่าทีสุภาพ
“ก็แค่เนี่ย ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรกปล่อยให้รออยู่ได้ เสียเวลาจริงๆ” เจ้าของรถคันดังกล่าวส่ายหน้า แล้วเดินกลับไปที่รถขับออกไปโดยไม่ว่าอะไร
มุกดาราโล่งอกที่เรื่องจบลงด้วยดี พฤกษ์หันมาหานางเอกสาวซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง แววตาของเธอดูเป็นมิตรกับคนที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้มากขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น
“ไม่เป็นไร” พฤกษ์บอกสั้นๆ แล้วเดินกลับไปที่รถของตนเอง ในขณะที่มุกดารากลับขึ้นรถเตรียมสตาร์ท แต่สตาร์ทเท่าไรรถก็ไม่ติด
พฤกษ์สตาร์ทรถเตรียมจะไปต่อ แต่เขารอให้รถของนางเอกสาวไปก่อน ทว่ามุกดารายังนั่งอยู่ในรถและไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน ทำให้ตัดสินใจเดินลงมาหาอีกครั้ง
“มีอะไรอีก”
“มันสตาร์ทไม่ติด” มุกดาราบอกเสียงอ่อย พฤกษ์ถอนหายใจดังๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ตามช่างประจำที่รู้จักให้มาจัดการปัญหาของนางเอกสาว
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปปัญหาของมุกดาราเรียบร้อย แต่ปัญหาของพฤกษ์เพิ่งเริ่มต้น เมื่อนางเอกสาวไม่มีรถกลับคอนโด ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของชายหนุ่มที่ต้องไปส่งเธออีกครั้ง
“ชั้นเท่าไร” พฤกษ์ถามเมื่อเลี้ยวรถเข้าคอนโดนางเอกสาว
“ยี่สิบค่ะ”
ทนายหนุ่มวนหาที่จอดรถพร้อมเตรียมส่งนางเอกสาว แต่ติดปัญหาที่ว่า ข้าวของที่แม่เจ้าประคุณขนถ่ายจากรถตนเองมาไว้ที่รถของพฤกษ์นี่สิ จะทำอย่างไร
“ฉัน เอ่อ” มุกดาราไม่กล้าสบตาเจ้าของรถที่มองหน้าตนในเวลานี้
“ต้องช่วยขนด้วยใช่ไหม” พฤกษ์แกล้งถาม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
ในที่สุดทั้งสองต้องช่วยกันขนข้าวของขึ้นลิฟต์ไปชั้นห้องพักของมุกดารา พฤกษ์ขึ้นลงอยู่หลายรอบกว่าทุกอย่างจะครบ รอบสุดท้ายนางเอกสาวจึงขอบคุณเขาด้วยน้ำเย็นแก้วใหญ่และเชิญให้กินข้าวเย็นด้วยความยินดี
“ให้ฉันเลี้ยงข้าวนะคะ” นางเอกสาวเอ่ยเสียงใส
“ไม่ต้อง ผมขอน้ำเย็นแก้วนี้พอ” พฤกษ์ไม่หิวข้าว นาทีนี้ง่วงและอยากนอนมากกว่า
“นั่งพักสักครู่ก็ได้ค่ะ” มุกดาราเชื้อเชิญ
พฤกษ์นั่งพักตามคำเชิญ และสอดส่ายสายตามองสำรวจว่าในห้องพักของนางเอกสาวนี้ มีสิ่งใดที่บ่งบอกให้รู้ว่าทรงฉัตรมาที่นี่บ่อยมากแค่ไหนบ้าง แต่ก็ไม่พบพิรุธหรืออะไรให้น่าสงสัยแม้แต่น้อย
“ผมกลับแล้ว”
“ขอบคุณนะคะ ถ้ามีโอกาสฉันขอเลี้ยงข้าวคุณนะ” มุกดารารู้สึกติดหนี้ความใจดีของพฤกษ์ครั้งนี้เหลือเกิน
“ก็แล้วแต่” ทนายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินกลับออกไป โดยมีสายตาแห่งความรู้สึกดีของเจ้าของห้องมองตามจนลับตา
ความคิดเห็น