ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำสั่งรักมาเฟียร้าย

    ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 63


    ครองขวัญรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีในตอนเช้าตรู่ เพราะมีลมหายใจอุ่นของใครบางคนรดอยู่ข้างแก้ม คนในอ้อมกอดพยายามขยับตัวหนีด้วยหัวใจที่หวั่นไหว แก้มสาวแดงก่ำเมื่อคิดถึงว่าตนตกอยู่ในอ้อมแขนนี้ตลอดทั้งคืน

            "แอบมองคนอื่นแบบนี้ นิสัยไม่ดีนะ" อัลเฟรโด้ขยับตัวพร้อมกับลืมตา

            "คนบ้า" ครองขวัญทุบเบาเข้าให้ที่ต้นแขน เธอตกใจเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มก็พึมพำเบาๆ พร้อมกับลืมตาขึ้นมาเห็นสายตาคู่นี้จับจ้องมองอยู่อย่างจัง

            "บ้าที่ไหนกัน เขาเรียกคนรู้ตัวต่างหาก ไหนบอกซิ มองหน้าใกล้ๆ แบบนี้แล้วเห็นอะไรบ้าง" ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นมานั่ง

            "ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นอกจากคนนอนขี้เซาที่นิสัยไม่ดีชอบแกล้งคนอื่น" ดวงตาคู่สวยเมินหนีสายตาที่จับจ้องมองของอีกฝ่าย

            "ฉันแกล้งเธอตอนไหน ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ อุตส่าห์เอาตัวเองเป็นผ้าห่มให้หายหนาว ยังจะมาบอกว่าแกล้งอีก" อัลเฟรโด้รู้ดีแก่ใจกว่าใครทั้งหมด ว่าต้องใช้สารพัดเล่ห์เหลี่ยมแค่ไหน ถึงจะได้มีโอกาสอุทิศตัวเองเป็นผ้าห่มให้เธอหายหนาว

            "คืนนี้ฉันจะไปนอนห้องอื่น" ครองขวัญขยับตัวลงจากเตียง ชายหนุ่มรีบลุกตามแล้วเอ่ยต่อว่า

            "ท่าทางเธอจะขี้ลืมบ่อยนะ จำไม่ได้หรือไงว่าคำสั่งของฉันคืออะไร"

            "ฉันบอกแล้วไงว่าต่อไปนี้จะไม่ฟังคำสั่งคุณอีกแล้ว"

            "ดื้อแต่เช้าแบบนี้ต้องทำให้รู้เสียแล้วว่า คนขัดคำสั่งจะเจออะไรบ้าง"

            อัลเฟรโด้ดึงตัวครองขวัญเข้ามาใกล้โดยไม่ทันให้หญิงสาวได้ตั้งตัว และกำลังจะก้มหน้าลงเพื่อจะแสดงให้รู้ว่าคนขัดคำสั่งต้องถูกลงโทษแบบไหน แต่เสียงสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือของครองขวัญดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ร่างเล็กสะบัดตัวออกจากการถูกรั้งแล้วรีบถลาไปหาเจ้าโทรศัทพ์ที่กำลังร้องเรียกอยู่ในเวลานี้

            "ใครโทร.มาแต่เช้า"

            อัลเฟรโด้อยากจะเขวี้ยงเจ้าโทรศัพท์ที่ดังผิดเวลาในตอนนี้เสียเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของครองขวัญมีความตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นในหน้าจอโทรศัพท์ ก็ทำให้เขาต้องรีบเข้ามาดูด้วยความอยากรู้ว่าเธอกำลังดูอะไรอยู่

            "ใคร" ท่านประธานหนุ่มถามเสียงเขียว ทำท่าจะคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของครองขวัญมาดูเสียเองให้เห็นกับตาว่า อะไรทำให้เจ้าหล่อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูมีความสุขได้ขนาดนั้น

            "นี่ค่ะ" ครองขวัญรีบเปิดให้ดูทันที

            โชคดีที่ไม่ใช่ข้อความการต่อต่อของโซเฟียที่บอกว่าจะติดต่อกลับมาในเช้าวันนี้ แต่เป็นตัวการ์ตูนรูปสติกเกอร์น่ารักจากเพื่อนๆ ที่เมืองไทยส่งมาทักทาย

            "อะไร" ชายหนุ่มเพ่งมองมาที่หน้าจอ เห็นสติกเกอร์รูปการ์ตูนกำลังทำท่าทางแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจ

            "เพื่อนฉันส่งสติกเกอร์มาทักทายค่ะ" น้ำเสียงหญิงสาวอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด

            "แค่นี้ก็ต้องยิ้มด้วย" เขาแขวะด้วยความหมั่นไส้ ใจคิดไปถึงว่าเพื่อนที่ส่งมาสำคัญหรือพิเศษแค่ไหนถึงทำให้ครองขวัญยิ้มได้ขนาดนี้

            "ก็มันน่ารักนี่คะ"

            "ก็แค่สติกเกอร์ จะเอาอีกกี่แบบก็บอกมาเดี๋ยวจะจัดการให้" อัลเฟรโด้ชักอยากรู้แล้วว่าใครกันที่ส่งไอ้สติกเกอร์บ้าๆ นั่นมาให้ครองขวัญ

            "ถึงมันจะเป็นแค่สติกเกอร์ แต่มันก็คือสิ่งแสดงความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อเรา คุณไม่เคยส่งให้ใครหรือไง หรือว่าไม่เคยมีใครส่งให้คุณ" ครองขวัญย้อนถาม

            "สังคมก้มหน้า อีกหน่อยก็ไม่ต้องพูดกันแล้วมัวแต่ส่งสติกเกอร์แทนคำพูด เพิ่งรู้ว่าเป็นพวกบ้าโซเชี่ยล" ชายหนุ่มเหน็บแหนมอีก

            วันๆ เขายุ่งกับงานโรงแรมจนไม่มีเวลาจะทำอะไรกุ๊กกิ๊กเหมือนที่คนอื่นทำกัน การสนทนาด้วยตัวอักษรหรือข้อความที่เป็นรูปภาพ ไม่ใช่สิ่งที่อัลเฟรโด้นิยมทำ ธุรกิจของตระกูลรอสเซลลินีไม่ได้ดูแลผ่านสิ่งเหล่านี้ หรือแม้แต่การจะคุยกับใครสักคนให้เป็นเรื่องเป็นราว มันก็ไม่ใช่การพิมพ์ข้อความใส่โทรศัพท์ไปมาเช่นนี้

            "มันไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย ถ้าเรารู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยบางครั้งมันก็ทำให้การสื่อสารง่ายลง เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นและส่งความคิดถึง หรือความรู้สึกที่อยากให้คนสำคัญได้รู้ได้เห็น" สาวน้อยแย้งและก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความตอบกลับ

            "ก็แล้วทำไมไม่ไปด้วยกัน ดูด้วยตาให้เห็นพร้อมกัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันยังจะดีเสียกว่า" อัลเฟรโด้ก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี

            "แล้วถ้าเวลากับโอกาสไม่อำนวยล่ะคะ อย่างน้อยมันก็ทำให้หายคิดถึง คลายความห่วงใย และบอกสิ่งที่เรารู้สึกให้อีกฝ่ายได้รู้บ้าง ถึงจะโลกจะย่อลงมาอยู่ในมือมากแค่ไหน แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกและการแสดงออกด้วยคำพูด หรือการกระทำที่เห็นชัดเจนได้หรอกนะคะ อีกอย่าง"

            "บางทีเราก็ไม่รู้ว่า เราจะจากกันเมื่อไร พบกันอีกตอนไหน กว่าจะได้เห็นหน้ากันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อย่างน้อยสังคมก้มหน้าของคุณถ้าใช้ให้มันเป็นประโยชน์ มันก็จะช่วยให้เราได้รู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายบ้าง ได้ถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันบ้าง"

            "พูดเหมือนกับว่าจะตายวันนี้พรุ่งนี้งั้นแหล่ะ"

            "ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรอยู่กับเราคงทนถาวรได้ตลอด คุณเองก็ควรหัดเรียนรู้บ้าง อย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยให้คุณได้บอกความรู้สึกดีๆ กับคนที่คุณรักได้นะ" หญิงสาวแนะนำ

            "เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิต บุพเพสันนิวาสหรือว่าการทำนายไหม"

            เขาอดคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับสาวน้อยตรงหน้าไม่ได้ หรือว่าทุกอย่างจะถูกลิขิตให้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น หวนคิดถึงคำพูดของมารดาเรื่องโชคลาง ความสุข และการพ้นเคราะห์ อะไรคือสิ่งที่ทำให้อัลเฟรโด้ได้พบกับผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเช่นครองขวัญกันแน่

            "เชื่อค่ะ ฉันเชื่อว่ามีบางอย่างที่เรามองไม่เห็น มักจะพาให้เรามาพบเจอกับคน สถานที่ หรือข้าวของทั้งดีและร้าย" ครองขวัญเชื่อเช่นนั้น ทุกอย่างมีลิขิตจากคนบนฟ้าและเชื่อว่าไม่อาจหลีกหนีถ้าสิ่งนั้นถูกกำหนดมาแล้ว

            "ถ้าอย่างนั้นการเจอกันของเราสองคน ก็คงเป็นบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยซินะ แล้วเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ครองขวัญ" ท่านประธานหนุ่มหันหน้ามาสบตากับสาวน้อย

            ดวงตาของอัลเฟรโด้รอคอยคำตอบที่หญิงสาวจะเอ่ยตอบกลับมา เขาอยากรู้เหลือเกินว่าครองขวัญจะรู้สึกเช่นไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าหล่อนคิดอะไรกับตนบ้าง

            "มันคงมีทั้งดีและร้ายค่ะ" ครองขวัญตอบ

            เธอช่างใจว่าจะบอกเขาดีหรือไม่ว่า การเดินทางมาที่นี่นั้นได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ในช่วงเวลาไม่ถึงสัปดาห์ทุกอย่างรอบตัวครองขวัญเปลี่ยนไปจนหมด และสิ่งเหล่านี้จะจากชีวิตเธอไปในไม่ช้า

            "อะไรบ้างที่ดี และอะไรบ้างที่ร้าย" คนรอฟังถามกลับอย่างตั้งใจ

            "ที่ดีคือฉันได้เจอคนที่ฉันรักและคิดถึง ได้เดินทางมาในที่ๆ ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้มาเองแน่ๆ"

            "แล้วเรื่องร้ายล่ะ" ชายหนุ่มถามต่อ

            "เรื่องร้ายก็คงจะเป็นเรื่องการหายตัวไปของโซเฟีย การที่ยังไม่รู้ข่าวคราวของเธอ แล้วก็การที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่"

            "ทำไมถึงคิดว่าการมาอยู่ที่นี่เป็นเรื่องร้ายล่ะ" อัลเฟรโด้เดินเข้ามาใกล้ๆ สายตาจับจ้องมองมาที่ใบหน้าหวาน ดวงตาของเขาจ้องมองลงไปที่นัยน์ตาคู่สวยของหญิงสาว

            "ทำไมไม่คิดว่าการที่เธอได้เจอฉัน ได้มาอยู่ที่นี่ เป็นเรื่องของคนบนฟ้าที่ลิขิตให้เรามาเจอกันด้วยความตั้งใจล่ะ"

            "คุณอัลเฟรโด้"

            คำพูดของท่านประธานหนุ่มเป็นเสมือนสายลมเย็นที่พัดให้หัวใจของครองขวัญชุ่มฉ่ำได้อย่างไม่น่าเชื่อ เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะต้องเสียพื้นที่ของหัวใจให้กับคำพูดไม่กี่คำของอัลเฟรโด้ คำพูดที่ดังสะท้อนอยู่ในหัวใจว่าลิขิตของฟ้าเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องร้าย และเป็นความสุขมากกว่าความทุกข์แม้ในเวลาสั้นๆ ที่สำคัญเป็นความสุขของหัวใจที่ไม่อาจห้ามมันด้วยเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น

     

            คริสเตียนกำลังจะไปทำงานตามคำสั่งของอัลเฟรโด้ แต่แล้วจู่ๆ เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ของโรงแรมก็โทรศัพท์ตามตัวให้เขาลงไปจัดการปัญหาบางประการ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

            "จดหมายแนะนำตัวจากกราเซียแมกกาซีน" คริสเตียนรับมันมาดูด้วยท่าทีงุนงง และเมื่อเปิดอ่านจึงได้รู้ว่า

            "ขอสัมภาษณ์คุณอัลเฟรโด้และคุณโซเฟีย คู่รักคู่แห่งของนาโปลี" ผู้ช่วยคนเก่งอ่านอย่างช้าๆ

            "เธอรอคำตอบอยู่ทางด้านโน้นค่ะ" เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ผายมือไปทางด้านหลังชายหนุ่ม

            "มีจดหมายแจ้งมาก่อนหรือเปล่า" คริสเตียนย้อนถาม

            "มีค่ะ แต่ว่าเพิ่งมาถึงเมื่อเช้า" เจ้าหน้าที่คนเดิมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ คริสเตียนรับมาถือไว้แล้วจึงไปจัดการกับเรื่องนี้เอง

            "ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าคุณคือคนของกราเซียแมกกาซีนใช่ไหม" ผู้ช่วยคนเก่งเอ่ยถาม

            "คุณคือ" สุภาพสตรีที่นั่งหันหลังให้รีบลุกขึ้นแล้วหมุนตัวกลับมาหาคนที่เอ่ยถามเมื่อครู่นี้ ซาร่าถอดแว่นกันแดดสีดำออกพร้อมกับส่งรอยยิ้มและยื่นมือไปทักทายอย่างเป็นมิตร

            "ฉันซ่าร่า จากกราเซียแมกกาซีนค่ะ"

            "สวัสดีครับคุณซาร่า ผมคงต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกให้คุณรู้ว่า คุณอัลเฟรโด้ไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น" คริสเตียนตอบแทนเจ้านายได้เลย

            เพราะปกติแล้วอัลเฟรโด้หรือใครในครอบครัวรอสเซลลินีไม่นิยมการให้สัมภาษณ์ ตอบคำถามใดๆ กับสื่อมวลชนทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะยิ่งถ้าเป็นนิตยสารประเภทคนดังขึ้นปกอย่างเช่นกราเซียแมกกาซีนด้วยแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่มีทางแน่

            อีกทั้งยังเป็นการสัมภาษณ์ที่มีโซเฟียเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางที่อัลเฟรโด้จะอนุญาตแน่ คริสเตียนเองก็ได้รับคำสั่งให้ปิดเรื่องการหายตัวไปของว่าที่เจ้าสาว ดังนั้นไม่ต้องถามก่อนก็ตอบได้ทันทีว่าไม่

            "ฉันมีจดหมายแนะนำตัวเอง จดหมายเชิญจากกราเซียแมกกาซีน แล้วก็แจ้งวันเวลาขอพบล่วงหน้าแล้วนะคะ" ซ่าร่าแย้ง

            เธอทำการบ้านมาอย่างดี คริสเตียนนึกชมในใจ แต่ต่อให้ทำการบ้านมาอย่างดีมากแค่ไหน อัลเฟรโด้ก็คงไม่ให้มีการสัมภาษณ์อยู่ดี เพราะไม่เช่นนั้นถ้ามีใครรู้ว่าผู้หญิงที่เข้าพิธีวิวาห์ในวันนั้นไม่ใช่โซเฟีย เบลลูชชี่แล้วล่ะก็ งานนี้รับรองว่าวุ่นวายแน่

            "ผมทราบครับ และขอชื่นชมที่คุณทำการบ้านมาอย่างดีว่าต้องทำอย่างไรในการขอสัมภาษณ์ แต่ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ต้องปฎิเสธ" คริสเตียนยืนยันคำเดิม

            "ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นผู้จัดการของที่นี่ หรือว่าเป็นใครถึงได้มาตอบแทนคุณอัลเฟรโด้ว่าไม่ให้ ความจริงแล้วคุณควรที่จะ..."

            "สำหรับกาแฟแก้วนี้ถือเป็นค่าเสียเวลาที่คุณต้องนั่งรอ อีกสักพักผมจะให้พนักงานมานำคุณไปที่ห้องอาหาร ถือเป็นการเลี้ยงข้าวขอบคุณที่คุณให้เกียรติสนใจเจ้านายของเรา ขอบคุณนะครับ" ผู้ช่วยหนุ่มจบการสนทนาอย่างรวบรัดแล้วเดินจากไปในทันที

            "นี่คุณ คุณ..." ซาร่ารีบวิ่งตามไปทันที

            "ฉันไม่ต้องการกินข้าวอะไรทั้งนั้น และฉันจัดการค่ากาแฟเองได้ ขอแค่คุณช่วยเอาสิ่งที่ฉันส่งมาไปให้คุณอัลเฟรโด้ดูก่อนได้ไหม"

            "ผมคิดว่าไม่จำเป็น เจ้านายของเราไม่ชอบวุ่นวายเรื่องพวกนี้" คริสเตียนเอ่ยอย่างเย็นชา

            "ใช่ ทุกคนในตระกูลรอสเซลลินีบริจาคเงินเป็นสิบล้าน เพื่อช่วยเด็กกำพร้าผู้หิวโหยโดยไม่ต้องการแม้แต่จดหมายขอบคุณใดๆ ธุรกิจมากมายของพวกคุณรุ่งเรืองโดยไม่ต้องอาศัยใครมาเป็นแบ็คสนับสนุน และไม่ชอบออกงานสังคมหรูหราเหมือนที่คนอื่นๆ ทำ"

            "คุณก็รู้ดีนี่" คริสเตียนยอมรับและเริ่มรู้สึกว่าแม่สาวน้อยคนนี้ ดูจะรู้จักทุกคนในครอบครัวรอสเซลลินีเป็นอย่างดีทีเดียว

            "พวกคุณมีอะไรปิดบังชาวโลกงั้นหรือ ถึงได้ไม่สามารถให้ใครรู้จักตัวตนได้" คอลัมนิสต์สาวเอ่ย

            "พูดจากรุณาให้เกียรติด้วยนะครับ คุณซาร่า ไม่อย่างนั้นกราเซียแมกกาซีนของคุณอาจมีปัญหาได้" น้ำเสียงคริสเตียนเข้มขึ้นเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนกำลังใช้สงครามจิตวิทยา แต่ก็ไม่ชอบให้ใครพูดถึงครอบครัวรอสเซลลินีในทางเสียหาย

            "ฉันถามเพราะไม่รู้ค่ะ และมีคนอื่นอีกมากที่อยากจะรู้จักความดีงามของพวกคุณ" ซาร่าเอ่ยต่อไปว่า

            "คนดีมีความสามารถควรให้โลกรู้เพื่อเอาเป็นแบบอย่าง หรือสรรเสริญในความดีงามเหล่านั้นไม่ใช่เหรอคะ"

            "เชิญคุณกลับไปได้แล้ว และขอให้ทราบว่าทุกท่านในครอบครัวรอสเซลลินีไม่ต้องการคำเยินยอจากคนอื่น เราทำในสิ่งที่ถูกต้องและเห็นว่าสมควร ไม่จำเป็นต้องให้โลกรู้ว่าเราดีมากแค่ไหน ขอตัวก่อนนะครับ" คริสเตียนตัดบทเพียงแค่นั้นแล้วเดินจากไปทันที ทิ้งให้ซาร่ามองตามด้วยความขัดใจและหมั่นไส้พ่อคนปากดีที่ไม่ยอมแม้แต่จะช่วยเหลือตนสักนิด

            แต่เธอก็ไม่ละความพยายามและจะหาทางเข้าถึงตัวอัลเฟรโด้เองให้ได้ อย่างน้อยถ้าไม่ให้สัมภาษณ์จริงก็ควรได้ยินจากปากของเจ้าตัว ไม่ใช่จากลูกน้องกิ๊กก๊อกที่ลอยหน้าลอยตาตอบได้อย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด

     

            ครองขวัญกระวนกระวายแทบนั่งไม่ติดและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่ดูข้อความเป็นระยะ เธอรอการติดต่อจากโซเฟียที่บอกว่าจะแจ้งให้รู้ว่าวันนี้จะเจอกันได้ที่ไหน เสียงสัญญาณว่ามีข้อความเข้ามาดังขึ้น จึงรีบเปิดดูและพบว่า

            'วันนี้ฉันจะไปหา'

            'เมื่อไร ที่ไหน' ครองขวัญพิมพ์ถามกลับไปด้วยความตื่นเต้น

            'ยังไม่ได้บอกใครใช่ไหม ว่าฉันติดต่อมา'

            'ไม่ ฉันยังไม่ได้บอกใครแม้แต่เขา' หญิงสาวหมายถึงอัลเฟรโด้

            ครองขวัญลังเลใจเหมือนกันว่าควรจะบอกเรื่องนี้ให้ชายหนุ่มรู้ดีหรือไม่ว่า โซเฟียติดต่อกลับมาหาตนแล้ว และทั้งคู่กำลังจะนัดเจอกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

            'อย่าบอกเขา ได้โปรด ฉันไว้ใจเธอนะ ครองขวัญ'

            'ไม่มีใครรู้ว่าเราติดต่อกัน และฉันก็จะไม่บอกใคร'

            ครองขวัญตัดสินใจแล้ว ถ้าให้เลือกระหว่างโซเฟียเพื่อนรัก กับอัลเฟรโด้คนชอบสั่งที่ทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวในหลายวันนี้ หญิงสาวก็ขอเลือกเข้าข้างเพื่อน

            'ขอบใจจ้ะ ฉันขอบคุณสำหรับทุกอย่าง'

            'จะให้ฉันไปหาที่ไหน กี่โมง'

            ครองขวัญอยากรู้ว่าเวลานัดที่แน่นอนเพื่อจะหาทางไปพบ อัลเฟรโด้สั่งห้ามเธอไปไหนโดยไม่ขออนุญาตและยังย้ำอีกด้วยว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด นอกจากนี้ยังส่งคนมาเฝ้าที่หน้าห้องทำราวกับเป็นนักโทษอย่างไรอย่างนั้น

            'ฝั่งตรงข้ามโรงแรมมีร้านกาแฟเล็กๆ ฉันจะไปนั่งรอที่นั่น อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน อย่าลืมเอาตั๋วเครื่องบินทั้งสองใบมาให้ด้วยนะ'

            "ตั๋วเครื่องบินงั้นเหรอ"

            จริงซิ ครองขวัญนึกขึ้นมาได้ว่าตั๋วเครื่องบินที่โซเฟียฝากให้จัดการให้ก่อนเดินทางมาที่นี่นั้นมีสองใบ ใบหนึ่งเป็นชื่อของโซเฟียแต่อีกใบหนึ่งเป็นชื่อของใครนั้นจำไม่ได้จริงๆ

            ครองขวัญเลือกที่จะไม่ถามถึงผู้ร่วมเดินทางอีกคนของโซเฟียในเวลานี้ และตั้งใจว่าเมื่อพบหน้าเพื่อนรักจะถามให้รู้ที่มาที่ไปของการหายตัวไปให้รู้เรื่อง แล้วค่อยถามว่าใครคือเจ้าของตั๋วเดินทางอีกใบ แต่ตอนนี้เธอต้องรีบหาทางไปพบโซเฟียให้เร็วที่สุด

     

     

              ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ ดีใจที่มีคนรักมาเฟียคนนี้ค่า

              ฝากติดตามเพจนักเขียนนะคะ ยิปซี อิ่มอุ่น

              ฝากลิงค์อีบุ๊คด้วยค่า

    Thumbnail Seller Link
    คำสั่งรักมาเฟียร้าย
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    เขาไม่ดุหรือโหดเหี้ยมเฉกเช่นมาเฟียคนอื่น คำสั่งต้องเป็นคำสั่งและไม่มีคำว่าผิดพลาด แต่กับเธอคำสั่งไหนก็ไม่สำคัญเท่าคำสั่งหัวใจ สั่งให้รักทำไมไม่รักแล...
    Get it now
    Thumbnail Seller Link
    วันหวานรัก
    ยิปซี
    www.mebmarket.com
    “ผมรู้นะว่ารสาจะเอาเรื่องความต่างมาเป็นข้ออ้าง จะหาว่าผมมีผู้หญิงอื่นที่ดีกว่าคุณ หรืออาจจะบอกว่าผมมีเมียอยู่แล้วที่อังกฤษ แต่ผมจะบอกอะไรให้นะ&r...
    Get it now
    Thumbnail Seller Link
    ทัณฑ์ร้ายลวงรัก
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    “ฉันดูแลตัวเองได้ คุณไม่ต้องยุ่งกับฉันหรอก แล้วฉันก็ไม่ตายง่ายๆ แน่” เธอเชิดหน้าเล็กน้อยรู้สึกสะอึกในอกอย่างไรก็ไม่รู้“ก็ดี รอในนี...
    Get it now
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×