ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์พยศรัก ( ยิปซี )

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 66


    บ้านบริบูรณ์ปัญญา

              “แต่งงาน!” ทรงฉัตร บริบูรณ์ปัญญา ประธานบริษัทเอสบีเอสเตรท บริษัทรับเหมาก่อสร้างอันดับหนึ่งในประเทศไทย อุทานด้วยความตกใจเมื่อได้ยินบิดา คุณทรงพุ่ม เอ่ยถึงหนทางการช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในเวลานี้

              “คุณพี่พูดอะไรคะ” หญิงวัยกลางคนแย้งขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน นางคือคุณทิพย์ มารดาสุดที่รักของทรงฉัตรและภรรยาแสนดีของคุณทรงพุ่มนั่นเอง

              “ทำไมต้องทำขนาดนี้คะ คุณพี่” คุณทิพย์ถามด้วยความสงสัย ทรงฉัตรถอนหายใจเบาๆ และรอฟังคำอธิบายจากปากของบิดาอีกครั้ง ถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมเขาต้องแต่งงานแลกกับความอยู่รอดของบริษัท

              “อรพิม คือหลานสาวของประธานบริษัท เอเอสคอนสตรัค เป็นเพื่อนเก่าของพ่อเอง”

              “ดลยา” คุณทิพย์จำชื่อนี้ได้อย่างขึ้นใจ เบนสายตาไปมองสามีด้วยความอยากรู้มากขึ้นอีกว่า ดลยามาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ และการใช้วิธีส่งหลานสาวมาเชื่อมความสัมพันธ์มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ที่สำคัญการยื่นมือให้ความช่วยเหลือนี้เกี่ยวพันอย่างไรกับครอบครัว และใครคือคนที่ได้ผลประโยชน์หรือเสียหายจากเรื่องนี้กันแน่

              “เพราะอะไรผู้หญิงคนนั้นถึงยอมตกลงแต่งงานกับผมง่ายๆ เธอมีความผิดปกติอะไร หรือว่าหัวอ่อนจนใครว่าไงก็ว่าตามกัน” น้ำเสียงทรงฉัตรประชดเล็กน้อย

              เขารู้ปัญหาของบริษัทในเวลานี้ดี และรู้ว่าบิดาเครียดแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น และรู้อีกว่าหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขจัดการอย่างเร่งด่วนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ชื่อเสียง ความเชื่อมั่นจากลูกค้า และพนักงานภายใต้การดูแลอีกนับร้อยจะต้องสูญเสียไป

              ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอิทธิพลของคนที่ไม่ซื่อสัตย์ ครอบครัวของทรงฉัตรสร้างธุรกิจนี้ด้วยความซื่อตรงและจริงใจ ทุกอย่างตรงไปตรงมาตามเงื่อนไขที่ตกลงในธุรกิจ ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะถูกคนทำร้ายได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าในฐานะประธานบริษัทที่สร้างมันมากับมืออย่างคุณทรงพุ่ม ไม่มีวันปล่อยให้ชีวิตลูกน้องนับร้อยนับพันเดือดร้อน รวมถึงไม่ยอมให้เอสบีเอสเตรทต้องปิดตัวลงเป็นอันขาด

              “หรือว่าอยากรวมกับเรามาก เพราะหวังอะไรสักอย่างจนต้องส่งหลานสาวมาเป็นตัวเชื่อมคะคุณพี่” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามอีกคน

              “บริษัทเรามีปัญหาข้อนี้เราทุกคนรู้ การที่ดลยายื่นมือมาช่วยถือเป็นเรื่องดี และดีมากที่สุดด้วย” คุณทรงพุ่มเอ่ย

              “แค่ช่วยเรื่องเงินมา หรือเป็นพันธมิตรเรื่องธุรกิจก็น่าจะพอแล้วนี่คะ ทำไมยังต้องให้ลูกไปพัวพันด้วยอีก” คุณทิพย์แย้ง

              ทรงฉัตรไม่รู้ที่มาที่ไปของความสัมพันธ์ในอดีต และไม่คิดจะสอบถามให้เข้าใจแต่อย่างใด เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมผู้หญิงที่ชื่ออรพิม ถึงได้ยอมรับเงื่อนไขนี้แต่โดยดี เจ้าหล่อนไม่คิดแย้งเลยหรืออย่างไร

              “ถ้าผมไม่โอเคจะเกิดอะไรขึ้นครับ พ่อ” ชายหนุ่มเอ่ย

              “ก็ไม่เกิดอะไร แค่เอสบีเอสเตรทอาจจะเสียชื่อเสียง หรือเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าไป ส่วนโครงการประมูลต่างๆ ที่ใช้เงินหลักสิบล้านขึ้นไปก็หยุด เพราะว่าเราไม่มีกำลังพอที่จะทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”

              “เราขอให้แบงค์ช่วยได้ไหมครับ” ทรงฉัตรไม่ถนัดเรื่องของรายได้หรือการบริหารเรื่องเงิน แต่เท่าที่ฟังก็พอจะรู้ว่า บริษัทอยู่ในภาวะที่ล่อแหลมและไม่ควรเสี่ยงต่อสิ่งใดเป็นอันขาด เพียงแต่เงื่อนไขความช่วยเหลือแบบนี้มันสุดจะรับได้จริงๆ

              “เรื่องนี้แกคิดว่าพ่อไม่ทำหรือไง เจ้าฉัตร” คุณทรงพุ่มหยิบเอกสารบางอย่างยื่นให้บุตรชาย จดหมายตอบของธนาคารที่บิดาแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือ ทำให้ทรงฉัตรรู้เต็มอกว่า ตนคือทางออกเดียวของเรื่องนี้แล้วจริงๆ

              “เพราะข่าวโปรเจคที่เรามีปัญหา ทำให้แบงค์กังวลว่าหากเราจัดการปัญหาไม่ได้ ก็เท่ากับเราไม่มีกำลังในการจัดการกับสิ่งที่ขอความช่วยเหลือไป มันก็ไม่แปลกที่แบงค์จะไม่เชื่อมั่นเราในตอนนี้ เพราะขนาดพ่อเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้หรือเปล่า”

              “คุณพี่/คุณพ่อ” ทั้งศรีภรรยาและบุตรชายต่างก็กังวลกับเรื่องนี้ไม่แพ้กัน

              โปรเจคที่เริ่มต้นมาอย่างดีและเป็นที่คาดหวังว่าจะทำกำไรมหาศาลให้บริษัท มีอันต้องดับฝันนั้นลงอย่างกะทันหัน วลีเด็ดที่ทำให้มั่นใจว่าเริ่มจะถูกโกงเป็นที่แน่ชัด ‘อยากได้ก็เอาลูกปืนไปกิน’ อิทธิพลมืดของผู้มีอำนาจทำให้คุณทรงพุ่มรู้ว่าไม่สามารถต่อกรได้ ทุกอย่างที่ลงทุนไปคือความสูญเปล่า แต่มันก็ไม่ควรกระทบกับสิ่งอื่นๆในบริษัท ทำให้ในฐานะท่านประธานจำต้องดิ้นรนหาทางออกก่อนที่ทุกอย่างจะสาย

              “ให้น้องช่วยคุณพี่นะคะ ที่ดินริมหาดแถวเพชรบุรีน่าจะพอได้” 

    คุณทิพย์คิดถึงทรัพย์สินที่ตนถือโครงไว้เป็นอันดับแรก นางไม่ยอมให้ธุรกิจที่สามีสร้างมันมาทั้งชีวิตต้องจบลงแน่ รวมถึงชีวิตของ
    ทรงฉัตรด้วยเช่นกัน ไม่มีวันยอมเด็ดขาดที่จะให้ลูกชายสุดที่รักไปแต่งงานกับหลานสาวของคนที่ได้ชื่อว่า เป็นเงาในหัวใจ ที่ไม่เคยลืมตลอดชีวิตการแต่งงาน

              “ที่ดินตรงนั้นเป็นของญาติๆ พวกเขาจะยอมช่วยเราหรือ” คุณทรงพุ่มซาบซึ้งในน้ำใจภรรยาไม่น้อย

              “น้องจะแบ่งส่วนของเราออกมาประกาศขาย ได้มากได้น้อยเราก็น่าจะพยุงบริษัทไปได้บ้าง” คุณทิพย์เอ่ยอย่างไม่เสียดายแม้แต่น้อย

              ชีวิตการแต่งงานภายใต้การนำของคุณทรงพุ่ม ได้รับทั้งความรัก ความสุข และความอบอุ่นเสมอ สามีคือหน้าตาที่ภาคภูมิใจมาโดยตลอด ไม่ว่าชีวิตทั้งนอกบ้าน หรือในบ้าน คุณทรงพุ่มทำได้ดีไม่มีที่ติ ชีวิตของนางมีเสาหลักที่มั่นคงและน่าภูมิใจเช่นนี้ ต่อให้ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเท่าไรเพื่อประคองวิกฤตนี้ให้ผ่านพ้น ถึงจะไม่เหลืออะไรเลยนางก็ยอมช่วยด้วยความเต็มใจ

              “ที่ดินตรงนั้นจะขายได้เมื่อไรก็ยังไม่รู้ ผมเข้าใจว่าคุณหวังดีแต่เราไม่มีเวลารอขนาดนั้น” สายตาของชายวัยกลางคนสบตากับเจ้าของความคิดด้วยความซาบซึ้ง

              “ต่อให้ถึงขายได้เร็วแต่มันก็แก้ปัญหาได้แค่เดือนนี้เท่านั้น แล้วเดือนต่อไปล่ะ เราจะทำอย่างไร” ประมุขของบ้านกวาดตามองสมาชิกทั้งสอง คุณทิพย์และทรงฉัตรพูดไม่ออก

              “ถ้าไม่มีทางเลือกอื่น สิ่งที่คิดไว้ตอนนี้ก็คือขายทุกอย่างที่เรามีรวมถึงบ้านหลังนี้ เอามาเป็นเงินใส่ซองให้กับพนักงานของเราและปิดบริษัทซะ พ่อกับฉัตรคงพอจะมีบริษัทไหนรับเข้าทำงานเพราะมีประสบการณ์อยู่หรอก ส่วนคุณ” ชายวัยกลางคนหันมาหาคุณทิพย์

              “ผมต้องขอโทษไว้ตรงนี้เลย ที่ทำให้คุณผิดหวังและไม่สามารถดูแลคุณให้มีความสุขสบายเหมือนเมื่อก่อน ถ้าคุณอยากจะกลับบ้านผมก็ไม่ห้าม” 

              “ไม่ค่ะ คุณพี่ น้องจะอยู่กับคุณพี่ที่นี่” คุณทิพย์น้ำตาคลอสงสารสามีจับใจ

              “แล้วถ้าผมยอมแต่งงานล่ะครับ” นาทีนี้ทรงฉัตรเริ่มลังเลกับเงื่อนไขการแต่งงาน แม้จะไม่ได้มาจากความรักและเป็นเรื่องผลประโยชน์เกินร้อย แต่ก็อยากรู้ว่าครอบครัวจะได้อะไรกับการตัดสินใจครั้งนี้

              “ทุกอย่างบริหารใหม่ภายใต้เงื่อนไขหกสิบสี่สิบ เราหกสิบทางโน้นสี่สิบ เราจะได้ทีมกฎหมายมือดีมาช่วยจัดการกับโปรเจคที่มีปัญหา”

              “แล้วผมกับผู้หญิงคนนั้นล่ะครับ” 

              “แกกับหนูพิมจะช่วยกันดูแลบริษัทไงล่ะ”

              “ผมหมายถึง เอ่อ ถ้าเราสองคนไปกันไม่รอดจริงๆ ผมจะต้องทนอยู่เพราะเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตเลยเหรอครับ”

              ไม่มีใครบอกได้ว่าชีวิตคู่ที่เกิดจากผลประโยชน์ในเรื่องนี้จะดำเนินไปในทิศทางไหน ผลที่ตามมาจะหัวหรือก้อย อาจจะหวานชื่นจนคนทั้งโลกอิจฉา หรือขมขื่นชนิดที่เรียกว่ากินน้ำตาต่างข้าว ทรงฉัตรอยากรู้เพียงแค่ว่า หากวันนี้เขายอมรับข้อเสนอแล้วหากวันหนึ่ง ไม่อาจทนอยู่กับชีวิตที่ไม่ได้เลือกแล้ว ผลที่ตามมาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

              “สินสมรสไม่ใช่ปัญหา ผลประโยชน์ทุกอย่างเหมือนเดิม”

              “นี่ส่งหลานสาวมาฮุบกิจการของเรานี่คะ คุณพี่” คุณทิพย์ไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนั้น

              “ฝั่งโน้นเสียเปรียบเรานะ จะพูดว่าฮุบกิจการได้อย่างไร” คุณ
    ทรงพุ่มแย้ง

              “ทำไมยอมง่าย ให้ประโยชน์มากมายขนาดนี้ครับ ผู้หญิงคนนั้นมีปัญหา หรือผิดปกติอะไรหรือเปล่า” ทรงฉัตรเองก็ไม่แน่ใจแล้วว่าการแต่งงานนี้จะโปร่งใสจริงๆ

              “หนูอรพิมไม่มีอะไรผิดปกติ แกสบายใจได้เจ้าฉัตร ส่วนเรื่องการบริหารพ่อก็เชื่อมือหนูพิมว่าไปรอด”

              “คุณพี่แน่ใจมากขนาดนั้นเชียวหรือคะ เด็กนั่นอายุน้อยกว่าลูกเราอีก จะมาเก่งไปกว่าคุณพี่ได้อย่างไร” หญิงวัยกลางคนแย้ง

              “เราต้องให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่แสดงฝีมือ และผลงานที่ผ่านมาผมก็เห็นหนูพิมทำได้ดีไม่มีปัญหา” 

              “พ่อแน่ใจได้อย่างไรครับว่าเป็นฝีมือของเธอจริงๆ บางทีอาจจะมีทีมบริหารรุ่นใหญ่มาช่วยคิด หรือไม่ก็น้าสาวมาช่วยก็ได้” บุตรชายแย้ง

              “หนูพิมดูแลบริษัทมาตั้งแต่เรียนจบ แกก็น่าจะเห็นฝีมือแล้วว่าที่นั่นทำงานกันอย่างไร เอาล่ะ มีใครมีข้อสงสัยหรืออยากรู้อะไรอีกไหม 
    เจ้าฉัตร แกตัดสินใจได้เมื่อไรก็บอกพ่อมาแล้วกัน”

              “ตาฉัตร” คุณทิพย์หันมาหาบุตรชาย ทรงฉัตรไม่เคยรู้สึกหนักใจอะไรเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย แต่เมื่อเห็นสายตาที่เฝ้ารอความหวังของคุณทรงพุ่มแล้ว... 

              “ผมตกลงครับพ่อ แต่ผมไม่รับประกันว่าชีวิตการแต่งงานมันจะยาวนานแค่ไหนนะครับ”

              ไม่มีใครตอบได้ ทรงฉัตรเองก็ไม่รู้ว่า นับจากวันนี้ไปเส้นทางชีวิตที่มีเขาและผู้หญิงที่ชื่ออรพิมจะดำเนินไปอย่างไร แต่อย่างน้อยคำตอบที่ให้ไปวันนี้ก็ทำให้สามคนพ่อแม่ลูกกอดกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ และซาบซึ้งในสิ่งที่ต่างคนต่างทำให้กันและกันในยามที่เกิดวิกฤตเช่นนี้

     

    เอเอสคอนสตรัค

              “นอกจากสั่งให้เตรียมตัวแต่งงานแล้ว น้ายายังสั่งอะไรอีกไหม” 

              สาวน้อยหน้าหวานวัยเบญจเพสถามด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อฟังแผนการชีวิตที่น้าสาวสุดที่รักอย่างดลยา ศรีปัญญาวางแผนให้เธอ อรพิม ศรีปัญญาทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

    “แต่งงานแล้วบริษัทเราจะรวมกับเอสบีเอสเตรทเป็น เอเอสบีเอสเตรสโดยคุณพิมเป็นคนบริหารและลูกชายคุณทรงพุ่มจะอยู่ฝ่ายควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด” พฤกษ์รายงานความเปลี่ยนไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ให้เจ้านายสาววัยใกล้เคียงกันรับทราบ

    “ทำไมต้องให้พิมจัดการเรื่องพวกนี้ น้ายากลับมาจากอเมริกาทำเองก็สิ้นเรื่อง” อรพิมไม่เข้าใจเหตุผลของน้าสาวสุดที่รักสักเท่าไร จะเรียกว่าไม่เห็นด้วยเสียมากกว่า

    บริษัทเพื่อนเก่ามีปัญหาเรื่องเงิน ถ้าต้องการให้ความช่วยเหลือก็แค่ให้เงินกู้ยืมไปลงทุนก็จบ ไม่เห็นต้องสร้างความเกี่ยวพันกับตัวบุคคลเลย วิธีแต่งงานโดยมีผลประโยชน์ทางธุรกิจมาเป็นเงื่อนไข เป็นเรื่องที่อรพิมไม่ยินดีที่จะทำแต่ก็ขัดไม่ได้ เพียงแต่...

    ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอจะรู้สึกอย่างไร กับการแต่งงานที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ศักดิ์ศรี หน้าตา ความเชื่อมัน ศรัทธาในตัวเองของเขาจะยังหลงเหลืออยู่ในตัวตนหรือไม่ ถ้าต้องแต่งงานกับอรพิมเพราะเหตุผลเพียงคำเดียว คือคำว่าเงิน

    “ทำไมไม่ส่งพฤกษ์ คุณทนายคนเก่งไปช่วยล่ะ ถ้าทางโน้นแค่ขาดสภาพคล่องทางการเงินเราช่วยไปก่อนก็ได้ รอจนได้เงินคืนกลับมา
    ก็ค่อยเอามาใช้เรา ง่ายกว่าการให้พิมไปแต่งงานไหม” 

    พฤกษ์ถอนหายใจเบาๆ กับตนเอง คิดถึงคำพูดของเจ้านายเหนือหัวที่อยู่ไกลถึงอเมริกาทันที แต่เขามีหน้าที่ต้องโน้มน้าวใจและทำให้งานแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะเหตุผลใดน่ะหรือ คำสั่งของนายเหนือหัวกับความลับสุดยอดที่แม้แต่อรพิมก็ไม่รู้ คือสาเหตุที่ทำให้พฤกษ์ต้องไม่เข้าข้างเจ้านายสาว

    แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับคำสั่งแกมขอร้องของดลยา แต่เพราะรู้เหตุผลที่แท้จริงและเงื่อนไขพิเศษที่ต้องทำให้การแต่งงานด้วยเหตุผลประหลาดเกิดขึ้น ทำให้พฤกษ์รับปากและมุ่งมั่นที่จะทำตามให้สำเร็จโดยเร็วที่สุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    “การที่เรารวมบริษัทก็มีข้อดีนะ” 

    “ข้อดียังไง” อรพิมย้อนถาม รู้เต็มอกว่าอย่างไรเสียก็ไม่สามารถปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ได้ แต่ก็อยากจะแกล้งคนเก่งอย่างพฤกษ์ ที่มีวาทศิลป์เป็นเลิศในการเจรจาให้หาคำพูดที่ดูดีมีประโยชน์ มาแถลงไขเสียหน่อยว่าการแต่งงานครั้งนี้มีดีอะไรบ้าง

    “หนึ่งเราได้ขยายลูกค้าโดยไม่ต้องเหนื่อย สองทีมวิศวกรที่นั่นฝีมือดีมาก คุณพิมก็เห็นเวลาประมูลงานใหญ่เอเอสเอาไปกินทุกครั้ง ถ้ารวมกันก็เท่ากับว่าเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งมากเพราะมีทั้งบุ๋นและบู๊”  พฤกษ์เริ่มการเจรจาการกล่อม

    “แล้วน้ายาจะกลับมางานแต่งงานพิมไหม” อรพิมอยากรู้เรื่องนี้มากกว่า

    “อันนี้ไม่ทราบ อาจจะมาหรือไม่มาก็ได้ แต่คุณพิมไม่ต้องห่วงผู้ใหญ่ฝ่ายเราผมเชิญไว้หมดแล้ว รับรองว่าวันแต่งงานคุณพิม ทุกอย่างครบ” ทนายหนุ่มรับรองแข็งขัน

    “พิมไม่จดทะเบียนนะพฤกษ์ แล้วก็ไม่อยู่บ้านเขาด้วย พิมจะอยู่บ้านพิม” 

    “อ้าว คุณพิม แล้วมันจะเรียกว่าแต่งงานได้อย่างไรล่ะ” พฤกษ์ถอนหายใจอีกครา

    “ไม่แต่งได้ไหม พฤกษ์” อรพิมถามเสียงเศร้า อยากจะมีปาฏิหาริย์ให้เรื่องนี้ถูกยกเลิกเดี๋ยวนี้จริงๆ

    “ไม่งอแงน่า คุณพิม” ทนายหนุ่มมองหน้าเจ้านายสาวด้วยความเห็นใจ

    “น้ายาคิดยังไงถึงให้หลานตัวเองแต่งงานกับคนที่ไม่เคยรู้จัก แล้วจะอยู่กันรอดไหม”

    “ไม่เอาน่า คุณพิม เรื่องมันมาถึงขึ้นนี้แล้ว เดินหน้าต่ออย่าคิดว่ามันแย่สิ” 

    “ก็มันแย่จริงๆ นี่นา เป็นพฤกษ์ พฤกษ์จะยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักไหม”

    นั่นสิ ถ้าเป็นเขา เขาไม่ยอมให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับตัวเองแน่ ชีวิตทั้งชีวิต คนทั้งคน การผูกมัดในฐานะ ครอบครัว ไม่เด็ดขาด พฤกษ์ไม่ยอมแน่

    “พฤกษ์จะยอมให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับตัวเองง่ายๆ เหรอ” อรพิมถามเสียงเครือ สบตากับทนายหนุ่มซึ่งเป็นเสมือนพี่ชายอีกคนในชีวิต     “ผมไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวแน่ แต่ว่าเรื่องของคุณพิม...”

    “ไม่เอา ไม่พูด ไม่เศร้า ไม่คิดมาก ไปกันเถอะ” พฤกษ์ปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้สดใสขึ้น

    “จะไปไหน” หญิงสาวถามเสียงเนือย ปรับอารมณ์ตนเองให้กลับมาเป็นอรพิมคนเดิมที่เข้มแข็งอีกครั้ง

             “วันนี้ไปดูชุดแต่งงานกันดีกว่า ผมเลือกร้านไว้แล้ว ไปลองแต่เนิ่นๆ จะได้รู้ว่าต้องแก้ไหม ไปเร็ว” ทนายหนุ่มจับมืออรพิมให้ลุกขึ้นและพาเดินออกมาจากบรรยากาศที่แสนหดหู่เสีย เขาสงสารแต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หวังว่านายทรงฉัตรคนนี้จะไม่ทำให้เจ้านายสาวของตนต้องเสียใจ

     

    อรพิมลองชุดแต่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว พฤกษ์จึงพาหญิงสาวมากินอาหารกลางวันใกล้ๆ ก่อนจะกลับไปทำงานในภาคบ่ายต่อ บังเอิญที่พฤกษ์เหลือบไปเห็นว่าที่เจ้าบ่าวของอรพิมนั่งอยู่ในร้านด้วย ทรงฉัตรไม่ได้มาคนเดียวแต่มากับสาวน้อยหน้าแฉล้มที่คนทั้งประเทศรู้จักกันในฐานะดาราสาว

             “คุณพิม ดูโน่น” พฤกษ์พยักหน้าให้สาวน้อยหันไปมองด้านในของร้าน อรพิมมองตามแล้วย้อนกลับมาถามด้วยความสงสัยว่า

              “พฤกษ์ให้ดูใคร”      
              “อ้าว ก็ว่าที่สามีคุณพิมไง โน่น คุณทรงฉัตร” ทนายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา

              “นั่นหรือ นายทรงฉัตร” คราวนี้อรพิมหันไปมองให้เต็มตาอีกที แล้วเอ่ยต่อว่า

              “มากับใคร คงไม่ใช่ลูกค้าหรอกนะ แฟนหรือเปล่า”

    “นางเอกละครน่าจะชื่อว่า มุกดารานะ” 

              “อ๋อ ไฮโซคบดาราเหรอ” น้ำเสียงอรพิมเย้ยหยันในที หันหน้าไปมองอีกครั้งแล้วสะบัดหน้ากลับมาทันที

              “ไม่ยักรู้ว่าพฤกษ์รู้จักดาราด้วย”

              “เปล่า เมื่อกี้ตอนคุณพิมลองชุด ที่ร้านมีถ่ายแฟชั่นชุดเจ้าสาว แล้วนางเอกคนนี้ก็ถ่ายด้วย ผมก็เลยรู้” ชายหนุ่มเฉลย

              ระหว่างที่รออรพิมลองชุด พฤกษ์ขี้เกียจนั่งเฉยๆ จึงเดินสำรวจร้านไปทั่ว และพบว่าอีกด้านมีการถ่ายแฟชั่นโปรโมตร้านพอดี และนางเอกสาวกำลังโพสต์ท่าในชุดสายเซตสุดท้ายพอดี ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่ร้านอาหารอีก

    “กินข้าวเถอะพฤกษ์ อย่าไปสนใจเลย พิมจะถือเสียว่านี่คือบทบาทหนึ่งของว่าที่สามีของพิม” อรพิมชวนกินข้าวหน้าตาเฉย เหมือนไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ต่อการกระทำของว่าที่สามีในอนาคต ในขณะที่พฤกษ์เริ่มหนักใจเมื่อรู้ว่าทรงฉัตรกับมุกดารามีท่าทีสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

    คุณทรงพุ่มเรียกทุกคนมาประชุมเพื่อชี้แจงความเปลี่ยนไปของบริษัทในอนาคต ทรงฉัตรชำเลืองมองสาวน้อยหน้าหวานที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวถัดไป ด้วยความรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย จะไม่ให้รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อเจ้าหล่อน ไม่แม้แต่จะทักทายใครสักคนตั้งแต่ก้าวเข้ามา ซ้ำยังวางท่าเป็นนางพญาจนน่าหมั่นไส้

    “หนูพิมจะมาเป็นผู้ดูแลเรื่องการลูกค้าและระบบการทำงานของเราทั้งสองบริษัท ส่วนทรงฉัตรก็จะดูแลเรื่องฝ่ายออกแบบก่อสร้างเช่นเดิม สำหรับเรื่องอื่นในช่วงบ่ายทุกคนจะได้รับทราบในที่ประชุม และผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ขอต้อนรับเอเอสคอนสตรัคในฐานะหุ้นส่วนของเรา ภายใต้ชื่อใหม่ เอเอสบีเอสเตรท ที่เราทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจทำงานด้วยกันอีกครั้ง”

    เสียงปรบมือต้อนรับอรพิมที่ลุกขึ้นยืนแสดงตน หญิงสาวส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับทุกคนทั่วห้องประชุม แต่ดูเหมือนจะจงใจมองผ่านทรงฉัตรไปโดยไม่ไยดี 

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ บ่ายนี้พิมจะแจ้งนโยบายการทำงานใหม่ของเรา ขอให้ทุกคนเข้าประชุมให้พร้อมเพรียงกันด้วยค่ะ” 

    เมื่อแนะนำอรพิมให้ทุกคนรู้จักแล้ว คุณทรงพุ่มจึงแนะนำให้บุตรชายรู้จักกับหญิงสาวอีกครั้ง พร้อมทั้งพาทั้งสองไปยังห้องทำงานที่จัดเตรียมไว้ให้

    “ฉัตรอยู่ห้องนี้ ส่วนหนูพิมอยู่ห้องข้างๆ ไปลุงจะพาไปดู” คุณทรงพุ่มเดินนำ 

    “ปิดประตูได้ไหมคะ พิมอยากได้ความเป็นส่วนตัวเวลาทำงาน” อรพิมเอ่ยเมื่อเห็นประตูเชื่อมระหว่างสองห้อง

    “ลุงให้คนทำประตูนี้ ก็เพื่อเจ้าฉัตรกับหนูจะได้เดินหากันได้สะดวก” คุณทรงพุ่มเอ่ย

    “เวลาทำงานพิมอยากมีสมาธิค่ะ” 

    ทรงฉัตรรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหล่อน แม้อรพิมจะสวยถูกใจ แต่ไอ้ท่าทีเป็นดั่งนางพญาที่ไม่ก้มหัวให้ใคร ทำให้เขาทั้งหมั่นไส้และอยากจะอยู่ให้ห่างที่สุด 

    “ปิดเลยก็ดีครับ นอกจากเสียสมาธิแล้วผมว่ามันดูยังไงไม่รู้ ปิดไปเถอะครับ” ทรงฉัตรสนับสนุนอีกแรง ทั้งคู่สบตากันโดยบังเอิญและต่างฝ่ายต่างเมินหน้าหนีกันไปคนละทาง

    คุณทรงพุ่มรับปากจะจัดการให้และขอตัวไปดูเอกสารอื่น ปล่อยให้ทั้งสองทำความคุ้นเคยกันเพียงลำพัง ก่อนไปชายวัยกลางคนกำชับให้บุตรชายดูแลอรพิมให้ดี แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทั้งคู่อยู่กันเพียงลำพังแล้ว

    ทรงฉัตรไม่มีอะไรจะพูดกับสาวน้อย จึงก้าวเดินออกจากห้องเพื่อกลับไปทำงานตามหน้าที่ของตน อรพิมเห็นจึงรีบเรียกเพื่อจะเจรจาบางเรื่องกับเขา

    “เดี๋ยว” หญิงสาวเรียกด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

    ทรงฉัตรไม่สนใจว่าอรพิมเรียกใคร ในเมื่อไม่ได้เอ่ยชื่อเขาก็เดินกลับไปที่ห้องทำงานทันที

    “ฉันเรียกทำไมไม่หยุด” อรพิมถามเสียงแข็งเดินตามมาใกล้

    “คุณเรียกใคร” เขาหันมาถามด้วยน้ำเสียงกวนโทสะเล็กน้อย

    “มีกันสองคน จะเรียกใครถ้าไม่ใช่คุณ” 

    “ผมมีชื่อและคุณก็รู้แล้ว จะเรียกผมกรุณาเรียกชื่อ ถึงแม้คุณจะมาเป็นหุ้นหรือมาในฐานะไหน ก็ควรให้เกียรติคนที่พูดด้วย” 

    “ค่ะ คุณทรงฉัตร” เจ้าหล่อนเน้นเสียงทุกคำชัดเจน

    “มีอะไรว่ามา” ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาหาหนังสือมาอ่าน รอว่าหญิงสาวจะพูดอะไรต่อ

    “คุณรู้เหตุผลในการแต่งงานใช่ไหม” อรพิมถามคำแรก

    “ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็ไปพูดกับพ่อไม่ใช่พูดกับผม” ทรงฉัตรลุกขึ้นทันที

    “ที่ฉันจะพูดคือ เรื่องส่วนตัวของเราสองคน” 

    “มีอะไรว่ามา” ทรงฉัตรเลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป

    “ฉันมีข้อตกลง เรื่องการแต่งงานของเรา” อรพิมตัดสินใจพูด

    “ผมบอกแล้วไงว่าให้ไปคุยกับพ่อ ผมมีหน้าที่แค่แต่งเท่านั้นจะเอาอะไรไปบอกพ่อไม่ต้องมาบอกผม” ชายหนุ่มทวนคำพูดเดิม

    “ฟังก่อน ฉันหมายถึงการใช้ชีวิตของเราไม่เกี่ยวกับบริษัท” อรพิมขึ้นเสียงเล็กน้อย

    “แล้วไง คุณอย่าบอกนะว่าจะให้ผมทำหน้าที่ให้ครบถ้วนทุกขั้นตอน” น้ำเสียงชายหนุ่มเย้ยหยันเล็กน้อยก้าวเข้ามาหาอรพิมช้าๆ จนเธอถอยไปชนกับหลังตู้

    “อันนี้พ่อไม่ได้สั่ง แต่ถ้าคุณสั่งขอผมคิดดูก่อนว่าจะทำดีไหม แต่ถ้า...” ชายหนุ่มจงใจใช้สายตาโลมเลียอรพิมไปทั่วทั้งตัว และใช้ปลายนิ้วไล้ไปที่ปลายคางสวยเบาๆ

    “ถ้าคุณอยากให้ผมทำหน้าที่สามีให้ครบถ้วน คุณช่วยลดท่าทางนางพญาลงหน่อยทำตัวบ๊องแบ๊วน่าเอ็นดูเหมือนผู้หญิงคนอื่น บางทีผมอาจจะยอมทำตามที่คุณขอก็ได้นะ”

    อรพิมผลักหน้าอกของทรงฉัตรให้ออกไปจากตัวอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือสาวน้อยฟาดลงข้างแก้มจนเป็นรอยแดง สายตาจับจ้องมองด้วยความโกรธ

    “พูดโดยใช้สมองคิดหรือเปล่า หรือว่าวันๆ อยู่กับปากกากระดาษมากไปมันถึงได้ไม่ความคิดดีๆ ออกมาจากหัว” หญิงสาวย้อนกลับด้วยความโมโห

    “ที่ฉันจะบอกกับคุณก็คือ การแต่งงานของเราไม่มีเรื่องอื่นนอกจากงานที่บริษัท และจำไว้ผู้ชายอย่างคุณ ฉันไม่มีวันเอามาทำพันธุ์แน่” อรพิมสะบัดหน้าเดินหนี

    ทรงฉัตรไม่ปล่อยให้เธอกลับไปง่ายๆ ตบหน้าเขาแล้วยังมาสะบัดใส่อีกมันต้องเจอการสั่งสอน มีอย่างที่ไหนกล้าพูดว่าไม่เอามาทำพันธุ์ คนอย่างเขาไม่ดีตรงไหนถึงกล้าพูดแบบนั้น

    “นี่ ปล่อยนะ” อรพิมสะบัดแขนจากการจับกุม

    “ตบหน้าผมแล้วจะเดินไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ” เขากัดฟันพูด

    “ปล่อย!” หญิงสาวดันตัวออกห่าง  

    ยิ่งดันทรงฉัตรก็ยิ่งอยากเอาชนะ ยัยเด็กบ้านี้ถือดีว่ามาเป็นหุ้นส่วนช่วยบริษัท พูดจาไม่มีสัมมาคารวะไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ เขาจะสามสิบแล้วยังไม่เคยมีใครกล้ามาพูดจาแบบนี้ ผู้ชายอย่างทรงฉัตรมีแต่คนอยากเข้าใกล้ เป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหนถึงได้พูดว่าไม่เอาทำพันธุ์

    “ปล่อย” อรพิมดันสุดแรงจนชายหนุ่มเซไป เธอรีบวิ่งกลับไปแล้วเตรียมจะล็อกประตูเชื่อมทันที

    “ว้าย!” 

    “มานี่” 

    ชายหนุ่มตั้งใจจะสั่งสอนบางอย่างให้รู้ว่า คนอย่างทรงฉัตรไม่ใช่คนที่ใครจะมาออกคำสั่งให้ทำโน่นทำนี้ หรือดูถูกกันได้ง่ายแบบนี้

    “ตอนแรกผมก็ไม่คิดอยากได้ผู้หญิงที่ใส่พานเอามาวางถึงที่หรอก แต่พอมาคิดอีกทีไอ้เรื่องผลประโยชน์คุณยังให้ผมมากกว่าเลย เพราะฉะนั้นเห็นทีผมต้องขอบคุณซะหน่อยแล้ว” ว่าแล้วใบหน้าคมก็โน้มหาอรพิมทันที 

    “โอ๊ย!” ทรงฉัตรร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด

    “อย่ามายุ่งกับฉัน หลังแต่งงานคุณก็อยู่ของคุณไป ห้ามมารุ่มร่ามเด็ดขาด ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน ที่สำคัญฉันไม่พิศวาสผู้ชายที่ชอบฉวยโอกาสหรือใช้กำลังกับคนที่อ่อนแอกว่า ถ้ามีคราวหน้าอีกรับรองว่าคุณเตรียมสูญพันธุ์ได้เลย”

    หญิงสาวเชิดใส่เดินเยื้องกรายราวกับนางพญาในมาดของท่านประธานออกจากห้องไป อย่างไม่สนใจว่าทรงฉัตรจะเจ็บปวดแค่ไหนกับจุดยุทธศาสตร์ที่โดนหัวเข่าเข้าไปเต็มๆ  ยังน้อยไปด้วยซ้ำ เห็นทีอรพิมคงต้องเตรียมหาวิธีรับมือกับการอยู่ร่วมบ้านกับผู้ชายที่ชอบฉวยโอกาสอย่างทรงฉัตรแล้ว

    ฝากอีบุ๊ค วิวาห์พยศรัก นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×