ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวร่ายรัก ซีรีย์ชุด รอยฝันวันวิวาห์

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 66


    อากาศยามเช้าเย็นสบายสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตา แต่ก่อนที่จะได้อิ่มเอมกับความสุขตามที่หวังเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นเสียก่อน เมธาวีสะดุ้งรีบลุกจากเตียงคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำทันที หญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็พร้อมที่จะไปจัดการกับภารกิจสำคัญในเช้านี้แล้ว

              “คุณวี กินข้าวก่อนไหมคะ” เสียงนางแช่ม หญิงวัยกลางคนที่ทำหน้าที่ดูแลบ้านเงยหน้าขึ้นมาถาม เมื่อเมธาวีกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาจากชั้นบน

              “ไม่ทันแล้วค่ะ ป้าแช่ม วีนัดครูป้อมไว้ก่อนเคารพธงชาติ ขออันนี้ก็พอค่ะ” ว่าแล้วเมธาวีก็เด็ดกล้วยน้ำว้าสองใบติดมือไปพร้อมน้ำเปล่าหนึ่งขวด

              “แล้วจะกลับมากินข้าวกลางวันไหมคะ” นางแช่มตะโกนถาม

              “มาค่า” เมธาวีขานกลับมาแล้วรีบขี่จักรยานไปให้ทันเวลานัดทันที

              ใกล้เที่ยง

              เมธาวีขี่จักรยานคู่ใจกลับมาที่บ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ความคืบหน้าของสิ่งที่เธอไปดูมาเป็นไปได้ดีตามที่ตั้งใจไว้ คาดว่าใช้เวลาอีกสักเดือนทุกอย่างก็คงจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าภารกิจที่ตั้งใจไว้จะสำเร็จอีกหนึ่งสิ่ง

              “ป้าแช่ม มีอะไรกินบ้างคะ” หญิงสาวเรียกหาหญิงวัยกลางคนเหมือนเคย

              ป้าแช่มหรือนางแช่ม หญิงวัยกลางคนที่เมธาวีเห็นตั้งแต่ลืมตามาดูโลกเลยก็ว่าได้ นางแช่มเป็นคนสนิทของคุณย่า แม้ว่าวันนี้คุณย่าจะไม่อยู่แล้วแต่นางก็สมัครใจที่จะอยู่ดูแลรับคุณวีต่อตามคำสั่งเสียของผู้ที่จากไป

              “คุณวี กลับมาแล้วเหรอคะ” นางแช่มเดินยิ้มออกมาจากครัว

              “ร้อนค่ะ เดี๋ยววีไปอาบน้ำก่อน ป้าแช่มมีอะไรให้กินบ้างคะ” เมธาวียิ้มประจบ

              “วันนี้ทำราดหน้าให้กินค่ะ”

              “โห อย่างนี้ต้องกินสักสองจานชดเชยกับที่เมื่อเช้าทำกับข้าวป้าแช่มเป็นหมัน วีไปอาบน้ำแป๊ปนะคะเดี๋ยวลงมา” ว่าแล้วเมธาวีก็รีบวิ่งขึ้นข้างบนไปอย่างรวดเร็ว

              “เดี๋ยวค่ะ คุณวี” นางแช่มร้องเรียกไม่ทันเสียแล้ว ไม่ได้บอกเลยว่าระหว่างที่เมธาวีไม่อยู่ที่บ้าน เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แล้วสักพักเมื่อได้ยินเสียงร้องเอะอะจากด้านบน นางก็ได้แต่ส่ายหน้าเดินเข้าครัวไปทำงานต่อ ไม่รู้ว่าจะขึ้นไปช่วยอธิบายอย่างไร ผัวเมียคุยกันเองก็แล้วกัน

              วันนี้อากาศร้อนมากเมธาวีรู้ว่าอาหารกลางวันเป็นของโปรดที่ตนเองชอบ จึงรีบวิ่งขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว เพื่อจะลงไปกินข้าวแล้วอาจจะนั่งพักอ่านหนังสือหรืองีบสักประเดี๋ยว แล้วช่วงบ่ายตั้งใจว่าจะลุกขึ้นมาทำอย่างอื่นที่ตั้งใจต่อ

              หญิงสาววิ่งเข้าไปที่ฉากกั้นฉวยผ้าขนหนูผืนเล็กและผลัดผ้าถุงสีบานเย็นเตรียมตัวจะเข้าห้องน้ำ เมธาวีเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกเสื้อผ้าเหมือนเช่นที่เคยทำ แต่แล้วเมื่อส่องกระจกในตู้ที่เปิดออก เพียงแค่นั้นเธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า พรตนอนยิ้มอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียงนอน

              เขามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร เข้ามาในห้องนอนเธอตอนไหน แล้วเห็นอะไรบ้าง แต่ก่อนที่พรตจะพูดอะไรคำแรก เมธาวีก็รีบเอาผ้าขนหนูคลุมไหล่มิดชิดแล้วหันมาจัดการกับคนที่นอนยิ้มสบายอารมณ์ทันที

              “คุณเข้ามาในห้องฉันตั้งแต่เมื่อไร” เมธาวีถามสีหน้าขึงขัง แต่สายตาที่พรตมองมาในเวลานี้ทำให้เธอแทบไม่กล้าขยับตัวเลยสักนิด ยิ่งคิดว่าเมื่อครู่ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าและตอนนี้ที่ใต้ผ้าถุงผืนนี้ ไม่มีอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

              “เข้ามาทำไม ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”

              ให้ตายเถอะ ทำไมจะต้องรู้สึกหวั่นไหวกับสายตาที่พรตมองมาในตอนนี้ด้วย เธอควรโกรธที่เขาละลาบละล้วงเข้ามาในห้องส่วนตัว ถือวิสาสะมานั่งมานอนบนที่นอนโดยไม่ขออนุญาตหรือบอกกล่าวเจ้าของห้องก่อน  ไม่แค่นั้นเขายังมาแอบดูหรือตั้งใจดูการทำธุระส่วนตัวอีก แบบนี้มันต้องเล่นงานกลับหรือต่อว่าเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่ว่า...

              ในความเป็นจริงนั้นเมธาวีทำได้แค่พูดเสียงแข็งใส่ และไล่เขาออกไปจากห้องโดยไม่โวยวายหรือหาทางให้พรตออกไปโดยเร็ว ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะสายตาเขา รอยยิ้มที่มุมปากนั่น ไม่ได้หล่อปานเทพบุตรอะไรหรอกนะ แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งเนื้อตัวที่อยู่ใต้ผ้าถุงสีหวานผืนบางนี้ด้วยแล้ว มันคล้ายกับจะมีอาการขนลุกเบาๆ และร้อนๆ หนาวๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

              เมธาวีไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ ว่าเป็นอะไร หรือเพราะวันนี้อากาศร้อนมากจนเธอจะเป็นไข้

              “เข้ามาตั้งแต่ตอนไหน” น้ำเสียงเมธาวีเบาลง เธอพยายามรักษาระดับน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย

              “มานอนรอเป็นชั่วโมงแล้ว” พรตตอบคำแรกพร้อมลุกขึ้นจากเตียงนอน ท่าทางเขาคงจะมานานแล้วจริงๆ เพราะรอยยับบนเตียงบ่งบอกให้รู้ว่าพ่อเจ้าประคุณ มานานมาแล้ว

              “แล้วทำไมไม่ส่งเสียงตอน เอ่อ ตอนที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณออกไปจากห้องนี้ก่อนมีอะไรค่อยคุยกันทีหลังดีกว่า” เมธาวีไม่อยากเห็นสายตาระยิบระยับคู่นั้นแล้ว ไอ้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นอีก เมื่อไรจะเลิกยิ้มเสียที เห็นแล้วมันใจสั่นมือไม้อ่อนไปหมด

              “ก็คุณเข้ามาตอนไหน ผมลืมตามาก็เห็นคุณอยู่หลังฉากนั้นแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไร เห็นคุณเดินนุ่งกระโจมอกออกมาถึงได้รู้ว่าเป็นที่เปลี่ยนเสื้อผ้า” ชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉย

              แม้จะฟังแล้วโล่งอกลงบ้าง แต่เมธาวีก็ยังรู้สึกไม่ดีที่มีเขาอยู่ด้วยในห้องในสภาพแบบนี้ เธอขอร้องให้พรตออกไปรอข้างล่างก่อนสักพัก

              “นั่นอะไร” หญิงสาวเหลือบไปเห็นกระเป๋าเดินทางใบย่อม และเห็นกระเป๋าโน๊ตบุ๊ควางอยู่บนโต๊ะหนังสือของตนด้วย

              “ของผม” เขาพูดสั้นๆ แล้วก้าวเท้าเดินออกไปตามคำขอ พรตเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอายที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย

              “เดี๋ยว คุณเอามาทำไม” เธอรีบถามด้วยความอยากรู้

              “จะให้พูดตอนนี้ หรือจะคุยทีเดียวในสภาพที่พร้อม หรือว่าเปลี่ยนใจคุยกับผมในชุดนุ่งลมห่มฟ้านี้แล้ว ก็ได้นะ  ผมคุยได้ทุกชุดหรือจะให้ผมอยู่ในสภาพเดียวกับคุณ ก็ไม่ว่านะ” พรตยิ้มอย่างผู้ชนะ แต่คนฟังอย่างเมธาวีหน้าแดงก่ำ

              “ไอ้บ้า ไอ้คนลามก โรคจิต ออกไปเลยนะ” เธออยากจะหาอะไรเขวี้ยงเพื่อระบายอารมณ์สักหน่อย แต่ติดตรงที่ไม่มีอะไรอยู่ใกล้และคนก่อเรื่องเดินหัวเราะออกไปจากห้องแล้วน่ะซิ

              เมธาวีหนอ เมธาวี จะมีเรื่องซวยอะไรอีก พรตถึงได้ตามมารังควานถึงที่นี่...

              เมธาวีรีบอาบน้ำแต่งตัวลงมาข้างล่าง รู้สึกหิวจนตาลายเพราะเวลานี้บ่ายกว่าแล้ว แต่เห็นหน้าคนยียวนกวนประสาทอย่างพรต ที่นั่งกินราดหน้าอย่างสบายอารมณ์แล้วก็แทบจะหมดอารมณ์

              “กินข้าวซะ แล้วค่อยคุยกัน” ชายหนุ่มพูดสั้นๆ แล้วลุกจากโต๊ะอาหารเดินถือจานไปเก็บหน้าตาเฉย เมธาวีนับหนึ่งถึงสิบพร้อมๆ กับเสียงท้องที่ร้องครวญครางไม่หยุด

              โบราณว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นราดหน้าในจานที่หอมฉุยยั่วยวนใจขนาดนี้จะพลาดได้อย่างไร กินก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลังจะได้มีแรงรับมือคนบ้าที่ตามมาหาเรื่องถึงที่ด้วย

              แผนการที่วางไว้ว่าจะทำในตอนบ่ายเป็นอันต้องยกเลิก หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เมธาวีก็เดินมาตามหาพรตที่ไปนั่งจิบกาแฟสบายใจอยู่ที่ศาลาริมน้ำ

              “ตกลงคุณมาทำอะไรที่นี่ เอาใบหย่ามาด้วยหรือเปล่า” หญิงสาวถามคำแรก

              “แหม ใจคอคุณอยากจะหย่ากับผมเหลือเกินนะ” ชายหนุ่มย้อนถาม

              “ใช่ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็เอามาให้ฉัน”

              “ไม่ได้เอามา เรื่องการหย่าเป็นการตัดสินใจของผมไม่ใช่คุณ ผมบอกแล้วใช่ไหม คนอย่างผมไม่ใช่คนที่คุณนึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้ง่ายๆ” พรตเอ่ยหน้าตาเฉย

              “คุณนี่มัน” เมธาวีฮึดฮัดอยู่คนเดียวไม่รู้จะพูดคำไหนต่อ ทำไมนะ ทำไมเขาถึงได้ดื้อดึงและพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้

              “แล้วคุณมาทำไม” หญิงสาวถามเรื่องที่เขามาที่นี่

              “มาพักร้อน”

              “พักร้อน ที่บ้านฉันเนี่ยนะ” เมธาวีทำหน้างง

              “ใช่ แต่จริงๆ ผมตั้งใจจะมาดูคุณมากกว่า”

              “มาดูฉัน ทำไมต้องมาดูมันเกี่ยวอะไรกัน”  ยิ่งฟังก็ยิ่งงงพรตมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่

              “ผมอยากรู้สาเหตุของการขอหย่า” สีหน้าคนพูดยิ้มหยันเล็กน้อย

              “อยากรู้ว่า ทำไมคุณถึงกล้าปฏิเสธผม” พรตก้าวเข้ามาหาเมธาวีใกล้ๆ เจ้าของบ้านสาวตกใจกับท่าทีของเขาและถอยหลังอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ต้องนั่งลงที่เก้าอี้ของศาลาท่าน้ำ

              “ฉันไปปฏิเสธอะไรคุณ นี่เรากำลังวนเข้าเรื่องเก่าที่พูดกันไม่เข้าใจสักที ไม่ใช่ซิ เป็นคุณฝ่ายเดียวที่ไม่พยายามเข้าใจอะไรง่ายๆ แค่เซ็นใบหย่ามันยากนักหรือไง ทำไมต้องคิดอะไรมากขนาดนี้ด้วย”

              “เพราะสิ่งที่คุณต้องการ มันจะทำให้ผมกลายเป็นไอ้โง่ที่ถูกผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเมียสวมเขา มีชู้ ขอหย่าเพื่อไปอยู่กับผู้ชายอื่น คุณลองคิดซิว่า ถ้าใครรู้เข้าผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” พรตตาวาวเป็นประกายก้มหน้าลงมาจนเกือบจะชิด

              “ก็เอาไว้บนบ่านั่นแหล่ะ เพราะมันไม่มีความจริงไม่เป็นอย่างที่คุณพูดสักนิด ฉันมีเหตุผลส่วนตัวในการขอหย่า และเราต้องหย่ากันให้เร็วที่สุด” เมธาวีใจเต้นกับสายตาที่จับจ้องมองอย่างใกล้ชิดของพรตในเวลานี้

              “ผมจะไม่หย่า จนกว่าคุณจะสารภาพความจริงว่าต้องการหย่าเพราะมีคนอื่น และผมจะเป็นฝ่ายให้ทนายจัดการเรื่องนี้เอง บอกไว้ก่อนเลยนะว่าคุณจะไม่ได้อะไรจากผมแม้แต่บาทเดียว” แววตาและน้ำเสียงชายหนุ่มจริงจังอย่างเห็นได้ชัด เมธาวีหันหน้าหนีสายตาที่จ้องมอง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

              “ฉันไม่เคยอยากได้อะไรจากคุณอยู่แล้ว นอกจากใบหย่าเท่านั้น”

              “ดี จำที่พูดวันนี้ด้วยล่ะ” พรตผงกศีรษะรับแล้วค่อยๆ ยืดตัวขึ้นมายืนตรงๆ อย่างสบายอารมณ์

              “ผมมีเวลาอยู่ที่นี่หนึ่งเดือน ถ้าคุณอยากได้ใบหย่าเร็วๆ ก็ไปพาไอ้หมอนั่นมาแสดงตัวซะ แต่ถ้าไม่แล้วให้ผมจับได้เองล่ะก็ มันคงไม่ได้ง่ายแค่เซ็นใบหย่าเท่านั้น เพราะผมจะ...” พรตยังพูดไม่จบ เสียงนางแช่มก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน

              “คุณวีคะ ครูป้อมมาแล้วค่ะ”

              เมธาวีรู้สึกโล่งอกที่มีใครสักคนมาขัดจังหวะที่ต้องคุยกับพรตในเวลานี้ แต่เมื่อเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องมองอย่างเอาเรื่องจากเขา เธอก็ไม่แน่ใจแล้วว่าการมาของครูป้อมเป็นการช่วยชีวิตหรือทำให้ทุกอย่างแย่ลงกันแน่

              “นี่ผู้ชายในฮาเร็มของคุณด้วยหรือเปล่า” พรตถามเสียงเข้ม

              “บ้าบออะไรของคุณอีก” เมธาวีไม่ตอบรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากศาลาไปทันที ท่ามกลางความสงสัยจนทนไม่ไหวทำให้พรตต้องเดินตามไปทันทีเช่นกัน

              ชายร่างสันทัดที่จูงจักรยานยืนอยู่ที่หน้าบ้านคือคนที่นางแช่มเรียกว่าครูป้อม พรตเร่งฝีเท้าเดินให้ทันเมธาวีที่เดินนำไปก่อนหน้า เขาอยากเห็นหน้าครูป้อมชัดๆ และอยากดูท่าทีของเมธาวีที่มีต่อคนที่มาด้วย

              ธวัช สานสุขหรือครูป้อม ครูโรงเรียนประถมศึกษาที่เมธาวีไปพบเมื่อเช้านี้ ขี่จักรยานมาหาหญิงสาวถึงบ้านในตอนบ่ายตามเวลานัด ที่ตะกร้าหน้ารถมีแฟ้มเอกสารติดมาด้วย

              “กินข้าวหรือยังครับ คุณวี” ชายร่างสันทัดในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีสุภาพสวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินถามด้วยรอยยิ้ม

              “เรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญครูป้อมทางนี้ดีกว่าค่ะ” เมธาวีส่งยิ้มตอบพร้อมเดินนำเข้าไปใต้ถุนบ้าน แน่นอนว่าพรตเดินตามโดยไม่รอช้า เขาชำเลืองมองคนที่จอดจักรยานไว้ที่เดิมเล็กน้อยก่อนจะตามไปยืนรอข้างเมธาวี

              “ใคร” พรตถามเสียงเข้ม เมื่อได้เห็นหน้าชัดๆ ก็พินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจ

              ครูป้อมคนนี้ไม่แก่หน้าตาพอใช้ได้ ท่าทางและสายตาดูเป็นมิตรมากกว่าเป็นศัตรู ที่สำคัญสายตาที่มองเมธาวีเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด ครูป้อมมองมาทางพรตเล็กน้อยและส่งยิ้มให้ตามมารยาท พรตเพียงแค่ทำหน้านิ่งแล้วใช้สายตาสังเกตท่าทีของทั้งคู่ไม่วางตา

              “ผมเอาเอกสารที่คุณวีต้องการมาแล้วครับ” ครูป้อมยื่นแฟ้มที่ถือติดมือมาให้แล้วนั่งลงตรงข้ามหญิงสาว เมธาวีขอบคุณเบาๆ รับแฟ้มนั้นมาเปิดดูด้วยความสนใจ

              พรตเลือกที่จะนั่งห่างออกมาแต่จ้องมองการพูดคุยของทั้งคู่ชนิดที่เรียกว่าไม่คลาดสายตาสักวินาที เขาฟันธงได้เลยว่าหมอนี่มีท่าทีชื่นชมและอาจจะ จีบเงียบๆโดยใช้ความสนิทสนมเป็นตัวนำทาง ส่วนเมธาวีนั้นมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีกลับไปไม่น้อย

              “ขอบคุณครูป้อมมากนะคะ เดี๋ยววีจัดการเรื่องนี้ต่อให้ ได้ความคืบหน้าอย่างไรแล้วจะรีบบอกนะคะ” เมธาวีปิดแฟ้มคืนครูหนุ่ม ข้อมูลที่ได้เพียงพอที่จะไปสานต่อได้เองแล้ว

              “ไม่มีปัญหาครับ ถ้าคุณวีต้องการอะไรอีกก็บอกผมได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” ครูป้อมเอ่ยย้ำก่อนจะขอตัวลากลับ เมธาวีลุกขึ้นเดินไปส่ง พรตลุกขึ้นเดินตามไปยืนเคียงข้างหญิงสาว

              “พรุ่งนี้เช้าพบกันค่ะ” เมธาวีเอ่ย พรตนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร ทั้งคู่เจอกันทุกวันอย่างนั้นหรือ

              “เจอกันเรื่องอะไร” พรตถามแทรกขึ้น เมธาวีนิ่งไม่ตอบ ส่วนครูป้อมทำหน้างงมองหน้าพรตสลับกับเมธาวีด้วยความสงสัย

              “พบถามว่าพรุ่งนี้คุณจะพบภรรยาผมด้วยเรื่องอะไร” คราวนี้พรตเอ่ยเสียงดังฟังชัด

              เมธาวีตกตะลึงไม่คิดว่าพรตจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่น ส่วนครูป้อมนั้นไม่ต้องพูดถึงยืนนิ่งตะลึงเหมือนถูกสาปไปชั่วขณะเช่นกัน

              “ผมชื่อพรต พิราธัสเป็นสามีของเมธาวี” พรตเอ่ยชัดถ้อยชัดคำสีหน้านิ่งเฉย สบตากับครูหนุ่มที่ทำหน้าตะลึงพูดไม่ออก

              “คุณพรต หยุดได้แล้ว” เมธาวีหันมาปรามเสียงแข็ง

              “คุณคงไม่รู้ว่าเธอแต่งงานแล้ว” พรตไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย หันไปถามคนที่ยืนอึ้งแทน

              “ครูป้อมกลับไปก่อนเถอะค่ะ”  เมธาวีรีบตัดบทพยักหน้าให้ครูป้อมกลับไป ครูหนุ่มละล้าละลังคล้ายกับมีคำถาม แต่หญิงสาวจัดการให้เขากลับไปโดยไวโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น เมื่อครูป้อมกลับไปแล้วเมธาวีจึงหันมาเล่นงานที่พูดจาไม่เข้าหูทันที

              “คุณพูดแบบนั้นกับครูป้อมได้อย่างไร รู้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น” หญิงสาวหน้าตาขึงขังเอาเรื่อง

              “ผมพูดความจริงผิดตรงไหน แล้วคุณกับหมอนั่นมีเรื่องอะไรต้องเจอกันทุกวัน นี่เมื่อเช้าก็เจอกันยังไม่พออีกหรือไง ถึงต้องให้มาหาที่บ้านอีก ถ้าผมไม่มาคุณสองคนจะคุยกันนานกว่านี้ไหม หรือว่าจะหาที่คุยกันสองต่อสอง” พรตร่ายยาวเป็นชุดสีหน้ามีความไม่พอใจเช่นกัน

              “นี่คุณ กลับบ้านไปเลยดีกว่า อย่ามาอยู่พูดจาสุนัขไม่รับประทานแบบนี้ คนอคติคิดแต่เรื่องแย่ๆ ตัวเองทำนิสัยไม่ดีแล้วคิดว่าคนอื่นต้องเหมือนตัวเองหรือไง” เมธาวีพูดด้วยความโมโหสะบัดหน้าเดินหนีจะขึ้นข้างบนแต่พรตกระชากแขนไว้

              “ไล่สามีตัวเองเพื่อจะได้ทางสะดวกในการพบกันทุกวัน ผมคงไม่โง่ให้คุณหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกนะ นี่ใช่ไหม เหตุผลในการขอหย่าของคุณ”

              “คุณมันบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ก็ได้ คุณจะคิดอะไรแบบไหนก็เอาตามที่สบายใจเลย ขออย่างเดียวเท่านั้นช่วยเซ็นใบหย่าให้ฉันเร็วๆ”

              ได้ยินคำว่าใบหย่าจากปากเมธาวีเท่านั้น พรตก็เลือดขึ้นหน้าทันที

              “ผมไม่หย่า จะอยู่เป็นก้างดูคุณกับไอ้หมอนั่นลงแดงตายต่อหน้า ถ้าอยากให้เซ็นนักก็มาขอร้องดีๆ เผื่อว่าผมอาจจะใจดีเซ็นให้ง่ายๆ เห็นแก่คนที่กำลังจะลงแดงตายเพราะเป็นชู้กับเมียคนอื่น”

              “คุณพรต” เมธาวีสะบัดแขนที่ถูกรั้งไว้ออกอย่างรุนแรง มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโมโห

              “ทำไมต้องโกรธด้วย ผมพูดความจริงทั้งนั้น ถ้าคุณอยากได้ใบหย่าก็รีบบอกให้หมอนั่นมาพูดกับผมดีๆ ซะ กล้าทำก็กล้ารับหน่อย ลูกผู้ชายแมนๆ น่ะเป็นไหม”

              “ลูกผู้ชายตัวจริงจะไม่พูดจาให้ร้ายคนอื่น คนที่ทำตัวตรงข้ามสำหรับฉันไม่ใช่ลูกผู้ชายสักนิด เป็นแค่เด็กเอาแต่ใจที่ชอบเอาชนะคนอื่นไปวันๆ เท่านั้น” พูดจบเมธาวีก็เดินหนี พรตเดินตามมาหาเรื่องต่อ

              “จะไปไหน” เขาถามเพราะเธอกำลังจูงจักรยานออกไปนอกบ้าน

              “ผมถามว่าจะไปไหน ทำไมไม่ตอบ” พรตยังตามราวีไม่เลิก

              “อย่ามายุ่งกับฉัน จะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน คุณอยากจะอยู่ก็อยู่ไป เชิญตามสบาย อ้อ แล้วช่วยกรุณาหยุดแสดงตัวกับคนอื่นว่าเป็นสามีของฉันเสียที ฉันไม่แคร์หรอกนะว่าคนอื่นจะมองอย่างไร เพราะการแต่งงานมันก็เป็นแค่เรื่องที่ผ่านเข้ามาประเดี๋ยวประด๋าวและเราก็กำลังจะหย่ากัน แต่คุณคงไม่อยากให้ใครจดจำว่าเคยถูกคลุมถุงชนหรอกใช่ไหม”

              เมธาวีขี่จักรยานออกไปทันที ทิ้งให้พรตมองตามด้วยความหงุดหงิดทั้งกับคำพูดที่ยอกย้อน และความหมายที่แสดงให้รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีความสำคัญใดๆ สำหรับเธอเลยสักนิด

              ยิ่งเป็นแบบนี้ พรตยิ่งโมโห รู้สึกเสียหน้า และคิดหาวิธีที่เรียกว่าการเอาชนะ เขาจะต้องทำให้เมธาวีเสียดายการแต่งงานครั้งนี้จนไม่อยากหย่า และเมื่อถึงตอนนั้นพรตจะเป็นผู้กำกับเองว่า ชีวิตแต่งงานนี้จะเป็นไปในทิศทางเช่นไร ล่มหรือเริ่ม...

              เมธาวีกลับบ้านมาอีกครั้งในตอนเย็น พรตนั่งหน้าบึ้งรออยู่ที่เก้าอี้แต่เธอไม่สนใจทำเป็นว่ามองไม่เห็นเดินขึ้นบ้านไม่ทักทายสักคำ ทำให้ชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายเดินตามขึ้นไป

              พอเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเมธาวีก็พบว่ากระเป๋าเสื้อผ้าของพรตยังอยู่ที่เดิม เธอจึงจัดแจงไปลากมันออกมาพร้อมร้องเรียกหานางแช่มให้มาเอากระเป๋าไปไว้อีกห้อง

              “เอามันออกมาทำไม” พรตถามเสียงแข็ง เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าแล้วลากกลับเข้าไปตามเดิม

              “คุณนอนห้องนี้ไม่ได้” เมธาวีรีบบอก

              “ทำไมผมจะนอนไม่ได้ ทีคุณยังนอนห้องผมมาเป็นปีๆ ได้เลย” ชายหนุ่มแย้งหน้าตาเฉย

              “ก็คุณไม่อยู่ไง ฉันถึงนอนได้”

              “แล้วไง ตอนนี้ผมอยู่แล้วนอนไม่ได้หรือไง” พรตถามกลับ

              “คุณไปนอนห้องอื่นห้ามนอนห้องนี้” หญิงสาวเสียงแข็ง

              “ผมจะนอนห้องนี้ นอนกับคุณ” พรตพูดหน้าตาเฉยแถมจ้องหน้าเจ้าของห้องอีกด้วย

              เมธาวีเม้มปากแน่นไม่เอ่ยอะไร รู้ดีกว่าเถียงไปก็ไม่ชนะ อุตส่าห์หนีไปทำใจว่าจะต้องเจอคนพูดไม่รู้เรื่องเช่นพรตที่บ้าน บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่มีเรื่องกับเขาอีก แต่เอาเข้าจริงไอ้ความกวนประสาทหน้าตายของเขามันก็ทำให้เธอแทบจะทนไม่ไหว

              “จะเอากระเป๋าไปไหน” พรตแย่งกลับมาเมื่อเมธาวีดึงกระเป๋าและลากออกไปถึงหน้าประตูอีกครั้ง

              “พูดไม่เข้าใจหรือไงว่าให้ไปนอนห้องอื่น” คราวนี้หญิงสาวเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาแล้ว

              “เข้าใจแต่ไม่ทำ และไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วย เราเป็นสามีภรรยานอนห้องเดียวกันไม่เห็นจะแปลก อีกอย่างคุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าไม่แคร์ว่าใครจะมองอย่างไร ผมก็เหมือนกันไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไร อ้อ แล้วไม่ต้องห่วงกลัวว่าผมจะน่ามืดปล้ำคุณหรอกนะ แบบนี้...” พรตหรี่ตามองสำรวจเรือนร่างของคนที่ยืนตรงหน้า แล้วเขยิบเข้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูว่า

              “ทั้งแบนทั้งราบแห้งเหี่ยวขนาดนี้ ไม่เร้าใจผมให้ลุกขึ้นมาปล้ำหรอกนะ”

              เมธาวีอ้าปากค้างอยากจะกรีดร้องแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มยั่วเย้าที่มุมปากของพรตด้วยแล้ว สิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็คือ

              “ไอ้คนบ้า” หญิงสาวตะโกนใส่หน้าเขา ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความโมโห

              “ผมพูดความจริงทำไมต้องโกรธขนาดนี้ หรือว่าอยากให้ผมทำหน้าที่ให้ครบถ้วน” ไม่วายที่พรตจะแหย่เพื่อเพิ่มโทสะให้อีกฝ่าย ยิ่งเห็นเมธาวีโกรธจนหน้าแดงเขาก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก

              “คนโรคจิต ปากเสีย นิสัยไม่ดี ไอ้คน...” เมธาวียังโวยวายไม่ทันจบ เขาก็ก้าวเข้ามาใกล้ใช้นิ้วชี้แนบลงที่ริมฝีปากเบาๆ

              “คนที่คุณกำลังด่าเนี่ย สามีคุณนะ แล้วผมก็เป็นพวกของขึ้นง่ายเวลามีแรงกระตุ้นเสียด้วย เท่าที่เคยๆ มานะ เวลามีใครว่าผมเสียๆ หายๆ แบบนี้ สุดท้ายเวลาที่ผมเอาคืนก็มักจะร้องคำอื่นมากกว่าด่าตอนแรกเสียอีก อยากลองดูไหมล่ะ”

              คำพูดสองแง่สองง่ามของเขา สีหน้ายียวนกวนประสาท รอยยิ้มท้าทายที่บอกว่าตนเองกำลังชนะ มันช่างน่าหมั่นไส้เสียเหลือเกิน เมธาวีอยากจะเอาคืนให้สาสมกับความกวนประสาทที่อยู่ต่อหน้า แต่สายตาวาววับของพรตนี่ซิ ที่ทำให้หวั่นว่าหากตอบโต้กลับไป ไม่รู้ว่าเขาจะทำตามที่พูดมาจริงหรือเปล่า

              “อยากจะนอนก็นอนไป ฉันไปนอนห้องอื่นก็ได้” เมธาวีได้แต่ฮึดฮัดอยู่ฝ่ายเดียว สะบัดหน้าหนีไม่อยากมองท่าทางกวนประสาทของพรตที่ยิ่งยั่วให้โมโหมากขึ้น แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ นางแช่มก็เดินมาบอกว่า

              “คุณโชคมาค่ะ”

              เมธาวีรู้สึกโล่งอกสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าโชคมา ผิดกับพรตที่หน้าบอกบุญไม่รับเมื่อได้ยินชื่อโชค และยิ่งอารมณ์ไม่ดีมากขึ้นอีกเมื่อเห็นท่าทีร่าเริงของหญิงสาวที่เดินลงไปหาทนายหนุ่มทันทีที่รู้ น่าหมั่นไส้เสียจริง!

              เมธาวีคุยกับโชคได้ไม่กี่คำพรตก็เดินตามมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ทนายหนุ่มส่งยิ้มทักทายตามมารยาท แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอคำถามที่แสนตรงไปตรงมาของพรต

              “นายมาทำอะไรที่นี่”

              “เอ่อ คือ” โชคอ้ำอึ้งสบตาเมธาวีเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่าจะให้พูดอย่างไร หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายตอบเสียเองว่า

              “คุณโชคมีธุระกับฉัน”

              “ธุระอะไรทำไมมาเสียเย็นเลย” พรตตั้งคำถามราวกับจะสอบสวนทนายหนุ่มที่อ้ำอึ้งชวนให้สงสัย

              หรือว่าเจ้าโชคจะเป็นหนึ่งในสาเหตุการขอหย่าของเมธาวี พรตนึกย้อนไปถึงวันงานเลี้ยงบริษัท ทั้งคู่สนิทสนมกันจนนอกหน้า วันที่หญิงสาวเก็บของกลับบ้าน เจ้าโชคก็เป็นคนมาส่ง นี่ห่างกันไม่กี่วันก็ตามมาถึงนี่แล้วหรือ ยิ่งคิดพรตก็ยิ่งสงสัยและไล่ถามในสิ่งที่อยากรู้มากขึ้นไปอีก

              “แล้วไอ้ธุระที่ว่าเนี่ย มันคืออะไร เมื่อไรจะจบสิ้น”

              คำถามของพรตทำให้โชครู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปกว่าเดิม เขาดูออกว่าเจ้านายหนุ่มไม่ค่อยพอใจกับการมาที่นี่ของตนนัก แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อคุณหญิงปรานีสั่งให้โชคมาช่วยจัดการธุระของเมธาวีให้เสร็จเรียบร้อย และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมาคอยดูว่าพรตจะระรานหรือทำอะไรให้เมธาวีไม่สบายใจหรือเปล่า

              เพราะคุณหญิงปรานีรู้ว่าพรตมาที่นี่ก็เพื่อหาสาเหตุการขอหย่าของหญิงสาว และจะว่าไปพรตดูจะปักใจเชื่อว่าการขอหย่าของเมธาวีมีเหตุผลแอบแฝง และเหตุผลนั้นก็คือเธอมีคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้พรตรู้สึกเสียหน้าและยอมไม่ได้ จึงต้องการเอาชนะด้วยการเป็นฝ่ายขอหย่าในเหตุผลที่ปักใจเชื่อว่า เมธาวีมีคนอื่น!

              “ไม่ใช่เรื่องของคุณ ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้มั้ง” เมธาวีตอบแทนด้วยความหมั่นไส้

              “ผมควรต้องรู้นะ เพราะตราบใดที่เรายังไม่หย่ากัน ผมควรรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณ” พรตหันมาสบตาหญิงสาว เมธาวีนิ่งไปเล็กน้อย ส่วนโชคพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ปิดปากเงียบ

              “คุณย่าส่งคุณโชคมาช่วยฉันจัดการธุระสำคัญ คุณโชคจะอยู่ที่นี่อีกหลายวันจนกว่าธุระจะเสร็จ พอใจหรือยัง” หญิงสาวประชดในที

              โชครู้สึกหนาวแผ่นหลังเมื่อเห็นสายตาที่พรตมองมาในเวลานี้ ท่าทีดุดันแข็งกร้าวแฝงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดนั้น โชครู้ดีว่าคุณพรต กำลังหวงของและถ้าจะเอาชีวิตตัวเองให้รอด โชคก็ควรอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ หรือถ้าให้ดีไปให้พ้นหน้าเลยจะปลอดภัยที่สุด เพียงแต่...

              “จัดการธุระนายให้เรียบร้อยภายในสามวัน อ้อ จากนี้ไม่ไกลมีโรงแรมเล็กๆ ไปพักที่นั่นได้ ค่าห้องฉันจะให้บัญชีจัดการให้เชิญเบิกได้ทุกบาททุกสตางค์” พูดจบพรตก็เดินขึ้นบ้านไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้โชคยืนตาค้างพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่เมธาวีอึ้งและไม่เข้าใจว่าพรตทำแบบนี้ทำไม

              ก่อนที่เมธาวีจะคิดอะไรเรื่องพรตต่อ เสียงดังจากในครัวทำให้ต้องรีบวิ่งไปดู นางแช่มนอนหมดสติอยู่กับพื้น หญิงสาวร้องเสียงหลงรีบเข้าไปประคองนางแช่มไว้ โชคตกใจรีบเอามืออังจมูกของนางไว้แล้วค่อยใจชื้นว่ายังหายใจอยู่แม้จะแผ่วเบาเหลือเกิน พรตวิ่งตามเข้ามาอีกคนแล้วรีบสั่งทนายหนุ่มทันทีว่า

              “เอารถออก รีบไปโรงพยาบาล เร็ว”

              พรตไม่พูดมากรีบเข้ามาช้อนตัวนางแช่มอุ้มขึ้น ส่วนโชครีบไปที่รถสตาร์ทเครื่องรอ เมธาวีพยายามตั้งสติปิดบ้านคว้ากระเป๋าและโทรศัพท์วิ่งตามขึ้นรถไปอีกคน

              โชคดีที่พานางแช่มมาถึงมือหมอทันเวลา ผลการตรวจพบว่าหญิงวัยกลางคนมีอาการเส้นเลือดหัวใจตีบฉับพลัน และควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เมธาวีตัดสินใจทันทีให้นางแช่มได้รับการรักษา

              “ผมขอส่งตัวคนไข้เข้าไปรักษาที่กรุงเทพฯ” พรตหันมาหาทนายหนุ่มแล้วสั่งเสียงเข้มว่า

              “นายประสานไปที่โรงพยาบาลของเราให้ส่งรถพยาบาลมารับคนป่วย บอกไปด้วยว่าให้หมอมือดีที่สุดรออยู่ที่นั่น เรื่องค่ารักษาฉันจัดการเอง”

              โชครับคำแล้วรีบจัดการติดต่อประสานงานตามคำสั่งทันที เมธาวีอึ้งไม่คิดว่าพรตจะจัดการเช่นนี้

              “คุณ” ชายหนุ่มเรียกเมธาวีเบาๆ หญิงสาวได้สติจึงหันมาหา

              “ป้ามีญาติที่ไหนหรือเปล่า ติดต่อบอกให้รู้ได้ไหม” น้ำเสียงชายหนุ่มอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด เมธาวีนึกขึ้นได้จึงรีบกดโทรศัพท์ หญิงสาวเห็นเขาเดินไปที่ห้องพักคนป่วยจึงเดินตามไปห่างๆ

    นางแช่มพอมีสติรู้ตัว เมธาวีเห็นนางแช่มยกมือไหว้พรต ชายหนุ่มจับมือคล้ายกับจะห้ามและพูดอะไรด้วยอีกสองสามคำ  หญิงสาวไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะใส่ใจคนอื่นเช่นนี้

    อีบุ๊คเจ้าสาวร่ายรักนะคะ

    อ่านให้สนุกค่ะ ... อิ่มอุ่น


     

    Thumbnail Seller Link
    เจ้าสาวร่ายรัก
    ยิปซี
    www.mebmarket.com
    “เพราะวีรู้ว่าคนอย่างคุณพรตพูดคำไหนคำนั้น วีเชื่อในความบริสุทธิ์ใจ แต่วีก็จะรอดูว่าคุณพรตทำได้อย่างที่พูดไหม” “ทำไมเชื่อง่าย ไม่งอ...
    Get it now
    Thumbnail Seller Link
    ดอกรักเสน่หา
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เป็นที่ปรารถนาในหัวใจเขาตลอดกาล...หมายเหตุท่านใดโหลดคุณธามกับหนูรติรสไปแล้ว ไม่ต้องโหลดใหม่นะคะอิ่มอุ่นเปลี่ยนปกให้สดชื...
    Get it now
    Thumbnail Seller Link
    จำนนรักจอมมาร
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    “ถ้าขืนพูดคำว่าจะหย่า ผมจะจูบแบบเมื่อคืนนะ รู้ไหม เอ๊ะ หรือว่าต้องทำให้ดูก่อนว่าเป็นไง” โมกข์กระซิบข้างๆ หูแล้วหัวเราะเบาๆ  ลมหายใจอุ่นๆ ร...
    Get it now
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×