ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่ายรักหัวใจอสูร

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 66


    ละครการกุศลของสมาคมกำลังจะเริ่มในปลายเดือนนี้ แต่งานแรกที่คมกริชต้องทำแทนคุณนวลก็คือ เป็นตัวแทนไปส่งมอบโรงเรียนที่สร้างด้วยเงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน

    งานนี้ภาสินีจำต้องร่วมเดินทางไปด้วยความคำสั่งของคู่หมั้น ที่ไม่ยอมทิ้งให้หญิงสาวซ้อมบทละครการกุศลอยู่ที่กรุงเทพฯเพียงลำพังกับอธิป คณะเดินทางไปถึงสนามบินของจังหวัดแม่ฮ่องสอนในตอนสาย เมื่อไปถึงคมกริชแสนจะหงุดหงิดเมื่อเห็นอธิปยืนยิ้มร่ารออยู่ก่อนหน้าแล้ว

    "ยินดีต้อนรับครับ" นักแสดงหนุ่มทักทายภาสินีก่อนเป็นคนแรก

    "ออกจากเชียงใหม่กี่โมงคะ" หญิงสาวทราบว่าอธิปมีงานโชว์ตัวที่เชียงใหม่เมื่อคืนนี้ จึงเอ่ยปากชวนให้มาร่วมกิจกรรมสำคัญของทางสมาคมด้วยกัน

    อธิปหาโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับภาสินีอยู่แล้ว อีกทั้งวันนี้เขาไม่มีคิวอะไรทั้งสิ้น จึงตอบรับตกลงทันทีที่หญิงสาวเอ่ยปากชวน

    "รถตู้มารอที่หน้าสนามบินแล้วค่ะ" นับดาว เลขาคนเก่งแจ้งให้ทุกคนทราบ

    คมกริชหมั่นไส้ที่ภาสินียืนยิ้มคุยกับอธิปโดยไม่สนใจตนแม้แต่น้อย จึงถือวิสาสะโอบเอวคู่หมั้นสาวแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของต่อหน้านักแสดงหนุ่ม โดยไม่สนใจว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกันอยู่

    พิธีการส่งมอบโรงเรียนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คมกริชรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ที่ต่างแสดงท่าทียินดีกับโรงเรียนใหม่และอุปกรณ์ที่ครบครัน

    "หลังทานอาหารเที่ยง เราจะออกจากที่นี่ จากนั้นจะแวะพาเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แล้วค่อยเข้าที่พักโรงแรมในตัวเมืองนะคะ แล้วพรุ่งนี้เช้าเราจะบินกลับกรุงเทพฯตอนสายค่ะ" นับดาวแจ้งโปรแกรมให้ทุกคนในคณะทราบ

    ผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับมอบโรงเรียนจัดอาหารและการแสดงของนักเรียนมาต้อนรับตัวแทนจากสมาคม แม้ที่นี่จะอยู่ห่างไกลจากความเจริญพื้นราบ แต่ความโด่งดังของอธิปก็เป็นที่รู้จักของคนที่อยู่ที่นี่

    ดังนั้นนักแสดงหนุ่มจึงเป็นที่สนใจของคนในหมู่บ้าน มากกว่าคนอื่น ซึ่งกลายเป็นว่าภาสินีต้องคอยดูแลอธิปอยู่ใกล้ๆ ท่ามกลางสายตาแห่งความไม่พอใจของคมกริช

    "น้ำค่ะ" ภาสินีวางน้ำดื่มให้ตรงหน้า

    "เหนื่อยไหมคะ ฉันเลยทำให้คุณต้องมาลำบาก" หญิงสาวพูดด้วยความเกรงใจ

    "ลำบากอะไรกันครับ ดีซะอีก ผมจะได้เช็กเรตติ้งตัวเองว่าเป็นไงบ้าง" ชายหนุ่มพูดติดตลก

    "แหม พระเอกคนดังของเมืองไทย ใครๆ ก็ต้องรู้จักทั้งนั้นแหล่ะค่ะ"

    "คุณแพทก็พูดเกินไป ผมไม่ได้ดังมากมายขนาดนั้นหรอกครับ"

    คมกริชพยายามหาโอกาสที่จะดึงภาสินีออกมาให้ห่างจากอธิป เขาขอให้นับดาวจัดที่นั่งรถตู้ใหม่ โดยให้ภาสินีมานั่งกับตนและจัดให้อธิปไปนั่งคันอื่นแทน แต่พอถึงเวลาจริงภาสินีกลับสลับที่นั่งกับคนอื่นและไปนั่งรถตู้คันที่อธิปนั่ง ยิ่งทำให้คมกริชโมโหมากขึ้นแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ นอกจากเดินหงุดหงิดขึ้นรถไปเท่านั้น

     

    ทุกคนเข้าพักในโรงแรมตอนเย็น หลังจากที่แวะพักเที่ยวตลอดเส้นทางที่ลงจากดอยอย่างสนุกสนาน ภาสินีไม่ยอมเข้าใกล้คมกริชแม้แต่นิดเดียวและให้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับอธิปทั้งหมด ทำให้คู่หมั้นหนุ่มได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้โดยไม่แสดงอะไรออกมา

    "เราจะพบกันเวลาอาหารเย็นทุ่มตรงนะคะ" นับเดือนแจ้งเวลาอาหารให้ทุกคนทราบอีกครั้ง

    "ผมยังไม่ได้ห้อง" อธิปหันมากระซิบบอกภาสินี

    อีกสิบนาทีต่อมานับเดือนก็เอาคีย์การ์ดและหมายเลขห้องมายื่นให้อธิป หลังจากที่ภาสินีรบกวนให้เลขาคนเก่งเป็นธุระจัดการเรื่องห้องพักของชายหนุ่มให้

    "อาหารเย็นพบกันทุ่มตรงนะคะ" นับเดือนย้ำอีกครา

    อธิปและภาสินีอยู่ห้องใกล้กัน ส่วนคมกริชอยู่ห้องตรงข้ามกับหญิงสาว เขาขึ้นมาที่ห้องพักก่อนเพื่อหวังจะดักคอยคู่หมั้นสาว แต่กลายเป็นว่าเจ้าหล่อนมาพร้อมกับอธิป ทำให้ไม่มีโอกาสได้มีเวลาอยู่กันสองต่อสอง เพราะนับเดือนนำโปรแกรมในค่ำคืนนี้มาให้ดูเสียก่อน

     

    หลังจากทำหน้าที่กล่าวขอบคุณและเปิดงานเลี้ยงฉลองเรื่องส่งมอบโรงเรียนเสร็จสิ้น คมกริชก็ปล่อยให้ทุกคนในคณะพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย ส่วนตัวเองหลบมุมมานั่งเงียบๆ จิบเบียร์เย็นๆ สังเกตความเคลื่อนไหวของภาสินีและอธิปไม่ให้คลาดสายตา

    ภาสินีพอรู้ตัวว่ามีสายตาของใครจับจ้องมองอยู่ แต่เธอก็แกล้งทำเป็นเมินมองไม่เห็นซะ และถึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจแค่ไหนแต่หญิงสาวก็ไม่คิดใส่ใจความรู้สึกนั้น

    "เดี๋ยวแพทไปดูให้ที่ห้องนะคะ" ภาสินีพยักหน้ารับทันทีที่อธิปกระซิบบางอย่างที่ข้างหู

    นักแสดงหนุ่มล่วงหน้าเดินออกไปก่อน แล้วภาสินีจึงเดินตามออกไปทีหลัง คมกริชกำลังคุยกับผู้อาวุโสในสมาคมที่ปรึกษาเรื่องงานอื่นจึงไม่ทันได้เห็นว่าทั้งคู่เดินออกมาแล้ว พอหันมาอีกทีก็พบว่าไม่มีอธิปและภาสินีอยู่ที่โต๊ะ ดวงตาคู่คมวาววับด้วยความไม่พอใจรีบลุกขึ้นเดินออกไปทันที

     

    ภาสินีนั่งพักเปลี่ยนอิริยาบถหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเตรียมจะพักผ่อน เพราะวันพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางกลับกรุงเทพฯแต่เช้าตรู่ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นรัวเป็นจังหวะ หญิงสาวรีบลุกมาเปิดประตูดูว่าใคร เดาว่าอาจจะเป็นอธิปที่แวะมาขอยาเพิ่มหรือเปล่า

    "เป็นไงคะ สบายตัวขึ้นบ้างไหม" เสียงหวานพร้อมประตูเปิดออกทักทาย

    ภาสินีตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของคนที่ยืนพิงประตูห้องตอนนี้ คมกริชตาวาวลุกโชนเดินดุ่มๆ เข้ามาในห้อง ไม่ฟังเสียงห้ามปรามทัดทานของเจ้าของห้องแม้แต่น้อย

    "ออกไปนะ" ภาสินีเอ่ยปากไล่

    "มันอยู่ไหน ไปแล้วหรือว่ากำลังรออยู่" ชายหนุ่มตวาดถามลั่นห้อง

    ลมเย็นโชยเข้ามาในห้องทำให้คมกริชหันไปมอง ภาสินีเปิดบานเลื่อนที่ระเบียงไว้รับลมยามค่ำคืน หรือว่ามีใครอยู่ที่ระเบียงนั่น ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปมองไม่เห็นมีใคร จึงดึงบานเลื่อนปิดเข้ามาเหมือนเดิมแล้วหันมาเล่นงานเจ้าของห้องต่อทันที

    "นายอธิปล่ะ"

    "อยู่ที่ห้องเขาซิ จะมาอยู่ที่นี่ทำไม"

    "แล้วเธอเปิดหน้าต่างไว้รอใคร" เขาชำเลืองมองไปที่ชุดนอนของหญิงสาว ผ้าลูกไม้สีขาวเนื้อดีชุดที่พวกคุณหนูทั้งหลายชอบใส่กัน แต่มันทำให้คมกริชคิดไปอีกอย่างว่า

    "แต่งตัวรอมันมา หรือว่าเพิ่งจะเสร็จภารกิจกันแน่"

    "พูดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ฉันเหนื่อยอยากพักผ่อน" ภาสินีเอ่ยปากไล่เป็นครั้งที่สอง

    "ทำอะไรอย่านึกว่าคนอื่นไม่รู้ไม่เห็นนะ เธอควรระลึกเอาไว้ด้วยว่ามีคู่หมั้นอยู่ ไม่ใช่คิดจะใกล้ชิดทำอะไรตามอำเภอใจกับผู้ชายอื่นโดยไม่เห็นหัวฉัน" คมกริชจ้องตาคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง คุณหนูคนสวยเชิดหน้าทำเหมือนไม่ใส่ใจฟังสิ่งที่เขากำลังพูด ยิ่งจุดไฟโทสะให้ชายหนุ่มทวีความโกรธเกรี้ยวเพิ่มมากขึ้นไปอีก

    "ได้ยินที่ฉันพูดไหม ภาสินี" เขาคว้าต้นแขนทั้งสองข้างแล้วดึงตัวเธอเข้ามาใกล้

    "ฉันถามว่าได้ยินที่ฉันพูดไหม" ชายหนุ่มย้ำเสียงดังอีกครั้ง

    "ปล่อยนะ ฉันไม่ได้หูหนวกถึงฟังไม่รู้เรื่องว่าคุณพูดว่าอะไร ถ้าพูดจบแล้วก็ออกไปฉันจะนอน" ภาสินีสะบัดตัวออกห่าง ท่าทีที่แสดงว่าไม่อยากอยู่ใกล้ทำให้คมกริชร้อนใจจนแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

    "ฟังแล้วต้องปฏิบัติตามด้วย ฉันเป็นคู่หมั้นเธอ เธอต้องอยู่ใกล้ๆ ฉัน ไม่ใช่เที่ยวไปตะลอนกับคนอื่น" เขาย้ำเสียงดังลั่น

    "ฉันจะไปไหนกับใครก็เรื่องของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับ"

    "ตกลงจะไม่ทำตามที่ฉันสั่งใช่ไหม ชอบมันมากใช่ไหมไอ้ดารานั่น" คมกริชตะคอกถาม

    "ชอบ ใครๆ ก็ชอบคุณอธิปทั้งนั้น ทั้งหน้าตาดี นิสัยดี เป็นกันเอง ใครๆ ก็ชอบไม่เห็นจะแปลก"

    "คนอื่นยังไงฉันไม่สน แต่เธอไม่มีสิทธิ์จะไปสนิทสนมกับมัน"

    "สิทธิ์ สิทธิ์ ถามหน่อยคุณใช้สิทธิ์อะไรมาบังคับฉัน แค่คู่หมั้นไม่ใช่เจ้าชีวิตจะมาสั่งโน่นสั่งนี่ให้คนทำตาม คุณน่าจะถามตัวเองนะว่าทำไมถึงไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ"

    "ภาสินี" คมกริชตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง

    วันนี้ทั้งวันภาสินีเอาแต่หลบหน้า จงใจไปกับคนอื่นปล่อยให้เขาอยู่แวดล้อมคนที่น่าเบื่อ ต้องคอยยิ้มคอยพูดคุยกับคนที่ไม่อยากพูดด้วย และได้แต่มองตาละห้อยเมื่อเห็นหญิงสาวหัวเราะสนุกสนานกับอธิป

    มันน่านักเชียว มันน่าลงโทษให้หลาบจำนัก เขาเป็นคู่หมั้น ส่วนเธอเป็นผู้หญิงที่แม่ใส่พานมารอไว้ให้ แต่กลับทำตัวราวกับเขาเป็นคนอื่น และให้ความสำคัญคนอื่นแทนที่คู่หมั้นตนเอง แล้วยังจะแอบหนีขึ้นห้องมาด้วยกันสองต่อสองอีก

    เห็นทีว่าจะปล่อยเอาไว้เฉยๆ แบบนี้คงไม่ดีแน่ คมกริชคงต้องสั่งสอนให้รู้ว่า ผู้หญิงที่แม่ใส่พานมาเป็นคู่หมั้นมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง

    "คุณออกไปจากห้องฉันซะทีเถอะ ฉันเบื่อที่จะต้องมาทะเลาะกับคุณทุกครั้งที่เจอหน้าแล้ว"

    "ที่กับฉันทำเป็นเบื่อ ทีกับไอ้หมอนั่นระริกระรี้ เมื่อกี้ก็หนีขึ้นมากันสองคน ไม่ทราบว่าเบื่อกันไปถึงไหนแล้วล่ะ"

    "คุณคมกริช พูดจาให้มันดีๆ หน่อยนะ" หญิงสาวแสดงสีหน้าและน้ำเสียงที่ไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

    "ฉันเดาถูกใช่ไหม ทำไมพูดความจริงมันผิดตรงไหน"

    "ใช่ คุณพูดถูก พูดจริงทุกเรื่อง ต้องให้ฉันยอมรับว่าทำตัวแบบที่คุณพูดใช่ไหม อยากได้ยินแบบนี้ใช่ไหมถึงจะพอใจ" ภาสินีเริ่มจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

    คมกริชดูถูกหาว่าทำอะไรไม่เป็นดีแต่ไร้สาระกรีดกรายไปวันๆ ยังพอทนได้ แต่ถ้ามาพูดจบดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีกันขนาดนี้แล้วล่ะก็ คงไม่มีอะไรที่จะต้องเกรงใจกันอีก เมื่อเขาพูดมาแบบนี้ เธอก็จะสนองให้ตามที่ต้องการทุกอย่าง ดูซิ ว่าใครมันจะทนฟังไม่ได้ก่อนกัน

    "ฉันชอบคุณอธิป ฉันชอบผู้ชายคนอื่นทุกคนยกเว้นคุณ พอใจไหมแบบนี้" หญิงสาวตะโกนพูดต่อไปอีกว่า

    "ถ้าไม่พอใจเชิญถอนหมั้นได้เลย ไม่มีปัญหา"

    "ภาสินีถ้าพูดออกมาอีกคำเดียว ฉันจะจัดการคนพูดไม่คิดอย่างเธอแน่" คมกริชเป็นฝ่ายทนฟังคำประชดไม่ไหวก่อน

    ทำไมนะ ทำไมไม่โอนอ่อนผ่อนตาม ยอมๆ เขาบ้างสักนิด ทำไมภาสินีต้องดื้อรั้นไปซะทุกเรื่อง

    "ฉันพูดจริง คุณอยากให้ฉันพูดไม่ใช่เหรอว่า ฉันชอบคุณอธิป นี่ไง ฉันก็ยอมรับแล้วว่าชอบ ชอบมาก ใครจะไม่ชอบพระเอกเบอร์หนึ่งหล่อที่สุดของเมื่อไทยเล่า"

    "ส่วนคุณ" หญิงสาวจ้องหน้า ซ่อนความเสียใจเอาไว้ไม่ให้เห็น และแสดงออกมาเป็นท่าทางแห่งความสะใจที่ได้ทำในสิ่งที่เรียกว่าประชด

    "ฉันเบื่อ รำคาญ ไม่ชอบ ไม่อยากอยู่ใกล้ ถ้าให้ดีเราถอนหมั้นกันตอนนี้เลยดีไหม"

    "ภาสินี" คมกริชขบกรามแน่น

    แม้รู้ว่านี่คือคำประชดแต่ก็ไม่พึงพอใจที่จะฟัง และเอาคำประชดนี้มาเป็นข้ออ้างในการสั่งสอนคนอวดดีให้รู้สำนึก ทว่าลึกๆ แล้วคือทำตามที่หัวใจตนเองต้องการมากกว่า

    คมกริชทำตามสิ่งที่หัวใจตัวเองต้องการ ดึงร่างของภาสินีเข้ามาอ้อมแขนแล้วก้มลงประทับรอยจูบที่เรียวปากอิ่มโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ทัน อาจเพราะฤทธิ์ยอดข้าวที่ดื่มเข้าไปหลายแก้วก่อนจะขึ้นมา ทำให้เขากล้าที่จะทำอะไรในสิ่งที่หญิงสาวไม่คาดคิดมากขึ้น

    จูบ จูบ แล้วก็จูบ คมกริชจูบภาสินีด้วยความโหยหา ร่างกายและหัวใจเรียกร้องให้จูบโดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น

    เจ้าของเรียวปากอิ่มพยายามจะหลบหนีแต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เอื้ออำนวย เมื่อชายหนุ่มสามารถโน้มน้าวให้ร่างกายของสาวน้อยมีปฏิกริยาตอบสนองกับจูบที่แสนหวานเร่าร้อนได้แล้วในเวลานี้

    ทุกอย่างที่หัวใจของคมกริชโหยหาสัมผัสมาที่ร่างกายของภาสินีในเวลาต่อมา ใต้ชุดนอนลูกไม้สีขาวเริ่มมีการตอบสนองต่อการปลุกเร้าที่ชายหนุ่มมอบให้ เจ้าของเรือนร่างงามสับสนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองในเวลานี้ คมกริชทำให้หัวใจและร่างกายเริ่มจะครองสติไม่อยู่

    "ปล่อย" ภาสินีร้องเสียงสั่น เมื่อคมกริชก็คลายจูบให้เป็นอิสระ และเคลื่อนใบหน้าคมมาซุกไซ้ที่ซอกคอต่อทันที

    "ไม่ปล่อย" เขาพึมพำเสียงอู้อี้ที่ข้างหู

    นาทีจะไม่มีการปล่อยภาสินีหลุดมือไปเด็ดขาด เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นในห้องนี้หรือเปล่า อธิปและเจ้าหล่อนทำอะไรกันไว้หรือไม่ จะทำอะไรก็ช่างหรือยังไม่เกิดก็ตามที่  จากนี้และต่อไปจะไม่มีใครมาแตะต้องเรือนร่างนี้ได้อีกเป็นอันขาด เพราะเจ้าของที่แท้จริงกำลังแสดงสิทธิอันชอบธรรมในขณะนี้

    "ไม่นะ" สาวน้อยเสียงสั่นเมื่อทรวงงามถูกเคล้าคลึงหยอกเย้า

    "อย่าห้ามให้ยาก" คมกริชตอบเสียงเข้มแล้วก้มลงดูดกลืนยอดอิ่มที่ชูชันรับการทักทายในเวลานี้

    ภาสินีร้อนรุ่ม ทรมาน และอับอายกับสิ่งที่คมกริชกำลังทำกับตนในเวลานี้ เขาใช้กำลังที่มีมากกว่ารังแกเธอซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ไม่เคยให้เกียรติ ไม่เคยคิดถึงศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงที่ควรต้องรักษาเอาไว้ เอาแต่ใจของตนฝ่ายเดียว

    สาวน้อยพยายามรวบรวมสติผลักไสคนที่กำลังรุกรานให้ออกไปไกลๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เมื่อคมกริชอาศัยรูปร่างและเรี่ยวแรงที่มีมากกว่ารั้งตัวเธอเข้ามาแนบชิด แล้วเริ่มรุกรานใต้ร่มผ้าอย่างจริงจัง

    "คุณกริช อย่านะ" ภาสินีร้องห้ามเมื่อชุดนอนลูกไม้ของตนกำลังจะถูกรั้งเปิดเผยเนื้อนวลที่งดงามต่อหน้าชายหนุ่ม

    สาวน้อยพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้ชุดนอนหลุดลอยออกไปจากร่างกายที่แสนหวงแหน แต่ในที่สุดคมกริชก็ทำสำเร็จ ร่างกายของภาสินีเปลือยเปล่าต่อหน้า ความงดงามทุกตารางนิ้วปรากฏต่อสายตา หญิงสาวพยายามปกปิดความงดงามของตนด้วยการขยับตัวหันข้างให้ แต่สุดท้ายก็ถูกคนที่มีเรี่ยวแรงมากกว่าดึงตัวให้กลับมา พร้อมกับเริ่มเชยชมเนื้อเนียนอย่างใกล้ชิด

    "คะ คุณกริช ยะ อย่า" เจ้าของกายงามร้องห้าม เมื่อถูกรุกล้ำด้วยสัมผัสที่ไม่เคยพบมาก่อน

    ร่างเล็กอ่อนพยศลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถูกจุมพิตพิฆาตร้อนแรงที่เนื้อเนียน ทุกสัมผัสเสมือนเปลวไฟร้อนระอุที่แผดเผาภาสินีให้หลงลืมทุกสิ่ง จากที่ผลักไสกลับกลายเป็นยึดร่างแกร่งไว้เป็นที่พึ่ง ปลดปล่อยความซาบซ่านที่เพิ่งเคยเรียกรู้จักออกมาเป็นเสียงครางหวานหู และบิดส่ายเนื้อนวลไปมาอย่างน่าดูชม สองมือยึดแผงบ่าแข็งแรงเป็นที่มั่นให้ไม่หลุดลอยสู่เวหา

    เกิดมาในชีวิตคมกริชไม่เคยใจกล้ากับใครเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกหวงแหนและยึดว่านี่คือของตนนอกจากครั้งนี้เท่านั้น ทุกจูบที่ประทับบนร่างกายของภาสินีหมายจะตีตราให้รู้ว่า เธอเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

    ร่างสาวถูกดันให้นอนราบลงไปที่เตียงใหญ่ คมกริชสามารถหลอกล่อให้ภาสินีเคลิ้มไปกับรสสวาทแรกสาวได้ตลอดรอดฝั่ง กว่าที่เจ้าตัวจะรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่กับชีวิตอีกครั้ง ก็เมื่อแผ่นหลังเนียนแตะสัมผัสที่นอนนุ่ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะ...

    "อย่านะ" เสียงเล็กวิงวอนขอ

    ร่างสูงเปลือยเปล่าถาโถมทับลงมาติด เนื้อแนบเนื้อ กายแนบชิด สัมผัสสนิทแนบแน่น แม่เนื้อเย็นอิงแอบชิดใกล้กับชายหนุ่มจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แรงโอบกอดที่รัดตรึงร่างเนียนไว้ คล้ายกับจะบอกให้รู้ว่าจะพาบินสู่เวหาสวาทที่แสนสุขในไม่ช้า

    "แพท" เขากระซิบเรียกชื่อที่ข้างหู กดจูบอีกครั้งที่ข้างแก้มเรื่อยลงมาที่เรียวปากสวยซึ่งแดงบวมเพราะถูกจูบหลายครั้งในคืนนี้

    "แพทเป็นของผม จำไว้ แพทเป็นของผมเท่านั้น"

    เสียงที่แสดงฐานะของภาสินีเสมือนแสงนำทางให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เธอไม่เคยเป็นของใครอื่น และเป็นของใครไม่ได้ นอกจากเป็นของคู่หมั้นคนนี้คนเดียวเท่านั้น

    สาวน้อยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อฐานะที่คมกริชกระซิบบอกให้รู้เมื่อครู่ปรากฏขึ้นในเวลาต่อมา ความเป็นหนึ่งเดียวกันก้าวข้ามคำว่าคนอื่นเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่มีคำว่าคู่หมั้น นอกจากคำว่าเราเท่านั้น

    อธิปหรือหน้าไหนก็ไม่มีวันได้ในสิ่งที่คมกริชครอบครองเป็นเจ้าของ และไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาพรากเจ้าหล่อนไปจากอกเขาได้ จากนี้ไปภาสินีเป็นของคมกริชโดยสมบูรณ์พร้อม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะสิ่งใดก็แล้วแต่ ทว่าความจริงคือเธอและเขาคือกันและกันตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด

    ร่างเล็กสะท้านเมื่อความเจ็บปวดเลือนหายความวาบหวามเข้ามาแทนที่ ภาสินีสัมผัสดาวที่อยู่บนฟ้าเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด สาวน้อยหวีดร้องเมื่อคมกริชกำลังจะพาเธอแตะขอบเวหา และจูงมือเข้าสู่เวหาสวาทแรกในชีวิตด้วยความชื่นมื่น

    ความสุขแสนหอมหวานที่ได้ครอบครองเชยชมภาสินีไม่ใช่ความฝัน เพียงแต่ความจริงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นเรื่องปวดหัวที่คมกริชขบคิดไม่ออกว่า จะต้องทำอย่างไรดีกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น

     เมื่อสาวน้อยในอ้อมกอดที่เขาบีบบังคับให้อยู่ในวงแขนทั้งคืน หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่บอกกล่าวกันสักคำ ที่ทำให้คิดหนักก็คือ แหวนหมั้นที่วางอยู่ข้างตัวเมื่อตอนตื่นขึ้นมานั่นต่างหาก ภาสินีถอนแหวนเป็นครั้งที่สองอย่างไม่ไยดี ทั้งๆ ที่เคยสั่งนักสั่งหนาว่าอย่าถอดอีก

    ปัญหาคือ เขาจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเอาแหวนไปคืนให้เจ้าหล่อน ที่คิดหนักไปกว่านั้นก็คือเธอจะยอมสวมแหวนนี้อีกครั้งในฐานะคู่หมั้นที่รอฤกษ์แต่งงาน หรือปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นที่เคยพูดไว้เมื่อคืนนี้หรือไม่ แปลกแต่จริง

     นี่เป็นครั้งแรกที่คมกริชไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี และไม่มั่นใจแม้แต่สักนิดเดียวว่าสิ่งที่จะกระทำต่อจากนี้ จะได้ภาสินีคืนมาหรือจากกันตลอดกาล

     

    กลับมาถึงกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น คมกริชก็ไปหาภาสินีที่ร้านแต่ไม่พบ เขาจึงไปที่บ้านของหญิงสาวเพราะคิดว่าเจ้าตัวน่าจะพักผ่อนอยู่ที่นั่น แต่กลับได้รับคำตอบว่าเธอไม่อยู่

    "หนูแพทไปบ้านที่อัมพวาจ้ะ" คุณหญิงวิมลบอกให้รู้

    "ไปกับใครครับ ไปคนเดียวหรือว่ามีคนอื่นไปด้วย" น้ำเสียงชายหนุ่มร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด คิดระแวงว่าเจ้าหล่อนไปกับใคร จะไปกับพระเอกหนุ่มที่ชื่ออธิปหรือเปล่า

    "ไปคนเดียวจ้ะ เห็นบอกว่าจะไปหาของมาขายเสริมที่ร้าน"

    "ถ้างั้นผมขอแผนที่ที่จะไปหาคุณแพทหน่อยครับ" คมกริชสอบถามเส้นทางแล้วรีบตามไปทันที

     

    บรรยากาศริมน้ำในยามเย็นทำให้หัวใจของภาสินีผ่อนคลายลงมาบ้าง หลังจากที่แอบหนีกลับจากแม่ฮ่องสอนพร้อมอธิป เมื่อมาถึงกรุงเทพฯหญิงสาวก็หลบมาที่บ้านสวนของคุณยายเพื่อหาที่สงบๆ พักผ่อนจิตใจ

    "คุณแพทครับ คุณแพท" เสียงเด็กชายตะโกนลั่นมาแต่ไกล

    "มีอะไรโต้ง" ภาสินีชะโงกหน้าจากเรือนลงมาหา

    "คุณคนนี้มาหาคุณแพท" เด็กชายชี้มือไปข้างหลัง

    คมกริชเงยหน้าขึ้นสบตากับสาวน้อยที่อยู่บนเรือน ทันทีที่เห็นหน้าคนที่เพิ่งมาถึงภาสินีก็ทำหน้าบึ้งใส่ แล้วพูดดังๆ ให้ได้ยินกันทั่วว่า

    "บอกแล้วใช่ไหมโต้ง ว่าคุณแพทต้องการพักผ่อนคนเดียว" สาวน้อยเมินหน้าไม่มองคนที่แหงนคอมองอยู่ด้านล่าง

    "แต่ว่าคุณ..." เด็กชายหน้าเสียเล็กน้อยไม่กล้าพูดอะไรต่อทั้งนั้น ไม่คิดว่าเจ้านายสาวจะไม่ต้อนรับแขกที่ตามมาจากกรุงเทพฯ

    "ไม่เป็นไรหนู ขอบใจมากที่พามา"

    คมกริชไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน เขาหยิบแบงค์ห้าร้อยในกระเป๋าส่งให้เด็กชายที่เดินมาส่ง แล้วก้าวขึ้นไปบนเรือนจัดการกับคนที่หนีมาด้วยตนเอง

    "ใครอนุญาตให้คุณขึ้นมาบนนี้" ภาสินีแหวใส่ทันทีที่คมกริชขึ้นมาบนเรือน

    "อยากขึ้น ไม่ต้องรอให้ใครอนุญาต" เขาพูดพลางมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจดูว่าบนนี้มีใครอยู่นอกจากแม่สาวปากดีหรือไม่

    "ลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฉันจะให้คนมาจัดการกับนาย"

    "ถ้าเธอกล้าเรียกคนมาจัดการฉัน ฉันก็จะโทร.ไปบอกคุณหญิงว่ามีคนกำลังจะทำร้ายลูกเขยท่าน"

    "นาย..." ภาสินีรู้ตัวว่าเป็นรองทำอะไรไม่ได้นอกจากสะบัดหน้าเดินหนีไป

    "เธอกลับมาก่อนทำไม ฉันสั่งแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ยุ่งกับหมอนั่น แล้วนี่ยังจะกลับมาด้วยกันอีก ตกลงเธอตั้งใจจะไม่ทำตามที่ฉันสั่งใช่ไหม" คมกริชเดินตามลงมาที่ท่าน้ำ

    "จะมาว่าฉันเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม" ภาสินีถามเสียงเรียบ รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันทีว่าคมกริชไม่ได้ไยดีอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนในคืนนั้น แต่กลับตามมาต่อว่าเธอที่หนีกลับมากับคนที่ตนไม่ชอบหน้า

    "เธอทำไม่ถูก ฉันก็ต้องว่า" เขาพูดตามความจริง

    ภาสินีคงไม่รู้ว่าเช้าวันรุ่งขึ้นที่เจ้าหล่อนหนีกลับไปกับอธิปเพียงสองต่อสอง กลายเป็นเรื่องที่คนในคณะเดินทางพูดกันสนุกปาก แม้จะทำไม่สนใจกับคำนินทากาเลที่ได้ยินผ่านหูและแก้ต่างแทนไปหลายคำ แต่คมกริชก็ต้องบอกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากการกระทำของเธอ

    "ฉันถ้าว่าจบแล้วก็กลับไปซะ ฉันอยากอยู่คนเดียว" คนน้อยใจเมินหน้าหนี

    ไม่อยากฟังอะไรอีกต่อไป ที่แท้ดั้นด้นมาถึงนี่ก็เพื่อมาต่อว่าในเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจ ไม่ได้คิดจะถามสักคำว่าวันนั้นเธอกลับมาอย่างไร เดินทางเหนื่อยไหม หรือทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้

    เธอคงหวังมากไป หวังจะได้ยินสักครั้งที่เขาจะพูดดีด้วย หวังจะได้เห็นท่าทีห่วงใยระหว่างคนที่มีความพิเศษต่อกัน หวังมากก็ผิดหวังมากถึงทำให้จู่ๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ร่วงหล่นลงมาที่ข้างแก้มของภาสินีอย่างพรั่งพรู

    "ไปได้แล้ว ฉันอยากอยู่คนเดียว แล้วไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก" หญิงสาวหันหน้าหนี ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาเวลานี้

    "แล้วนี่ ของเธอ" คมกริชเดินเข้ามาใกล้ พยายามจะจับมือหญิงสาวขึ้นมาสวมแหวน แต่ภาสินีสะบัดมือออกไม่ให้จับ

    "แหวนหมั้นใส่ซะ จะได้เตือนตัวเองว่าควรทำตัวยังไง"

    "ฉันไม่ใส่" เธอย้อนกลับเสียงดังลั่น

    "ฉันถอดคือถอนหมั้นแล้วจะไม่มีวันใส่มันอีกเด็ดขาด"

    "อะไรนะ" ดวงตาคู่คมของชายหนุ่มประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที

    "พูดใหม่ซิ ว่าไงนะ"

    "ฉันขอถอนหมั้น ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับฉันอีก"

    "รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา ต้องให้ทบทวนไหมว่าระหว่างเราคืออะไร" คมกริชตวาดลั่นแล้วกระชากตัวเธอเข้ามาใกล้ๆ

    "อย่ามายุ่งกับฉัน" สาวน้อยทั้งทุบทั้งดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนที่กำลังกอดรัด

    "ฉันไม่เป็นอะไรกับคุณทั้งนั้น ฉันเกลียดคุณ ได้ยินไหม ฉันเกลียดคุณ" เธอตะโกนร่ำไห้ทั้งน้ำตา เสียใจน้อยใจที่ถูกว่าและถูกบังคับด้วยคำพูดที่เอาชนะ

    "ภาสินี"

    "ฉันเกลียดคุณ คนใจร้าย คนนิสัยไม่ดี คนไม่มีหัวใจ ฉัน..."

    "แพท แพท" คมกริชตกใจเมื่อจู่ๆ ภาสินีก็เป็นลมล้มพับไปต่อหน้า เขารีบช้อนตัวหญิงสาวขึ้นแล้วอุ้มขึ้นไปบนเรือนเพื่อปฐมพยาบาลทันที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×