ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่ายรักหัวใจอสูร

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 66


    งานหมั้นผ่านไปสองอาทิตย์ ภาสินีแทบไม่ได้เห็นหน้าคู่หมั้นของตนอีกเลยหลังจากนั้นเพราะคมกริชยุ่งกับงานที่บริษัท ทำให้คุณนวลและคุณหญิงวิมลเป็นกังวลว่าทั้งคู่จะห่างเหินกันมากไปกว่านี้

    "แม่เรียกผมมีอะไรเหรอครับ" คมกริชเปิดประตูห้องนอนเข้ามาหามารดาในตอนดึก

    "พักนี้งานยุ่งเหรอลูก แม่เห็นกลับดึกทุกวัน" คุณนวลยิ้มทักทายบุตรชายคนเล็กที่ดูซูบไปเล็กน้อย ช่วงนี้คมกริชออกจากบ้านแต่เช้ากว่าจะกลับก็มืด

    "ช่วงนี้ลูกค้ามาดูงานที่บริษัทหลายชุด ก็เลยต้องต้อนรับกันยาวไปหน่อย ว่าแต่แม่ให้พี่วัชโทรศัพท์ตามผมมีอะไรหรือเปล่าครับ"

    "แม่อยากให้กริชไปช่วยงานแม่ที่สมาคมหน่อยได้ไหม ลูก"

    "ช่วยงานที่สมาคมเหรอครับ" ชายหนุ่มทวนคำอย่างประหลาดใจ

    ร้อยวันพันปีงานสมาคมที่มารดาเป็นประธานไม่เคยต้องให้ใครในครอบครัวไปวุ่นวายเกี่ยวข้อง อย่างดีก็แค่ร่วมสมทบบริจาคตามโครงการการกุศลที่จัดขึ้นในแต่ละปีเท่านั้น แต่คราวนี้มีอะไรสำคัญพิเศษหรือไง ถึงต้องให้เขาวางมือจากงานบริษัทที่กำลังล้นมือมาดูแลเรื่องนี้

    "โครงการใหญ่ที่เราจะจัดปีนี้คือการหาทุนการศึกษาให้กับเด็กเรียนดีแต่ยากจนทั่วประเทศ มันเป็นงานใหญ่ที่ต้องเจอะเจอคนมากมาย ปีนี้แม่รู้สึกว่าสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ก็เลยอยากให้กริชมาช่วยดูแลทำหน้าที่แทนไปก่อน รอให้ปีหน้าเลือกประธานสมาคมคนใหม่ได้แม่จะวางมือเสียที"

    "แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ"

    "ตอนนี้เราวางแผนกันว่า อีกหนึ่งเดือนจะมีการจัดงานใหญ่ ในงานวันนั้นจะมีการแสดงหลายอย่าง ทั้งจากเด็กๆ ที่ได้รับทุนและการแสดงพิเศษที่ช่วยหาเงินบริจาค หน้าที่ของกริชก็คือช่วยดูแลเรื่องการแสดงพิเศษนี้"

    "คุณแม่จะให้ผมไปเป็นพระเอกละครการกุศลเหรอครับ ไม่เอาดีกว่า ผมไม่ถนัด" บุตรชายส่ายหน้าทันที เรื่องแสดงอะไรพวกนี้เขาไม่ถนัด ถ้าให้ทำอย่างอื่นพอว่า

    "ไม่ต้องลูก เรื่องนี้เราได้มืออาชีพมาช่วย กริชแค่ดูแลประสานและคอยพิจารณาว่าอันไหนควรไม่ควรอย่างไร ถ้ากริชไม่ว่างแม่คงต้องขอแรงตาวัชมาช่วย"

    "แค่นี้เองไม่มีปัญหาครับ คุณแม่ไม่ต้องให้พี่วัชมาช่วยผมหรอก ตอนนี้พี่วัชคงอยากมีเวลาอยู่กับลูกกับเมียมากกว่า" คมกริชเกรงใจพี่ชายเหลือเกิน

    วัชระและเกษราเพิ่งจะมีลูกชายคนแรก ทั้งคู่คงอยากมีเวลาให้กับเจ้าตัวน้อยที่เพิ่งลืมตามาดูโลก และเขาเองก็อยากเห็นครอบครัวของพี่ชายสุดที่รักมีความสุข ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แม้จะเหนื่อยและเสียเวลาส่วนตัวไปบ้างแต่คมกริชก็ยินดีที่จะช่วย

    "อ้อ อีกเรื่อง ช่วงนี้กริชกับหนูแพทเจอกันบ้างหรือเปล่า" คุณนวลวกมาที่เรื่องสำคัญ

    "ช่วงนี้ผมยุ่งไม่มีเวลาไปไหน ทางโน้นก็คงยุ่งเหมือนกันมั้งครับ" คมกริชเดาว่าคงจะเป็นอย่างนั้น

    หลังจากงานหมั้นเสร็จสิ้น เขาแทบไม่ได้แวะไปที่ร้านขนมของภาสินีอีกเลย ไม่มีการคุยโทรศัพท์หรือติดต่อทางโซเชียลเหมือนคู่รักคนอื่น ทั้งสองเหมือนหายสาบสูญไปจากชีวิตของกันและกัน

    "ยุ่งยังไงก็ต้องหาเวลาไปเจอกันบ้าง กริชอย่าลืมนะว่าตัวเองมีคู่หมั้นแล้ว"

    "ครับ คุณแม่ ผมจะหาเวลาแล้วกัน" ชายหนุ่มรับปากขอไปที

    คมกริชแยกตัวไปพักผ่อนหลังจากอยู่คุยกับมารดาอีกสักพักใหญ่ คุณนวลเริ่มไม่สบายใจเมื่อเห็นท่าทีบุตรชายเหมือนไม่ใส่ใจคู่หมั้นเท่าไรนัก นางได้แต่หวังว่าสถานการณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ทั้งสองได้เจอกันบ้างจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น

     

    คมกริชมาที่สมาคมในเช้าวันเสาร์ นับเดือนเลขาสมาคมมาคอยต้อนรับชายหนุ่มที่ด้านหน้าทางเข้าตามคำสั่งของคุณนวล

    "สวัสดีค่ะ คุณคมกริช" นับเดือน เลขาสมาคมวัยยี่สิบสามปีพนมมือไหว้ทักทายด้วยรอยยิ้ม

    "คุณนับเดือนใช่ไหมครับ" ชายหนุ่มยิ้มรับการทักทาย

    "ผมนึกว่าเลขาของคุณแม่จะเป็น เอ่อ..."

    "คนอายุรุ่นเดียวกับท่านใช่ไหมคะ" นับเดือนต่อให้

    "ครับ นึกว่าคุณนับเดือนเป็นคุณคนไหนในสมาคมซะอีก"

    "เรียกเดือนเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ที่จริงแล้วคุณคมกริชไม่ใช่คนแรกที่แปลกใจหรอกนะคะ ใครก็ตามที่รู้ว่าเดือนเป็นเลขาท่านก็แปลกใจทั้งนั้น"

    "ก็แหม สมาคมมีแต่คนสูงวัยทำงานร่วมกัน ใครจะนึกว่ามีสาวๆ มาเป็นเลขาล่ะครับ"

    "เดือนจะถือว่านี่เป็นคำชมนะคะ" เลขาคนเก่งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะนำทางชายหนุ่มไปที่ห้องประชุม

    คมกริชโชคดีที่มีนับเดือนมาเป็นผู้ช่วย เพราะหญิงสาวทั้งเก่งและรอบคอบ ช่วยทำให้ชายหนุ่มรู้และเข้าใจงานของสมาคมได้เป็นอย่างดี

    "สมาคมเราทำงานการกุศลมาเป็นสิบปี เป็นการปิดทองหลังพระเพราะไม่หวังผลรางวัลตอบแทนอะไรทั้งสิ้น ปีนี้คุณนวลท่านเปรยว่าอาจจะรับเป็นประธานปีสุดท้าย จึงอยากทำโครงการนี้ให้สำเร็จเพื่อช่วยให้เด็กไทยได้มีการศึกษาที่ดีขึ้นค่ะ" หญิงสาวอธิบายวัตถุประสงค์ของโครงการให้ชายหนุ่มเข้าใจ

    "คุณนับเดือนทำงานที่นี่มีกี่ปีแล้วครับ" คมกริชถามด้วยความอยากรู้ ท่าทางคล่องแคล่วตลอดจนความรอบรู้ของหญิงสาวทำให้รู้สึกชื่นชมเหลือเกิน

    "ทำได้แค่สองปีเองค่ะ ที่จริงแล้วเดือนเป็นเด็กในโครงการทุนเรียนดีแต่ยากจนของคุณนวลมาก่อน พอเรียนจบมาท่านก็เมตตารับเข้าทำงานให้มาเป็นเลขาในสมาคม"

    มิน่าเล่า นับเดือนถึงได้รู้จักใครต่อใครในสมาคมเยอะแยะไปหมด คุณนวลส่งเธอมาช่วยงานถูกต้องที่สุด เพราะแค่อ่านบันทึกโครงการเล่มใหญ่ก่อนเข้าประชุม คมกริชก็ปวดหัวกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในนั้นแล้ว

    "แล้ววันนี้เราจะทำอะไรกันบ้างครับ"

    "วันนี้เราจะประชุมเรื่องการส่งมอบโรงเรียนบนดอยที่เพิ่งสร้างเสร็จ แล้วก็เรื่องละครการกุศลที่ได้พระเอกคนดังมาช่วยงานค่ะ"

    วาระการประชุมแรกเรื่องส่งมอบโรงเรียนบนดอยจบไป คมกริชพักเบรกสิบนาทีเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ นับเดือนเตรียมเอกสารการประชุมชุดต่อไปเสร็จเรียบร้อย จึงมาตามให้ชายหนุ่มเข้าไปในที่ประชุมต่อ

    คมกริชเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าพระเอกคนดังที่นับเดือนพูดถึงคืออธิปนั่นเอง และนางเอกคนสวยที่จะมาเล่นละครการกุศลเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ภาสินีคู่หมั้นที่หายหน้าหายตาไม่เจอกันสองอาทิตย์นี่เอง

    อธิปมาเป็นพระเอกละครการกุศลให้สมาคมนั้น คมกริชไม่ได้คิดอะไรมากเพราะถือว่านี่คืองาน แต่การที่ภาสินีมาเป็นนางเอกโดยไม่บอกให้คู่หมั้นอย่างเขารับรู้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซ้ำเจ้าหล่อนยังทำเป็นไม่สนใจว่าใครที่นั่งเป็นประธานอยู่ในที่ประชุมเวลานี้

    "ขอเชิญทุกคนถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกนะคะ" นับเดือนเชิญทุกคนถ่ายรูปร่วมกัน

    ในฐานะประธานคมกริชจึงต้องนั่งที่โต๊ะ และให้นักแสดงพระนางยืนคู่กันอยู่ด้านหลัง เขากำมือแน่นเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างสนิทสนม ถ้าไม่รักษามารยาทว่านี่คือที่สาธารณะรับรองได้ว่า ชายหนุ่มคงไม่นั่งใจเย็นเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้แน่

    "เชิญทุกคนทานอาหารกลางวันร่วมกันก่อนนะคะ" นับเดือนเชิญคมกริชไปที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ถัดไป ด้วยฐานะประธานทำให้เขาจำต้องพูดคุยทักทายกับคนที่มาร่วมการประชุมในวันนี้ จึงไม่มีโอกาสได้ปลีกตัวไปหาภาสินีอย่างที่ใจต้องการ

    และเจ้าหล่อนก็ไม่คิดจะเดินเข้ามาหา หรือสบสายตารับรู้ว่าเขาอยู่ในที่ประชุมนี้ด้วย คมกริชจึงทำได้แค่จับตามองไม่ให้คลาดสายตา ทั้งที่ต้องคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่มากมาย แต่ที่ทำให้โมโหจนแทบทนไม่ไหวก็คือ อธิปและภาสินีเดินออกจากห้องอาหารไปด้วยกัน

    "ขอตัวแป๊ปนะครับ"

    คมกริชใจเย็นต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอตัวทำทีว่าจะไปห้องน้ำแต่ความจริงแล้วคือเดินตามหลังสองคนนั่นออกมาต่างหาก

    "ไหวไหมครับ คุณแพท" อธิปพยุงหญิงสาวเดินออกจากห้องอาหารมานั่งด้านนอก หน้าตาภาสินีตอนนี้ซีดขาวเหมือนจะเป็นลม

    "ไหวค่ะ เมื่อคืนแพทจัดร้านใหม่เลยนอนดึก นี่ถ้าคุณแม่ไม่ปลุกคงมาไม่ทันแน่" หญิงสาวพูดพลางดมยาดม

    สาขาร้านขนมของเธอกำลังจะเปิดใหม่ในอีกไม่กี่วันนี้ ภาสินีทุ่มเททำเองแม้แต่การจัดร้าน จึงทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอมาหลายวันแล้ว การที่ทำงานหนักเช่นนี้ก็เพื่อให้ลืมเรื่องที่รกสมอง เกี่ยวกับการหายตัวไปของใครบางคนที่ไม่มายั่วประสาทนานถึงสองอาทิตย์

    "ผมว่าคุณแพทกลับไปพักก่อนดีกว่า ขืนเข้าไปอีกเดี๋ยวก็มีคนมาถ่ายรูปมาชวนคุย กลับไปนอนสักตื่นให้มีแรงดีไหมครับ" นักแสดงหนุ่มพูดด้วยความหวังดี

    "ก็ดีเหมือนกันค่ะ แพทต้องขอโทษคุณอธิปด้วย ถ้าไงคุณอธิปกลับเข้าไปในงานเถอะค่ะ ข้างในมีแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้นเลย เดี๋ยวจะโดนตำหนิ" ภาสินีเตือนด้วยความห่วงใย

    "ถ้างั้นผมไปส่งที่รถนะครับ คุณแพทขับไหวแน่นะ"

    "ไหวค่ะ ไม่ต้องไปส่งแพทหรอก คุณอธิปรีบเข้าไปในงานดีกว่า แล้วเจอกันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ" ภาสินีแยกตัวมาที่ลานจอดรถ ตอนนี้คิดถึงที่นอนเหนือสิ่งอื่นใด รู้สึกเพลียเหลือเกิน

    "จะไปไหน" เสียงใครบางคนดังขึ้น พร้อมแรงกระชากที่ทำให้ภาสินีต้องหันหลังไป

    "นาย" ภาสินีตกใจที่เห็นคมกริชตามมาที่ลานจอดรถ

    "ตกใจมากเหรอที่เห็นคู่หมั้น เมื่อกี้คงมองไม่เห็นฉันล่ะซิ สายตาสั้นหรือไงถึงได้ไม่เห็นว่าฉันนั่งหัวโด่อยู่ในงานด้วย" น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความโกรธ

    "ฉันไม่ทันมอง คิดว่าเป็นคุณป้าเหมือนทุกครั้ง" ภาสินีพูดตามความจริง

    วันนี้เธอเหนื่อยและเพลียมาก ระหว่างที่อยู่ในห้องประชุมแทบจะลืมตาไม่ขึ้น จึงไม่ทันได้สังเกตว่าที่นั่งเก้าอี้ประธานเปลี่ยนจากคุณนวลมาเป็นคมกริชแทน

    "ไม่ทันมองหรือไม่ตั้งใจมองกันแน่"

    "ก็ใครจะไปรู้ว่าคนอื่นมาประชุมแทน" ภาสินีเหนื่อยจนพูดไม่ออกแต่ก็พยายามฝืน

    "คนอื่นที่ว่าคือคู่หมั้นเธอนะ ลืมแล้วหรือไง" คมกริชกระชากเสียงถาม

    "ไม่ลืม แต่จำไม่ได้ว่าหมั้นกับคนหรือหมั้นกับอากาศกันแน่"

    "ภาสินี" คมกริชกระชากข้อมือเธอดึงเข้ามาหา

    "ฉันเหนื่อยและเพลียมาก ขอตัวกลับบ้านก่อน" หญิงสาวไม่มีแรงจะทะเลาะกับคมกริชอีกต่อไปแล้ว

    "ปล่อยนะ ฉันจะกลับบ้าน" หญิงสาวสะบัดมือที่กุมไว้ออก

    "ยังกลับไม่ได้ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน มานี่" คมกริชดึงมือเธอไว้ ภาสินีเป็นลมหมดสติล้มลงที่พื้น

    "แพท แพท เป็นอะไร"

    คมกริชตกใจและเป็นห่วงที่เห็นหญิงสาวหมดสติไป รีบจัดการพาเธอขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที โดยไม่สนใจว่างานของสมาคมจะเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง

     

    ภาสินีลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนอยู่ที่ห้องทำงานที่ร้านขนมนั่นเอง นึกแปลกใจว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เพราะเธอออกไปประชุมงานสมาคมและกำลังจะกลับบ้าน

    "ตื่นแล้วเหรอ"

    "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไง" ภาสินีเอ่ยถามพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

    "เธอเป็นลม ไม่รู้จะพาไปไหนก็เลยพามาที่นี่"

    คมกริชไม่รู้ว่าภาสินีไม่สบายเป็นอะไรแต่ก็ไม่ได้พาไปหาหมอ ขับรถมาที่ร้านขนมให้สองสาวที่หน้าเคาน์เตอร์ช่วยดูแลเพื่อรอให้รู้สึกตัว ทำให้รู้ว่าหลายคืนก่อนหน้านี้แม่เจ้าประคุณเอาเวลาพักผ่อนไปทุ่มให้กับร้านขนมสาขาที่สอง จนอดหลับอดนอนเป็นลมเดือดร้อนกันทั่วหน้าเช่นนี้

    "ขอบคุณมากที่มาส่ง ดีเลยฉันจะได้ทำงานต่อ" พอมีแรงเธอก็หายใจเข้าออกเป็นงานขึ้นมาทันที

    "กับฉันคงไล่ให้ไปไกลๆ แต่ถ้าเป็นคนอื่นเธอคงต้อนรับขับสู้ด้วยการแฟสักแก้ว ขนมสักจานแล้วก็นั่งคุยแจกยิ้มประจ๋อประแจ๋นานๆ ซินะ" คมกริชน้อยใจในที

    เขาเป็นห่วงเธอใจแทบขาด ฟื้นมาแทนที่จะพูดอย่างอื่นที่ดีกว่าการบอกว่าจะทำงานต่อ เลี้ยงกาแฟสักแก้วขนมสักจานหรือรอยยิ้มหวานๆ สักหน่อย แค่นี้คมกริชก็ลืมเรื่องที่ขุ่นมัวในใจแล้ว นี่อะไร นอกจากไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้วเจ้าหล่อนยังเห็นงานดีกว่าคู่หมั้นอีก

    "อย่ามากวนประสาทกันได้ไหม อยากกินอะไรก็เชิญข้างนอก อ้อ ค่ากาแฟกับขนมไม่ต้องจ่ายก็ได้นะ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยวันนี้" คมกริชไม่สนใจเรื่องขนมหรือกาแฟใดๆ ทั้งนั้น เขามีสิ่งอื่นที่ต้องการมากกว่า

    "ถอนตัวจากละครการกุศลของสมาคมซะ นี่เป็นคำสั่ง" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    "มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องทำตามคำสั่งด้วย" หญิงสาวย้อนถามกลับทันที

    "ไม่ต้องถามทำตามที่สั่ง นี่คือคำสั่งของคู่หมั้นซึ่งเธอต้องทำตาม" เขาเน้นย้ำคำว่าคู่หมั้นชัดเจน

    "ฉันไม่ถอนและจะไม่ทำตามที่คุณสั่งด้วย"

    "ภาสินี" สายตาของคมกริชวาววับขึ้นมาทันที

    "ไม่มีเหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำตาม ฉันจะไม่มีวันยอมทำในสิ่งที่ไร้สาระแน่"

    "ไร้สาระเหรอ เธอเห็นคำสั่งฉันเป็นเรื่องไร้สาระเหรอ"

    "อะไรที่ไม่มีเหตุผลคือเรื่องไร้สาระ เอาแต่ใจของคนไม่มีหัวคิด" ภาสินีไม่อยากคุยกับคนเอาแต่ใจแล้ว เธอขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟาที่นอนพักก้าวเท้าไปที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่อีกมุมห้อง

    "สิ่งที่ฉันพูดคือเรื่องไร้สาระ คือความคิดของคนที่ไม่มีหัวคิด แล้วถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เธอทำเรียกว่ามีหัวคิดมีสาระแล้วซินะ ไอ้การที่ทำตัวใกล้ชิดกับผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่คู่หมั้น เรียกว่ามีหัวคิดมีสมองแล้วใช่ไหม"

    คมกริชลุกจากเก้าอี้คว้าแขนภาสินีไว้แล้วดึงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว อาศัยความไวดันตัวเธอไปติดพนังห้องเพื่อไม่ให้ขยับหนีไปไหนได้ เพราะงานนี้มีเรื่องต้องคุยกันยาว

    "ฉันสั่งให้เลิกคุยกับไอ้หมอนั่นแล้วใช่ไหม ทำไมยังคุยกับมันอีก"

    "ฉันกับคุณอธิปไม่มีอะไร เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น"

    "เพื่อนเหรอ เพื่อนบ้าอะไรหัวร่อต่อกระซิกกระซิบกระซาบอย่างกับเป็นแฟนกันแบบนั้น หรือว่ากับเพื่อนใกล้ชิดแนบแน่น แต่กับคู่หมั้นรังเกียจสะดีดสะดิ้ง"

    "นายคมกริช"

    ฝ่ามือเล็กฟาดลงที่ใบหน้าเต็มแรง คมกริชหันหน้ามาพร้อมกับหยดเลือดที่มุมปาก ไม่คิดเหมือนกันว่าเจ้าหล่อนจะกล้าทำร้ายกันจนเลือดตกยางออกเช่นนี้

    "อะ..."

    ภาสินีไม่ทันพูดอะไรทั้งสิ้น ริมฝีปากของคมกริชก็บดขยี้ลงมาที่เรียวปากอิ่มทันที รสจูบเดือดดาลราวกับพายุที่พร้อมจะพัดทุกสิ่งให้ราบเป็นหน้ากลอง ปลายลิ้นแทรกเข้ามากวาดรุกไล่อย่างบ้าคลั่ง หวังจะสยบคนปากดีให้ศิโรราบลงเดี๋ยวนี้

    เขาโกรธ โกรธ โกรธ สุดจะบรรยาย ที่จริงควรทำอะไรที่เป็นการเอาคืนฝ่ามือพิฆาตเมื่อครู่ของภาสินี แต่สมองของคมกริชสั่งการให้ลงโทษมาที่เรียวปากสวย พร้อมกับแสดงความเป็นคู่หมั้นด้วยความรุนแรง

    เขาจูบ จูบด้วยความโมโห หวังจะใช้เรี่ยวแรงที่มีสยบแม่ตัวดีที่กล้าตีฝีปากอย่างไม่ยำเกรง แต่แล้วคมกริชก็ค้นพบว่าความโมโหคือตัวนำ แต่ความต้องการในส่วนลึกของจิตใจต่างหากที่ปรารถนาจะครอบครองความหอมหวาน และตีตราให้รู้ว่าตนนี่แหล่ะคือเจ้าของภาสินีเพียงผู้เดียว

    จูบที่รุนแรงและเดือดดาลเริ่มอ่อนลง กลายเป็นแค่ลมพายุเบาๆ ที่พัดพาความวาบวามมาสู่ร่างกายของภาสินี แรกนั้นเธอปัดป้องและไม่ยอมศิโรราบต่อเขา

    แต่ตอนนี้เมื่อความรุนแรงแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนหวานที่ยังแฝงความรุนแรงอยู่ในบางขณะ เลือดสาวในกายที่ไม่เคยมีใครทำให้พลุ่งพล่านก็แผ่ความร้อนไปทั่วร่าง จนเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานี้

    "ยะ..." เจ้าหล่อนเผยอริมฝีปากร้องห้าม เมื่อฝ่ามือร้อนรุกล้ำเข้าไปใต้ชายเสื้อ

    การถือสิทธิ์ในความเป็นคู่หมั้นทำให้คมกริชกล้าทำมากกว่าจูบ ทรวงอิ่มที่อยู่ใต้ผ้าถูกกอบกุมไว้ด้วยฝ่ามือ เคล้าคลึงสัมผัสจงใจบีบเคล้นตามแรงอารมณ์ขึ้นลงของตนเอง ส่งผลให้เจ้าของกายงามทั้งซาบซ่านระคนปวดร้าว สัมผัสพิเศษที่เกิดขึ้นให้ความรู้สึกดีที่มาพร้อมแรงโทสะ

    คมกริชไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ทำไมต้องเบียดเสียดตัวเองไปที่ร่างกายของคู่หมั้นสาว ทำไมต้องอยากครอบครองเป็นเจ้าของประหนึ่งว่า ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาแตะต้องภาสินีแม้แต่ปลายเล็บ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ใช้วิธีที่สุภาพบุรุษแสนดีไม่ควรจะทำ การทำให้เจ้าหล่อนรู้ว่าร่างกายและจิตใจต้องศิโรราบต่อเขาผู้เดียว คือความปรารถนาสูงสุดของชายหนุ่มผู้เอาแต่ใจในเวลานี้

    "ยะ อย่า มะ ไม่" ใบหน้าหวานบิดส่ายไปมาด้วยความทรมาน

    อกงามแอ่นขึ้นลงตามแรงบีบเคล้น ภาสินีอยากจะผลักไสแต่ก็ไม่อาจต้านแรงปรารถนาที่ทวีความรุนแรงขึ้นได้ ยิ่งในเวลานี้ที่ริมฝีปากเคลื่อนลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอเรื่อยลงต่ำจนถึงเนินอกอิ่ม ชายเสื้อตัวสวยที่ถูกรุนรานด้วยฝ่ามือถูกร่นขึ้นเผยผิวเนียนขาว

    วินาทีที่ปลายลิ้นแตะสัมผัสที่ยอดทรวง แม้มีผ้าลูกไม้เนื้อดีเป็นปราการปกป้อง แต่กระนั้นร่างสาวก็สะดุ้งราวกับถูกไฟจี้ คมกริชขบเม้มหนักแน่นและรุกไล้รุนแรง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปด้านหลังปลดตะขอปราการสำคัญหลุดออก เผยความงามเนื้อแท้ของทรวงสวยทันที

    "อย่า..."

    ภาสินีวิงวอนขอพร้อมทั้งรวบรวมเรี่ยวแรงที่มี ออกแรงดันใบหน้าคมให้ออกห่างโดยเร็วที่สุด

    คมกริชรวบมือที่ผลักตนออกจากอกอิ่มมากุมไว้ เขาตาไวมองเห็นนิ้วเรียวไร้สิ่งที่ซึ่งควรสวมใส่ ภาสินีเอาแหวนที่แสดงฐานะคู่หมั้นไปไว้ที่ไหน

    "แหวนล่ะ" เขาถามถึงสิ่งที่หายไปทันที

    "วะ แหวนอะไร" หญิงสาวปรับอารมณ์ตามไม่ทันจริง

    ตอนนี้ภาสินีอายจนหน้าแดงไปหมด เมื่อรู้ว่าอกงามเปลือยต่อหน้าคู่หมั้นหนุ่ม และเนื้อตัวมีร่องรอยการแสดงความเป็นเจ้าของจากคมกริชเต็มไปหมด ที่สำคัญทรวงแสนหวงแนบชิดกับกายแกร่งเกินความจำเป็นอีกด้วย

    และแทนที่จะตำหนิหรือลงโทษคนที่ล่วงเกินให้หลาบจำ กลับกลายเป็นว่าภาสินีต้องมาตอบคำถามเรื่องแหวนหมั้น ที่ตอนนี้คมกริชเอามาเป็นประเด็นต่อว่า ทำให้หญิงสาวลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในสภาพเช่นไร

    "แหวนหมั้น เธอกล้าถอดแหวนหมั้นเชียวหรือ ภาสินี" ดวงตาคู่คมกร้าวขึ้นมาอีกครั้ง

    "ฉันถอดเก็บเพราะมันวงใหญ่ กลัวว่าตอนจัดของเข้าร้านจะทำมันชำรุด" หญิงสาวคิดเช่นนั้นจริงๆ

    แหวนเพชรน้ำงามที่เป็นแหวนหมั้นควรเก็บไว้อย่างทะนุถนอม งานตกแต่งร้านบางอย่างภาสินีลงมือทำเองทุกขึ้นตอน ดังนั้นเจ้าตัวจึงกลัวว่าจะไปกระทบกระเทือนเวลายกของหรืออะไรก็แล้วแต่ คงเสียดายและไม่ดีแน่หากแหวนหมั้นมีตำหนิ

    "ใครใช้ให้เธอถอด ห้ามถอดแหวนอีกเข้าใจไหม" น้ำเสียงชายหนุ่มลดโทสะลงอย่างเห็นได้ชัด

    "แหวนอยู่ไหน" เขามองหาแหวนทั้งๆ ที่ยังโอบร่างกึ่งเปลือยของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน ดูเหมือนคมกริชจะอารมณ์ดีแล้ว

    "อยู่ในกระเป๋า"

    "สวมไว้ตลอดห้ามถอดเข้าใจไหม ถ้าถอดอีกมีเรื่องแน่"

    คมกริชคว้ากระเป๋าถือของภาสินีมาเทลงที่เก้าอี้ หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงขึ้นมาถือไว้ในมือ เปิดออกหยิบแหวนวงงามขึ้นมาถือ แล้วสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายอีกครั้ง แค่เห็นแหวนหมั้นอยู่ที่นิ้วก็ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย

    ภาสินีรู้สึกแปลกๆ คราวก่อนในงานหมั้น เมื่อคมกริชสวมแหวนเธอไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น นอกจากทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นในพิธี และวันก่อนที่ต้องลุยตกแต่งร้านก็ถอดออกโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น

    แต่มาคราวนี้เมื่อเขาสวมแหวนให้อีกครั้ง หัวใจกลับรู้สึกถึงความผูกพันบางอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรกัน

    "ปล่อยได้แล้ว" หญิงสาวพยายามจะเบี่ยงตัวออกเพื่อแต่งตัวให้เรียบร้อย เพราะเห็นสายตาของคมกริชที่จ้องมองมาที่อกอิ่มแล้ว ยิ่งรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก

    "อย่า" ภาสินีร้องห้าม เมื่อใบหน้าคมก้มลงมาจูบที่เนื้อนิ่มของทรวงงาม

    คมกริชจูบเบาๆ ที่อกอิ่ม จูบหวานเพื่อละเลียดเชยชมความงดงามของคู่หมั้นสาว นี่เขากำลังจะกลายเป็นสุภาพบุรุษที่รังแกสุภาพสตรีอีกแล้วหรือนี่ ก็ใครใช้ให้ความงามที่อยู่ตรงหน้าทำให้ตบะแตกจนอดใจไว้ไม่ไหวเล่า

    "ไม่นะ คุณกริช" หญิงสาวห้ามเสียงพร่า เมื่อริมฝีปากครอบครองยอดอิ่มอีกครั้ง

    คมกริชไม่ฟังเสียงห้าม นอกจากฟังเสียงหัวใจตัวเองเท่านั้น เขาปรารถนาครอบครองและต้องได้ครอบครอง ไม่ยอมฟังคำวิงวอนขอใดๆ ทั้งสิ้น

    "อย่าห้าม" เขากระซิบเสียงแหบตอบกลับมา

    "จะไม่ทำอะไรมากกว่านี้"

    สัญญาลูกผู้ชายว่าไม่ก็คือไม่ เมื่อคมกริชอิ่มเอมกับความหวานของทรวงงามแล้ว เขาก็ตัดใจถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ในขณะที่ภาสินีแทบจะแดดิ้นตายเสียเดียวนั้นกับความหฤหรรษ์ในรสสัมผัสของชายหนุ่ม

    คมกริชสัญญาว่าไม่ล่วงเกินมากกว่านี้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะหยุดจูบเสียหน่อย ดังนั้นเมื่อตัดใจจากอกอิ่มอย่างอาลัยอาวรณ์ จึงย้อนมาฉกชิมความหวานที่เรียวปากนุ่มแทน ภาสินีตกใจกับความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย แต่ก็พอมีสติตั้งรับได้ทันและเคลิ้มตามจนในที่สุด

    อารมณ์ร้ายหายไปจากจิตใจของคมกริชหมดแล้ว มีแต่อารมณ์ความสุขดีๆ เข้ามาแทนที่ เมื่อจูบจนพอใจและท่าทีของภาสินีอ่อนลงขึ้นมาบ้าง เขาจึงยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระแม้จะเสียดายก็ตามที

    "แต่งตัวซะ อีกห้านาทีไปเจอกันที่รถจะพาไปกินข้าว ถ้าเกินห้านาทีหรือต้องให้มาตามซ้ำ รับรองว่า..."

    "รู้แล้วน่า" หญิงสาวหันหลังหนีด้วยความอาย

    ตาบ้า มากอดจูบลูบคลำเปลื้องผ้าคนอื่น แล้วยังมีหน้ามาสั่งโน่นสั่งนี่อีก ภาสินีหัวใจเต้นรัวอีกครั้ง เมื่อคนที่ชอบสั่งก้าวมากระซิบที่ข้างหูว่า

    "ถ้าให้มาตามซ้ำคงรู้นะว่ามากกว่าจูบคืออะไร"

    คมกริชอมยิ้มที่มุมปาก เดินยิ้มอย่างอารมณ์ดีออกไปจากห้อง ปล่อยให้หญิงสาวหัวใจสั่นไปคนเดียวเพียงลำพังก่อน เมื่อได้สติภาสินีจึงรีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ยืนลังเลว่าจะไปตามที่สั่งดีหรือไม่ ทว่า...เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพร้อมข้อความจากคนบ้าอำนาจว่า

    'หรือว่าอยากได้มากกว่าจูบ จะได้เข้าไปจัดการต่อให้ภายในสองนาทีถ้าไม่ออกมา'

    "ตาบ้า"

    ในที่สุด ภาสินีก็ต้องคว้ากระเป๋าเดินออกไปที่รถของคมกริชซึ่งจอดรออยู่ที่หน้าร้าน ทันทีที่หญิงสาวก้าวขึ้นปิดประตู สารถีใจร้อนก็ขับรถออกไปทันที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×