ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แรงรักเพลิงเสน่หา

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 66


    ห้องทำงานของศิวนาถอยู่ชั้นเดียวกับห้องทำงานของชโยดม ชมพูนุชเดินตามเจ้าของห้องเข้ามาแต่โดยดี ทันทีที่ประตูห้องปิดลงทุกอย่างในห้องก็ดูเงียบสงบเสียจนแทบจะได้ยินเฉพาะเสียงลมหายใจของคนทั้งสองที่อยู่ในห้องนั้นเลยทีเดียว

    “คุณเล็กจะให้นุชทำอะไรบ้างคะ” ชมพูนุชเอ่ยถามหลังจากที่ยืนเคว้งคว้างอยู่ในห้องเกือบสิบนาที

    ตั้งแต่ที่เข้ามาศิวนาถไม่พูดไม่จาหรือแนะนำอะไรแก่ชมพูนุชเลย เขานั่งลงทำงานรับโทรศัพท์และก้มหน้าก้มตาอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ราวกับว่าในห้องนั้นมีเพียงตัวเองที่ทำงานอยู่ มันทำให้คนที่อยู่ร่วมห้องด้วยรู้สึกอึดอัดจนต้องเอ่ยถามออกมาอีกครั้งว่า

    “มีอะไรให้ฉันทำบ้างคะ”

    ตอนนี้ชมพูนุชรู้สึกอึดอัดมากกว่าเวลาที่คุณหญิงประภา พยายามยัดเยียดตัวเธอให้อยู่ในห้องของชโยดมเสียอีก จะไม่ให้รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเอ่ยปากถามถึงสองครั้งสองครา ศิวนาถก็ยังคงเฉยเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่ถามเลยแม้แต่น้อย

    ชมพูนุชหยุดเมื่อเห็นสายตาคมกริบของเจ้าของห้อง ที่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

    “อย่าทำเสียงดังให้เสียสมาธิเวลาทำงาน เอกสารทุกตัวในกระดาษคือเงินที่มีค่าทุกบาททุกสตางค์ของบริษัท มันเป็นทั้งเงินทุนกำไรที่จะมาหล่อเลี้ยงคนทำงานสุจริต ผมไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดหรือเสียเงินโดยใช่เหตุไปกับเรื่องไร้สาระที่ไม่เป็นเรื่อง” น้ำเสียงคนพูดขึงขังพอๆ กับสีหน้า

    “คุณ...” ชมพูนุชหน้าชารู้สึกเหมือนถูกชกกลางอากาศ อึ้งกับคำพูดบาดลึกของเขาเสียเหลือเกิน

    สาวน้อยพูดไม่ออกนับหนึ่งถึงร้อยในใจ บอกกับตัวเองว่ามันก็ไม่แปลกหากว่าคุณหญิงประภาจะบอกเล่าเรื่องราวถึงสาเหตุการเข้ามาที่นี่ของตน และมันก็ไม่แปลกหากว่าศิวนาถจะรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เธอตัดสินใจ ใครจะชอบบ้างเล่าที่ต้องเสียเงินนับสิบล้านช่วยครอบครัวคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ และได้ตัวผู้หญิงคนหนึ่งมายัดเยียดให้เป็นสมาชิกของบ้านราวกับเงินขัดดอกก็ไม่ปาน

    “โน่น ที่นั่งของเธอ” ชายหนุ่มชี้ไปที่โซฟาซึ่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของตน

    ชมพูนุชสะกดอารมณ์ที่อยู่ในหัวใจเต็มที่ก้าวเดินไปนั่งด้วยท่าทีเรียบเฉย ศิวนาถกลับไปทำงานของตัวเองดังเดิม และปล่อยให้อีกคนอยู่ในห้องนั้นเงียบๆ ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    ทุกอย่างในห้องยังคงเดิมไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชมพูนุชรู้สึกเบื่อและอึดอัดที่ต้องนั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ ในขณะที่อีกคนง่วนอยู่กับงานตรงหน้าและคนที่เข้ามาหาเพื่อปรึกษารับคำสั่งเรื่องงานคนแล้วคนเล่า

    “ฉันขอออกไปข้างนอกสักครู่นะคะ” เธออยากจะออกไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย เพราะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำ

    “จะไปไหน” ศิวนาถเอ่ยถามเสียงเข้มโดยไม่เงยหน้าจากกองเอกสาร น้ำเสียงและท่าทางของเขาทำให้ชมพูนุชยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก แต่เธอก็ยืนกรานที่จะออกจากห้องไปเปลี่ยนบรรยากาศ

    “ไปห้องน้ำค่ะ”

    “ไปห้องน้ำหรือไปหาใครกันแน่” ใบหน้าคมเงยขึ้นสบตา

    สายตาดุดันของศิวนาถจับจ้องมองคนที่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่วางตา เขาประเมินเธอต่ำไปหรือเดาความคิดของเจ้าหล่อนถูกกันแน่    ศิวนาถอยากรู้เหลือเกินว่า สาวน้อยหน้าหวานคนนี้มีลูกเล่นอะไรมาใช้อีก ถ้าให้เดาก็คือเจ้าหล่อนอยากจะไปหาพี่ชายสุดที่รักของเขาแน่ๆ

    “พี่ใหญ่มีงานล้นมือ คงไม่ว่างให้ใครกวนใจหรอก” เขาเปรยด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะในที

    ชมพูนุชเชิดหน้าไม่ตอบโต้ใดๆ เรื่องชโยดมสักคำ พอเดาออกแล้วว่าทั้งสายตาคำพูดและท่าทางที่แสดงออกมาด้วยความไม่เป็นมิตรนี้ มีสาเหตุมาจากอะไร

    “ขอตัวนะคะ” ชมพูนุชตัดสินใจออกไปนอกห้องดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนอยู่กับความอึดอัด ของคนที่จ้องแต่จะกินเลือดกินเนื้อทุกคำพูดเช่นนี้

    “ให้เวลาห้านาที ถ้าเกินจากนี้รับรองว่าเห็นดีแน่”

    “ไม่ใช่นักโทษนะคะ คุณเล็ก” ชมพูนุชชักจะเหลืออดเต็มทีแล้ว

    ถึงจะเข้าใจว่าเขาทำไม่ดีกับตนเพราะอะไร แต่อย่างน้อยก็ควรให้เกียรติในฐานะความเป็นคนกันสักหน่อย ศิวนาถไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยคำสั่งใดๆ เช่นนี้ เพราะเขาไม่ใช่เจ้านายและเธอก็ไม่ใช่นักโทษของใครด้วย

    “ที่นี่เป็นบริษัทคุณควรเรียกผมว่าคุณศิวนาถ และใช้คำเรียกตัวเองว่าดิฉันเหมือนพนักงานคนอื่น การเรียกชื่อเล่นหรือชื่อส่วนตัวเหมาะสำหรับคนใกล้ชิดหรือสนิทเป็นพิเศษเท่านั้น หรือว่าคุณอยากจะมีความเป็นส่วนตัวใกล้ชิดสนิทสนมแนบแน่นกับผมล่ะ” สายตาเขาเชื้อเชิญอย่างมีเลศนัย

    ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน ไม่ใช่เขินอายตามประสาผู้หญิง แต่รู้สึกอับอายกับคำพูดที่มีความนัยแฝงในทางอื่นมากกว่า เจ้าตัวเมินหน้าหนีไม่สบตาหรือมองหน้าคนพูดอีกเลย เห็นทีว่าการไปอยู่ห้องชโยดมอาจจะสบายใจกว่าการอยู่ที่เสียกระมัง

    “ตกลงจะไปหรือไม่ไป นี่ก็สามสิบวินาทีแล้วนะ ถ้ามาช้าเพียงแค่วินาทีเดียว รับรองว่ามีปัญหาแน่”

    “คุณ”

    ชมพูนุชเหลืออดกับความยียวนกวนประสาทกึ่งบ้ากึ่งดีของเขาแล้ว สาวน้อยสะบัดหน้าหันขวับเดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเกินห้านาทีแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

     

    ชมพูนุชเดินเลยมาที่ห้องทำงานของชโยดมเพื่อตั้งใจจะบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่า กลางวันนี้ไม่ต้องพาเธอไปที่ร้านอาหารตามคำสั่งของคุณหญิงประภา เลขาหน้าห้องของชโยดมไม่อยู่ที่โต๊ะ หญิงสาวจึงเดินเลยเข้าไปในห้องโดยไม่ผ่านเลขาตามหน้าที่ แต่ยังไม่ทันที่จะเปิดประตูเข้าไปก็มีเสียงคนคุยกันดังในห้อง

    “ญาดา อย่าทำแบบนี้ได้ไหม”

    ชโยดมนั่นเอง สีหน้าท่านประธานหนุ่มดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เลขาสาวเองก็มีความไม่สบายใจปรากฏบนใบหน้าเช่นกัน และที่มีมากกว่าก็คือใบหน้าของญาดามีคราบน้ำตาและร่องรอยจากการร้องไห้อย่างเห็นได้ชัด

    “ดิฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และจะไม่ทำให้ท่านประธานมีปัญหาค่ะ” น้ำเสียงสั่นเครือของเลขาสาวทำให้ชมพูนุชแปลกใจกับท่าทีของทั้งสองเป็นอย่างมาก

    เท่าที่สังเกตเห็นเมื่อเช้านี้ ทั้งชโยดมและญาดาต่างมีสายตาที่มองสบกันอยู่บ่อยครั้ง และหลายหนที่จับได้ว่าสายตาที่ต่างฝ่ายต่างถ่ายทอดถึงกันนั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่ความธรรมดาอย่างเช่นที่เจ้านายลูกน้องจะมีต่อกัน

    “ไม่เอานะ อย่าทำ อย่าคิดแบบนี้”

    ท่านประธานหนุ่มรั้งตัวหันหลังร่ำไห้ให้หันมาหา แต่ญาดาสะบัดตัวหนีแล้วรีบเดินหนีออกจากห้องไปทันที ชมพูนุชรีบหลบไม่ให้ทั้งคู่รู้ว่าเธออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเลขาคนสวยออกไปพ้นห้องแล้วหญิงสาวจึงทำทีว่าเพิ่งจะเดินมาหา

    “คุณชโยดมคะ” ชมพูนุชส่งรอยยิ้มทักทายนำไปก่อน

    “ครับ คุณชมพูนุช” ชโยดมพยามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด

    หัวใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยในเวลานี้ อยากจะวิ่งตามคนที่เพิ่งหนีไปเมื่อครู่ให้กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน แต่เมื่อเห็นชมพูนุชก็ตั้งหยุดสิ่งที่ตั้งใจไว้

    “งานที่ห้องนายเล็กเรียบร้อยไหมครับ” ท่านประธานหนุ่มชวนคุยไปเรื่องอื่น

    เขาไม่มีกะจิตกะใจใดๆ อยากจะคุยกับใครทั้งสิ้น ยิ่งเห็นชมพูนุชเดินมาในเวลานี้ด้วยแล้ว ทำให้นึกถึงคำสั่งของมารดาที่ย้ำหนักย้ำหนาว่าให้ไปกินข้าวกลางวันกับเจ้าหล่อน อย่าว่าแต่กินข้าวเลยตอนนี้ชโยดมไม่อยากแม้แต่จะเสียเวลาคุยด้วยสักวินาทีด้วยซ้ำ

    “ไม่มีอะไรให้ทำเลยค่ะ นุชก็เลยเดินมาหาคุณชโยดมเผื่อว่าจะมีอะไรให้ช่วย”

    “ผมก็ไม่มีอะไรให้คุณนุชช่วยเสียด้วย อ้อ เดี๋ยวผมจะให้ฝ่ายบุคคลจัดการเรื่องการรับสมัครเป็นพิธีนะครับ แล้วก็ต่อไปไม่ต้องเรียกผมเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ เรียกคุณใหญ่ก็พอ”

    “ค่ะ คุณใหญ่ อ้อ จริงซิ นุชตั้งใจจะมาบอกว่า มื้อกลางวันวันนี้คุณใหญ่ไม่ต้องพานุชไปร้านไหนทั้งสิ้นนะคะ นุชขอไปจัดการตัวเอง”

    “แต่ว่าคุณแม่จองโต๊ะให้เราแล้ว ผมเกรงว่า...” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่สาวน้อยพูด

    ชโยดมเองก็ไม่มีใจที่อยากจะไปกินข้าวด้วยเช่นกัน เพียงแต่กังวลว่ามารดาจะมีปัญหาให้ปวดหัวตามมาอีกหรือเปล่าเท่านั้นเอง

    “ถ้าคุณหญิงถามเดี๋ยวนุชบอกเองค่ะ คุณใหญ่ไม่ต้องห่วง”

    ดูจากสีหน้าและแววตาของท่านประธานหนุ่มในเวลานี้แล้ว ชมพูนุชดูออกว่าชโยดมไม่มีกะจิตกะใจจะไปกินข้าวด้วยหรอก อีกทั้งเธอเองก็อยากจะออกไปเดินดูอะไรให้เพลิดเพลินใจเสียหน่อย เพราะในช่วงบ่ายคงต้องกลับไปอึดอัดกับใครบางคนอีกแน่

    “ก็ได้ครับ ใกล้ออฟฟิศก็พอมีที่กินข้าวอยู่บ้าง ผมให้แม่บ้านพาไปดูสถานที่ก่อนดีไหม”

    “ไม่ต้องหรอกค่ะ นุชดูแลตัวเองได้ ขอบคุณคุณใหญ่มากนะคะ” ชมพูนุชกล่าวเพียงสั้นๆ แล้วตั้งท่าจะหันหลังเดินกลับออกไป แต่หญิงสาวนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันกลับมาหาอีกทีว่า

    “เมื่อกี้นุชไม่เห็นคุณญาดาอยู่ที่โต๊ะ ไม่ทราบว่าเธอไปไหนคะ” สาวน้อยแกล้งเอ่ยถามถึงคนที่เพิ่งวิ่งออกไป

    “เหรอครับ เอ หรือจะไปติดต่องานตรงไหน” ชโยดมทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อเพื่อไม่ให้เผยพิรุธใดออกมา

    ชมพูนุชไม่พูดอะไรต่อเดินออกจากห้องไปตามปกติ ในใจคิดว่าควรจะไปหาญาดาได้ที่ไหนและจะชวนคุยด้วยเรื่องอะไรดี

    ชมพูนุชเดาถูกจริงๆ ด้วยว่าญาดาต้องมาอยู่ที่ห้องน้ำ หญิงสาวแกล้งทำเป็นว่าเดินเข้าห้องน้ำตามปกติ ในขณะที่อีกฝ่ายล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วก็จริง แต่ก็ยังเห็นว่ารอยแดงที่จมูกและรอยช้ำใต้ดวงตานั้นฟ้องว่าเพิ่งร่ำไห้เสร็จสิ้นไปไม่นานนี้

    “คุณญาดาคะ” ชมพูนุชส่งรอยยิ้มทักทายไปก่อน ญาดาเงยหน้าขึ้นมองในกระจก เห็นชมพูนุชส่งยิ้มเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร

    หัวใจของญาดาพยายามจะฝืนยิ้มตอบ แต่มันไม่แข็งแกร่งพอที่จะซ่อนความรู้สึกภายในนั้นไว้ได้มิดชิด แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มตอบกลับแต่ดวงตาทั้งสองข้างกับมีน้ำใสรื้นขึ้นเต็มสองตาอีกครั้ง

    “คุณต้องการอะไรหรือเปล่าคะ” ญาดาพยายามรักษาระดับน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด ยิ่งเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นชมพูนุชก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าหน้าตาของอีกฝ่ายเปิดเผยความเศร้ามากเพียงไร

    “นุชไม่ได้ต้องการอะไรค่ะ แค่เดินมาแล้วเจอคุณญาดาก็เลยทักเฉยๆ คุณญาดาสบายดีหรือเปล่าคะ” ชมพูนุชกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    “สบายดีค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” ญาดาต้องการจะหลีกหนีหน้าชมพูนุชให้เร็วที่สุด ก่อนที่น้ำตามันจะเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    “นุชขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ”

    “ค่ะ” ญาดาขานรับแบบไม่เต็มเสียง

    “มื้อกลางวันนี้นุชไม่ได้ไปกินข้าวกับคุณชโยดมแล้ว แถวนี้มีร้านอาหารหรือพนักงานส่วนใหญ่ที่นี่ไปกินข้าวแถวไหนคะ”

    ญาดานิ่งไปเล็กน้อย ชมพูนุชยืนรอฟังด้วยอาการที่สงบและมีรอยยิ้มมอบให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรจากใจ เลขาสาวเริ่มไล่เรียงร้านอาหารที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และสถานที่ที่พนักงานชอบไปใช้บริการให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด

    “ขอบคุณคุณญาดามากนะคะ สงสัยเที่ยงนี้นุชต้องไปชิมบะหมี่เจ้าอร่อยที่คุณบอกเสียแล้ว”

    “แล้วทำไมคุณ เอ่อ ...”

    “เรียกนุชเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” ชมพูนุชบอกอย่างเป็นกันเอง

    “เรียกดาเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” ญาดารู้สึกถึงความเป็นกันเองและอัธยาศัยไมตรีที่ดีของอีกฝ่ายมากขึ้น

    “ทำไมคุณนุชถึงไม่ไปกินข้าวกับคุณใหญ่ล่ะคะ” เลขาสาวถามด้วยความอยากรู้ในสิ่งที่ค้างคาใจตน

    “นุชเป็นพนักงานคนหนึ่งนะคะ ถึงแม้จะมาด้วยเส้นแต่ก็ควรทำตัวให้เหมือนคนอื่นเป็นดีที่สุด อีกอย่างคุณชโยดมคงไม่มีกะจิตกะใจจะไปกินข้าวกับนุชหรอกค่ะ เพราะเห็นหน้าเครียดตั้งแต่เช้าแล้ว นุชไปนะคะ ขอบคุณคุณดามาก แล้วเจอกันค่ะ” ชมพูนุชกล่าวลาแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ญาดามองตามหลังด้วยความแปลกใจหลายเรื่อง ระหว่างชโยดมและชมพูนุช

     

    บะหมี่ร้านที่ญาดาแนะนำอร่อยจริงๆ ชมพูนุชกลับเข้ามาอีกครั้งในตอนบ่าย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ต้องพบกับอารมณ์เกรี้ยวกราดของศิวนาถ ที่แทบจะกลืนกินเธอแทนข้าวมื้อกลางวันเลยทีเดียว

    “ไหนบอกว่าห้านาทีไง คุณเห็นคำสั่งผมเป็นลมปากลอยไปลอยมาหรือไง” เขาเปิดฉากต่อว่าด้วยท่าทางเอาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด

    “ฉันไปหากินข้าวกลางวันมาค่ะ”

    หลังจากที่ญาดาบอกว่ารอบบริษัทมีร้านอาหารไหนขึ้นชื่อ เดินไปอีกไม่ไกลจะเป็นแหล่งของกิน ที่บรรดาพนักงานออฟฟิศแถวนี้มักจะไปหาซื้อของกินของใช้  หญิงสาวจึงออกไปสำรวจตามที่เลขาหน้าหวานแนะนำ และกลับขึ้นอีกครั้งตามเวลาทำงานในตอนบ่าย
             “อ๋อ มิน่าล่ะ เข้าใจแล้ว” ศิวนาถทำปากจิ๊จ๊ะเบาๆ แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ แล้วเอ่ยต่อว่า

    “ข้าวกลางวันของเธอคงมีค่ามากซินะ ฝ่ายบุคคลถึงได้กล้ามอบตำแหน่งเลขาส่วนตัวท่านประธานบริษัทให้ แถมยังมีเงินประจำตำแหน่งอีกครึ่งแสน แหม นี่ถ้าฉันทำแบบเธอได้ล่ะก็ บริษัทคงมีกำไรปีละหลายร้อยล้านเป็นแน่”

    “อะไรนะ” ชมพูนุชไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังประชด

    “ไปกินอะไรมา แล้วกินแบบไหน ถึงได้ให้พี่ชายฉันเซ็นแกร๊กเดียว เธอก็ได้เงินห้าหมื่นไปนอนกอดง่ายๆ แล้ว รู้อะไรไหม พนักงานบางคนในบริษัททำงานหนักมาเป็นสิบปียังไม่ได้เงินเดือนมากเท่าเธอเลย”

    “ฉันไม่รู้เรื่องที่คุณพูดเลยนะ”

    ชมพูนุชงงกับเรื่องใหม่ที่ได้รับรู้ ฝ่ายบุคคลทำอะไรเกี่ยวกับตัวเธอไม่เห็นมีใครบอก จำได้ว่าชโยดมบอกแค่ว่าจะมีการเขียนใบสมัครเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดเรื่องเงินเดือนค่าตอบแทนที่มากมายขนาดนี้เลย

    “ไม่รู้งั้นเหรอ ไม่รู้แล้วฝ่ายบุคคลส่งไอ้นี้มาได้อย่างไร” ศิวนาถโยนกระดาษที่ถืออยู่ในมือลงที่พื้นห้อง ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะถึงมือเจ้าของเอกสารหรือเปล่า

    ชมพูนุชก้มลงหยิบกระดาษที่ร่วงหล่นลงที่พื้นขึ้นมาอ่าน เพียงแค่เห็นข้อความในกระดาษก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ฝ่ายบุคคลของบริษัททำสัญญาจ้างเธอในตำแหน่ง เลขาส่วนตัวประธานบริษัท และระบุรายได้ที่จะได้รับในแต่ละเดือนอย่างชัดเจน เงินเดือนประจำเดือนละห้าหมื่นบ้าน ยังไม่รวมสวัสดิการต่างๆ ที่ได้รับเพิ่มเติมมากกว่าคนอื่น

    “ฉันไม่รู้เรื่องนะคะ” หญิงสาวยืนยันอีกครั้ง

    “เธอรู้ดีแก่ใจมากกว่า” แววตาเขาเป็นประกายเจิดจ้า

    “แต่ฉันก็เข้าใจว่าผู้หญิงอย่างเธอ คงไม่มีปัญญาใช้สมองทำมาหากินเหมือนคนปกติแน่ นอกจากใช้ไอ้สิ่งที่มีบำรุงบำเรอหลอกล่อให้ไอ้พวกหน้าโง่มาติดกับ แล้วก็ได้ผลประโยชน์ที่ต้องการไปอย่างง่ายดาย”

    “คุณศิวนาถ” ชมพูนุชสุดจะทนกับคำพูดสองแง่สองง่ามที่แฝงคำดูถูกไว้

    “หรือว่าฉันพูดไม่จริง ชมพูนุช” ชายหนุ่มสวนกลับทันควัน

    ครั้งแรกที่เห็นเอกสารที่ฝ่ายบุคคลส่งมาให้ชมพูนุชเซ็นชื่อ           ศิวนาถโมโหพี่ชายจนต้องเดินไปต่อว่าที่ห้องทำงาน แต่ชโยดมไม่อยู่ในห้องยิ่งทำให้เดือดดาลมากขึ้นไปอีก เพราะเข้าใจว่าพี่ชายสุดที่รักตกหลุมเสน่ห์เจ้าหล่อนยั่วยวนจนลืมสิ่งที่ตกลงกันไว้เมื่อคืน

    ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทีใสซื่อไร้เดียงสาของเจ้าหล่อน ที่ปากก็บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่ลับหลังคงใช้วาจาหรือการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ล่อลวงให้ชโยดมทำเช่นนี้เป็นแน่

    มันยิ่งทำให้ศิวนาถรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มารยามากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเห็นมา และอดคิดถึงไอ้เพื่อนรักที่หายหัวไปเพราะอกหักจากผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ จรัลจะรู้ไหมว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของชมพูนุชเป็นเช่นไรกันแน่

    “ฉันไม่รู้เรื่องของฝ่ายบุคคลจริงๆ” สาวน้อยยืนยันเสียงแข็ง

    “ไม่รู้เรื่องเหรอ ปากก็พูดว่าไม่รู้เรื่อง แต่ความจริงแล้วลับหลังเธอทำอะไรไว้ อย่านึกว่าไม่มีใครรู้นะ” ศิวนาถจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง

    ชมพูนุชก้มหน้าไม่ใช่เพราะหลบหลีกความผิดที่อีกฝ่ายกล่าวหา แต่เป็นเพราะดวงตาคู่คมนั้น เผยให้เธอรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ศิวนาถรู้เรื่องเธอจนหมดสิ้น และไม่ต้องสงสัยเลยว่าความโกรธ วาจาที่ไม่มีคำว่าให้เกียรติเหล่านี้มีสาเหตุมาจากอะไร

    “คุณรู้เรื่องใช่ไหม” น้ำเสียงที่เอ่ยถาม แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ

    “ถ้าเธอมีความละอายใจอยู่บ้าง ก็ไปจากที่นี่ซะ” ศิวนาถพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ แล้วก้มลงกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันเพียงสองคนว่า

    “อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่า ผู้หญิงหากินที่เอาตัวแลกเงินเพื่อเลี้ยงปากท้อง มีค่ามากกว่าผู้หญิงที่แต่งตัวดูดีมีการศึกษา แต่วันๆ ไม่คิดจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ถ้าคนไหนเป็นเหยื่อก็พร้อมจะเสนอตัวเองเพื่อแลกกับความสุขสบายเช่นเงินสิบล้านที่เธอได้จากครอบครัวฉันไป”

    “คุณ” ชมพูนุชรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทุบกลางกระหม่อม ชาไปทั่วร่างใบหน้าหวานร้อนผ่าวกับคำพูดบาดหูที่ได้ยินเมื่อครู่

    “ไปซะ แล้วฉันจะถือว่าเงินที่เสียให้กับมารยาของเธอเป็นการทำทาน”

    ยิ่งเขาพูดลึกลงไปมากเท่าไร ก็ยิ่งบาดหัวใจชมพูนุชมากขึ้นเท่านั้น ดวงตาคู่สวยมีน้ำใสคลอเต็มเบ้า ยิ่งเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับสายตาที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยันของศิวนาถแล้วด้วยล่ะก็ ก็ยิ่งอยากแทบจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้พ้นหน้าเสียเดี๋ยวนี้

    ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขอบตาทั้งสองข้างที่กลั้นน้ำใสไม่ให้ไหลซึมออกมา เกียรติและศักดิ์ศรีที่เคยมีถูกลบเลือนหายเพราะคำว่าครอบครัว ยอมให้ตัวเองเป็นเพียงตุ๊กตาหุ่นเชิดที่ใครจะให้ไปซ้ายทีขวาทีโดยไม่มีปากมีเสียง แค่นี้ก็ทรมานหัวใจมากพออยู่แล้ว

    ยิ่งถูกคำพูดที่เปรียบเปรยตัวเธอเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ตีค่าตามน้ำหนักความโกรธออกมาเป็นวาจาที่แสบสันต์แล้ว ชมพูนุชไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแก้ตัวใดๆ เพราะการตัดสินใจเป็นหุ่นเชิดเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องพิพากษาชัดเจนอย่างที่ศิวนาถพูด

    เพียงแต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า นอกจากความกดดันที่แบกรับปัญหาของครอบครัวแล้ว ความเสียใจที่ต้องลดเกียรติตัวเอง ต้องยอมถูกคนที่เพิ่งรู้จักดูถูก ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำนั้น มันทุกข์ทรมานหัวใจแค่ไหน มีใครรู้บ้างว่าการก้าวเข้าสู่ครอบครัวประวันวิทย์อันแสนมีเกียรติและร่ำรวยเงินทองล้นฟ้านี้ ความจริงแล้วมันก็คือกรงขังดีๆ นี่เอง

    “ฉันถือว่าบอกกันดีๆ แล้วนะ แต่ถ้าไม่ฟังก็อย่าหาว่าฉันรังแกผู้หญิง” เขารั้งเอวสวยได้รูปเข้ามาแนบตัว แกล้งทำสีหน้าดุดันข่มขวัญคนในอ้อมกอดให้หวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก

    “หรือว่าเธอต้องการอย่างอื่นอีก”

    แรงรักเพลิงเสน่หามีอีบุ๊คแล้วนะคะ


     

    Thumbnail Seller Link
    แรงรักเพลิงเสน่หา
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    เธอเข้ามาด้วยเงื่อนงำที่น่าสงสัย เขาจึงต้องใช้ไฟเสน่หาค้นความจริง ทว่าสุดท้ายไม่ว่าจะแรงรักหรือเพลิงเสน่หา ก็ไม่อาจต้านหัวใจรักของเขาและเธอได้&ldq...
    Get it now
    Thumbnail Seller Link
    โซ่หัวใจอสูร
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    ‘ผู้หญิงที่ใช่ ถูกสเปค ตรงจริต ไหนเลยควรปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆต้องทำทุกทางหาทุกวิธี ให้เธอเป็นของเราให้จงได้!’“ปูเป้” ...
    Get it now
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×