ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่ายรักหัวใจอสูร

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 66


    คมกริชถูกคุณนวลขอร้องแกมบังคับให้มาเป็นเพื่อนในงานเลี้ยงการกุศลค่ำคืนนี้ ทั้งที่เจ้าตัวไม่เต็มใจเท่าไรเพราะยังมีเรื่องไม่สบายใจในวันนั้น ซ้ำยังคิดหาวิธีที่จะไปง้อภาสินีไม่ออกด้วย

    "ตากริช เดี๋ยวคอยดูอะไรนะลูก" คุณนวลสะกิดบุตรชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้รอดูบนเวที

    "อะไรครับ" เขาถามเสียงเนือยไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจอะไรทั้งสิ้น

    เรื่องของภาสินีวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา และยิ่งเกษราบอกว่าเจ้าหล่อนไม่ได้ส่งขนมมาให้ที่บ้านเกือบอาทิตย์แล้ว ทำให้เขายิ่งว้าวุ่นใจมากกว่าเดิม ทีแรกคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีอิทธิพลใดๆ กับชีวิต แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่ใช่

    นอกจากจะคิดถึงใบหน้าหวานที่เย้าแหย่ทีไรเป็นได้เรื่องแล้ว คมกริชนอนไม่หลับเพราะคิดถึงแต่รสจูบและความหอมหวานจากสิ่งที่ได้สัมผัส เขาเร่าร้อนและโหยหาคิดถึงทุกลมหายใจ พิษเสน่หาและเพลิงแห่งความคิดถึงทำร้ายจนแทบกระอัก

    หลายหนที่คิดจะตัดสินใจไปหาแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ข่มใจไว้ และพยายามบอกตัวเองว่าเจ้าหล่อนเองก็ไม่ได้อยากเห็นหน้า หรือพบเจอตนนัก แต่สุดท้ายความพยายามนั้นก็ไม่สำเร็จเพราะคมกริชยังคิดถึงภาสินีตลอดเวลา

    "มาแล้ว ตากริช ดูนั่นลูก" เสียงตื่นเต้นของคุณนวลทำให้คมกริชรู้สึกตัว และเงยหน้ามองไปบนเวที

    ร่างเล็กที่สวมใส่ชุดราตรีและเครื่องประดับที่งดงามแปลกตาค่อยๆ ก้าวเข้ามา รอยยิ้มของเธอคือสิ่งที่เขาโหยหา แม้เจ้าหล่อนจะโปรยยิ้มให้กับทุกคนที่อยู่ด้านล่างเวทีอย่างไม่เจาะจง แต่เพียงแค่นี้หัวใจที่แห้งแล้งของคมกริชก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมหัวใจให้ชุ่มฉ่ำอย่างไรอย่างนั้น

    เธออยู่บนเวทีอย่างสง่างาม สวย เลอค่าราวกับนางฟ้าบนสวรรค์ และเขาคือคนโชคดีที่เคยได้อยู่ใกล้นางฟ้าตนนี้มากกว่าใครทั้งหมดในงาน แน่นอนว่าคมกริชจะไม่ยอมปล่อยให้นางฟ้าตนนี้หลุดมือไปแน่ เขาจะทำทุกทางเพื่อให้ได้เธอมาครอบครอง และนางฟ้าที่ชื่อภาสินีจะต้องเป็นของคมกริชแต่เพียงผู้เดียว

    "สวยไหมลูก" คุณนวลกระซิบถามอย่างรู้ใจ

    "สวยครับ" เขาตอบเสียงเบาสายตาไม่ละการจับจ้องจากบนเวที

    ความสุขที่ได้มองเธอเฉิดฉายบนเวทีมีอันต้องจบลง เมื่อมีหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนหนึ่งเดินมาโอบเอวของภาสินี ท่ามกลางสายตาคนเป็นร้อยที่มองและฮือฮามากขึ้น เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นคืออธิป นักแสดงหนุ่มมากฝีมือที่กำลังมีชื่อเสียงในเวลานี้

    "นั่นใครครับ" คมกริชหันมาถามมารดาด้วยสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

    คุณนวลไม่ทันได้ตอบคำถามของบุตรชาย เพราะต้องทักทายแขกที่เพิ่งได้พบหน้ากัน คมกริชตัดสินใจเดินไปที่ด้านหลังเวที ทันทีที่ภาสินีเดินกลับไปหลังเวทีพร้อมกับผู้ชายคนนั้น

     

    ภาสินีเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วจึงออกมายืนรวมกลุ่มกับเหล่าเซเลบชื่อดังด้านหลังเวที อธิปเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับเอ่ยชมหญิงสาวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวเธอ

    "นี่ถ้าไม่บอกก่อนว่าไม่ได้เป็นนางแบบ ผมนึกว่าคุณแพทเป็นนางแบบอาชีพเลยนะครับ จังหวะการเดินทุกอย่างลงตัวหมดที่สำคัญสวยอย่างกับนางฟ้า" นักแสดงหนุ่มส่งสายตาหวาน

    อธิปชื่นชอบในความสวยน่ารักของภาสินีนับตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกัน และเมื่อได้ร่วมงานกันก็ทำให้รู้ว่าเธอไม่ใช่คุณหนูลูกคนรวยขี้วีนเอาแต่ใจ เหมือนเช่นคนอื่นที่เคยร่วมงานด้วยมาก่อนหน้า เจ้าหล่อนมีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา และไม่เคยแสดงอาการเหวี่ยงวีนใดๆ ให้เห็นแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้ชายหนุ่มชื่นชมและอยากทำความรู้จักหลังจากที่งานจบ

    "คุณอธิปก็พูดเกินไปค่ะ ทั้งหมดนี้เพราะคุณช่วยต่างหาก เมื่อกี้แพทเกือบล้มดีที่คุณช่วยไว้ทัน" ภาสินีแก้เก้อ

    "โธ่ คุณแพท ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ นิดหน่อยเท่านั้น ดีกว่าคุณแพทเหยียบเท้าผมนะ" ทั้งคู่หัวเราะกันอย่างมีความสุข มิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นเพราะอธิปชวนคุยต่ออย่างสนุกสนาน

    "เลิกงานแล้วคุณแพทจะกลับบ้าน หรือไปไหนต่อครับ" อธิปเอ่ยถาม

    "กลับบ้านค่ะ พรุ่งนี้ต้องไปร้านแต่เช้า"

    "ร้านอะไรครับ เอ่อ เผื่อว่าผมจะได้อุดหนุน" ชายหนุ่มรีบถามต่อทันที

    "ร้านขนมเล็กๆ ค่ะ"

    "โอ้โห ทำขนมเป็นด้วย แบบนี้ผมต้องหาโอกาสไปชิมสักครั้งแล้ว"

    "อย่าเรียกว่าทำเป็นเลยค่ะ เรียกว่าพอทำได้ดีกว่า ไว้มีโอกาสคุณอธิปแวะไปได้นะคะ ยินดีต้อนรับเสมอ"

    "ผมไปพรุ่งนี้เลยได้ไหมครับ" อธิปรุกมากขึ้น

    “ยินดีค่ะ ไม่ถูกปากอย่างไรก็บอกกันนะคะ จะได้พัฒนาฝีมือให้ดีขึ้น"

    "ระดับนี้แล้วไม่ต้องหรอกครับ จริงซิ ผมมีร้านข้าวต้มอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรและเป็นทางผ่านกลับบ้านคุณแพทด้วย สนใจไปชิมของอร่อยของผมก่อนไหมครับ"

    "ข้าวต้มเหรอคะ" ภาสินีรู้สึกหิวเหมือนกัน เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่บ่าย

    "ครับ ทานร้อนๆ เก่อนนอนน่าจะดี ตั้งแต่มาที่นี่คุณแพทยังไม่ได้ทานอะไรเลยไม่ใช่เหรอครับ" อธิปเดาว่าคงเป็นอย่างนั้น เพราะตั้งแต่มาถึงงานชายหนุ่มเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรนอกจากน้ำเปล่าเท่านั้น

    "โอเคค่ะ"

    อธิปดีใจเหลือเกินที่ภาสินียอมตกลงไปทานข้าวต้มเจ้าอร่อยตามคำชวน ชายหนุ่มกระวีกระวาดเข้ามาช่วยถือถุงในมือหิ้วไปส่งที่รถ ท่ามกลางสายตาไม่พอใจของคมกริชที่แอบมาสังเกตการณ์อยู่ที่ด้านหลังเวทีอยู่ห่างๆ

     

    ภาสินีแยกกับอธิปที่ร้านข้าวต้มปลา คุณหนูคนสวยจอดรถแล้วลงไปเปิดประตูบ้าน ทันทีที่ก้าวลงจากรถหญิงสาวเกือบจะกรีดร้องด้วยความตกใจ เพราะมีมือปริศนากระชากข้อมือให้หันหน้าไปพบกับสีหน้าถมึงทึงของคมกริช

    "ตาบ้า ปล่อยนะ" พอรู้ว่าเป็นคมกริช ภาสินีค่อยโล่งใจและสะบัดมือออกจากการจับกุมทันที

    "ทีคู่หมั้นบอกให้ปล่อย ทีผู้ชายอื่นระริกระรี้" คมกริชตาวาวด้วยความโมโห

    "ใครคู่หมั้น ถอยไปฉันจะเข้าบ้าน"

    ภาสินีเมินหน้าหนี หันหลังไปเปิดประตูไม่ใส่ใจคมกริชที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย ท่าทีไม่สนใจความรู้สึกของเขายิ่งเพิ่มดีกรีความโกรธให้มากขึ้นไปอีก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากโมโหลมแล้งไปตามเรื่องตามราว

    เขาเข้าไปหาภาสินีที่ด้านหลังเวทีหลังจากที่เดินแบบเสร็จ และเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับอธิป ทีแรกว่าจะเข้าไปขัดแต่ก็ทำเฉยเพราะอยากรู้ว่า ยามที่เจ้าหล่อนอยู่กับชายอื่นจะมีจริตจะก้านแค่ไหน

    และแล้วคมกริชก็อยากจะโขกหัวตัวเองที่ทำใจเย็นไม่เข้าไปแสดงตัว เพราะในที่สุดภาสินีก็เดินออกไปกับอธิป แน่ล่ะว่าเขาไม่ปล่อยให้ทั้งสองคลาดสายตาแม้แต่น้อย ถึงจะไม่หิวข้าวต้มและรอนานเป็นชั่วโมงก็ตามที แต่ชายหนุ่มก็ทนนั่งอยู่ในรถเพื่อดูพฤติกรรมของทั้งคู่ จนกระทั่งหญิงสาวแยกตัวกลับบ้านจึงรีบบึ่งรถตามมาทันที

    “เข้ามาทำไม” ภาสินีเอ่ยถามเมื่อคมกริชก้าวเข้ามาในบ้าน

    “จะพบคุณหญิง” เขาพูดหน้าตาเฉย

    "นายจะพบคุณแม่ทำไม"

    "ไม่มีอะไร แค่จะปรึกษาว่าควรทำไงดีกับเรื่องฉาวโฉ่ของลูกสาว"

    "พูแบบนี้หมายความว่าไง” หญิงสาวย้อนถามด้วยความไม่พอใจ

    "ทำอะไรไว้ย่อมรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว" คมกริชยังไม่ลดละ

    "ฉันมีสติและรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร ไม่เหมือนคนบางคนที่ทำตัวเสียสติ ทำอะไรไม่รู้จักคิด ชอบทำตัวเป็นหมาบ้าอาละวาดกัดคนอื่นไปทั่ว ใช้ปากเห่าหอนกัดแทะคนอื่นตามอำเภอใจ หมาบ้าแบบนี้น่าจับไปทำลูกชิ้นหรือไม่ก็เอาไปตุ๋นขายพวกชอบเปิปพิสดารเสียให้เข็ด แต่ต้องบอกคนกินก่อนว่าระวังจะได้เชื้อบ้าเป็นของแถม"

    "ภาสินี" ชายหนุ่มร้องเรียกชื่อเธอด้วยความโมโหสุดขีด คว้าร่างเล็กที่ลอยหน้าลอยตาต่อว่าเข้ามาในอ้อมแขนทันที

    "จะทำอะไร ปล่อยฉันนะ" ภาสินีดิ้นหนีด้วยความตกใจ ตอนนี้ทุกคนในบ้านคงหลับกันหมดแล้ว แถมตรงนี้ก็มืดไม่มีไฟถ้าเขาคิดจะทำอะไรก็คงไม่มีใครมาช่วยได้แน่

    "กลัวทำไม เมื่อกี้ยังด่าฉันป่าวๆ อยู่เลย"

    เขาสัมผัสได้ว่าเจ้าหล่อนหวาดหวั่นยามอยู่ในอ้อมแขน ยิ่งทำให้คนชอบเอาชนะได้ใจเพิ่มขึ้นอีก

    "อย่าทำบ้าๆ นะ ปล่อย” เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนที่รัดแน่น

    คืนนี้คมกริชเป็นอะไรถึงได้กอดเสียแน่นขนาดนี้ ลมหายใจที่พัดผ่านแก้มสาวไปมาทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก

    เขาไม่ได้เมา ภาสินีไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ในลมหายใจที่อยู่ใกล้ ดังนั้นสิ่งที่คมกริชกระทำในเวลานี้มีสติเต็มร้อย มันยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีก เพราะเธอไม่เคยลืมรสจูบที่ร้อนแรงและดุดันของคนเอาแต่ใจในวันนั้นได้

    “ปล่อย” ภาสินีดันตัวเองออกห่าง

    แต่ยิ่งดันคมกริชก็ยิ่งรั้งและเบียดตัวเองเข้าไปหามากขึ้น จนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันคล้ายกับว่ากอดกันแนบแน่นด้วยความรัก

    “ฉันเป็นคู่หมั้นทำไมต้องไล่”

    “ใครบอกว่าฉันเป็นคู่หมั้นนาย” สาวน้อยสะบัดหน้าหนีเมื่อเขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ

    “รู้อยู่เต็มอกยังทำปากแข็ง ทีกับคู่หมั้นไล่แต่กับคนอื่นระริกระรี้เข้าหา ไม่ละอายใจบ้างหรือไง”

    จะโกรธจนต้องทำตัวร้ายก็เพราะแบบนี้ ทำไมทีกับเขา เป็นทั้งเพื่อนเล่นวัยเด็ก สถานะปัจจุบันคือคู่หมั้นที่ผู้ใหญ่เลือกให้ แทนที่ภาสินีจะพยายามเข้าหาให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น เปล่าเลย ทุกครั้งที่เจอมีมีอันต้องทะเลาะและจบลงด้วยต่างฝ่ายต่างโมโห

    "ปล่อย" ภาสินีร้องบอกเมื่อคมกริชกอดเธอนานเกินไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่คงไม่ดีแน่หากใครมาเห็นเข้า

    "ทำไมจะกอดไม่ได้" คมกริชยังไม่อยากปล่อย

    เขายิ่งรัดร่างนิ่มในอ้อมแขนมากขึ้นไปอีก เหมือนกับจะชดเชยเวลาที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบอาทิตย์ ใบหน้าคมซบลงมาที่บ่าบางของหญิงสาว หลบตาเบาๆ อย่างมีความสุข

    อ้อมกอดที่แสนอ่อนโยนของคมกริชเปรียบเสมือนความอบอุ่นที่ชโลมลงในหัวใจของสาวน้อย สองแขนกลมกลึงที่เคยอยู่เฉยขยับขึ้นมาโอบรัดแผ่นหลังที่แข็งแกร่ง ดวงตาคู่สวยหลับลงเบาๆ อย่างมีความสุขเช่นกัน

    แม้จะไม่มีคำพูดใดๆ ในเสี้ยววินาทีนี้ ทั้งภาสินีและคมกริชต่างพร้อมใจกันหยุดวาจาที่เชือดเชือนซึ่งกันและกันอย่างไม่ได้นัดหมาย กอดที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กันและกันอบอุ่นเสียจนไม่อาจบรรยายได้ และไม่อยากให้วินาทีที่มีคุณค่านี้หายไป

    "ปล่อยได้แล้ว" น้ำเสียงสาวน้อยอ่อนลง

    ภาสินีรู้สึกตัวว่าตกอยู่ในอ้อมกอดของคมกริชนานเกินไปแล้ว แก้มสาวร้อนวาบเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของกอดที่ค่อยๆ คลายอย่างอาลัยอาวรณ์

    "อย่างกับอยากถูกตัวนักนิ"

    คมกริชคนเดิมที่วาจาไม่รื่นหูกลับมาอีกแล้ว เขาปล่อยตามคำขอและปล่อยให้ภาสินีเปิดประตูรั้วเพื่อเอารถเข้าบ้าน

    "ต่อไปนี้ไม่ต้องคุยกับไอ้หมอนั่นอีกนะ" คมกริชเอ่ยเสียงดังฟังชัด มั่นใจว่าภาสินีเข้าใจสิ่งที่กำลังพูดอยู่

    "ไม่ต้องติดต่อหรือเจอกับมันอีก ไม่งั้นล่ะก็...”

    "ไม่ต้องมาขู่ ฉันมีสิทธิ์จะคุยหรือไปไหนกับใครก็ได้"

    "พูดแบบนี้แสดงว่าจะคุยกับมันต่อ ไม่จบแค่งานคืนนี้ใช่ไหม" คมกริชเดินตามมาที่รถของภาสินีอย่างไม่ลดละ

    "ฉันจะคุยกับใครก็ไม่เกี่ยวกับนาย ฉันไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งใคร ถอยไปนะฉันจะเข้าบ้าน" เจ้าหล่อนเปิดประตูรถเข้าไปนั่งสตาร์ทรถทันที

    "ลงมาพูดให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ ภาสินี ฉันสั่งให้เธอลงมา" คมกริชเคาะกระจกรถให้ลงมาพูดกันให้รู้เรื่อง

    ภาสินีไม่สนใจว่าคมกริชจะโกรธหน้าดำหน้าแดงแค่ไหน เร่งเครื่องเสียงดังส่งสัญญาณให้รู้ว่าถ้าไม่หลบพร้อมจะชนทันที สุดท้ายคมกริชได้แต่ยืนมองให้หญิงสาวขับรถเข้าบ้านไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ซ้ำยังเจ็บใจที่ใจอ่อนปล่อยเธอตามคำขอแทนที่จะบังคับให้รับปากตามสิ่งที่ต้องการเสียก่อน

    คอยดูเถอะ เขามีวิธีที่จะทำให้แม่ตัวดีพยศไม่ออก และรับรองว่าจะปฏิบัติการตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

     

    "อะไรนะคะ คุณแม่ หมั้นเหรอคะ" ภาสินีร้องเสียงหลง เมื่อได้ยินมารดาเอ่ยเรื่องสำคัญในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น

    "ไม่นะคะคุณแม่ แพทไม่หมั้นเด็ดขาด" บุตรสาวยืนกรานเสียงแข็ง

    "ทำไมล่ะลูก" คุณหญิงวิมลถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินคำตอบ แม้จะทำใจไว้แล้วว่าภาสินีจะต้องพูดคำนี้ แต่พอเอาเข้าจริงก็อดที่จะหนักใจไม่ได้

    "คนไม่ได้รักกันชอบกัน ไม่เคยคุยกันดีๆ สักครั้ง จู่ๆ จะหมั้นแล้วแต่งงานกัน มันจะอยู่ด้วยกันรอดเหรอคะ อีกอย่างแพทไม่เคยรู้สึกหรือคิดอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย"

    "ถ้าไม่คิดอะไร แล้วไปยืนกอดกันมืดๆ ค่ำๆ ทำไม" น้ำเสียงหญิงวัยกลางคนพอใจเป็นอย่างมาก นางไม่เข้าใจสิ่งที่บุตรสาวพูดซึ่งตรงข้ามกับการกระทำที่เป็นเรื่องใหญ่ในเวลานี้

    "คุณแม่" ภาสินีหน้าซีด หรือว่าเมื่อคืนนี้มารดาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหน้าบ้านทุกอย่าง ถึงเข้าใจว่าเธอกับเขาหัวใจตรงกันจึงคิดจะทำให้ทุกอย่างลงเอย

    "มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่เห็นนะคะ แพทไม่...” หญิงสาวพยายามจะอธิบาย

    "รู้ตัวใช่ไหมว่าทำอะไรลงไป" มารดาเอ่ยถามเสียงเรียบ ภาสินีก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้น

    "ป่านนี้คนทั้งหมู่บ้านคงรู้กันหมดแล้วว่า คุณหนูแพทคนสวยยืนกอดกับผู้ชายหน้าบ้านตัวเองค่ำๆ มืดๆ"

    "คุณแม่..." ภาสินีเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายไปถึงเพียงนี้

    "คุณนวลจะมาคุยกับแม่เช้านี้ ลูกควรอยู่ด้วยเพราะเป็นเรื่องของตัวเอง"

    "แม่ตื่นมาใส่บาตรตอนเช้ากรวดน้ำรับพรพระเสร็จ ก็มีข่าวลูกสาวคนสวยจากคนบ้านตรงข้ามทันที ถ้าไม่จัดการอะไรให้เรียบร้อย ต่อไปทุกเช้าแม่คงต้องตอบคำถามคนในหมู่บ้านจนกว่าเรื่องจะเงียบ หรือไม่ก็ตามแก้ข่าวที่ฟุ้งกระจายมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะยิ่งแย่ถ้าคุณพ่อกลับมาจากราชการแล้วรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเอง"

    ภาสินีก้มหน้านิ่งอย่างคนไม่มีทางเลือก เรื่องมาถึงขึ้นนี้เกินกว่าที่คิดไว้ เรียกว่าใหญ่เกินกว่าจะจัดการได้ อย่างไรเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่มีมายาวนานก็ต้องรักษาไว้ ส่วนคนที่เป็นต้นเรื่องของปัญหาทั้งหมดก็ต้องได้รับโทษเช่นกัน

     

    ในที่สุดภาสินีก็จำต้องปล่อยให้ทุกอย่างเลยตามเลย มารดาของเธอและคุณนวลตกลงให้มีการหมั้นหมายให้เร็วที่สุด ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอและคมกริชจะต้องเตรียมตัวเป็นคู่หมั้นอย่างเป็นทางการกันในไม่ช้านี้

    ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มใจแต่ภาสินีก็ไม่มีทางเลือก และดูเหมือนว่าคนที่มีความสุขที่สุดในเรื่องนี้ ก็คือคมกริชที่นั่งยิ้มยอมรับทุกอย่างแต่โดยดีไม่มีการคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น

    "มาทำไม"

    ภาสินีเงยหน้าขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องทำงาน ทันทีที่เห็นว่าที่คู่หมั้นเดินเข้ามาสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมาทันที

    "แม่ให้เอาของมาให้เลือก" เขาวางกล่องกำมะหยี่สีแดงลงตรงหน้า

    "เอากลับไปซะ ฉันจะทำงาน" หญิงสาวไม่สนใจกล่องกำมะหยี่สีแดงที่วางอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย

    "ฉันทำตามคำสั่งแม่ คือเอามาให้เธอเลือก เพราะฉะนั้นเธอต้องเลือก" คนถือคำสั่งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

    "เธออยู่ในการดูแลของฉันแล้ว เพราะฉะนั้นฉันสั่งหรือพูดอะไรกรุณาฟังและทำตามด้วย"

    "ฉันไม่ใช่นักโทษที่ต้องฟังคำสั่งผู้คุม"

    "เลิกทำตัวเรื่องมากเสียทีเถอะ ฉันให้ทำอะไรก็ทำซะ จะได้ไม่ต้องมาเถียงกันให้เสียเวลาแบบนี้" คมกริชพูดพลางถอนหายใจเบาๆ

    เขาเองก็เหนื่อยที่จะต้องปะทะฝีปากกับเจ้าหล่อนแล้ว เรื่องคืนนั้นคมกริชยอมรับอย่างลูกผู้ชายและยินดีแก้ไขทุกอย่างให้ถูกต้อง แต่ไม่ต้องการมีคู่หมั้นที่พูดไม่รู้เรื่องและดันทุรังเอาแต่ใจ เช่นที่ภาสินีทำตัวอยู่ในเวลานี้

    ดังนั้นจะต้องหาทางจัดการให้คู่หมั้นสาวอยู่ในโอวาทและคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่อะไร เพื่อให้ชีวิตต่อจากนี้สงบสุขขึ้นนั่นเอง

    "ถ้าไม่อยากเถียงก็ไม่ต้องหมั้นกับฉันซิ" ภาสินีคิดหาทางออกที่จะไม่ต้องหมั้น

    เธอไม่รู้ว่าคมกริชคิดอย่างไรเรื่องการหมั้น แต่สำหรับตัวเธอนั้น การหมั้นที่เกิดจากความรับผิดชอบ เงื่อนไขทางสังคมและหน้าตาของวงศ์ตระกูล ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นหากทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการหมั้นขึ้นได้ ภาสินีก็พร้อมจะทำทุกทาง

    "คิดเหรอว่าอยากหมั้นด้วย ถ้าไม่มีเรื่องนี้ แม่ก็ต้องเอาเธอใส่พานมาให้อยู่ดี" คมกริชพูดอย่างเป็นต่อ

    "อะไรนะ" ภาสินีหันขวับมองหน้าเขาทันที

    "พอมีเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ทำให้เราต้องหมั้นกันเร็วขึ้นเท่านั้น"

    "แล้วที่ยอมหมั้นนี่ล่ะ เพื่ออะไร”

    “ก็บอกแล้วไงว่า ถ้าไม่มีเรื่องนี้เราก็ต้องหมั้นกันอยู่ดี”

    “แสดงว่าถ้าไม่มีเรื่องบ้าๆ นี้ คุณป้าไม่บังคับคุณว่าให้หมั้นกับฉัน คุณก็ไม่ได้ต้องการให้มันเกิดอยู่แล้วใช่ไหม” แววตาของสาวน้อยเปล่งประกายขึ้นมาทันที ทางออกที่สวยงามน่าจะรออยู่ตรงหน้าแล้ว

    "งั้นเรามาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักครั้งดีไหม”ภาสินียิ้มหวาน เป็นยิ้มหวานแรกที่มอบให้ด้วยความเต็มใจ

    "คุยอะไร" คมกริชงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของภาสินีเหลือเกิน เจ้าหล่อนเป็นอะไรไปอีกล่ะ

     

    "ใช้สมองหรือใช้อะไรคิด" ชายหนุ่มเอ่ยออกมาคำแรกหลังจากที่ฟังข้อเสนอของภาสินีจบลง

    "นี่คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้ว" หญิงสาวยืนกรานความคิดเดิมของตน

    "หมั้นสักสามเดือนแล้วค่อยถอนหมั้น จัดงานเราก็ไม่ต้องบอกใครนอกจากคนในครอบครัว"

    ข้อเสนอที่ภาสินีต้องการก็คือ จัดงานหมั้นอย่างเงียบๆ พอให้เป็นพิธี แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยถอนหมั้นแล้วต่างคนต่างไปซะ เรื่องราวที่กำลังทำให้ร้อนใจคงสงบลงและไม่มีใครพูดถึง ทั้งเธอและเขาต่างเป็นอิสระไม่ผูกมัดกัน

    "ไม่คิดถึงหน้าตาพ่อแม่ตัวเองบ้างหรือไง หมั้นสามเดือนยังไม่ทันทำอะไรก็เลิกเสียแล้ว จะเสียเงินจัดงานใหญ่โตทำไมกัน"

    เขาไม่คิดว่าจะทำตัวเป็นเด็กเล่นขายของอย่างที่ภาสินีพูด หมั้นคือหมั้น ไม่หมั้นคือไม่หมั้น ไม่มีการทำอะไรตามอำเภอใจเด็ดขาด ว่าไปคมกริชก็ไม่คิดว่าหญิงสาวจะมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวสมอง

    ก่อนหน้านี้คุณหญิงวิมลเรียกชายหนุ่มไปพบ เพื่อเจรจาฝากฝังลูกสาวแสนดื้อคนนี้ให้ดูแล นางห่วงว่าความสัมพันธ์ที่คลอนแคลนมาแต่ไหนแต่ไรของทั้งสอง จะทำให้ทุกอย่างอับปางก่อนเวลาอันควร

    คมกริชรับปากคุณหญิงวิมลแล้วว่าจะพยายามประคับประคองทุกอย่างไว้ให้มากที่สุด พร้อมกับปรับใจปรับความรู้สึกของตนเองว่า โชคชะตาคงลิขิตแล้วให้เขาและภาสินีเกิดมาคู่กัน

    ดังนั้นจึงพยายามทำความเข้าใจและสร้างความคุ้นเคยกับว่าที่คู่หมั้นให้มากที่สุด แต่ที่ไหนได้เจ้าหล่อนกลับมีนิสัยเด็ก ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพายเหมือนเดิม

    "ไม่อยากหมั้นก็ไม่ต้องหมั้น แต่ถ้าหมั้นแล้วจะไม่มีการถอนหมั้นเด็ดขาด และถ้าต้องการแบบไหนก็ไปพูดกับผู้ใหญ่เอง ยังมีเวลาเหลือพอจะแก้ไขทัน" คมกริชยืนยันหนักแน่น

    "นาย..." ภาสินีสะบัดหน้าหนีด้วยความขัดใจ

    รู้ดีว่าจะไม่มีการยกเลิกการหมั้นเด็ดขาด มารดาประกาศชัดแล้วว่าทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นตามที่ผู้ใหญ่เห็นสมควร หน้าที่ของเธอคือเตรียมตัวเข้าพิธีหมั้นกับคมกริชเท่านั้น

    "แล้วนายจะเอาไง อย่าบอกนะว่าพิศวาสอยากอยู่กับฉันตลอดชีวิต"

    "เรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ" คมกริชสวนกลับทันควัน

    "ฉันทำตามที่แม่ต้องการ แต่งงานหาสะใภ้ที่แม่รักนักรักหนาเข้าบ้าน จะไม่มีการพูดเรื่องเลิกเรื่องหย่าอะไรทั้งนั้น"

    "ไอ้คนเห็นแก่ตัว" หญิงสาวสุดจะทนกับคำพูดบาดใจของอีกฝ่ายเหลือเกิน

    คมกริชเห็นเธอเป็นตัวอะไร ทำกับเธอแบบนี้ได้อย่างไร ภาสินีปราดเข้าไปทุบตีคนพูดไม่เข้าหูด้วยความโมโห

    "นายมันเห็นแก่ตัวที่สุด ฉันเกลียดนาย ฉันเกลียดนาย"

    เป็นใครก็คงต้องรู้สึกเหมือนภาสินี เพราะคมกริชทำให้รู้สึกเหมือนด้อยค่า เป็นตัวอะไรสักอย่างที่เขาอยากจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ ไม่มีสิทธิ์เลือกไม่มีสิทธิ์คิดและตกอยู่ใต้เงื้อมมือคนใจร้ายไปตลอดชีวิน

    "ทำบ้าอะไรของเธอ" คมกริชรวบมือทั้งสองที่ทุบตีตนไว้

    ใบหน้าสวยมีน้ำใสคลอเต็มสองเบ้าตา ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกด้วยความน้อยใจและโมโห คมกริชถอนหายใจเบาๆ ควบคุมอารมณ์ตนเองให้สงบและเย็นขึ้น ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า

    "เป็นผู้หญิงถ้าถูกถอนหมั้นก็มีแต่จะถูกคนดูถูก ดีไม่ดีก็จะว่ามาถึงครอบครัว อยากให้แม่ตัวเองเอาปี๊ปคลุมหัวหรือไง"

    "ก็เพราะนายไง นายทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้ ถ้าคืนนั้นนายไม่ตามฉันไปที่บ้าน ไม่ทำทุเรศๆ แบบนั้น ก็จะไม่เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น ฉันผิดเหรอ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด แต่กลับต้องมาหมั้นกับนาย ทั้งๆ ที่รู้ว่านายเกลียดฉันแค่ไหน" ภาสินีสะอื้น

    "ฉันยังไม่เคยพูดสักคำว่าเกลียด"

    "แต่ก็ไม่เคยพูดดีๆ กับฉัน ทุกครั้งที่เจอหน้ามีแต่หาเรื่องว่า"

    "วันนั้นแค่กอดทำให้ต้องหมั้น แล้ววันก่อนที่จูบล่ะ แบบนี้ต้องแต่งเลยไหม" คมกริชยังมีแก่ใจหยอกเย้า มือข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาให้อย่างถนอม

    "ไอ้บ้า ไอ้คนผีทะเล" สาวน้อยหน้าแดงก่ำทุบไปที่อกแกร่งไม่ยั้ง

    "ก็บอกแล้วไงถ้าไม่มีเรื่องนี้ แม่ฉันก็ต้องหาทางเอาเธอใส่พานมาให้อยู่ดี สรุปก็คือหมั้นตอนนี้หรือตอนไหนเธอก็ต้องแต่งงานกับฉัน เข้าใจไหม หยุดร้องไห้ได้แล้ว"

    "หยุดร้องไห้แล้วเลือกของซะ ฉันจะได้เอากลับไปคืนคุณแม่"

    "ไม่ ฉันไม่ทำอะไรทั้งนั้น" สาวน้อยส่ายหน้า

    ภาสินีเดินหนีมาสงบสติอารมณ์เพียงคนเดียวที่มุมห้อง พยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเองเดินต่อได้ คมกริชเข้าใจและให้เวลาหญิงสาวได้สงบสติอารมณ์ตัวเองสักพักก่อนจะเอ่ยว่า

    "ถ้างั้นฉันเลือกให้เองก็ได้ ไม่สวยก็อย่ามาว่ากันนะ"

    ภาสินีไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้คมกริชเลือกเครื่องประดับในกล่องกำมะหยี่ตามสบาย เขาเปิดทีละกล่องขึ้นมาดูว่าสิ่งใดเหมาะสมกับคู่หมั้นสาว เมื่อเลือกได้แล้วจึงเดินไปจับมือหญิงสาวมาลองสวมใส่ โดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรนอกจากยืนนิ่งๆ ให้เขาลองชุดโน้นเปลี่ยนชุดนี้ตามสบายใจ

    ท่าทีใส่ใจและสายตาที่มองอย่างชื่นชม ทำให้ภาสินีเริ่มไม่เข้าใจเลยว่า คมกริชทำเช่นนี้เพราะรักษาหน้าตาตัวเองในสังคม หรือเพราะอยากให้เธอเป็นคู่หมั้นที่สวยสมกับเขากันแน่

    ในที่สุดคมกริชก็เลือกเครื่องประดับที่เหมาะกับว่าที่คู่หมั้นสาวได้ เขาให้ภาสินีเก็บเครื่องประดับชุดนี้ไว้ใส่วันงาน ก่อนจะกลับออกไปชายหนุ่มพิจารณาดูหน้าตาของหญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะพูดในสิ่งที่ภาสินีไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินจากปากเขา

    “กลับไปจะบอกแม่ให้ว่าไม่ต้องให้ช่างแต่งหน้าหนามาก ฉันอยากเห็นความสวยตามธรรมชาติที่ติดตัวมา ซึ่งสวยไม่แพ้ใครอยู่แล้ว”

    ว่าแล้วเขาก็ส่งยิ้มหวาน ก้มลงมาหอมแก้มสาวเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะเดิมร้องเพลงมีความสุขออกไป ทิ้งให้ภาสินียืนงงกับท่าทีของคมกริช ที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตกอยู่ในความฝันอย่างไรอย่างนั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×