ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แรงรักเพลิงเสน่หา

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 66


    บ้านประวันวิทย์

    เกือบเที่ยงคืนลูกชายคนโตของบ้านเพิ่งจะกลับมา ชโยดมเดินร้องเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแม้ว่าตลอดทั้งวันมานี้ จะต้องนั่งอยู่แต่ในห้องประชุม เพื่อตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่างๆ ของบริษัท

    “ตาใหญ่” คุณหญิงประภาร้องเรียกบุตรชาย ที่กำลังก้าวขึ้นบันไดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดีใจ

    “ครับ คุณแม่” ชโยดมหันไปมองตามเสียง และตรงเข้ามาหามารดาที่ยืนยิ้มหวานอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน

    “ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะครับ หรือว่าคุณแม่อยากได้อะไร เดี๋ยวผมลงไปเอามาให้”

    นี่แหล่ะ นิสัยช่างเอาใจใส่สนใจคนรอบข้างของชโยดม เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวใจคนเป็นแม่ชุ่มชื่นแล้ว

    “แม่ไม่อยากได้อะไรหรอกจ้ะ รอเจอลูกแค่นั้นแม่มีเรื่องอยากจะบอก” หญิงวัยกลางคนจับมือบุตรชายคนโตไว้ แล้วก้าวเดินไปพร้อมๆ กันเพื่อไปส่งที่หน้าห้องนอนซึ่งอยู่อีกด้านของบ้าน

    “คุณแม่มีอะไรจะคุยกับผมหรือครับ เรื่องสำคัญมากหรือไงครับถึงต้องรอจนดึกดื่นขนาดนี้”

    ชโยดมประคองมารดาก้าวเดินไปด้วยกันอย่างช้าๆ แม้จะสงสัยว่าเรื่องอะไรที่ทำให้คุณหญิงประภาต้องพูดในคืนนี้ แทนที่จะเข้านอนพักผ่อนแล้วจึงบอกกล่าวกันในวันรุ่งขึ้น แสดงว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ

    “พรุ่งนี้แม่จะพาเลขาคนใหม่ไปช่วยงานลูกที่บริษัทนะ”

    “เลขา ผมก็มีเลขาอยู่แล้วนี่ครับ ทำไมคุณแม่ต้องหาเลขามาให้เพิ่มด้วย” ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ

    “มีแล้วก็มีเพิ่มได้นี่ลูก แล้วเลขาคนนี้ลูกก็ไม่ต้องให้ทำงานอะไรมากนะ แค่ให้ชงกาแฟไปกินข้าวด้วยแล้วก็ไปรับไปส่งกลับบ้านแค่นั้นพอ” หญิงวัยกลางคนพูดไปยิ้มไป จินตนาการอย่างมีความสุขถึงภาพที่คิดฝันระหว่างบุตรชายกับสาวน้อยหน้าหวานคนนั้น มันช่างเป็นเรื่องที่วิเศษอะไรเช่นนี้

    “เดี๋ยวครับคุณแม่ มีที่ไหนทำกันไปรับไปส่ง ใช้งานแค่ให้ชงกาแฟกับกินข้าวด้วย คุณแม่ล้อผมเล่นใช่ไหม” ชโยดมไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาพูด

    ตามปกติแล้วคุณหญิงประภาและเจ้าสัวบรรพตไม่เคยก้าวก่ายการทำงานของเขา นับจากวันที่บิดามารดามอบหมายภาระหน้าที่ให้สองพี่น้อง สืบสานต่อกิจการที่ทั้งคู่ก่อร่างสร้างมันขึ้นมากับมือ

    แต่ครั้งนี้แปลก ที่จู่ๆ มารดาก็ใช้เส้นใหญ่พิเศษที่ไม่เคยทำมาก่อน บอกให้เขารับเลขาใหม่และเป็นเลขาที่แสนพิเศษเสียด้วย มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ชโยดมชักรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยเสียแล้ว

    “ก็แม่บอกแล้วไงว่าเลขาคนนี้พิเศษ ตาใหญ่ของแม่มีหน้าที่ทำความรู้จักและสนิทสนมให้มาก ความจริงไม่ต้องให้ทำงานอะไรเลยก็ได้นะ ดูก่อนแล้วกันว่าหนูนุชอยากทำอะไร”

    “หนูนุช ใครกันครับคุณแม่”

    ชื่อใหม่ที่ไม่คุ้นหู หรือจะเป็นลูกท่านหลานเธอคนไหนที่สนิทสนมกับมารดาเป็นพิเศษ จนถึงขั้นที่ฝากงานให้กันได้และไม่ต้องทำงานใดๆ เหมือนเช่นพนักงานคนอื่น

    “หนูชมพูนุช พิมพ์รักษา ลูกสาวเพื่อนเก่าคุณพ่อจ้ะ” มารดาเฉลย

    “แล้วไงครับ อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี้คุณแม่ใช้เส้นสายรับฝากลูกเพื่อนเข้ามาทำงานในบริษัทเรา” ชโยดมถึงบางอ้อ

    “ใครบอก หนูนุชคนนี้คือคนที่คุณพ่อกับแม่เห็นตรงกันว่า จะพามาให้ลูกทำความรู้จัก เพื่อรอฤกษ์ดีที่จะจัดการแต่งงานให้”

    “คุณแม่” บุตรชายอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าหนูนุชคนนี้เป็นใคร

    “ทำไม ตกใจใช่ไหม” คุณหญิงประภาอมยิ้ม

    “คิดไม่ผิดว่าลูกต้องตกใจแน่ถ้ารู้เรื่องนี้ ดังนั้นเราจึงคิดว่าจะให้ลูกและหนูนุชได้ทำความคุ้นเคยกันก่อน จากนั้นจึงค่อยหาฤกษ์ดีสวมแหวน”

    “คุณแม่ครับ เรื่องนี้ผมว่ามัน เอ่อ คือ ผมไม่พร้อม” ชโยดมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ทุกอย่างมันกะทันหันไปหมด แถมเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดในชีวิตเลยด้วยซ้ำว่า บิดาและมารดาจะใช้การคลุมถุงชนให้เขาแต่งงาน

    “ผมยังไม่อยากคิดเรื่องแต่งงานตอนนี้ อยากทำงานที่บริษัทให้อยู่ตัวเสียก่อน อีกอย่างผมกับหนูนุชอะไรของคุณแม่ ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนไม่รู้ว่าเราสองคนจะเข้ากันได้ไหม นิสัยแต่ละคนเป็นไง ถ้าเกิดว่าผมไม่โอเคหรือฝ่ายโน้นไม่โอเค คุณพ่อกับคุณแม่จะมีปัญหาทีหลังหรือเปล่า” ชโยมดมนึกเหตุผลเท่าที่นึกได้มาแก้ขัดไปก่อน

    เขายังไม่พร้อมสำหรับคำว่าครอบครัว ที่สำคัญเวลานี้หัวใจของท่านประธานหนุ่มก็ไม่พร้อมที่จะมอบให้ใครอีกแล้ว

    “แม่เข้าใจ แต่แม่ก็มั่นใจว่าปัญหาไม่มีแน่ หนูนุชเป็นเด็กน่ารักนิสัยดี ถ้าตาใหญ่ของแม่เห็นและได้ทำความรู้จัก จะต้องไม่ปฏิเสธเรื่องการแต่งงานแน่” คุณหญิงประภามั่นใจ

    “แต่ว่าคุณแม่ครับ ผม...”

    “เอาล่ะจ้ะ ดึกมาแล้ว ลูกไปพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทแม่จะพาหนูนุชไปหา และลูกต้องดูแลหนูนุชเป็นอย่างดีนะ เข้าใจไหม” หญิงวัยกลางคนยิ้มหวานทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น แล้วหันหลังเดินกลับไปที่ห้องนอนด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

    ในขณะที่ชโยดมยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก คิดหาวิธีที่จะเตรียมรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้โดยเร็วที่สุด

     

    ชโยดมนอนไม่หลับและร้อนใจที่จะคิดหาทางออกในเรื่องคลุมถุงชนให้เร็วที่สุด เขาไม่เข้าไปพักผ่อนในห้องอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่กลับเดินลงมาจากตึกใหญ่มุ่งหน้าสู่เรือนเล็กด้านข้างในทันที

    “นายเล็ก” ชโยดมเปิดประตูเข้าไปแล้วร้องเรียกน้องชายที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์

    “ทำไมมาดึกจังครับ พี่ใหญ่” ศิวนาถหันหลังมาทักทายพี่ชายที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    “นายยังไม่นอนใช่ไหม”

    ทันทีที่เห็นว่าน้องชายยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอน บวกกับความกลัดกลุ้มที่อยู่ในอกทำให้ชโยดมไม่พูดพล่ามทำเพลงใดๆ เดินตางไปที่ครัวด้านในของบ้าน จัดการเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์เย็นๆ ออกเปิดแล้วกระดกลงคออย่างรวดเร็ว

    “โอ้โห พี่ชายผมเป็นอะไรไปวันนี้ จู่ๆ ก็ลงมาหากลางดึกซ้ำยังเปิดเบียร์ซดโดยไม่พูดอะไรสักคำอีกด้วย หุ้นตกหรือไงครับพี่” ศิวนาถล้อเล่นตามประสา

     เจ้าของบ้านลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินมาเปิดตู้เย็นหยิบกระป๋องเบียร์ออกมาเปิดแล้วยกจิบอย่างสบายอารมณ์

    “นายจะนอนหรือยัง ถ้าง่วงก็ไปนอนก่อน ฉันขอนั่งเงียบๆ ตรงนี้ รับรองว่าจะไม่ทำเสียงดังรับกวนการพักผ่อนของนายแน่” ชโยดมกระดกกระป๋องเบียร์ดื่มด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

    เรื่องหนักอกที่มารดาเพิ่งจะทิ้งไว้ให้คือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ ชโยดมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองตอนนี้ดี ทางเดียวที่จะระบายความกลัดกลุ้มนี้ได้ก็คือมาที่เรือนเล็กของน้องชายสุดที่รัก มาหาอะไรเย็นๆ ดื่มแก้เครียด หรือถ้าโชคดีศิวนาถอาจมีหนทางดีๆ ช่วยเหลือก็ได้

    “ก็พอคุยได้” น้องชายนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ถึงได้สังเกตเห็นสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียดของพี่ชายได้อย่างชัดเจน

    “เป็นอะไรไป พี่ใหญ่”

    “เมื่อกี้พี่เจอคุณแม่” ชโยดมพูดพลางยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบอึกใหญ่ แล้วเอ่ยต่อว่า

    “จู่ๆ คุณแม่ก็บอกว่าพรุ่งนี้จะพาคนมาให้ทำความรู้จัก แล้วจะให้พี่แต่งงานด้วย”

    “เฮ้ย...” ศิวนาถแทบจะสำลักเบียร์เย็นๆ ที่กำลังจิบอยู่

    “ว่าไงนะ แต่งงานกับคนที่จะพามาพรุ่งนี้”

    เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พี่ชายพูด แต่ดูจากสีหน้าและท่าทีเวลานี้แล้ว เห็นทีว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงแน่ เกิดอะไรขึ้นกับมารดาของทั้งคู่

    ปกติแล้วคุณหญิงประภาไม่เคยวุ่นวายก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของบุตรชายแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเอ่ยปากถามว่าเมื่อไรจะลงเอยแต่งงานมีครอบครัว ไม่เคยแม้แต่จะถามสักคำด้วยซ้ำว่า ข่าวซุบซิบตามหน้าหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ความจริงคืออะไรหรือใครคือตัวจริง หรือคนในข่าวคือคนที่ใช่สำหรับพวกเขาหรือเปล่า

    แต่วันนี้สิ่งที่ชโยดมพูด มันตรงข้ามกับสิ่งที่มารดาเคยเป็นมาแต่ในอดีต แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับความคิดที่เปลี่ยนไป หรือว่านางอาจจะอยากเห็นลูกชายมีครอบครัว มีหลานตัวน้อยให้อุ้มเล่นเหมือนเช่นครอบครัวอื่น

    สิ่งที่แปลกอีกอย่างก็คือ การคลุมถุงชน นี่ซิ คือเรื่องแปลกและถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ศิวนาถไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น

    “คุณแม่บอกว่าให้ทำความรู้จักให้สนิทกันไว้มากๆ แล้วจะรีบหาฤกษ์แต่งงานให้เร็วที่สุด” ชโยดมกลุ้มจนพูดไม่ออก ทำได้แค่ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้งแล้วถอนหายใจดังๆ

    “แล้วพี่บอกคุณแม่ไปว่าไง” น้องชายอยากรู้ท่าทีที่เกิดขึ้น

    “บอกว่าไม่พร้อม อยากทำงานที่บริษัทให้ดีแต่คุณแม่ก็ไม่ฟัง ยืนยันท่าเดียวว่าพรุ่งนี้จะพาผู้หญิงคนนั้นมา” สีหน้าและน้ำเสียงคนพูดกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด

    ชโยดมนึกโมโหตัวเองไม่น้อย เมื่อครู่เขาน่าจะบอกมารดาไปตรงๆ เลยว่า ไม่ต้องการให้พาใครมาวุ่นวายด้วยทั้งนั้น เพราะในเวลานี้หัวใจมีเจ้าของและพร้อมจะพามาเปิดตัวให้ทุกคนรู้จัก แต่ความตกใจทำให้นึกคำพูดที่จะพูดไม่ออก ซ้ำยังถูกมัดมือชกจนดิ้นไม่หลุดด้วย

    “แล้วพี่จะทำไงต่อ” ศิวนาถรอฟังว่าพี่ชายจะว่าอะไร

    เขานึกถึงตัวเองอย่างไรไม่รู้ ถ้ามารดาจัดการให้พี่ชายลงเอยตามที่ต้องการได้สำเร็จโดยง่าย ไอ้การคลุมถุงชนเช่นนี้มันจะมาถึงชีวิตตนด้วยหรือไม่

    ศิวนาถไม่พร้อมสำหรับการมีครอบครัว ไม่พร้อมที่จะต้องดูแลใคร ไม่อยากมีใครติดสอยห้อยตามเป็นเงาตามตัว ไม่ได้การแล้ว มันต้องไม่เกิดขึ้นกับเขาเป็นอันขาด

    “ฉันยังไม่รู้” ชโยดมส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจอีกครั้ง

    ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องไม่ต้องการถูกคลุมถุงชนแค่นั้น แต่มันมีปัญหาใหญ่ที่มากกว่านั้นก็คือ เขาจะบอกเรื่องนี้กับคนที่รักสุดหัวใจว่าอย่างไร ชโยดมไม่มีทางที่จะพูดเพื่อทำให้เธอเสียใจแน่ แต่หากมารดาพาผู้หญิงคนนั้นมาที่บริษัทจริงในวันพรุ่งนี้ จะใช้วิธีไหนทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้น

    “ใจเย็นๆ พี่ใหญ่ มันต้องมีทางออก” ศิวนาถสงสารและเห็นใจพี่ชายเหลือเกิน

    “ทางออกทางไหนล่ะ นายเล็ก” พี่ชายย้อนถาม

    “ผมก็ไม่รู้แต่ว่ามันต้องมีทางอื่นซิ แล้วผู้หญิงที่คุณแม่จะให้พี่แต่งงานด้วยคือใคร”

    “เห็นบอกว่าเป็นลูกสาวเพื่อนเก่าคุณพ่อ ชื่อน้องนุช ชมพูนุช พิมพ์รักษา” ชโยดมเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นหน้าแต่ถูกหมายตาให้เป็นคู่ชีวิตในอนาคตเสียแล้ว

    “ชมพูนุช พิมพ์รักษา” ศิวนาถพึมพำชื่อนี้ในลำคอ รู้สึกคุ้นหูอย่างไรไม่รู้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

    ศิวนาถนึกชื่อที่ได้ยินจากปากพี่ชายว่าคุ้นหูแค่ไหน ใช่แล้ว เขานึกออก ชมพูนุช พิมพ์รักษา ผู้หญิงของจรัล เพื่อนรักที่หนีรักคุดไปอยู่ไกลถึงเชียงใหม่ ชายหนุ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ทั้งจากที่เพื่อนรักเล่า อะไรมันจะโลกกลมขนาดนี้

    ชมพูนุช พิมพ์รักษา ผู้หญิงที่ใช้ตัวเองแลกกับเงินสิบล้านเพื่อหมั้นกับลูกชายของผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ใครจะคิดว่าครอบครัวที่จรัลคร่ำครวญว่าพรากความรักของเขาไป ก็คือครอบครัวประวันวิทย์ของตน และคู่หมั้นสิบล้านของแม่ผู้หญิงหน้าเงินคนนี้ก็คือพี่ชายสุดที่รักของเขานั่นเอง

    ไม่ได้การแล้ว ทีแรกศิวนาถว่าจะไม่ยุ่งและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของมารดาจัดการกับพี่ชายเอง แต่พอมาถึงเวลานี้ไม่ยุ่งไม่ได้ เพราะเขาจะไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงหน้าเงินที่ไร้ศักดิ์ศรีคนนี้ มาเกี่ยวข้องกับครอบครัวเป็นอันขาด

    ที่สำคัญศิวนาถคนนี้แหล่ะ จะกระชากหน้ากากหน้าเงินของเธอออกมาให้โลกรู้ ทั้งมารดา ทั้งจรัล ต้องได้รู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อชมพูนุชคนนี้ หัวใจหน้าเงินแค่ไหน

    “ฉันไม่ต้องการแบบนี้” ชโยดมบอกตามตรง

    หัวใจเขามีคนอื่นครอบครอง ความรักที่สร้างขึ้นมาโดยไม่มีใครรู้เพียงรอเวลาที่เหมาะสมจะมาพังเพราะการคลุมถุงชนนี้ไม่ได้ ชโยดมไม่ยอมให้เรื่องนี้ทำร้ายหัวใจและความรักของตนกับเธอแน่

    “พี่ก็ต้องพูดกับคุณแม่” ศิวนาถเสนอทางออกแรกที่ง่ายที่สุดให้ บางทีมารดาอาจยอมรับฟังและล้มเลิกความต้องการนี้ก็เป็นได้

    “พูดไปก็เท่านั้น คุณแม่ไม่ฟังหรอก อวยพรให้นายไม่เจออย่างฉันนะ นายเล็ก แต่ฉันจะไม่ยอมถูกจับแต่งงานเด็ดขาด” ชโยดมยกกระป๋องชูขึ้นเหนือศีรษะ หันมาส่งยิ้มให้น้องชายด้วยแววตาแสนกลัดกลุ้ม ก่อนจะกระดกเบียร์ในกระป๋องลงคอรวดเดียวหมด

    “พี่จะทำอย่างไรต่อไป”

    “หนีไปให้ไกล ไม่ให้คุณแม่จับแต่งงานได้ ชีวิตฉันทั้งชีวิตนะนายเล็ก ฉันควรได้เลือกเองซิถึงจะถูก”

    น้อยครั้งที่จะเห็นพี่ชายขัดใจความต้องการของบิดามารดา น้อยครั้งที่จะเห็นท่าทีกลัดกลุ้มหรือเสียใจของชโยดม ศิวนาถเข้าใจความรู้สึกและเห็นใจพี่ชายสุดที่รักเหลือเกิน เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ชโยดมปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้คืออะไร

    แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจก็คือคงไม่มีใครอยากถูกบังคับ หรือถูกกำหนดการเลือกคู่ของตนเองเป็นแน่ เขาเองก็คนหนึ่งที่จะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้แน่

    “การหนีไม่ใช่ทางออก คิดดูซิว่าพี่จะหนีไปได้ไกลแค่ไหน และถ้าพี่หนีเกิดมีครอบครัวขึ้นมา เมียพี่ ลูกพี่อีกล่ะ ปัญหาอะไรจะตามมาอีก”

    “มันก็จริงของนาย” ชโยดมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

    ไม่ต้องรอให้เขาพบครอบครัวหรอก ตอนนี้ต่างหากผู้หญิงที่รักจะทำอย่างไร ความรักแสนลับจะต้องไม่เป็นความลับอีกต่อไป หรือบางทีนี่อาจเป็นเวลาเหมาะสม ที่ชโยดมจะประกาศให้ทุกคนในครอบครัวรู้ว่า ผู้หญิงที่รักและร่วมชีวิตด้วยนั้นคือใคร

    ปัญหาเดียวที่กังวลและทำให้ต้องคิดทบทวนตลอดมาก็คือ บุพการีทั้งสองจะรับได้หรือไม่ หากว่าศรีสะใภ้นั้นเป็นแค่...

    “แต่มันก็พอมีวิธี” ศิวนาถขัดขึ้นมากะทันหัน เพราะสงสารพี่ชายและไม่อยากได้ผู้หญิงหน้าเงินมาเกี่ยวดองด้วย บางทีงานนี้จำเป็นต้องช่วยชโยดมให้รอดพ้นจากบ่วงนี้

    “วิธีอะไร” ชโยดมถามด้วยความสนใจ

    “บอกแล้วพี่จะทำได้เหรอ”

    “ต่อให้บุกน้ำลุยไฟถ้าทำให้พี่ไม่ต้องเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ นายว่ามาเลย นายเล็ก ต้องทำอย่างไร” น้ำเสียงที่มุ่งมั่นและแววตาที่เด็ดเดี่ยวของชโยดม ทำให้ศิวนาถค่อยๆ บอกวิธีเสี่ยงที่จะเลี่ยงการแต่งงานครั้งนี้ และหวังว่ามันน่าจะมีผลช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่มากก็น้อย

     

    อาคารพีวีมอลล์กรุ๊ปจำกัด

    รถของบ้านประวันวิทย์ไปรับชมพูนุชแต่เช้า เพื่อเดินทางมาพบชโยดมตามที่ตกลงกันไว้แต่แรก คุณหญิงประภาพาหญิงสาวแนะนำให้ทุกคนในบริษัทรู้จัก พร้อมกับบอกให้รู้เป็นนัยว่าสาวน้อยหน้าหวานคนนี้คือบุคคลพิเศษที่ในอนาคตจะมาเกี่ยวพันกับครอบครัว

    “เหนื่อยไหมจ้ะหนูนุช” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มในระหว่างที่ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นทำงานของชโยดม

    “ไม่ค่ะ”

    ชมพูนุชพูดเพียงแค่นั้นแล้วก้มหน้า พยายามบอกตัวเองว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อครอบครัวเท่านั้น แม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็ตามที แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้ว

    คุณหญิงประภาเดินนำชมพูนุชมาที่หน้าห้องประธาน สาวน้อยหน้าแฉล้มที่นั่งอยู่หน้าห้องรีบลุกขึ้นทำความเคารพ และเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อไปรายงานให้คนที่อยู่ในห้องรู้

    “ไม่ต้องจ้ะญาดา เดี๋ยวฉันเข้าไปหาตาใหญ่เอง นี่คุณชมพูนุชจะมาเป็นเลขาส่วนตัวของตาใหญ่ ต่อไปมีอะไรให้บอกคุณชมพูนุชนะ”

    “ค่ะ” ญาดารีบรับคำและไม่พูดอะไรต่อ คุณหญิงประภาสั่งให้ไปจัดเตรียมเครื่องดื่มมารับรอง ส่วนนางจับมือชมพูนุชเดินเข้าห้องท่านประธานไปทันที

     

    ชโยดมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาหามารดาด้วยรอยยิ้ม สองแม่ลูกกอดทักทายกันตามปกติเหมือนเคย จากนั้นคุณหญิงประภาจึงแนะนำสาวน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังให้บุตรชายได้รู้จักเป็นครั้งแรก

    “นี่หนูชมพูนุชจ้ะ หนูนุชจ้ะ นี่ตาใหญ่ลูกชายป้าจ้ะ” คุณหญิงประภาดันร่างเล็กมายืนเคียงข้างบุตรชาย

    ยิ่งเห็นภาพนี้แล้วนางก็ยิ่งวาดฝันว่า ทั้งคู่เหมาะกันราวกิ่งทองใบหยก มันจะดีไม่น้อยหากว่าทั้งสองเข้าสู่ประตูวิวาห์และมีหลานตัวน้อยให้อุ้มในเร็ววัน

    “สวัสดีครับ คุณชมพูนุช” ชโยดมกล่าวทักทายก่อน

    พิจารณาสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้านามว่าชมพูนุช ใบหน้าหวานรับกับรอยยิ้มที่ปรากฏในเวลานี้ แววตาเป็นประกายฉายความเป็นมิตรออกมาให้เห็น เขายอมรับว่าเธอสวยและดูอัธยาศัยดีไม่น้อย แต่มันก็ไม่อาจสะกิดหัวใจที่มีเจ้าของจับจ้องให้วอกแวกแม้แต่น้อย

    “สวัสดีค่ะ” ชมพูนุชพนมมือไหว้ชโยดมตามมารยาท ส่งยิ้มหวานทักทายกลับไปเช่นกัน

    เธอแอบพิจารณาว่าที่คู่หมั้นที่จำต้องรับอย่างชโยดม เขาตัวสูงและดูใจดีเป็นมิตรไม่น้อย ถือเป็นโชคดีของชมพูนุชที่ไม่ต้องเจอคู่หมั้นคู่หมายที่ทำตัวกรุ้มกริ่มหรือเป็นพวกฉวยโอกาสแต่อย่างใด

    “ไหนล่ะโต๊ะทำงานหนูนุช” คุณหญิงประภามองหาโต๊ะทำงานที่สั่งให้คนเตรียมไว้ในห้องท่านประธาน

    “คือว่าอย่างนี้ครับคุณแม่”

    ท่านประธานหนุ่มเตรียมจะอธิบาย แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรประตูห้องทำงานก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับบุตรชายคนเล็กของบ้านประวันวิทย์ที่ก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ติดตามด้วยญาดาที่ยกถาดเครื่องดื่มมารับรองตามคำสั่ง

    “ลมอะไรหอบตาเล็กมาทำงานแต่เช้าจ้ะ วันนี้” คุณหญิงประภาแปลกใจไม่น้อยที่เห็นศิวนาถในชุดสูทเรียบร้อยที่บริษัทในเวลานี้

    ปกติแล้วศิวนาถไม่ค่อยเข้ามาที่บริษัทนอกจากมีประชุมสำคัญ เพราะลูกชายคนเล็กมักใช้เวลาทำงานที่บ้าน หรือออกไปดูแลงานตามสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ดังนั้นการพบกันในเวลานี้ถือเป็นเรื่องผิดแปลกสำหรับคุณหญิงประภาอย่างยิ่ง

    “วันนี้ผมมีประชุมกับทีมตกแต่ง เรื่องการรีโนเวทสาขาที่เชียงใหม่ครับคุณแม่” ศิวนาถตอบคำถามของมารดา

    “ตาเล็กมาก็ดีแล้ว มานี่ลูก แม่จะแนะนำให้รู้จักกับหนูชมพูนุช ว่าที่พี่สะใภ้ของเรา” สิ้นคำของคุณหญิงประภา แก้วกาแฟที่ญาดาเตรียมไว้ร่วงหล่นลงที่พื้นทันที ไม่เท่านั้นน้ำร้อนในแก้วยังราดรดลงบนมืออีกด้วย

    “เป็นอะไรไหม” ชโยดมก้าวเข้าไปหาญาดาเป็นคนแรก สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มบ่งบอกความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด

    “เป็นอะไรมากไหมคะ” ชมพูนุชรีบเข้ามาดูอีกคน มือของญาดามีรอยแดงเพราะถูกน้ำร้อนในแก้วกาแฟ แต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าและบอกว่าไม่เป็นไร

    “มือคุณโดนน้ำร้อน ไปทำแผลก่อนไหมคะ” ชมพูนุชเอ่ยด้วยความห่วงใย สีหน้าของญาดาคล้ายกับจะร้องไห้ ทำให้ชมพูนุชเข้าใจว่าเธอเจ็บมาก

    “ไหนดูซิ”  

    ชโยดมเอื้อมมือมาดูแผลบนมือของญาดา แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรต่อ ญาดาก็ดึงมือกลับแล้วขอตัวออกไปทำแผลก้มหน้าตาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

    “ตาใหญ่มานี่ลูก” คุณหญิงประภาเรียกบุตรชายคนโตให้หันกลับมา

    “ไหนล่ะโต๊ะทำงานที่แม่บอกให้เตรียมไว้” นางวกกลับมาเรื่องโต๊ะทำงานของสาวน้อย วางแผนจะให้ชมพูนุชและชโยดมใกล้ชิดด้วยการใช้เวลาในห้องทำงานเดียวกัน

    “ผมมัวแต่ยุ่งกับการประชุมโปรเจคใหญ่ ที่เราจะรีโนเวทห้างที่เชียงใหม่ก็เลยยังไม่ได้สั่งให้เด็กเตรียมไว้น่ะครับ”

    “ไม่เป็นไร ถ้ายังไม่มีโต๊ะก็นั่งที่โซฟาไปก่อนนะหนูนุช อันที่จริงไม่ต้องมีโต๊ะก็ได้นะ เพราะอย่างไรป้าก็ไม่ได้อยากให้หนูทำงานหนักเหมือนตาใหญ่อยู่แล้ว” คุณหญิงประภาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    “คุณแม่ครับ” ศิวนาถเอ่ยขัดขึ้นมากลางวง

    “ว่าไงจ้ะ ตาเล็ก อ้อ จริงซิ แม่ลืมแนะนำไป นี่หนูชมพูนุช ว่าที่พี่สะใภ้ของเราจ้ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง พร้อมทั้งแนะนำให้ชมพูนุชรู้จักกับบุตรชายคนเล็กของบ้านประวันวิทย์

    “หนูชมพูนุชจ้ะ นี่ตาเล็ก ลูกชายคนเล็กของป้าจ้ะ”

    ชมพูนุชหันมาส่งยิ้มให้กับศิวนาถตามมารยาท แต่กลับพบกับท่าทีไม่ยินดียินร้าย ซ้ำดวงตาที่มองสบกลับมายังแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย มันทำให้ชมพูนุชรู้สึกแปลกและไม่เข้าใจว่า ตนทำอะไรผิด ทำไมศิวนาถถึงมองด้วยความไม่พอใจเช่นนี้

    เขาสูงกว่าพี่ชายเล็กน้อยท่าทางคล่องแคล่วมากกว่า ใบหน้าคมเข้มละม้ายคล้ายไปทางคุณหญิงประภา ในขณะที่ชโยดมคล้ายไปทางผู้เป็นบิดา

    ศิวนาถมีแววตาบางอย่างที่ชมพูนุชรู้สึกได้ว่าร้อนแรง และแข็งแกร่งในยามที่ทั้งคู่สบสายตากัน ซึ่งหลายครั้งเธอต้องเมินหนีสองตาที่ร้อนแรงนั้น

    “ถ้างั้นก็ไม่ต้องให้จัดโต๊ะทำงานแล้วกัน ให้หนูนุชนั่งเป็นเพื่อนลูกก็พอ ดีไหม” หญิงวัยกลางคนหันกลับมาหาชโยดม

    “คุณป้าคะ นุชว่าไม่เหมาะมั้งคะ คุณใหญ่ต้องทำงานอาจมีคนมาพบ หรือว่าต้องออกไปไหนกับลูกค้า ถ้าอย่างไรนุช...”

    “ใครจะมาหาก็มาซิจ้ะ ดีเสียอีกหนูนุชจะได้นั่งฟังด้วย ส่วนถ้าต้องออกไปข้างนอกก็พาหนูนุชไปด้วยไง สองคนไปไหนไปกัน ป้าว่าดีออก” หญิงวัยกลางคนหัวเราะชอบใจ

    “แต่ว่าคุณแม่ครับ ผมว่าถ้าให้คุณนุชอยู่เฉยๆ ในห้องพี่ใหญ่แบบนี้คงไม่ดีสักเท่าไร มันคงไม่คุ้มกับสิ่งที่เราเสียไปนะครับ” ศิวนาถพูดพลางสบตาสาวน้อย

    ลูกชายคนเล็กของบ้านหันมามองหน้าสาวน้อยอย่างตรงไปตรงมา สวย คือนิยามแรกที่ศิวนาถมองเห็น มิน่าเล่าเพื่อนรักถึงได้อกเดาะหายไปรักษาแผลใจจนไม่ส่งข่าว ใบหน้าหวานชวนมองเสียจนไม่อยากละสายตาไปทางไหน ริมฝีปากเจ้าหล่อนสีระเรื่อชวนให้ชิมเสียเหลือเกินว่าหวานแค่ไหน

    แต่เขาก็ต้องหยุดความชื่นชมทุกอย่างไว้แค่นั้น เพราะเจ้าหล่อนคือชมพูนุช ผู้หญิงเจ้าเล่ห์หน้าเงินที่เดินเข้ามาในครอบครัว เพื่อหวังผลประโยชน์และศิวนาถมีแผนจะจัดการกับคนหน้าเงินนี้แล้ว

    “ผมหมายถึง ถ้าให้คุณนุชมานั่งเฉยๆ ในห้องพี่ใหญ่โดยไม่ได้ทำอะไรมันน่าเบื่อ แต่ถ้ามีงานทำไปด้วยมันน่าจะดีกว่าไหม หรือคุณนุชว่าไงครับ”

    “นุชอย่างไรก็ได้ค่ะ”

    ว่าไปชมพูนุชก็เห็นด้วยกับคำพูดของศิวนาถ เรื่องที่จะให้มานั่งเฉยๆ หมดเวลาไปวันๆ ในห้องของชโยดมนั้น คงไม่ดีแน่ และเธอเองก็ไม่ได้อยากจะทำเช่นนั้น เพียงแต่ไม่อาจขัดความต้องการของคุณหญิงประภาได้

    “งั้นก็ให้คุณนุชไปช่วยงานผม พี่ใหญ่ว่าดีไหม” ศิวนาถหันหน้ามาถามพี่ชาย

    “ก็ดีนะ ตอนนี้งานนายเล็กเยอะมากเพราะเรามีโปรเจคใหญ่ที่กำลังทำ ไม่ทราบว่าคุณนุชยินดีไหมครับ” ชโยดมรับลูกน้องชายแล้วหันมาหาชมพูนุช

    “นุชไม่มีปัญหาค่ะ อย่างไรก็ได้” แบบนี้ชมพูนุชค่อยรู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยก็มีงานให้ทำดีกว่านั่งเฉยๆ อยู่ในห้องนี้

    “แต่แม่ว่า...” คุณหญิงประภาทำท่าจะขัด ศิวนาถรีบเข้ามากอดแล้วชิงพูดก่อนว่า

    “ผมว่าดีออกครับ คุณนุชของคุณแม่จะได้ไม่เบื่อ อีกอย่างคุณแม่อยากให้คุณนุชมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเราไม่ใช่เหรอ โปรเจคที่ผมกำลังจะทำคือรีโนเวทห้างที่เชียงใหม่ ทีนี้คุณนุชก็จะได้รู้จักที่มาที่ไปของครอบครัวเราอย่างชัดเจนไงครับ ว่าเราหาเงินแต่ละบาทมาด้วยวิธีไหน และจะจ่ายอะไรมันก็ต้องได้ผลตอบแทนที่คุ้ม คุณนุชว่าจริงไหมครับ” ศิวนาถหันหน้ามาสบตาหญิงสาว

    ชมพูนุชได้แต่ยิ้มและไม่โต้ตอบอะไรทั้งสิ้น ใบหน้าหวานร้อนผ่าวไม่ใช่เพราะความเขินอายเช่นหนุ่มสาวแต่อย่างใด แต่เพราะสายตาที่จ้องมองมาด้วยความนัยบางอย่างต่างหาก ที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบเพราะละอายใจกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจตัวเอง

    หรือศิวนาถจะรู้เรื่องเงินสิบล้านที่เจ้าสัวบรรพตและคุณหญิงประภาช่วยเหลือครอบครัว และเอาตัวเธอมาแลกกับเงินก้อนนั้นจนได้มายืนอยู่ตรงนี้

    แค่คิดว่าชโยดมหรือศิวนาถรู้เงื่อนไขนี้ ชมพูนุชก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเหมือนสิ่งของสักชิ้นบนโลกใบนี้ ที่เงินซื้อได้และกลายเป็นของเล่นให้ใครทำอะไรก็ได้

    “ผมโอเคนะ ถ้าคุณนุชจะไปช่วยงานนายเล็ก ห้องนายเล็กก็อยู่ถัดจากนี้ไปไม่ไกล คุณแม่ว่าดีไหมครับ” ชโยดมเห็นด้วยเต็มที่

    “แต่แม่อยากให้หนูนุชอยู่ที่นี่กับลูกมากกว่า” มารดาเอ่ย

    “โธ่ คุณแม่ครับ ห้องทำงานผมอยู่ชั้นนี้เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึง ถ้าคุณนุชอยากอยู่กับพี่ใหญ่ตลอดเวลามากขนาดนั้น เอาเอกสารมานั่งอ่านที่ห้องนี้แล้วเดินกลับไปส่งที่ห้องผมก็ได้ หรือคุณแม่จะ...”

    “เอาล่ะๆ ตาเล็ก พูดน้อยๆ หน่อยก็ได้” มารดาค้อนขวับบุตรชายคนเล็กที่ทำท่าจะพูดต่ออีก

    “กลางวันนี้แม่จองโต๊ะที่ร้านอาหารไว้ให้แล้ว ตาใหญ่พาหนูนุชไปกินข้าวกลางวันที่ร้านนี้นะ” คุณหญิงประภาส่งนามบัตรให้ ท่านประธานหนุ่มรับไปถือไว้ด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย

    “แล้วทุกวันอย่าลืมรับส่ง ดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดีล่ะ ตาเล็ก รู้ใช่ไหมหนูนุชคือว่าที่พี่สะใภ้เรา เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องให้หนูนุชทำงานมาก หรือถ้าจะจ้างพนักงานมาเพิ่มแม่ก็อนุญาต”

    “ครับ คุณแม่” ศิวนาถทำเสียงล้อเลียนมารดาเล็กน้อย สองพี่น้องกอดคุณหญิงประภาคนละข้างหอมแก้มซ้ายขวาเป็นการเอาใจ

    “หนูนุชอยู่กับตาใหญ่ที่นี่ ถ้าต้องการอะไรก็บอกไม่ต้องเกรงใจ ป้ากลับก่อนเย็นนี้ถ้าว่างไปกินข้าวเย็นด้วยกันนะจ้ะ” หญิงวัยกลางคนกำชับเรื่องนี้อีกครา และปล่อยให้ชมพูนุชอยู่กับชโยดมเพื่อเริ่มทำความคุ้นเคยอย่างที่ตนต้องการ

    ฝากติดตามเพจนะคะ

     


    สายอีบุ๊คทางนี้จ้า

    Thumbnail Seller Link
    แรงรักเพลิงเสน่หา
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    เธอเข้ามาด้วยเงื่อนงำที่น่าสงสัย เขาจึงต้องใช้ไฟเสน่หาค้นความจริง ทว่าสุดท้ายไม่ว่าจะแรงรักหรือเพลิงเสน่หา ก็ไม่อาจต้านหัวใจรักของเขาและเธอได้&ldq...
    Get it now
    Thumbnail Seller Link
    ซาตานทวงรัก
    อิ่มอุ่น
    www.mebmarket.com
    ไม่มีใครรู้หรอกว่า “ความหวง” รุนแรงแค่ไหน “ความห่วง” คือทุกข์ที่เผาใจให้อยู่ไม่เป็นสุข “ความห่าง” คือความทรมาน...
    Get it now
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×