คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Destiny พรมลิขิตรักพลัดพลาก > Suho&Chorong > EP.4 END
1,000 ปีต่อมา
ณ กองถ่ายละครเรื่อง ตำนานรักพันปี กูมิโฮ
“สวัสดีค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่กับผู้กำกับของเรานะค่ะคุณ ปาร์ค โชรงค่ะ” นักข่าวจากสายข่าวบันเทิงรายงานข่าว
“ช่วยเล่าหน่อยได้ไหมค่ะว่าเรื่องนี้มันเป็นแนวไหน ยังไง” นักข่าวว่าต่อ
“อ่า ..ค่ะ ! คือเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องเมื่อ 1,000 ปีก่อนค่ะ เป็นความรักขององค์ชายรัชทายาทกับกูมิโฮหรือปีศาลจิ้งจอกเก้าหางค่ะ” โชรงซึ่งเป็นผู้กำกับพูดบรรยาย
“แล้วเป็นแนวอะไรค่ะ พอเล่าเรื่องให้เคล่าๆได้ไหมค่ะ” นักข่าวถามต่อ
“ค่ะ เรื่องนี้ให้แนวเศร้าหน่อยๆ กับกลิ่นไอของความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถึงรู้เช่นนั้นก็ยังคงมีความหวังค่ะ” โชรงรายงาน
“อ่อ ออกแนวประมาณว่าถึงแม้เป็นไปไม่ได้ก็ยังอยากจะรักใช่ไหมค่ะ ฉันชักจะอยากดูเรื่องนนี้แล้วหล่ะค่ะ งั้นเรามาดูนักแสดงนำกันหน่อยนะค่ะ มีบทของใครที่เด่นๆอยู่บ้างค่ะ” นักข่าวถาม
“ก็มีบทของนางเองส่วนใหญ่ค่ะ นางเอกของเราชื่อกูมิโฮ รับบทโดย แบ ซูจี ค่ะ ส่วนพระเอกก็เซฮุน รับบทเป็นองค์ชายรัชทายาทค่ะ แล้วก็ยังมีคนอื่นอีกมากมายเลยค่ะ”
“โฮ้ว ..พระนางของเรานี่ก็เป็นคู่จิ้นตลอดกาลซะด้วยนะค่ะ ถือว่าเรื่องนี้น่าติดตามมากนะค่ะ งั้นให้ผู้กำกับช่วยฝากผลงานด้วยค่ะ”
“ค่ะ ! ยังไงก็ขอฝากเรื่องตำนานรักพันปีกูมิโฮด้วยนะค่ะ ถ้าหากคุณเชื่อว่าคนที่คุณรักจะได้เจอกับคุณอีกครั้ง” เมื่อถ่ายจบทั้งสองก็คำนับกันทันทีแล้วโชรงก็เดินไปครัวของกองถ่าย เพราะกำลังอยู่ในช่วงพักเที่ยง
/R/ แล้วเสียงโทรศัพท์เครื่องหรูของโชรงก็ดังขึ้น โชรงรีบหยิบขึ้นมารับทันที
“สวัสดีค่ะ”
“ถ้าเธอกลัว เรื่องทุกอย่างจะจบลงทันที เรื่องต้องต่อสู้ห้ามยอมแพ้เด็ดขาดจำเอาไว้ !”
“ใครเนี่ย !” โชรงรีบกดวางสายแล้วทิ้งโทรศัพท์ลงกับโต๊ะสีขาวข้างหน้าทันที ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับหน้าผากด้วยอาการเหนื่อยๆ ที่ออกมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ
“นี่ค่ะพี่โชรง อย่าหักโหมให้มันมากสิค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะค่ะ” แล้วเสียงใสๆของซูจี นักแสดงนำของเรื่องก็ดังขึ้นพร้อมกับแก้วกาแฟ ก่อนที่เธอนั่งนั่งลงข้างๆ
“ขอบใจจ๊ะ” โชรงหันไปพูด ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟนั้นขึ้นมาดื่ม
“พี่โชรงกำลังเครียเองอะไรอยู่หรือเปล่าค่ะ เรื่องโทรศัพท์เหรอ” ซูจีถามมาอีก
“ไม่มีอะไรมากหรอก ซูจีไม่ต้องเป็นห่วงนะ” โชรงหันไปมอง ก่อนจะซดกาแฟเข้าไปอีก
“ไม่จริงหรอกค่ะ ทุกครั้งที่พี่โชรงเครียดพี่มักจะดื่มกาแฟ เมื่อวานและวันนี้พี่ก็ดื่มไปเยอะเลย พี่มีอะไรให้ซูจีช่วยก็บอกได้นะค่ะ พี่อุตส่าห์ดันซูจีเข้าวงการ ซูจีอยากตอบแทนพี่บ้าง” ซูจีพูด
“จ๊ะ พี่จะบอกแน่ ยังไงก็ขอบใจเรานะ ตั้งใจทำงานล่ะ” โชรงพูดจบก็เอามือมาแตะบ่าของซูจีเบาๆ
“ค่ะ พี่โชรงอย่าลืมนะค่ะว่ายังมีซูจีอยู่ข้างๆ ซูจีจะไม่ปล่อยให้พี่อยู่คนเดียวแน่ค่ะ” ซูจีพูด โชรงก็พยักหน้าตอบ ก่อนจะเดินออกไปทำงานของเธอต่อ
“หรือเราจะหลอนเพราะกาแฟนะ อ๊า.. ปวดหัวจริงๆเลย” โชรงคิดสักพักก่อนจะเอามือขึ้นมาจับหน้าผากอีกครั้ง แล้วก็ยกกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะเดินออกไปทำงานของตัวเอง
.
.
.
.
.
5 วันต่อมา ซึ่งเป็นวันที่กองหยุด เพราะนักแสดงนำล้วนมีงาน โชรงจึงถือโอกาสมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายในรอบปี โชรงเมื่อเดินเข้ามาถึงก็เดินตรงเข้าไปที่เขียนประวัติทันที
“ขอเชิญคุณปาร์ค โชรง หมายเลข 88 ค่ะ” แล้วเสียงประกาศก็ดังขึ้นโชรงจึงเดินเข้าไปในห้องตรวจทันที
“วันนี้จะมาตรวจส่วนใหนครับ” เมื่อโชรงเดินเข้ามานั่งหมอก็ถามทันที
“ฉันอยากจะตรวจสมองกับ .... สุขภาพจิตค่ะ” เมื่อโชรงพูดจบหมอก็เงยหน้าขึ้นมามองโชรงทันที
“งั้นเดี๋ยวคุณก็เอาใบนี้ไปยื่นให้กับห้องจิตเวช 1 กับห้องประสาทและสมอง 3 ได้เลยนะครับ” แล้วหมอก็ยื่นใบอะไรบางอย่างมา 2 ใบ แล้วโชรงก็เดินออกมาและเดินต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงห้องจิตเวช 1
“สวัสดีครับ ! ผมหมอนัม อูฮยอนครับ” ทันทีที่โชรงเดินเข้ามาคุณหหมอก็ทักทายมาอย่างนี้
“สวัสดีค่ะ ฉันปาร์ค โชรง” โชรงพูดเสร็จก็เดินเข้ามานั่งทันที
“คุณมีอาการเป็นยังไงครับ” หมอถามมา
“คือ ... เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อนค่ะ เวลาที่ฉันมองตัวเองในกระจกบ่อยครั้งฉันมองเห็นเหมือนคนที่อยู่ในกระจกไม่ใช่ฉัน” โชรงเล่าอาการ
“เอ่อ ... คุณโชรงเคยประสบอุบัตเหตุหรือเปล่าครับ”
“ค่ะ ! ฉันเมื่อ 2-3 ปีก่อน ฉันเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำค่ะ”
“อ่อ แล้วคุณทำอาชีพอะไรหรือครับ”
“ฉันเป็นผู้กำกับค่ะ”
“งั้นหมอคิดว่าคุณคงจะเครียกกับงานบวกกับอาการแผลที่ยังไม่หายดีของสมองคุณในสองของคุณเลยทำให้คุณเก็บมาคิดและเกิดภาพหลอน หมอขอถามหน่อยนะครับ่าคุณสูบบุหรี่ หรือชอบดื่มกาแฟ หรือยาลดความอ้วนหรือเปล่า”
“ฉันชอบดื่มกาแฟค่ะ ฉันจะดื่มมันทุกครั้งเลยที่ฉันเครียด”
“งั้นกาแฟคงจะเป็นต้นเหตุให้เกิดภาพหลอนนะครับ หมอคงต้องสั่งลดปริมาณกาแฟนะครับ คุณโชรงดื่มกาแฟกี่แก้วต้องวันครับ” หมออูฮยอนพูดพลางก้มหน้าลงไปทำท่าเขียน
“ประมาณวันล่ะไม่ต่ำกว่า 10 แก้วค่ะ” โชรงตอบมา
“นี่คุณกินหรือคุณจะผลิดกาแฟขายครับเนี่ย ตอนนี้ผมไม่แปกใจแล้วหล่ะครับ งั้นหมอจะเขียนว่าคุณควรกินกาแฟให้น้อยกว่าเดิมนะครับ แค่วันล่ะ 3แก้ว ต่อวัน และนี้ครับ ถ้ามีอะไรก็ดทณมาปรึกษาหมอได้นะครั บนี้ครับเบอร์ส่วนตัวของหมอ” หมออูฮยอนยื่นใบสีขาวมาให้ ก่อนจะหยิบนามบัตรยื่นมาให้ต่อ แล้วหลังจากนั้นโชรงก็เดินต่อไปที่ห้องประสาทและสมอง 3
“สวัสดีครับ ผมหมอคิม ซูโฮ เป็นหมอศัยลกรรมประสาทครับ เชิญนั่งครับ” เมื่อโชรงเปิดประตูเข้ามา หมอที่กำลังนั่งทำงานอย่างเคร่งเครียดก็วางมือจากงานและทักทายคนไข้ก่อนเป็นอันดับแรก
“ค่ะ ฉันชื่อปาร์ค โชรง” โชรงรีบทักทายกลับทันที
“คุณปาร์ค โชรง ที่เป็นผู้กำกับหรือเปล่าครับ” หมอซูโฮถามมา
“ใช่ค่ะ” โชรงตอบพร้อมเผยยิ้มออกมาเพราะคิดคิดว่าจะเจอแฟนคลับที่เป็นคุณหมอ
“ผมเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยครับ หลังจากตรวจเสร็จรบกวนเซ็นให้ผมด้วยนะครับ ผมดูหนังทุกเรื่องที่คุณกำกับเลยครับ” หมอซูโฮเล่าความ โชรงที่ได้ยินกระนั้นก็เขินเข้าไปใหญ่
“ขอบคุณค่ะ” โชรงพูดก่อนจะเดินไปนั่ง
“งั้นเรามาเร่มกันเลยนะครับ ! คุณมีอาการยังไงครับ” แล้วเขาก็เริ่มเข้าเรื่อง
“คือ...พักหลังนี้ฉันปวดหัวบ่อยๆค่ะ ปวดหัวกับทุกเรื่องเลย ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นผลข้างเคียงมาจากการที่ฉันประสบอุบัติเหตุเมื่อ 2-3 ปีก่อนหรือเปล่าค่ะ” โชรงก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นโหมตซีเรียส
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเราต้องเอ็กซเรดูก่อนนะครับว่ามีอะไรอยู่ในสมองของคุณหรือเปล่า” ซูโฮพูด
“งั้นไปเอ็กซเรเลยค่ะ” โชรงพูดก่อนจะลุกขึ้น
“คุณจะไปไหนครับ” ซูโฮคว้ามือของเธอเอาไว้ ก่อนจะพูด
“ไป ....เอ็กซเรไงค่ะ” โชรงหันกลับมาตอบ
“เราต้องสั่งใบวันนัดก่อนนะครับ” ซูโฮพูด
“นัด ! อ๋อ ! ขอโทษค่ะ ฉันรีบไปหน่อย” โชรงรีบนั่งลงทันที
“ไม่เป็นไรครับหมอเข้าใจ คนไข้ทุกคนก็อยากหายจากโรคที่เกี่ยวกับสมองอยู่แล้ว อยากหายมากที่สุด” หมอพูดพลางก้มหน้าลงไปเขียนใบนัด
“อ่า .. คงไม่ใช่ฉันคนเดียวสินะค่ะ โรคที่เกี่ยวกับสมองนี้มันน่ากลัวจังนะค่ะ ไหนจะเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำอีก มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆเลยนะค่ะ” โชรงบ่นแบบใจลอย ภายในใจกับกำลังคิดถึงเรื่องราวที่เธอกำลังเจอ
“ผมถึงได้มาเป็นหมอสมองไงครับ การช่วยให้คนไข้ได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้น และพร้อมที่จะเดินต่อไปพร้อมกับคนที่เธอรัก โรคนี้เราใช้แค่กำลังใจก็หายได้นะครับ ถ้าคุณพยายาม และนี้ครับใบนัด” หมอว่าจบก็ยื่นใบนัดมาให้
“ค่ะ งั้นเจอกันครั้งหน้านะค่ะ” โชรงพูดขึ้นก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจาห้องไปในที่สุด
.
.
.
.
.
วันนัดเอ็ซสเรย์สมองของโชรง เธอเดินมาที่โรงพยาบาล และเดินเข้าห้องเอ็ซสเรย์ในที่สุด และรอผลเอ็กซเร เธอจึงเดินทางออกไปทานข้าวกับคุณหมอซูโฮ ที่เป็นคุณหมอประจำตัวของเธอเมื่อไม่นานมานี้
“ลำบากคุณหมอแย่เลยค่ะ อุตส่ามาเป็นเพื่อนฉัน” โชรงพูดระหว่างทางที่จะเดินไปทานข้าว ซึ่งร้านที่คุณหมอแนะนำอยู่ข้างๆโรงพยาบาล
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ แล้วตอนนี้ผมก็ถอดชุดกาวแล้วเรียดผมว่าซูโฮเฉยๆเถอะครับ” ซูโฮพูด
“พองานหยุด ก็หยุดเป็นคุณหมอเหรอค่ะ ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆเลยนะค่ะ” โชรงพูดพลางหัวเราะเล็กๆ
“นี่ผมควรจะดีใจหรือเสียใจดีครับเนี่ย” ซูโฮพูดพลางทำหน้างอล
“ดีใจเถอะค่ะ ถึงฉันจะเย็นชาไปหน่อยแต่ฉันก็เต็มใจพูดนะค่ะ” โชรงพูด
“งั้นผมก็จะดีใจครับ” ซูโฮพูโก่อนจะเผยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านข้าว
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินทางกลับมายังโรงพยาบาลเช่นเคย เมื่อผลเอ็กซเรออกแล้ว หมอซูโฮสรุปผลให้ว่าอาจจะเป็นเศษของหิน กรวด ที่เข้าไปติดในสมอง ซึ่งอยู่ในส่วนที่ไม่อันตรายมาก หมอจึงไม่เอาออก และเพราะความกลัวของโชรงจึงทำให้เธอเครียด และปวดหัว จนบางทีก็เห็นภาพหลอน หลังจากเข้าใจกระนั้นแล้ว โชรงก็เดินทางกลับบ้าน ด้วยความจริงที่ไม่ทุกอย่างคือภาพหลอนของเธอ
.
.
.
.
.
วันนี้เธอก็แต่งตัวเพื่อจะออกไปทำงานเช่นเคย เธอแต่งตัวด้วยชุดที่กระฉับกระเฉง เธอเดินมาจัดเสื้อผ้าตัวเองเช่นเคยที่หน้ากระจก และพบกับสิ่งที่ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเธออีกครั้ง นั้นคือร่างกายของเธอในกระจกนั้นคือหญิงสาวใส่ชุกฮันบกสีฟ้าที่อยู่ในกระจก ภายใต้ดวงตาสีฟ้านั้นซ่อนความเศร้าโศก และโหยหามากมายเอาไว้
“ในที่สุดเจ้าก็เจอ ในที่สุดเจ้าก็หาฝ่าบาทเจอแล้ว” เสียงของเธอดังออกมาจากในกระจกนั้น ก่อนที่สายลมหนึ่งจะพัดเข้ามาหาเธอแล้วดวงตาของเธอก็เปลี่ยนไปจากดวงตาที่หวาดกลัวก็กลายเป็นแข็งกร้าว และยังเป็นสีฟ้า ก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากบ้านของเธอ
.
.
ระหว่างทางเดินนั้นซูโฮดันขับรถมาเจอเธอระหว่างทางเดินทางไปโรงพยาบาล เขาจึงรีบลงจากรถและมาดูเธอทันที
“คุณโชรงครับ !” เขารีบเดินมาคว้ามือของโชรงไว้เนื่องจากเขาเรียกเธอไว้หลายครั้งแต่เธอก็ไม่หันมา
“ฝ่าบาท” โชรงหันกลับไปมองใบหน้าของเขา และพูดออกมา
“คุณเป็นอะไรไปครับ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้” ซูโฮถามมาอีก
“ฝ่าบาท ในที่สุดหม่อมฉันก็เจอ” สายตาเหม่อลอยและคำพูดที่แปลกไปของโชรงทำให้ซูโฮแปลกใจ
“คุณโชรงเป็นอะไรไปครับเนี่ย !! ทำไมถึงได้พูดอะไรแบบนี้ครับ” ซูโฮถามกลับมา
“หม่อมฉันเฝ้ารอฝ่าบาทมานานเหลือเกินเพค่ะ จากนี้เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้วใช่ไหมเพค่ะ เราจะไม่จากกันอีกแล้วใช่ไหมเพค่ะ”
“เราไม่จากกันหรอกครับ ผมไม่ทิ้งคุณไปแน่ เพราะผมเป็นหมอประจำตัวของคุณ”
“กลับไปอยู่กับหม่อมฉันนะเพค่ะ เรากลับไปอยู่ที่ป่ากันก็ได้ ไปเป็นคนธรรมดาเถอะเพค่ะ”
“เราก็เป็นคนธรรมดาอยู่แล้วไงครับคุณโชรง”
“พระองค์จำหม่อมฉันไม่ได้ พระองค์ทรงจำหม่อมฉันไม่ได้จริงๆ” ร่างกายของโชรงร้องไห้ออกมา น้ำตาไหลรินลงมาที่สองข้างแก้มก่อนที่เธอจะหมดสติในอ้อมกอดของซูโฮ
“คุณ !! คุณโชรง !!” ซูโฮเรียกเธอก่อนจะอุ้มเธอขึ้นรถของเขาและเขาก็ขับตรงไปที่โรงพยาบาลทันที
.
.
ทันทีที่มาถึงโรงพยาบาลซูโฮก็อุ้มเธอเข้ามาที่ห้องทำงานของเขาทันที เมื่อถึงห้องทำงานของเขา เขาก็วางลงที่เตียงคนไข้ในห้องของเขา ก่อนจะหายาดม ยาลม ยาหม่องมาให้เธอดมทันที และหลังจากนั้นไม่นาน โชรงก็ฟื้นขึ้น
“เอ่อ ... คุณซูโฮค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนค่ะ แล้วฉันมาที่นี้ได้ยังไงค่ะ” คำถามเริ่มที่เอ๋ยออกจากปากของโชรงหลังจากที่เธอฟื้น
“ที่นี้คือห้องทำงานของผมครับ ผมเจอคุณเดินอยู่ที่ถนน ท่าทางเหม่อลอย แล้วยังพูดคำพูดเหมือนคนสมัยก่อนอีก คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ” ซูโฮถามมา
“คำพูด .... เหมือนคนสมัยก่อนเหรอค่ะ ?” โชรงพูดออกมาด้วยความกังวล คิ้วของเธอผูกกันจนเป็นปมเพราะเธอกำลังคิดอะไรอยู่บ้างอย่าง
“คุณอยากลองพบกับเพื่อนผมไหม เขาเป็นจิตแพทย์อยู่ที่นี่” ซูโฮพูด
“ฉันเคยหาหมอจิตที่นี่แล้วค่ะ เขาบอกว่าฉัน ...ฉันแค่หลอนกาแฟ” โชรงตอบไป
“งั้นคุณอยากลองอีกวิธีไหมครับ” ซูโฮพูด โชรงหันมามองหน้าเขาเป็นนัยๆ ก่อนที่เขาจะพาเธอมาที่ๆหนึ่ง
“คุณแน่ใจเหรอค่ะ ?” โชรงพูดเชิงกลัวๆ
“ถ้าเราใช่วิธีวิทยาศาสตร์แล้วเราไม่รู้ เราต้องลองไสยศาสตร์ดูครับ” ซูโฮปลุกใจ
“คุณเป็นหมอประเภทไหนกันค่ะเนี่ย” โชรงพูด ก่อนจะหันไปมองบ้านที่ดูลึกลับ และมีต้นไม้ปกคลุมเต็มไปหมด แล้วทั้งสองค่อยๆเดินเข้าไปด้านใน ภายในบ้านที่เรียบหรู และใหญ่ เมื่อเข้ามาในตัวบ้านแล้วจะรู้ว่าหลอนไม่เบาเลยทีเดียว
“ฉันเริ่มหายใจไม่ออกแล้วนะค่ะคุณซูโฮ” โรงบ่นก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ๆซูโฮด้วยความกลัว
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะอยู่ข้างๆคุณเอง” ซูโฮพูดพลางยกมือของโชรงขึ้นมาคล้องแขนเขาไว้
“ขึ้นมาสิ !! ข้ากำลังรออยู่เลย” แล้วหญิงสาวคนหนึ่งที่ใส่ชุดสีดำกำลังอุ้มแมวตัวสีดำตาสีฟ้าก็พูดขึ้นขณะกำลังมองลงมาจากชั้นสอง
“ซูโฮ ! ฉันยังไม่เคยเห็นแมวดำตาสีฟ้าเลย” โชรงพูดพลางใจข้างในก็เต้นตึกๆด้วยความกลัว
“ผมก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน มาที่นี่ทีไรหลอนทุกทีเลย ผมว่าเรารีบขึ้นไปเถอะครับ จะได้รีบกลับ” ซูโฮที่มีอาการไม่ต่างกันเร่งเธอ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินขึ้นไปชั้นบน และพบกับหญิงสาวที่กำลังอุ้มแมวดำที่กำลังนั่งอยู่ ทั้งสองเดินเข้าไปนั่งตรงหน้าของสาวคนนั้น
“คุณช่วยบอกได้ไหมค่ะว่าฉันเป็นโรคอะไร” โชรงยิงคำถามไป
“ฉันบอกไม่ได้หรอก”
“อ่าว !!” โชรงเริ่มโวย
“แต่ !! แมวตัวนี้บอกได้” แม่หมอคนนั้นพูดก่อนจะวางแมวตัวนั้นลงบนโต๊ะ แล้วแมวตัวนั้นก็เดินมาดมๆที่ตัวของทั้งสอง
“คุณซูโฮค่ะ !! ฉันกลัวแมว” โชรงขยับไปนั่งใกล้ๆซูโฮ
“ไม่ต้องกลัวนะ ! มันแค่ดมนะ” ซูโฮเอามือเขาไปจับกับมือของโชรงเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ โชรงจึงหลับหูหลับตาให้แมวตัวนั้นดมกลิ่นไปเรื่อยๆ ก่อนที่แมวตัวนั้นจะเดินขึ้นโต๊ะกลับไปเช่นเดิม และนั่งหันไปหาเจ้าของด้วยท่าทางเชื่อง
“พวกเจ้าทั้งสอง ! ไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตากัน ! ไม่เคยมีชะตาร่วมกัน ! เธอ !! ไม่ใช่ !!” แม่หมอมองไปที่แมวและพูดออกมาเหมือนโดนสะกดจิต
“แต่ !! 1,000 ปีนี้ ใช่ ! อย่าจงกลัวในสิ่งที่เธอไม่จำเป็นต้องกลัว นี้คือชีวิตของเธอ เธอไม่ใช่ ! จำเอาไว้ เธอไม่ใช่ !” แม่หมอพูดอะไรวนไปวนมาจนโชรงเริ่มงง
“หมายความว่าไงค่ะ ?” โชรงถามไป
“หมายความว่าเธอไม่ใช่ ! หลังจากจันทร์เต็มดวงนี้ชะตาเธอจะพลิกอีกครั้ง อย่าทำให้ชีวิตของเธอต้องเจอเรื่องเลวร้ายไปมากกว่านี้เลย” แม่หมอพูด
“แล้วเธอควรทำยังไงครับ” ซูโฮที่อยากช่วยก็ถามไป
“ฝ่าบาทเพค่ะ ! การที่พระองค์ทรงยืนอยู่ที่ตรงนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเพค่ะ แค่จำเอาไว้ว่านางไม่ใช่ เท่าพอเพค่ะ” แม่หมอพูดกับซูโฮ แต่ใช่คำที่ต่างกันออกไป
“คำพูดเหมือนคนสมัยก่อน !” โชรงพูดพลางครุ่นคิด
“ตามยศศักดิ์ ฐานะ ความจริงเจ้าไม่ควรอยู่ข้างๆพระองค์ แต่เมื่อฟ้าลิขิตมาเช่นนี้แล้ว เจ้าจงเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวของฝ่าบาท และอย่าลืมว่าเจ้าไม่ใช่ จำเอาไว้เจ้าไม่ใช่” แม่หมอพูดมา และทวนคำเดินหลายรอบ
“เล่าความจริงให้ฟังหน่อยไม่ได้หรือค่ะ เรื่องมันเป็นยังไง ?” โชรงพยายามคั่นหาความจริง
“เมื่อถึงวันนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะรู้มุกอย่าง” แม่หมอพูดมา
“แปลว่าไม่ได้มีแค่เราเหรอค่ะ ? เรื่องมันเป็นมายังไงค่ะ แล้ววันนั้นวันไหนค่ะ” โชรงยิงคำถามรัวไป
“กลับไปได้แล้ว” แม่หมอพูด
“เดี๋ยวสิค่ะ !! ตอบมาก่อนสิค่ะ” โชรงพยายามถามหาความจริง แต่ซูโฮก็เอาแต่ดึงเธอกลับไป
.
.
.
.
.
หลังจากนั้น 2 วัน ซึ่งเป็นวันปิดล้องของละครเรื่องล่าสุดของโชรง เธอจึงมาทำงานแต่เช้าด้วยความหึกเหิ่ม แล้วเธอก็เริ่มการถ่ายตอนตบทันทีเมื่อนักแสดงพร้อม
“แอ็กชั่น !!”
“องค์ชายรัชทายาท” ซูจีเริ่มด้วยด้วยการจำบทผิด
“คัท !! ซูจีเป็นอะไรไป” โชรงรีบถามทันทีเพราะปกติเธอเป็นนักแสดงมืออาชีพไม่เคยลืมบท
“ซูจีไม่ได้เป็นอะไรค่ะพี่โชรง แค่ผิดคิว” ซูจีพูดขอโทษก่อนจะประจำที่อีกครั้ง
“ถ้าเราเป็นคู่กัน สักวันเราคงจะได้พบกันเพค่ะ” ซูจีเริ่มแสดงต่อ
“คัท !!!!” เสียงคัทจากโชรงดังมาอีกครั้ง
“เอางี้ ! เซฮุนนายไปพักก่อน ซูจีมากับพี่เดี๋ยวพี่สอนให้” โชรงเรียกตัวซูจีมา
“คุณโชรงครับ” ระหว่างทางเดินไปเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“อ่าว ! คุณซูโฮ มาได้ยังไงค่ะ” โชรงหันไปถาม
“ผมมาหาคุณครับวันนี้ผมไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเลยแว่ะมาดูว่าคุณทำงานกันยังไง จะได้มาดูอาการป่วยของคุณด้วย” ซูโฮพูด
“พี่โชรงป่วยเป็นอะไรค่ะ” ซูจีที่ได้ยินเช่นนั้นรีบถามไปทันที
“ไม่เป็นอะไรหรอกจ๊ะ แค่หมอทางจิตน่ะ ตามพี่มาเดี๋ยวพี่จะบิ้วอารมณ์ให้ ยังไงวันนี้ซูจีต้องถ่ายจบ” โชรงพูดด้วยท่าทางมั่นใจก่อนจะเดินไปที่ๆหนึ่งซึ่งปลอดคนและไม่ไกลจากที่ตรงนั้นมาก ซูโฮซึ่งไม่รู้จะไปทางไหนก็เดินตามทั้งสองคนไป
“ไหนซูจีลองท่องบทน้องซูจีมาดูสิ !” โชรงพูดแต่ยังไม่ทันเห็นซูโฮ
“ถ้าราเป็นคู่กันสักวันเราคงได้พบกันเพค่ะ แล้วก็อีกตอนนึงหลังจากที่เซฮุนพูดว่าห้ามนางเอาไว้สิ นางเป็นชายาของข้านะ ห้ามนางเอาไว้ ซูจีก็ยื่นร้องไห้ แล้วเซฮุ่นก็พูดว่าถ้าเราได้พบกันอีกไม่ว่าเจ้าจะเกิดเป็นอะไรข้าก็จะรักเจ้า แล้วซูจีก็พูดว่า... อย่าทรงพระกันแสงเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพค่ะฝ่าบาท” ซูจีทวนบท
“แค่นี้ใช่ไหม ?” โชรงถาม
“แค่นี้แหล่ะค่ะ ซูจีคิดว่ามันไม่ได้ยากนะค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมอารมณ์มันไม่มาสักที” ซูจีเริ่มบ่นตัวเอง
“ซูจีนั่งลงก่อนนะ แล้วซูจีลองคิดว่าตอนนี้ซูจีกำลังรักใครมากๆคนนึง ซูจีมีความสุขกับคนรักของซูจีตลอดมาแล้ววันนึงพ่อแม่ของฝ่ายชายดันไม่ยอมรับซูจี สุดท้ายซูจีก็เลยต้อง...เป็นฝ่ายจำใจยอมไปเอง รู้สึกยังไง” โชรงพยายามบิ้วอารมณ์
“ซูจีไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วค่ะพี่โชรง” ซูจีหันไปตอบด้วยแววตาเศร้าๆ
“ไหนซูจีลองท่องบทมาดูสิ” โชรงสั่ง
“ถ้าเราเป็นคู่กันสักวันราคงได้พบกันเพค่ะ” ซูจีพูด
“มันยังไม่ใช่เลยซูจี” โชรงดุเธออีกครั้ง
“สนใจให้ผมช่วยไหมครับ ปกติผมให้กำลังใจคนไข้ แต่ไม่เคยทำให้คนไข้เศร้า” ซูโฮเข้ามาเสนอ
“ลองดูก็ได้ค่ะ” โชรงลุกขึ้น
“คุณต้องแสดงกับผมนะ คุณแสดงกับผมแล้วให้นางเอกของคุณดู คุณเป็นผู้กำกับนะ” ซูโฮพูดแนวท่าเธอ
“งั้นก็ได้ค่ะ ซูจีดูนะ แล้วจำอารมณ์พวกนี้เอาไว้” โชรงพูด
“บอกบทมาสิ” ซูโฮพูด
“คุณต้องพูดว่า ห้ามนางเอาไว้สิ นางเป็นชายาของข้านะ ห้ามนางเอาไว้ แล้วก็...ถ้าเราได้พบกันอีกไม่ว่าเจ้าจะเกิดเป็นอะไรข้าก็จะรักเจ้า แค่นี้แหล่ะค่ะ แต่ต้องใช้อารมณ์เยอะมากเลย” ซูจีพูด
“คุณพร้อมนะค่ะ” โชรงถาม
“ที่สุดครับ” ซูโฮตอบมาอย่างมั่นใจ
“ฝ่าบาท ...ถ้าราเป็นคู่กันสักวัน...เราคงได้พบกันเพค่ะ” โชรงพูดด้วยสีหย้าที่เศร้าหน่อยๆ แสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจน
“ห้ามนางเอาไว้สิ !!! นางเป็นชายาของข้านะ !!! ฮือๆ ห้ามนางเอาไว้ !!!” ซูโฮแสดงยิ่งกว่าจริง
“....” โชรงไม่พูดอะไรตามบทก่อนจะหลับตาลงช้าๆ แล้วนำตาก็ไหลลงมา
“ถ้าเราได้พบกันอีก...ไม่ว่าเจ้าจะเกิดเป็นอะไร...ข้าก็จะรักเจ้า” ซูโฮพูด และน้ำตาของเขาก็ไหลลงมาเพราะอินกับอารมณ์ที่โชรงส่งมาให้
“อย่าทรงพระกันต์แสงเพราะหม่อมฉันเลยเพค่ะ หม่อมฉันเคยขอพระองค์แล้ว อย่าทรงทำเช่นนั้นอีกเลยเพค่ะ” แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างๆหูของซูโฮพร้อมกับสายลมหนึ่งที่พัดมาอย่างแรง โชรงคนตรงหน้าดวงตาเปลี่ยนไปเป็นสีฟ้า และท่าทางที่ไม่เหมือนเคยอีกครั้ง
“คุณ...โชรง” ซูโฮเรียกชื่อเธอ
“ฝ่าบาทเพค่ะ...หม่อมฉันอยู่นี่ อย่าทรงมองใครที่ไม่ใช่หม่อมฉันเลยเพค่ะ”เสียงของโชรงสั่นเหมือนคนที่ร้องไห้
“คุณไม่ใช่โชรง ทำไมคุณถึงทำอย่างนี้” ซูโฮที่นึกถึงคำพูดของหมอดูคนนั้นแล้วพูดขึ้น
“หม่อมฉันเองเพค่ะ หม่อมฉันชายาของพระองค์ไงเพค่ะ ทำไมทรงจำหม่อมฉันไม่ได้ ไหนบอกว่าไม่ว่าหม่อมฉันจะเป็นอะไรก็จะทรงรักหม่อมฉันเช่นเดิมไงเพค่ะ ตอนนี้หม่อมฉันเป็นมนุษย์แล้ว หม่อมฉันเป็นมนุษย์แล้วนะเพค่ะ” เสียงนั้นยังดังขึ้นเรื่อยๆ ซูจีที่มองอยู่ก็กำลังร้องไห้อย่างหนักกับอารมณ์ที่รุมเร้าสถานที่นั้น
“องค์หญิงซูจีเพค่ะ องค์หญิงค์ทรงบอกพระค์ไปสิเพค่ะว่าพระองค์ทรงตรัสเช่นนั้นจริงๆ” แล้วใบหน้านั้นก็หันมาหาซูจี
“ซูจีรู้แล้วค่ะว่าพี่โชรงเป็นโรคอะไร หมอค่ะพี่โชรงไม่ได้เป็นโรคจิตนะค่ะ พี่โชรงไม่เป็นโรคทางจิต ฮือๆ” ซูจีร้องไห้หนัก
“แม้แต่องค์หญิงก็ทรงจำหม่อมฉันไม่ได้ ไม่มีใครจำหม่อมฉันได้เลย มนุษย์นี่ไม่ใช่หม่อมฉัน ! นางไม่ใช่หม่อมฉัน!!” เสียงนั้นดังจนแสบแก้วหู ก่อนที่ร่างของโชรงจะอ่อนแรงและล้มลง แต่เคราะห์ดีที่ซูโฮเข้าไปรับร่างนั้นเอาไว้ได้ทัน
“พี่โชรงค่ะ !!!” ซูจีรีบเข้ามาดูทันที แล้วซูโฮก็อุ้มเธอออกไปที่กองและวางร่างของเธอลงบนที่พัก ก่อนจะหาอะไรมาปฐมพยาบาลให้ และไม่นานเธอกก็ฝื้น
“ฉันเป็นอะไรไปค่ะเนี่ย” โชรงถามขึ้นเมื่อเห็นทุกคนเข้ามามุง
“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ รู้สึกยังไงบ้าง” ซูโฮถาม
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ เรารีบถ่ายซีนสุดท้ายกันเถอะ” โชรงพูดก่อนจะลุกขึ้นเดินเดินไประจำที่ และในที่สุดซีนสุดท้ายก็จบไปด้วยดี
.
.
.
.
.
ยามค่ำ ทุกคนล้วนใส่ชุดฮันบกกันตามที่นัดกันเอาไว้ ยกเว้นซูโฮที่เพิ่งเลิกเวรและมาหาเธอ พร้อมกับพาเพื่อนหมอทางจิตมาด้วย เพราะเขาดูจากอาการของโชรงเมื่อกลางวันทำให้เขาอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ งานเลี้ยงปิดกล้องจัดขึ้นที่ราชวังซึ่งเป็นสถานที่สำหรับถ่ายหลายๆฉาก
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะค่ะว่าพี่โชรงใส่ชุดฮันบกแล้วจะสวยขนาดนี้” ซูจีพูด
“ขอบใจจ๊ะ ไปร่วมสนุกกับคนอื่นเถอะจ๊ะ” โชรงพูด แล้วซูจีก็พยักหน้าตอบก่อนจะเดินออกไป โชรงหันหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าซึ่งพระจันทร์เต็มดวงแลสวยกว่าคืนอื่นๆ โชรงเอากระจกที่ถือขึ้นมาดูด้วยมือสั้นๆ
“คุณเป็นใครกันแน่ !!” โชรงพูดกับตัวเองในกระจก
“ได้โปรดอย่าเอาฝ่าบาทของข้าไปเลย อย่าเอาสามีของข้าไปเลย” โชรงในกระจกพูด
“คุณเป็นใครทำไมต้องคอยตามฉันด้วย คุณคือตัวฉันใช่ไหม ? ถ้าเกิดฉันเป็นโรคทางจิต เพราะฉันสร้างภาพหลอนขึ้นมาคิดว่ามีตัวฉันอีกคน แต่ความจริงแล้วคุณก็คือฉัน คุณไม่ใช่ภูตผีวิญญาณหรืออะไรทั้งนั้น คุณเป็นแค่ผลข้างเคียงจากอุบัติเหตุของฉันเท่านั้น คุณไม่มีจริง !” โชรงพูดก่อนจะเอากระจกลง แล้วลมหนึ่งก็พัดมาพร้อมกับร่างเธออีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าเชื่อในสิ่งที่คิด อย่าฟังคำพูดของใครทั้งสิ้น !!!” เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆก่อนที่ร่างนั้นจะรวมเป็นหนึ่งกับโชรง ดวงตาของเธอกลายเป็นสีฟ้อีกครั้งเมื่อสาวในยุคก่อนสิงร่างเธอ โชรงเดินออกจากจากมุมมืดตรงนั้นแล้วเดินไปที่ๆหนึ่ง ซึ่งเมื่อ 1,000 ปีก่อนนั้นเคยเป็นที่คร่าชีวิตของเธอไป
“พี่โชรง !!” ซูจีเดินเข้ามาดูอาการของโชรง เมื่อเห็นดวงตาสีฟ้าสดนั้นซูจีก็ทำอะไรไม่ถูกเลย
“คุณซูจีเป็นอะไรครับ เห็นอะไร” ซูโฮรีบเดินข้ามาถาม
“เธอมาอีกแล้วค่ะ !!” ซูจีพูด
“ทุกคนครับ ถอยหลังออกไปให้หมดผมขอร้อง” ซูโฮพูด แล้วทุกคนก็ทำตามที่เขาพูด เซฮุนที่รับบทเป็นพระเอกของเรื่องรีบมาพยุงร่างไร้เรี่ยวแรงของซูจีไป
“ฝ่าบาททรงจำได้หรือยังเพค่ะ ที่ตรงนี้ ตรงนี้เพค่ะที่คร่าชีวิตของหม่อมฉันไป”
“ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำไมต้องอาศัยร่างของคุณโชรงด้วยครับ” ซูโฮถามและจะเดินเข้าไป แต่อูฮยอนเดินมาห้ามเอาไว้
“แกจะไปไม่ได้นะไอ้ซูโฮ !! ตอนนี้เราไม่รู้ว่าอาการนี้มันเป็นยังไง” อูฮยอนพูด
“แล้วแกจะปล่อยให้คนใข้ของฉันเป็นอย่างนี้หรือไง !!” ซูโฮหันไปตำหนิ
“องค์รักษ์อูฮยอน ปล่อยฝ่าบาทมาเถอะ เพราะท่าคนเดียว ถ้าเมื่อ 1,000 ปีที่แล้วท่านไม่มาเจอพวกเรา ข้าคงไม่ต้องตายเรื่องหน้าเศร้าก็คงไม่ต้องเกิดขึ้น” ร่างนั้นพูด
“ผมไม่เกี่ยวนะคุณโชรง ! ตอนนี้อาการของคุณแย่มาก !! แล้วคุณต้องได้รับการบำบัดอย่างด่วน !! บำบัดเถอะครับอาการเหล่านี้จะได้หายไปสักที …คุณเป็นคนที่สวยมากนะ ! แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าคนสวยอย่างคุณมีโรคทางจิต” อูฮยอนพูด
“สวยเหรอค่ะ !! ความสวยงามบนใบหน้าของฉันมันจะมีประโยชน์อะไรเมื่อฉันมีความรักไม่ได้ !!! ฉันต้องคอยคร่าชีวิตของชายที่ฉันรักกว่าร้อยคน เพื่อแค่...! แค่ให้ฉันได้เป็นมนุษย์เท่านั้น มนุษย์อย่างท่านจะเข้าใจอะไรล่ะ !!! ข้าอุตส่าห์ยอมอุทิศร่างกายที่สี่ขาของข้าเพื่อช่วยฝ่าบาท ข้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าฝ่าบาท ข้าไม่ตั้งใจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน !! ” ร่างนั้นระบายอารมณ์ออกมา
“คุณจะบอกว่าคุณคือกูมิโฮเหรอค่ะ ตำนานพันปีของรักนั้นมีจริงเหรอค่ะ แล้วทำไมต้องเป็นพี่โชรงด้วย ทำไมต้องเป็นเธอด้วยล่ะ” ซูจีพูด
“เพราะเธอคือหม่อมฉัน !! ร่างนี้คือหม่อมฉัน ! ทั้งฝ่าบาท องครักษ์ องค์หญิง และองค์ชาย ต่างได้ตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หม่อมฉันก็เช่นกันเพค่ะ” ร่างนั้นพูด
“คุณกำลังพูดว่าพวกเราทั้งหมดเกี่ยวข้องกันหรือครับ งั้นสิ่งที่บันทึกในสมุดเล่มนี้ก็เป็นจริงนะสิ !!” เซฮุนพูดก่อนจะเอาสมุดโบราณเล่มหนึ่งออกมา ทำให้เป็นจุดสนใจ
“เรื่องมันว่ายังไงค่ะพี่เซฮุน” ซูจีถาม
“นางจิ้งจอกเก้าหางขึ้นครองราชเป็นพระมเหสีคู่กับองค์รัชทายาทซูโฮ ที่หายสาบสูญไปนาน ทั้งสองครองราชกันได้ไม่นานธาตุของนางปีศาจก็ถูกเปิดโปง นางจิ้งจอกประหารชีวิตตัวเองด้วยการเดินเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชติช่วง กลางสายของที่โศกเศร้าของเหล่าประชาชนของนาง และองค์หญิงซูจี...หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งเรื่องหัวใจ ไม่ยอมให้ใครมาบงการได้ง่ายๆก็เกือบขาดใจไปในอ้อมกอดของเซฮุนอตีดองค์ชายที่พ้นโทษการก่อกบฎเพราะผู้เป็นมารดาวางแผนปรงประชนฝ่าบาท องค์รัชทายาทร่ำร้องเรียกหานางจิ้งจอกเหมือนคนที่ขาดสติเพียงเพราะอยากได้ชายาที่เป็นปีศาจคือมาแต่ก็ทำไม่ได้เพราะองครักษ์อูฮยอนและทหารต่างคุ้มกันไม่ให้เข้าไปใกล้นางปีศาจนั้น หลังจากร่างนั้นกลายเป็นผงธุลีหายไปต่อหน้า ...องค์รัชทายาทก็ทรงลั่นคำสาบานเอาไว้ว่า ...โชรง ข้าขอสัญญา ถ้าได้พบกันอีกครั้ง ! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ข้าก็จะรักเจ้าคนเดียว ! ...” เซฮุนเล่าความ
“เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้เองงั้นเหรอ ?” ซูโฮพูดก่อนจะหันกลับมาดูโชรง
“เพค่ะฝ่าบาท ! ทรงจำหม่อมฉันได้หรือยังเพค่ะ”
“ผมจำได้แล้ว จำได้แล้วว่าคุณพยายามขนาดไหน” ซูโฮพูดก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆโชรง
“เรียกหม่อมฉันว่าโชรงเถอะเพค่ะ เราจะกลายเป็นคนธรรมดาไม่มีองค์รัชทายาท ไม่มีนางจิ้งจอกเก้าหาง เราจะกลับไปอยู่ที่ป่ากันก็ได้นะเพค่ะ” โชรงพูด
“โชรง ! ช่วยเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ผมฟังหน่อยได้ไหม” ซูโฮก่อนจะจับมือของเธอไว้
“ก่อนหน้านี้ตอนนั้นข้ายังเป็นสุนักจิ้งจอก ข้าเจอท่านนอนอยู่ ข้าได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นค่อยๆของท่านฉันหลงเสน่ห์ท่านตั้งแต่ตอนนั้น ข้าเดินไปกินพื้นที่เรืองแสงสีฟ้ามันจึงทำให้ข้าเป็นนางจิ้งจอก ข้าจึงกลับมาช่วยท่าน เราทั้งสองอยู่ด้วยกันในถ้ำซ้ำเป็นบ้านของข้า แล้วหลังจากนั้นก็ก็โปรยเสน่ห์ใส่ท่าน ข้าทำให้ท่านหลงข้า เราทั้งสองใช้ชีวิตที่แป็นสามีภรรยากันมานานจนองครักษ์มาเจอท่าน พวกเราไปแย่งบัลลังค์คืนมา แล้วท่านก็ได้ขึ้นครองราชเป็นพระราชา ข้าก็เป็นราชินี แต่มันน่าเศร้าความจริงของข้าถูกเปิดโปง ข้าจึงยอมตัดใจเป็นฝ่ายตาไปเสียดีกว่า ข้ารอคอยท่านมานานมากเลยนะ” โชรงเล่าความ
“ใช่ !! คุณคงรอผมมานานเลยสินะ ! ทำไมดวงตาของคุณถึงดูเยือกเย็น ทำไมผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณคือใครเมื่อ 1,000 ปีก่อน ทั้งๆที่คุณรอคอยผมมานานขนาดนี้” ซูโฮพูด
“ท่านทิ้งนางคนนี้แล้วกลับไปอยู่กับข้าเถอะ ข้าหลงนางเพราะนางหน้าตาเหมือนข้าเท่านั้น” โชรงพูด
“คุณจะให้ผมทิ้งโชรงในตอนนี้เหรอ” ซูโฮพูดก่อนจะเผยแววตาที่หวั่นไหว
“ท่านบอกสิ ว่าท่านรักข้า ท่านไม่ได้รักร่างกายที่เหมือนข้า ข้าเป็นภรรยาของท่านะ” โชรงพูด
“ผมขอโทษ !! แต่ผม....ผมไม่คิดว่า...” ซูโฮปฏิเสธ
“แล้วถ้านางไม่ใช่มนุษย์ล่ะเพค่ะ” โชรงพูดก่อนจะเบ่งหางทั้ง 9 ออกมาทำเอาทุกคนตกใจไปตามๆกัน
“ไม่...!!!!! นี้ไม่ใช่ฉันออกไปจากร่างของฉันเดี๋ยวนี้ยะนางปีศาจ !!!!!” เสียงโชรงก็ตะโกนออกมา
“ตอนนี้พี่โชรงกำลังต่อสู้อยู่กับปีศาจนั้นอยู่” ซูจีพูด
“คุณโชรง !! ตกลงใครเป็นใครกันแน่ !!” ซูโฮพูด้วยความสับสน
“ถ้าข้าคือนางท่านจะกลับมารักข้าไหม ?” ร่างของนางกูมิโฮพูด
“อย่าไปฟัง !! จำที่แม่หมอบออกได้ไหมค่ะคุณซูโฮ คำพูดมันไม่เหมือนกัน คุณต้องยืนอยู่ข้างฉันนะค่ะ” โชรงพูด
“ถ้านางคือข้า ท่าจะทรงกลับมารักข้าเช่นเดิมใช่ไหม ?” นางกูมิโฮถามมาอีก
“พวกเธอไม่ได้เป็นคนๆเดียวกัน” ซูโฮพูดด้วยความสับสน
“พวกเราคือคนๆเดียวกัน พวกเราคือคนๆเดียวกัน” กูมิโฮเริ่มใช้เล่ห์ล่อลวงซูโฮ
“โอ้ย !!! ผมไม่รู้แล้ว !! ผมไม่รู้” ซูโฮเริ่มสับสนหนักขึ้นอีก แล้วอยู่ๆเมฆก็เข้ามาบังพรจันทร์จนมิด หางของโชรงก็หายไป
“คุณซูโฮ !” โชรงที่ได้สติต็มที่ก็เดินเข้ามาหาซูโฮ
“คุณคือใคร” ซูโฮพูด
“จำเอาไว้นะค่ะ ต่อจากนี้ฉันคือโชรง ถึงแม้เราจะไม่เคยเจอกันมาก่อน ถึงแม้ว่าฉันจะรู้จักคุณไม่ดีเท่าไหร่ แต่ฉันจะพูดมันออกไป ฉันรักคุณค่ะคุณซูโฮ” โชรงพูด ก่นที่น้ำตาของเธอจะไหลลงมา แล้วโชรงก็เดินออกจากร่างของเขา แล้วเดินไปหยิบมีดปอกผลไม้ที่อยู่แถวนั้นออกมา
“ซูจี !! ถ้าปีศาจนั้นออกมาอีก ! จำเอาไว้เอามีดนี้แทงพี่ซะ” โชรงยื่นมีดไปให้ซูจี
“ซูจีทำไม่ได้ค่ะพี่โชรง ซูจีทำไมได้” ซูจีพูด
“ไม่งั้นเรื่องนี้มันก็จะไม่จบ !! พี่ต้องพลิกชะตาของพี่ให้ได้ พี่ไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง แต่พี่ขอให้เธอแทงพี่” โชรงพูดก่อนจะยัดมีดใส่มือซูจี และหันไปมองพระจันทร์อีกครั้งก่อนจะพว่าตอนนี้เมฆที่บังหายไปแล้วเหลือแต่พระจันทร์ที่ลอยโดดเด่นอยู่
“องค์หญิงซูจีจะทำอะไรเพค่ะ” กูมิโฮเพ่งตาสีฟ้าจองไปที่หน้าของซูจีทำให้ซูจีกลัวจนทิ้งมีดไป
“ฉ...ฉ...ฉัน...” ซูจีตกใจกลัวสุดขีด
“องค์หญิงซูจีจะฆ่าหม่อมฉันหรือเพค่ะ” กูมิโฮพูดก่อนจะส่งสายตาอำมหิตและใช้พลังของเธอบีบคอของซูจี
“แฮ่ะๆ ! ช...ช่วยด้วย” ซูจีพยายามเรียกร้องพลางเอามือขึ้นมาจับ
“ตอนนี้พี่โชรงต้องโดนกลืนกินไปแล้วแน่ !!ช่วยพี่โชรง ช่วยซูจีด้วยครับ” เซฮุนพูด
“อย่ามายุ่งกฏบอย่างแกก็สมควรตาย !!” กูมิโฮทำเช่นเดียวกับซูจีต่อเซฮุน
“คุณหมอซูโฮค่ะ !!! ทำตามที่พี่โชรงพูดสิค่ะ” ซูจีพยายามพูด
“ผม...ผม..” ซูโฮมองซูจีและกูมิโฮสะลับกัน ก่อนจะเดินไปหยิบมีดมา
“คุณจะฆ่าฉันเหรอค่ะ ! ฉันโชรงไง” กูมิโฮทำให้ซูโฮสับสนอีกครั้ง
“คุณหมอครับแทงเธอเลย” เซฮุนพูด
“แค่ก ๆ! ฉัน...ฉันจะไม่ไหวแล้วนะค่ะ” ซูจีพูด
“ฉันรักคุณค่ะคุณซูโฮ” เสียงของโชรงทวนกลับมาที่หูของเขาอีกครั้ง ซูโฮหันไปมองกูมิโฮนั้น
“ผมก็รักคุณครับคุณโชรง” ซูโฮพูดก่อนจะแทงเข้าไปที่ท้องของกูมิโฮเต็มๆ แล้วซูจีและเซฮุนก็หายจากพลังของกูมิโฮ ส่วนนางกูมิโฮก็ล้มลงกับพื้นทันที
“โชรง !!” ซูโฮที่ถือมีดที่มีรอยเลือดอยู่ก็รีบทิ้งไปและไปดูร่างของโชรงที่นอนอยู่บนพื้นทันที
“พระองค์ทรงทำกับหม่อมฉันได้ยังไงเพค่ะ” วิญญาณของกูมิโฮที่ออกจากร่างของโชรงแล้วยืนอยู่ที่ปรายเท้าของโชรงพูด
“ผมทำได้ทุกอย่าง ขอแค่อย่าให้ใครเป็นอะไรไปก็พอ” ซูโฮหันไปตอบ แล้วคนอื่นๆก็เริ่มมามุง
“พระองค์ไม่รักหม่อมฉันแล้วหรือเพค่ะ” กูมิโฮพูด
“ถ้าเป็นเมื่อ 1,000 ปีก่อน ผมจะยอมรับว่าผมรักคุณ แต่ตอนนี้....ผมรักคุณโชรง” ซูโฮพูด โชรงที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของซูโฮยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอกของซูโฮทำให้เสื้อสีขาวของเขาเปื้อนเลือด
“คุณโชรง...” ซูโฮหันพูดและจับมือของเธอที่จับหน้าอกของเขา
“ถ้า...ถ้าเกิดว่า... ฉันเป็นกูมิโฮ..! คุณจะ...มอบมัน(ตับ) ให้ฉันไหมค่ะ” โชรงถามด้วยเสียงที่ทรมานจากบาดแผล
“ครับ” ซูโฮพยักหน้า
“กูมิโฮ ...! ผู้ชายคนนี้เขารักคุณมากเมื่อ 1,000 ปีก่อน และตอนนี้ก็ยังคงรัก... คุณ...สบายใจ...ได้แล้วนะค่ะ” โชรงพูด
“ความรักของข้าคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะ 1,000 ปีก่อน หรือว่าตอนนี้” กูมิโฮพูด
“พอเถอะครับคุณโชรง !!อย่าพูดอะไรให้คนอื่นสบายใจอีกเลย” ซูโฮพูด
“ฉัน...ฉันก็มีความสุข... นะค่ะ... เพราะคนอื่นมีความสุข..... ขอบคุณนะค่ะ... สำหรับตับที่คุณจะมอบให้....!” โชรงพูด
“ต่อให้ผมต้องแลกด้วยชีวิตผมก็ยอมขอแค่ให้คุณปลอดภัย ผมจะทำทุกทางให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไป” ซูโฮพูด
“เพราะฉนั้น... คุณจึงเลือก... ที่จะเป็น.. เป็นหมอใช่ไหม ....ฉันเข้าใจแล้วค่ะ อย่าร้องไห้...เพราะฉัน...อีกเลยนะค่ะ.....” เสียงสุดท้ายของโชรงดังขึ้นก่อนที่เธอจะสลบไป
“โชรง..!! อะไรกันคุณจะไปอย่างนี้ไม่ได้นะ !!!! คุณอุตส่าอดทนมาขนาดนี้แล้ว !! อย่าจากผมไปนะ อย่าจากผมไปอีกเลยผมขอร้อง... ฮือๆๆ คุณจะทิ้งผมไปอีกเหรอคุณโชรง..” ซูโฮพูดพลางร้องไห้ และเอาร่างนั้นมากอดไว้
“ฝ่าบาท...” กูมิโฮร้องเรียก
“อย่าเอาเธอไปนะ !! นางเป็นมนุษย์ ! นางเป็นมนุษย์จริงๆนะ !” ซูโฮหันไปถ่วงต่อกูมิโฮ
“หม่อมฉันจะไม่ยอม....ให้พระองค์ต้องพลัดพลากจากคนรักอีกแล้วเพค่ะ ฝ่าบาท...” กูมิโฮพูดที่น้ำตาของนางจะหล่นลงมาที่กระโปรงสีฟ้าของโชรง และร่างของกูมิโฮก็กลางเป็นผงฝุ่นสีฟ้าลอยออกไป
.
.
.
.
.
หลังจากนั้นโชรงก็ถูดส่งตัวเข้าโรงพยาบาล และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และไม่นานผลวินิจฉัยก็ออกมา
“คุณหมอซูโฮครับ คุณเจอเธอหรือยังครับ” หมอที่ผ่าตัดถามซูโฮ
“ผมได้คุยกับเธอแล้วครับ แต่เธอ...”
“เธอจำคุณไม่ได้ใช่ไหมครับ”
“ครับ...”
“หมอว่าจากอาการของเธอน่าจะเกิดจากผลทางจิตใจ จึงเป็นผลกระทบให้เธอความจำเสื่อม แต่ไม่นานเธอจะกลับมาจำได้ถ้าเธอได้รับการบำบัดอย่างดีครับ”
“งั้นผมพาเธอไปรักษาตัวที่บ้านได้ไหมครับ” ซูโฮถาม
.
.
หลังจากนั้น 2 ปี โชรงที่กำลังพยายามฝื้นความทรงจำอยู่ที่บ้านก็เธออาการก็เริ่มดีขึ้นมากเป็นลำดับ และสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติเช่นเคย แต่หลังจากที่ซูโฮพาโชรงกลับบ้านของเธอซูโฮก็ไม่มาเจอเธออีกเลย รวมแล้วเป็นเวลาเกือบ 1 ปี ตลอดระยะเวลาที่ซูโฮดูแลเธอซูโฮไม่เคยบอกชื่อจริงเขาให้เธอรู้เลยสักครั้ง ทำให้ตอนนี้โชรงลืมซูโฮไปเกือบ 100% แล้ว
“พี่โชรงค่ะ” ซูจีมาเยื่ยมโชรงที่บ้าน
“ซูจี !เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” โชรงเดินไปต้อนรับ
“วันนี้ซูจีเอาผลไม้มาเยื่ยมพี่โชรงค่ะ งั้นเดี๋ยวซูจีไปจัดจานให้นะค่ะ” ซูจีพูด
“จ๊ะ ! เดินดีๆนะ” ซูจีเดินไปหลังบ้านด้วยท่าทางอึดอัดทุกครั้งที่ต้องทนเก็บเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ ระหว่างนั้นโชรงก็เดินมาเปิดดูของที่ซูจีเอามาเยื่ยม และเผลอไปเจอชุดฮันบกสีฟ้าซึ่งเป็นชุดเดียวกันในวันปิดกล้องที่เธอใส่ โชรงคลี่ชุดนั้นออกมาชม
“ซูจี ! ชุดนี่ของใครจ๊ะ” โชรงถาม
“ของพี่โชรงค่ะ ก่อนพี่จะบำบัดชุดพี่ขาดซูจีก็เลยไปซ่อมให้ เพิ่งจะได้กลับมาเอาค่ะ เพราะเป็นชุดฮันบกกว่าจะซ่อมได้ 2 ปีแน่ะ” ซูจีพูด
“ซูจีลืมเอาไว้ที่ร้านต่างหากล่ะ ถ้าพี่ทายไม่ผิด” โชรงพูดอย่างรู้ทัน
“ไม่เชื่อพี่โชรงก็ลองหยิบบิลค่าซ่อมในกระเป๋าดูได้เลย”
“จ่า.. งั้นพี่จะไปดู” โชรงพูดก่อนจะเดินไปเปิดกระเป๋าเอาบิลค่าซ่อมชุดออกมาดู แต่ดันไปพบอะไรที่เจ๋งกว่านั้นคือค่ารักษาพยาบาลขอลเธอ ที่จ่ายโดยคิม ซูโฮ
“ซูจี ! ซูโฮนี่ใครเหรอจ๊ะ ทำไมต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พี่ด้วย” โชรงตะโกนถาม ทำให้ซูจีอึดอัดเข้าไปใหญ่
“พี่โชรงค่ะ ! ฟังซูจีให้ดีๆนะค่ะ คุณซูโฮคือคนที่พี่รัก และเขาเป็นคนที่ช่วยเหลือพี่จากวิญญาณของกูมิโฮ ตอนนี้คุณซูโฮเขาไปทำงานที่ต่างประเทศแล้วค่ะ และ 1 ปีก่อนคุณซูโฮก็เป็นคนที่ดูแลพี่ ดูแลอย่างดีเลยค่ะ” ซูจีเดินเข้ามาใกล้ๆโชรงก่อนจะอธิบาย
“เหมือนเรื่องที่พี่ฝัน พี่ฝันทุกคืนเลยว่าพี่โดนวิญญาณของกูมิโฮตาม และมีผู้ชายคนนึงที่จะมอบชีวิตให้พี่ พี่ฝันต่อกันหลายคืน แล้วมันก็ฝันซ้ำอย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว” โชรงเล่า
“พี่โชรงฝันอย่างนั้นเหรอค่ะ ? งั้นก็แปลว่าพี่โชรงรู้มาตลอด... แต่กลับไม่..หรือเพราะน้ำตานั้นของกูมิโฮ พี่จึงไม่ได้สมหวังในรัก ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่โชรงไปตามหาคุณซูโฮเถอะค่ะ ซูจีเชื่อว่าคุณซูโฮต้องรอพี่อยู่แน่” ซูจีพูด
“ถ้าหากว่ากูมิโฮช่วยเหลือพี่ พี่คงจะต้องมีชีวิตที่ไร้ความรักแบบเธอไม่ใช่เหรอ ?” โชรงพูด
“ทำไมอยู่ๆพี่โชรงก็ตัดสินใจอย่างนี้...” ซูจีพูด
“ซูจีรู้จักบ้านของคุณซูโฮไหม” โชรงถาม
“รู้จักค่ะ คุณซูโฮฝากของมาให้พี่ด้วย เขากำฉับเอาไว้ว่าต้องให้พี่ตอนที่พี่อยากไปบ้านเขาเท่านั้น” ซูจีพูด
“งั้นเอามาให้พี่สิจ๊ะ มันอยู่ไหน” โชรงพูด แล้วซูจีก็เดินไปหยิบกล่องใบเล็กน่ารักใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าใบโตของเธอ
“นี่ค่ะ” ซูจียื่นให้ เมื่อโชรงเปิดดูก็พบกับกุจแจบ้านดอกหนึ่งที่อยู่ในนั้น
“ซูจีรีบพาพี่ไปที่บ้านคุณซูโฮเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม” โชรงพูดมซูจีตอบไปอย่างงงๆ แต่ก็พาโชรงไปส่งถึงที่
.
.
เมื่อถึงบ้านของซูโฮ โชรงก็เปิดประตูเข้าไปในบ้านแต่กลับไม่พบซูโฮอยู่ในบ้าน เธอจึงออกมาหาซูจี
“ซูจีกลับไปก่อนนะ พี่จะรอคุณซูโฮ” โชรงพูด
“พี่โชรงค่ะ !! คุณซูโฮไปทำงานต่างประเทศนะค่ะ” ซูจีเตือนความจำ
“ไม่หรอก ! คุณซูโฮยังรอพี่อยู่ที่นี่ ยังไงพี่ก็จะรอคุณซูโฮอยู่ที่นี่ ข้าวขอเครื่องใช้ก็ยังใหม่อยู่ อาหารในตู้เย็นก็เต็มไปหมด พี่ไม่เชื่อหรอกว่าคุณซูโฮจะไปจริงๆ” โชรงพูดอย่างมั่นใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
.
.
เวลา 20:00 น. ถึงเวลาที่ซูโฮออกเวร เข้าจึงกลับบ้านมา เมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่าบ้านของเขาเปิดไฟสว่างไปทั้งบ้าน ถึงเดินเข้าไปในบ้านอย่างค่อยๆ เมื่อเข้าไปถึงในตัวบ้านก็ได้กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูกเขาจึงเดินไปที่ห้องครัวเป็นอันดับแรก และพบกับร่างของหญิงสาวที่กำลังทำอาหารอยู่
“คุณเป็นใครครับ” ซูโฮถามไป
“ฉันเป็นคนรักของคุณไงค่ะ” โชรงหันกลัมาตอบ
“คุณโชรง ! คุณมาได้ไงครับ” ซูโฮพูดด้วยความตื้นตัน
“เพราะฉันจำทุกอย่างได้แล้วฉันจึงกลับมา ต่อไปนี้อย่าทิ้งฉันอีกนะค่ะ” โชรงตักอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะกับข้าวก่อนจะเดินมาพูดกับซูโฮ
“ผมไม่กล้าทิ้งคุณไปหรอก” ซูโฮพูด
“ทำไมล่ะค่ะ” โชรงถามมา
“ผมกลัวว่าผมจะขาดใจตาย”
“จำเอาไว้นะค่ะ ... เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง เพราะฉนั้นอย่าเสียใจที่จะรัก ถึงแม้ว่าความรักของเราจะไม่สมหวังก็ตาม...”
.. THE ENG ..
cinna mon
ความคิดเห็น