ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SHORT FIC ALL GOT7 : EMOTION [YUGBAM JACKBAM JACKJAE YUGMARK BSON BNIOR MARKBAM]

    ลำดับตอนที่ #4 : INERTIA [YUXMARK]

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 59




    เป็นอีกเพลงที่อยากให้ลองฟังค่ะ >>> 

     
         
     

     

     

     

     

     

     

     

       

                        'INERTIA'

     

     

     

     

     

     

     

     

     

       

                 “ส่วนความเฉื่อยก็คือคุณสมบัติของวัตถุที่ต้านทานการเปลี่ยนแปลงความเร็วหรือการเคลื่อนที่ คือมันพยายามจะทำให้ วัตถุนั้นๆมีสภาพการเคลื่อนที่คงเดิมอะ ซึ่งไอ้ความเฉื่อยเนี่ยก็จะก่อให้เกิดแรงเฉื่อย แรงเฉื่อยจะมากหรือจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเฉื่อยนี่แหละ...”

     

     

                “มึง กูขอภาษาคนได้ปะวะ แบบ...ไม่เอาภาษาตำราอะ” เพื่อนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น ผมมองหน้ามันแล้วก็ถอนหายใจใส่อย่างเหนื่อยหน่าย ไม่เข้าใจว่ามันอยู่รอดในคณะวิศวะมาจนถึงปีสามได้ยังไงโดยที่ไม่รู้จักเรื่องของความเฉื่อย นี่มันเนื้อหาฟิสิกส์เด็กเกรดสิบชัดๆไม่ใช่หรือยังไงกัน

     

     

                “เอางี้นะ ลองสมมติว่าความเฉื่อยคือคู่รักคู่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงความเร็วอะไรนั่นก็คล้ายๆกับปริมาณความรัก แล้วแรงเฉื่อยก็คือระยะเวลาที่คู่รักนั้นได้อยู่ด้วยกัน” 

     

                “เปรียบเทียบอะไรของมึง กูไม่เข้าใจอยู่ดีว่ะ”

     

               

     

     

     

                “งั้นมึงฟังใหม่อีกครั้ง ถ้าให้ความเฉื่อยคือกูกับพี่มาร์ค...”

     

     

     

     

     

                “พวกเรากำลังพยายามเหนี่ยวรั้งความรักที่มันใกล้จะถึงจุดจบเต็มที พยายามฝืนดันทุรังไม่ให้อะไรๆมันแย่ไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเรารั้ง มันก็จะทำให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ หรืออย่างน้อยก็คงจะนานขึ้นกว่าเดิม...แค่นิดเดียวก็ยังดี”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ~

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ตำราฟิสิกส์เล่มหนาจากห้องสมุดถูกเปลี่ยนหน้ากระดาษไปตามแรงลมพัด ผมปล่อยให้เสียงโวยวายว่าไม่เข้าใจของไอ้แบมลอดเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาอย่างไม่ได้ใส่ใจ ส่วนตัวเองก็ได้แต่ทอดสายตามองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย เมฆสีเทาก้อนใหญ่บนท้องฟ้าเคลื่อนมาบดบังแสงอาทิตย์จนทำให้บรรยากาศโดยรอบอึมครึมไปหมด และผมคิดว่ามันคล้ายกับวันนั้น...วันแรกของเราเมื่อสามปีที่แล้ว

     

     

     

     

     

                เมื่อสามปีที่แล้ว...เด็กเกรดสิบสองที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างผมยังคงมองหาทางไปต่อของตัวเองหลังจบการศึกษาไม่เจอ โชคดีที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จัดกิจกรรม open house ขึ้น ผมก็เลยลองมาศึกษาดูว่ามีคณะไหนที่พอจะเหมาะกับตัวเองบ้าง ผมเดินสำรวจบูธของคณะอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็เลือกมาหยุดยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้...ใต้ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์

     

     

                มันไม่ใช่เพราะตึกคณะที่โอ่อ่าและมีรูปทรงสวยงามแปลกตา ไม่ใช่เพราะตัวอักษรคำว่า วิศวกรรมศาสตร์ ที่เด่นหราอยู่หน้าซุ้มกิจกรรม ไม่ใช่เพราะเสียงกลองสันทนาการที่นักศึกษาเคาะเรียกความสนใจจากผู้เยี่ยมชม ไม่ใช่เพราะม้านั่งใต้ต้นไม้ที่ร่มรื่นจนน่างีบหลับ ไม่ใช่เพราะสายลมเย็นที่พัดเอื่อยเฉื่อย ไม่ใช่เพราะท้องฟ้ามืดครึ้ม มันไม่ใช่เพราะอะไรทั้งนั้น...

               

     

                แต่มันเป็นเพียงนักศึกษาชายคนหนึ่งที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคนของคณะนี้ มันเป็นเพียงสายตาเนือยๆของเขาที่บังเอิญเลื่อนมาสบกับสายตาเนือยๆของผมเข้าพอดี และมันเป็นเพียงความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างต่อจากนั้น ไม่ใช่ความรู้สึกสปาร์คฉับพลันเหมือนโดนไฟช็อตหรือความรู้สึกที่ว่ามีผีเสื้อสีสวยหนึ่งพันตัวบินว่อนอยู่ทั่วท้องแต่อย่างใด มันเป็นเพียงแค่นั้น...เหตุผลง่ายดายที่ทำให้ผมเผลอหยุดอยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ และผมก็รู้ตัวโดยทันทีว่าอะไรที่เหมาะกับผมที่สุด...

                

                มาร์ค ต้วน นักศึกษาปีสองคณะวิศวกรรมศาสตร์ ณ เวลานั้น

               

     

     

     

     

     

     

                และนั่นก็คือครั้งแรกที่เราพบกัน...                    

     

     

     

     

     

     

     

                ผมหลุดจากภวังค์บ้าบอตอนที่แบมแบมใช้ปากกาตีเข้าที่ศีรษะอย่างแรง ใบหน้าอ่อนใสแต่ดูหงุดหงิดจิ้มเข้าที่นาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาหกโมงเย็นแล้ว ผมพยักหน้าตอบรับก่อนก้มหน้าก้มตาเก็บหนังสือที่อุตส่าห์แบกมาสอนมันแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่เข้ากระเป๋า พวกเราบอกลากันแค่พอเป็นพิธีจากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน

     

     

     

                รถประจำทางสายเดิมเคลื่อนมาจอดอยู่ตรงหน้าแบบพอดิบพอดี ผมลุกขึ้นเหวี่ยงกระเป๋าสีดำพาดไว้บนไหล่ข้างขวาก่อนเดินช้าๆขึ้นไปข้างบนนั้น มหาวิทยาลัยไม่ได้ไกลจากคอนโดที่ผมอาศัยอยู่มากนัก ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ประมาณไม่เกินยี่สิบนาทีก็คงจะถึง ผมเคยดีใจที่มันเป็นแบบนั้นเพราะอยากจะกลับไปเจอหน้าเจ้าของห้องจนอดใจแทบไม่ไหว แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่...

     

                ผมภาวนาทุกวันว่าขอให้รถติด ถนนขาด พายุเข้า หรืออะไรก็ได้ที่จะมาขัดขวางการเดินทางให้ล่าช้าลง อยากใช้เวลาอยู่บนท้องถนนให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันไม่ใช่เพราะว่าผมไม่อยากกลับไปเจอหน้าเขานะ...ไม่มีวันนั้นหรอก ผมคิดถึงและอยากเจอเขาทุกวินาทีนั่นแหละ แต่ผมเพียงแค่ไม่พร้อมจะกลับไปเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่เรียกได้ว่าคือความเฉยชา 

     

     

                ผมรักเขามาก...แต่ผมก็เกลียดไอ้ความเฉยชานั่นมากเหลือเกินเช่นกัน

     

     

     

     

     

                ฝนเทกระหน่ำลงมาแบบฉิวเฉียดกับผมที่เพิ่งเดินเข้าไปในตัวตึก ผมเคยมีความคิดอยากยอมแพ้กับความเฉยชานั้น เคยคิดอยากจะย้ายออกจากห้องที่คอนโดนี้แล้วกลับไปนอนที่บ้านแทน แต่ผมก็ทำไม่ได้ นี่เป็นคอนโดของพี่มาร์คและเราก็อยู่ด้วยกันมาตลอดสามปีแล้ว หากเลือกที่จะทำแบบนั้นมันก็คงไม่ต่างอะไรกับการบอกเลิกและแยกทาง ซึ่งผมไม่เคยต้องการให้มันเกิดขึ้นเลยสักนิด ถึงแม้ทุกวันนี้ที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าต่างคนต่างอยู่เข้าไปทุกที แต่ใครสนล่ะ...ในเมื่อหากมองไปรอบห้องผมยังคงเห็นเขาอยู่ในสายตา ยังคงได้ยินเสียงของเขา และยังคงเอื้อมมือไปสัมผัสเขาได้ 

     

                เรายังคงเป็นของกันและกัน...แค่นั้นเองที่ผมต้องการ

                 

     

     

     

     

                ผมแนบคีย์การ์ดลงกับประตูห้องก่อนเปิดมันออกเบาๆ ไฟด้านในที่สว่างไสวกับไอเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงกลับมาได้สักพักแล้ว หากแต่ขณะที่ผมเดินเข้าไปกลับพบแต่ความเงียบเชียบราวกับไร้สิ่งมีชีวิตด้านใน มีเพียงเสียงพรมนิ้วมือลงกับคีย์บอร์ดดังแว่วมาที่พอจะยืนยันได้ว่าพี่มาร์คคงกำลังทำงานของเขาอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องห้องนี้ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับความเงียบนี้เท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นแบบนี้มาได้สักพักแล้วล่ะครับ... ไม่มีเสียงใสที่เอ่ยทักทาย ไม่มีอ้อมกอดอบอุ่นคอยต้อนรับ ไม่มีน้ำเย็นฉ่ำในแก้วให้ดับกระหาย ไม่มีรอยยิ้มที่ทำให้หายเหนื่อย ไม่มีอะไรเลย...ไม่มีอะไรนอกจากความเงียบที่ค่อนข้างมากเกินไปนี้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับ ผมกำลังพยายามทำตัวเองให้เป็นความเฉื่อยเพื่อยื้อสภาพการเปลี่ยนแปลงของความรักครั้งนี้อยู่ ถึงจะยาก...แต่เพราะผมยังอยากอยู่กับเขา ผมจะทำ

     

     

     

     

     

    เดินเบาๆหน่อยสิยูคยอม อย่าลงส้นเท้า มันจะสะเทือนไปถึงห้องข้างล่างนะ

     

     

              ประตูนั่นค่อยๆปิดมันก็แน่นแล้วน่า ทำเสียงดังตกใจหมด

     

     

     

     

     

              ในขณะที่งับประตูปิดและกดล็อคให้เบาที่สุดผมก็นึกไปถึงช่วงเวลาสมัยก่อนของพวกเรา เด็กปีหนึ่งอย่างผมวิ่งตึงตังเข้ามาในห้องของเขาที่กลายเป็นห้องของเรามาได้สักพัก แต่พี่มาร์คไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเสียงดังที่รบกวนสมาธิ ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยจะจำ บ่อยครั้งนักที่ผมมักจะเผลอลงน้ำหนักเท้าหรือไม่ก็ปิดประตูเสียงดังโครมคราม และผมก็โดนเขาดุด้วยเรื่องเดิมๆพวกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงออกมาต้อนรับผมเสมอ แม้ใบหน้าจะบูดบึ้งเพราะผมเผลอขัดใจเขาอีกแล้ว แต่เขาก็ยังคงกอดผมหนึ่งที ยังคงยื่นแก้วน้ำให้ดื่ม และปิดท้ายด้วยด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากตามประสา

     

     

     

     

     

                จนถึงตอนนี้ผมกำลังสงสัย...ถ้าหากผมลองเดินเสียงดังๆ ลองกระแทกประตูปิดให้แรงๆ พี่มาร์คจะออกมาดุผมเหมือนกับเมื่อก่อนหรือเปล่านะ แต่ผมไม่กล้าหรอกครับ เพราะผมรู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้คงจะทำให้ผมผิดหวังน่าดู...

               

     

     

     

     

     

     

                “ข้าวอยู่บนโต๊ะนะ” พี่มาร์คที่นั่งทำงานอยู่บนพื้นห้องนั่งเล่นพูดเสียงเรียบในขณะที่สายตาก็ยังคงจดจ่ออยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊กของเขา ผมตอบรับเบาๆก่อนเดินหายเข้าไปในครัว มีถุงอาหารเย็นหนึ่งถุงวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวตัวยาว

     

     

     

                “พี่มาร์คไม่กินหรอ” ผมตะโกนถามคนด้านนอก

     

     

                “กินแล้ว”

     

     

                “อ่อ ครับ”

     

     

     

                ผมพึมพำพลางพยักหน้ากับตัวเอง จัดแจงเทอาหารในถุงใส่จาน เลื่อนเก้าอี้ออกเบาๆ แล้วนั่งกินไปเงียบๆ ไม่ได้เหงาอะไรเท่าไหร่เพราะผมก็นั่งกินข้าวคนเดียวทุกเย็นแบบนี้มาได้สักพักแล้ว การที่ไม่มีพี่มาร์คมานั่งร่วมโต๊ะด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้รสมือของคุณป้าข้างคอนโดเจ้าประจำจะอร่อยน้อยลง และมันก็ยังคงทำให้ผมอิ่มท้องได้เหมือนเดิม ที่แปลกไปคงจะมีเพียงแค่ความรู้สึกของผมเท่านั้น แต่ก็แค่ความรู้สึก...มันจับต้องและพิสูจน์อะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมจะพยายามไม่ใส่ใจ

     

     

     

     

     

                ผมยืนฟังเสียงจากน้ำก๊อกไหลแข่งกับเสียงฝนข้างนอกหน้าต่าง คว่ำจานใบเดียวที่ล้างเสร็จแล้วเรียบร้อยลงกับตะแกรงด้านหน้า แต่ดูเหมือนผมจะปิดหน้าต่างไม่สนิท...ละอองน้ำฝนที่ปลิวเข้ามาทำให้ผมเห็นภาพเบลอ มันเป็นภาพของผู้ชายสองคนที่ยังคงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกัน มันเป็นภาพผมกับพี่มาร์คในวันเก่าๆ อาหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะตรงนั้น เราสองคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาตักอาหารในจานใส่ปากเงียบๆ ไม่ค่อยได้มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นทว่าก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด มีบ้างที่เราเผลอเงยหน้ามาสบตากันพอดีแล้วก็ยิ้มขำออกมาพร้อมกัน มีบ้างที่ผมตักกุ้งตัวโตของโปรดของตัวเองใส่จานให้เขา และมีบ้างที่   พี่มาร์คจะตักแครอทของโปรดของเขามาใส่จานให้ผมคืน...

     

     

     

    โตแล้วก็หัดกินผักบ้างเถอะ

     

     

    งั้นพี่ก็กินเนื้อสัตว์บ้าง ตัวพี่เหลือนิดเดียวแล้วนะครับ

     

     

     

     

     

              ระบายยิ้มจางๆให้กับภาพเบลอของเราก่อนที่ผมจะตัดใจเดินไปปิดหน้าต่างให้แน่นสนิท ละอองน้ำฝนที่กระเซ็นเข้ามาหายไปพร้อมกับภาพเหล่านั้น สิ่งที่ปรากฏแก่สายตา ณ ปัจจุบันเหลือเพียงโต๊ะตัวยาวอันว่างเปล่า และคนในภาพเบลอของผมที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่งานของเขาตรงห้องนั่งเล่นนั้น...

     

     

     

     

     

              สองทุ่มกว่าแล้วแต่พี่มาร์คยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ผมคว้าเอาผ้าขนหนูมาเช็ดผมที่เพิ่งสระของตัวเองก่อนเดินไปนั่งลงข้างๆกัน หยิบโน้ตบุ๊กในกระเป๋าขึ้นมาเริ่มทำการบ้านบ้าง คนข้างๆเพียงแค่เปรยตามามองผมแวบเดียวแล้วหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ผมที่กำลังจะหาเรื่องชวนคุยเลยต้องยุติความพยายามของตัวเองเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกเหมือนเราสองคนกำลังโกรธกันอยู่เลย...ทั้งๆที่เราก็แทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ

     

     

     

                “พี่มาร์ค”

     

     

                ผมกลั้นใจเรียกชื่อของเขาหลังจากนั่งงมการบ้านของตัวเองมาได้พักใหญ่ พี่มาร์คเองก็เรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจผมจึงสามารถถามเขาได้ตลอดเวลา  

     

     

                “ตรงนี้อะ ผม-”

     

     

                พี่มาร์คจะดีใจทุกครั้งที่ผมมีอะไรไปถาม และตัวพี่มาร์คเองก็อธิบายได้เก่งมาก ผมฟังเขาสอนแค่แปปเดียวยังเข้าใจมากกว่าที่ฟังอาจารย์บรรยายมาทั้งเทอมเสียอีก

     

     

                “ลองทำความเข้าใจเองก่อนนะ งานพี่รีบมากเลย ขอโทษที”

     

     

                แต่ผมเหมือนจะลืมบอกไป...

     

     

                “ครับ”

     

     

                ว่านั่นมันแค่เมื่อก่อน

     

     

     

                ผมหมุนโน้ตบุ๊กกลับมาหาตัวเองอีกครั้งแล้วก็ได้แต่นั่งมองหน้าจอเฉยๆ รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ทันได้ออกแรงทำอะไร แต่คงไม่ใช่แค่ผมคนเดียว พี่มาร์คเองก็คงเหนื่อยเหมือนกัน เราทั้งคู่ต่างอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมเรียนอยู่ปีสามแล้ว ต้องเจอแต่วิชาเนื้อหาหนักๆ แล้วไหนจะมีทั้งสอบทั้งควิซจนหัวหมุนไปหมด ส่วนพี่มาร์คก็เพิ่งเริ่มเข้าทำงานได้ไม่กี่เดือน แน่นอนว่าชีวิตการทำงานของเขาคงต้องเหนื่อยกว่าชีวิตการเรียนของผมมาก แถมยังมีอะไรมากมายหลายอย่างให้เขาต้องปรับตัว ทั้งหมดนั้นอาจเป็นเหตุผลข้อหนึ่งของอาการเฉยชา ผมเข้าใจในข้อนี้ดีและไม่เคยนึกโทษโกรธอะไรเลย...

     

     

     

     

     

     

     

     

    ~

     

     

     

     

     

     

     

     

                พี่มาร์ค ผมไม่เข้าใจ บรรทัดนี้มายังไง

     

     

              ‘นี่ไง มันมาจากสูตรนี้... นิ้วเรียวลากไปชี้ที่สมการน่าปวดหัวบนหนังสือเล่มหนา พี่มาร์คขยับแว่นสายตาที่เลื่อนตกลงมาตรงสันจมูกให้เข้าที่แล้วอธิบายต่อ

             

     

              ‘นายก็เอาไปแทนค่ากับตัวแปร เสร็จแล้วก็แยกแฟคเตอร์ ดึงตัวร่วม แค่นี้เอง เป็นประโยคสั้นกระชับแต่เข้าใจง่ายจนผมร้องอ๋อ คุณครูจำเป็นส่งยิ้มบางๆมาให้ก่อนหันไปอ่านหนังสือของตัวเองต่อ

     

     

              ตั้งใจเรียนนะ อีกหน่อยพี่ทำงานคงไม่ค่อยว่างสอน

     

     

              น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่กลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วงจนรู้สึกได้ดังขึ้นหลังจากนั้น ผมตอบรับแล้วก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง เขาทำให้ผมอุ่นใจได้เสมอเลย

     

     

     

     

     

     

     

                ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อนั่งคิดถึงอดีตเสียเพลินจนเผลอทำหนังสือในมือตกพื้น พี่มาร์คเองก็ตกใจไปด้วยหากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

     

     

     

     

     

                “ผมขอดูบอลนะ รบกวนพี่หรือเปล่า”

     

     

                “ดูไปเถอะ งานพี่เสร็จแล้ว”

     

     

     

                ผมพับโน้ตบุ๊กเก็บใส่กระเป๋าก่อนเดินไปกดเปิดโทรทัศน์เมื่อได้รับคำอนุญาต พี่มาร์คที่เคลียร์งานของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็ลุกมานั่งลงข้างๆผม สายตาของเราทั้งคู่ต่างจับจ้องไปที่โฆษณาในหน้าจอแอลซีดีที่ฉายคั่นการแข่งขัน ถึงจะน่าเบื่อหากแต่ผมคิดว่ามันคงเป็นที่วางสายตาที่ดีที่สุดในตอนนี้ ตอนที่การมองตาคนข้างกายดูเหมือนกลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ ไม่คุ้นเคย และน่าอึดอัดจนเกินไป

     

     

     

     

     

     

     

     

    ~

     

     

     

     

     

     

     

               

                เฮ่!’

     

     

     

              เสียงร้องตะโกนอย่างดีใจดังขึ้นพร้อมกันเมื่อทีมโปรดของพวกเราสองคนทำประตูนำฝั่งตรงข้าม ผมหยิบขนมขบเคี้ยวบนโต๊ะขึ้นไปจ่อที่ปากของพี่มาร์คที่กำลังใจจดจ่อกับการมองตามลูกฟุตบอลในทีวีจนไม่สนอะไรรอบข้าง หลังจากป้อนพี่มาร์คเสร็จแล้วผมจึงลดมือของตัวเองลงมา ทาบทับมันลงบนมือนุ่มของเขา พี่มาร์คละสายตามายิ้มให้ผมนิดหน่อยก่อนหันกลับไป แล้วผมก็ต้องยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่ไหว เมื่อพี่มาร์คหงายมือของเขาขึ้น...กลายเป็นมือของเราที่กุมประสานกันเอาไว้

     

     

     

               

               

     

     

                น่าเศร้าที่เรื่องราวแสนดีย้อนกลับมาหาได้เพียงแค่ในความฝัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ผมผล็อยหลับไป แต่มันคงนานใช้ได้เพราะว่าตอนนี้ที่หน้าจอทีวีกลายเป็นรายการข่ายภาคดึกไปแล้ว ผมเหลือบตามองคนข้างๆที่หลับจนคอพับไปอีกทางแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ ตัดสินใจกดปิดโทรทัศน์ก่อนช้อนตัวของพี่มาร์คขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

     

     

     

                พี่มาร์คคนเก่งของผม...ตอนนี้พี่ดูเหนื่อยมากเลยนะครับ

     

     

     

     

     

                พี่เหนื่อยเกินไปหรือเปล่านะ...

     

     

     

     

     

                แรงขัดขืนเล็กน้อยทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้า พี่มาร์คในอ้อมแขนลืมตามองผมงงๆก่อนพยายามขืนตัวออก ผมเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย

     

     

                “ปล่อยๆ เดี๋ยวเดินเอง”

     

     

                จากนั้นผมก็ยอมวางเขาลงกับพื้นแต่โดยดี พี่มาร์คเดินเข้าในห้องไปแล้วโดยมีผมเดินตามหลังเขาไปช้าๆ ผมกดปิดไฟก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียงของเรา อีกฝ่ายหันหลังให้ผมแล้วก็คงหลับไปแล้วด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผมจึงนอนตะแคงหันไปอีกทางหนึ่ง ความจริงแล้วนึกอยากเอื้อมมือไปกอดเขาใจจะขาดเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น มันไม่ใช่มาตั้งแต่แรกแล้ว...ตั้งแต่ที่พี่มาร์คขอเป็นฝ่ายลงเดินเองทั้งที่เขาเคยเลือกที่จะนอนหลับสบายๆให้ผมอุ้ม ตั้งแต่ที่เราต่างคนต่างนอนหลับไปโดยไม่มีการสัมผัสร่างกายใดๆ แม้แต่คำว่า ฝันดีนะ พวกเราก็ห่างหายจากมันมาได้สักพักใหญ่ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากมาย การไม่ได้ฟังคำว่าฝันดีไม่ได้แปลว่าเราจะต้องฝันร้าย หรือถึงแม้เราจะฝันดีแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องตื่นมาใช้ชีวิตในโลกของความเป็นจริงอยู่ดี   

     

     

     

     

     

     

                นาฬิกาปลุกตรงหัวเตียงแผดเสียงดังสนั่นจนผมต้องรีบกดปิดเพราะกลัวจะรบกวนคนข้างๆ แต่วินาทีหลังจากนั้นผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวว่าเสียงจากนาฬิกาปลุกของผมไปรบกวนใคร เพราะตอนนี้ห้องห้องนี้คงเหลือผมอยู่แค่คนเดียวตามเคย

     

     

               

                ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วจึงเข้าไปหาอะไรกินข้างในครัว โพสอิทแผ่นเล็กสีส้มถูกแปะไว้บริเวณตู้เย็น มีลายมือที่ผมคุ้นเคยปรากฏอยู่ข้างในนั้น

     

     

     

     

     

                ‘ต้องเข้าบริษัทแต่เช้า หาอะไรกินก่อนออกไปแล้วก็ล็อคห้องให้ดีนะ

     

     

     

     

     

                ใช้เวลาไม่ถึงห้าวินาทีในการอ่านประโยคสั้นๆพวกนั้นก่อนที่ผมจะดึงมันออกมาแล้วโยนลงถังขยะข้างๆอย่างไม่ใส่ใจ     ผมไม่รู้ว่าพี่มาร์ครู้ตัวหรือเปล่าว่ามันก็เป็นแบบนี้มาได้สักพักแล้วที่เขาออกจากห้องไปก่อนที่ผมจะตื่นมาตอนเช้า และทุกครั้งก็จะมีโพสอิทที่เขียนข้อความเป็นใจความเดิมๆแปะเอาไว้ตรงตู้เย็น ผมยืนอ่านพวกมันทุกวันจนจำได้ขึ้นใจ

     

     

     

     

     

     

                ผมออกจากห้องตอนเก้าโมงเช้าโดยไม่ลืมที่จะหยิบร่มติดมือมาด้วย ฝนข้างนอกทำท่าจะตกอยู่รอมร่อและผมภาวนาในขณะที่รีบเดินลงบันไดให้ตัวเองไปถึงมหาวิทยาลัยก่อน แต่ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนพี่มาร์คเคยล้อเอาไว้ว่าผมมันเป็นพวกลูกชังของพระเจ้าด้วยสถานการณ์หลายอย่าง ดังเช่นว่าฝนที่เคยตกหนักหยุดลงดื้อๆตอนที่ผมอุตส่าห์หาที่หลบได้พอดี น้ำประปาของคอนโดหยุดไหลตอนที่ตัวของผมเต็มไปด้วยฟองสบู่ แล้วผมก็โดนนกอึใส่บ่อยมากจนชินไปแล้ว ดังนั้นวันนี้ตอนที่ผมก้าวออกมาจากตัวตึก น้ำฝนเม็ดแรงก็หยดแหมะลงตรงกลางศีรษะของผมพอดิบพอดีก่อนจะเทลงมาอย่างรุนแรงจนกางร่มแทบไม่ทัน

     

     

     

     

     

     

     

     

    ~

             

     

     

     

     

     

     

     

              เอากระเป๋านายมานี่ซี่ พี่มาร์คพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจตอนที่เราสองคนทุลักทุเลอยู่ภายใต้ร่มสีใสขนาดกลาง ถึงกระนั้นบนใบหน้าของพวกเราก็ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ผมส่งกระเป๋าให้คนข้างๆก่อนใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่กระชับไหล่ของเขาให้เข้ามาใกล้ แอบสูดดมกลิ่นหอมสดชื่นจากแชมพูของเขาเข้าไปจนเต็มปอด

     

     

              กระเถิบเข้ามาอีก พี่เปียกไปครึ่งตัวแล้วอะ

     

     

              พี่มาร์คดูตลกและน่ารักดี

     

     

              ผมหัวเราะเบาๆให้กับท่าทางตกใจอันแสนเฉื่อยชาตามแบบฉบับของเจ้าตัวตอนที่ผมแกล้งกดปลายจมูกลงไปบนแก้มนิ่ม และเป็นไปตามคาด ฝ่ามือหนักๆตวัดลงมากระทบต้นแขนของผมอย่างแรง ผมตั้งตัวไม่ทันจนเผลอทำร่มร่วงลงไปบนพื้นถนน พวกเราสองคนเปียกม่อล่อกม่อแลกยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำ

     

     

     

              ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างยิ้มขำให้กับนักศึกษาสองคนที่ยืนมองหน้ากันนิ่งๆท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ ร่มสีใสกลิ้งแบบไร้ทิศทางอยู่ระหว่างเราแต่ยังไม่มีใครสนใจจะก้มลงไปหยิบขึ้นมา ผมคิดว่ามันเป็นความเฉื่อยชาบ้าบอของพวกเราที่มักไม่ค่อยสะทกสะท้านอะไรกับสิ่งเร้ารอบข้าง แต่ผมก็รักความเฉื่อยชาบ้าบอนี้มากเพราะมันทำให้พวกเราเริ่มสนใจกันในตอนแรก

     

     

     

              เสื้อพี่แนบเนื้อแล้วอะ

     

     

              ตอนนี้หัวนายก็หลิมมาก

     

     

              แต่ผมว่า...ในกระเป๋าผมมีโน้ตบุ๊ก

     

     

              กระเป๋าพี่ก็มีรายงานที่ต้องส่ง

     

     

     

              แล้วเราก็หัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมกัน พี่มาร์คก้มลงไปหยิบร่มขึ้นมากันฝนอีกครั้งก่อนที่จะออกเดิน ผมจำไม่ได้แล้วว่าวินาทีนั้นพวกเรามีความสุขขนาดไหน ถึงแม้เสื้อของพี่มาร์คจะแนบเนื้อ ถึงแม้หัวผมจะเปียกน้ำจนดูแทบไม่ได้ ถึงแม้โน้ตบุ๊กของผมอาจจะพัง และถึงแม้รายงานเล่มหนาของพี่มาร์คจะเปื่อยยุ่ยจนอาจต้องทำใหม่ แต่พวกเราก็ยังคงมองเข้าไปในดวงตาของกันและกัน และยังคงยิ้มให้กัน...เป็นสิ่งนี้ที่ผมจำได้ไม่เคยลืม   

               

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ณ ตอนนี้ผมเริ่มยอมรับแล้วที่เขาว่ากันว่าสายฝนจะทำให้คนเหงา...

     

     

     

     

     

                ผมคิดถึงพี่มาร์ค...ในใจเกิดคำถามมากมายว่าทำไมเขาต้องขนงานกลับมาทำที่ห้องทุกเย็น ทำไมเขาต้องเข้าบริษัทแต่เช้าทุกวัน ทั้งที่ที่ทำงานของเขากับมหาวิทยาลัยของผมอยู่ทางเดียวกัน ทำไมเขาไม่ปลุกผมให้ออกไปพร้อมกัน แล้วทำไมผมถึงไม่มีความคิดที่จะตื่นให้เช้ากว่าเดิมเพื่อที่จะได้ทันตอนเขาต้องออกจากห้อง ทำไมพวกเราถึงไม่ทำอะไรแบบที่เคยทำ และทำไมพวกเราถึงกลายเป็นแบบนี้กันไปได้...

     

     

     

                ผมนึกเกลียดความเฉื่อยชาของพวกเราขึ้นมานิดหน่อยแล้ว...รู้สึกได้ว่ามันเป็นความเฉื่อยชาที่ค่อนข้างแตกต่างออกไปจากเมื่อก่อน มันไม่ใช่ความเฉื่อยชาที่ทำให้เรารู้สึกถูกชะตากันเหมือนในวันนั้น แต่มันคล้ายกับว่าเป็นความเฉื่อยชาที่หนักข้อขึ้นทุกที ราวกับเซรุ่มที่พัฒนาตัวเองจนแปรเปลี่ยนเป็นพิษร้าย มันมากมายและรุนแรงเกินไปจนกลายเป็นความเฉยชาที่ผมไม่ชอบเลย

     

     

     

     

               

                โชคดีที่ตอนเย็นฝนไม่ตก...วันนี้มีงานต้องทำที่คณะผมจึงกลับถึงห้องเลทไปนิดหน่อย ผมเปิดประตูเข้าไปพบกับอะไรเดิมๆตอนหนึ่งทุ่มตรง พวกเรายังคงไม่ได้กล่าวคำทักทายกัน มีเพียงเสียงพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดที่ทำให้ผมรู้ว่าพี่มาร์คยังคงอยู่ในห้อง ผมนั่งกินมื้อเย็นของตัวเองคนเดียวบนโต๊ะตัวยาว นั่งทำการบ้านแสนยากที่ไม่เข้าใจและไม่มีใครช่วยสอน จากนั้นจึงลุกไปเปิดทีวีดู แล้วสุดท้ายก็เผลอหลับไป แต่วันนี้นั้นแตกต่างจากเมื่อวานนิดหน่อยตรงที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าพี่มาร์คที่นั่งข้างๆยังคงนั่งนิ่งแล้วจ้องมองไปที่ผู้ประกาศข่าวคนสวย 

     

     

     

                “ดึกแล้ว ไปนอนกันเถอะ” ผมพูดขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจ พี่มาร์คพยักหน้าก่อนคว้ารีโมทขึ้นมากดปิดแต่ก็ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น

     

     

     

                “ยูคยอม...” อีกฝ่ายเอ่ยเรียกเบาๆ ผมที่เดินนำไปได้สองก้าวจึงหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               

                “เรา...ยังรักกันอยู่หรือเปล่า”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แล้วผมก็ต้องสะดุดลมหายใจของตัวเองตอนที่เขาเอ่ยคำถามข้อนี้ออกมา ความรู้สึกที่ผมสะกดเก็บเอาไว้เป็นเวลานานเหมือนได้รับการปลดปล่อย มันค่อยๆแล่นกัดกินไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทั้งปลายเท้า ปลายนิ้วมือ สมอง หรือแม้กระทั่งหัวใจ มันทำให้ผมรู้สึกเศร้ากับเรื่องราวระหว่างเราจนอยากจะร้องไห้

     

     

     

     

     

                “ความจริงผมไม่ค่อยชอบให้พี่ถามอะไรแบบนี้...”

     

     

     

                ผมพยายามฝืนยิ้มก่อนถอยกลับมานั่งลงที่โซฟาตัวเดิม คว้าเรียวมือบอบบางขึ้นมากุมไว้แล้วบีบเบาๆ

     

     

     

     

     

                “ผมไม่อยากให้พี่สงสัยกับความรู้สึกของผมเท่าไหร่เลย นั่นก็เพราะว่าผมรักพี่ไงครับ...รักมาก ตั้งแต่วันแรกที่เรารักกันจนถึงวินาทีนี้ ความรู้สึกของผมมันไม่เคยเปลี่ยนไป ผมไม่เคยสงสัยความรู้สึกของตัวเองเลย”

     

     

     

                “...”

     

     

     

                “แต่จะเป็นอะไรหรือเปล่าถ้าผมจะถามกลับบ้าง พี่จะโกรธผมไหมที่ผมไม่อยากให้พี่สงสัยกับความรู้สึกของผม แต่ผมดันสงสัยความรู้สึกของพี่เสียเอง”

     

     

     

                “...”  

     

     

     

                “มันไม่สำคัญว่าเรายังรักกันอยู่หรือเปล่า แต่ที่ผมอยากรู้...คือพี่ยังรักผมอยู่หรือเปล่าครับ”

     

     

     

     

     

     

     

                เกิดความน่าอึดอัดลูกใหญ่แผ่ปกคลุมไปทั่วห้องกว้าง มันเงียบเสียจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของเรา จากนั้นพี่มาร์คก็ทำลายบรรยากาศงี่เง่าเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มของเขา ผมควรจะรู้สึกยินดีที่เขายิ้มให้ผมตรงๆในรอบหลายสัปดาห์หรืออาจจะหลายเดือน แต่ความรู้สึกแท้จริงของผมในตอนนี้กลับตรงกันข้าม เพราะผมเพิ่งถามคำถามแสนสำคัญกับเขาไป สิ่งที่ผมหวังว่าจะได้รับกลับมาคือคำตอบที่ดีตรงกับใจ ไม่ใช่ความเงียบ ไม่ใช่รอยยิ้ม ไม่ใช่สัมผัสจากมือของเขาบนศีรษะของผม และไม่ใช่แผ่นหลังของเขาที่เดินกลับเข้าห้องไปเสียดื้อๆแบบนั้น...   

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ---------- Inertia ----------

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                คำพูดของยูคยอมทำให้ผมนอนไม่หลับแทบทั้งคืน รอเวลาจนกระทั่งเช้ามืดมาถึงผมจึงค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนของเรา โคมไฟสีเหลืองนวลที่เปิดอยู่สว่างมากพอที่จะทำให้สามารถมองเห็นใบหน้าของเด็กปีสามที่ยังคงหลับสนิทอยู่ข้างกาย คิมยูคยอมในวันนี้ดูไม่ได้ต่างไปจากวันแรกที่ผมเห็นเขาเท่าไหร่นัก ใบหน้าหล่อใสนั้นยังคงเกลี้ยงเกลา สันจมูกคมก็ยังคงโด่งรับกับริมฝีปากหยักลึกสีสด ที่เห็นจะเปลี่ยนไปบ้างก็คงเป็นเส้นผมสีดำขลับของเขาที่ถูกย้อมกลายเป็นสีบลอนด์สว่าง ส่วนอีกอย่างที่ผมแอบคิดว่ามันเปลี่ยนไปก็คือความรู้สึกในหัวใจของเขา...ถึงแม้ว่าจะได้ฟังคำยืนยันอันหนักแน่นจากปากเจ้าตัวไปเมื่อคืนนี้แต่ผมก็ยังคงสงสัยมันอยู่ดี

     

     

     

     

     

                “นายยังรักพี่เหมือนเดิมจริงๆหรอ...”

     

     

     

     

     

                ผมอาจจะหลงมองเสี้ยวหน้าของเขานานมากเกินไปหน่อยจนหลุดพูดคำถามที่ติดอยู่ในใจออกมา ประโยคแผ่วเบาเสียยิ่งกว่าเสียงกระซิบแต่กลับทำให้ผมสั่นไหวได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากยูคยอมได้ยินเข้าอาจจะโกรธที่ผมยังคิดสงสัยในความรู้สึกของเขาไม่จบสิ้น ทั้งที่อีกฝ่ายก็ย้ำกับผมอย่างชัดเจนแล้วว่าความรู้สึกของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปจากวันแรกที่เรารักกัน แต่เมื่อลองย้อนนึกถึงการกระทำต่างๆที่ผ่านมา ผมดันคิดไปว่ามันค่อนข้างขัดกันอยู่สักหน่อย... 

     

     

     

     

     

                คิมยูคยอมคนที่มักเดินตามหาผมจนทั่วห้องเวลาที่เขากลับมาจากมหาวิทยาลัยแล้วไม่เจอผมออกมาทักทายนั้นหายไป...

     

     

     

                คิมยูคยอมคนนั้นหายไปพร้อมๆกับคิมยูคยอมคนดื้อด้านที่ชอบงอแงให้ผมมานั่งกินมื้อเย็นด้วยกัน ถึงแม้ผมจะบอกเขาว่าผมกินไปแล้วก็ตาม...

     

     

     

                ยังไม่หมดแค่นั้น...คิมยูคยอมคนที่ตามตื๊อออดอ้อนไม่หยุดเวลาที่ผมปฏิเสธที่จะสอนการบ้านให้เขาเพราะการบ้านผมเองก็ท่วมหัวได้หายไปด้วย คิมยูคยอมคนนั่นน่ะร้ายกาจ...เขารู้ว่าผมแพ้ลูกอ้อนของเขาเสมอ

     

     

     

                นอกจากนั้นแล้วคิมยูคยอมคนที่ชอบนั่งเล่นมือของผมไปเรื่อยเปื่อยเวลาเราดูทีวีด้วยกัน คิมยูคยอมคนที่ชอบอุ้มผมตอนเผลอหลับหน้าทีวีและไม่ยอมปล่อยลงง่ายๆถึงแม้ว่าผมจะแกล้งทำเป็นดิ้นแทบตาย คิมยูคยอมคนที่มักงอนเป็นเด็กๆเพียงเพราะว่าผมลืมบอกฝันดีตอนก่อนนอน คิมยูคยอมคนที่จะนอนกอดผมแน่นๆทุกคืน รวมไปถึงคิมยูคยอมคนที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องออกไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับผมที่ออกไปทำงานในทุกเช้าให้ได้ต่างก็หายไป 

     

     

                คิมยูคยอมในวันเก่าเหล่านั้นทิ้งผมเอาไว้กับคิมยูคยอมคนปัจจุบันที่แสนเฉยชา...

     

     

     

     

     

                ทั้งหมดทั้งมวลนั้นจึงทำให้ผมไม่สามารถหยุดสงสัยในความรู้สึกของเขาได้เลย คิมยูคยอมที่นอนหลับอยู่ตอนนี้จะรู้หรือเปล่าว่าคิมยูคยอมคนเก่าที่หายไปก็เคยบอกว่ารักผมมากมายเหมือนกัน เพียงแต่การกระทำนั้นกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง

     

     

     

     

     

                ทำไมเขาถึงมั่นใจนักหนาว่าเขายังรักผมเหมือนเดิม ทำไมถึงมั่นใจว่าความรู้สึกของเขาไม่เคยเปลี่ยนไป ในขณะที่ตัวผมเองยังพูดได้ไม่เต็มปากเลย...ผมไม่สามารถตอบเขาได้โดยปราศจากความลังเลว่าผมเองก็รักเขาไม่เปลี่ยนเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างระหว่างเราที่มันไม่เหมือนเดิม มันเป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะน่าอึดอัดและทำให้ผมใช้ชีวิตร่วมกับยูคยอมที่ผมรักด้วยความหวาดกลัวในทุกวินาทีข้างหน้า ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเรา ไม่รู้เลยว่าพวกเราเดินทางกันมาไกลจนถึงขอบหน้าผาแล้วหรือยัง...

               

     

     

     

     

     

     

                ผมออกจากห้องให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ลืมเขียนโน้ตไว้ที่ตู้เย็นเหมือนทุกวัน ยูคยอมคงจำมันได้แล้วเพราะผมเล่นเขียนแต่ประโยคเดิมๆ แต่ผมก็ยังคงเลือกที่จะทำมันเป็นประจำ ถ้ามันจะทำให้เขาพอจะรับรู้ได้ว่าผมยังคงนึกถึงเขาอยู่ ยังคงเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ

               

     

     

     

     

     

     

                นั่งคิดเรื่องของเราทั้งวันจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานที่บริษัท ผมเก็บของก่อนบอกลารุ่นพี่ร่วมงานทุกคนแล้วเดินออกไปรอรถประจำทางที่ด้านนอก ก่อนอื่นมันมีเรื่องหนึ่งที่ผมโกหกยูคยอมมาได้สักพักใหญ่ๆ เรื่องที่ว่าผมขนงานที่บริษัทกลับไปทำต่อที่ห้องทุกคืน... ผมคิดว่ายูคยอมอาจลืมนึกถึงความจริงที่ว่าผมเองก็เป็นเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่กี่เดือน หน้าที่ในแต่ละวันมีเพียงคอยช่วยงานพี่พนักงานตำแหน่งที่ใหญ่กว่า หรือไม่ก็ทำอะไรนิดๆหน่อยๆตามแต่คำสั่งที่ได้รับมาเท่านั้น ผมไม่ได้มีงานล้นตัวอะไรมากมาย ทุกวันที่ผ่านมาผมเพียงแต่หยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาและแกล้งพิมพ์อะไรต่อมิอะไรลงไปตามประสา หลอกตาเขาว่าผมมีธุระด่วนมากมายให้ต้องสะสาง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ ผมก็แค่พยายามหาทางหลีกเลี่ยงการที่จะต้องเผชิญหน้ากับเขาให้ได้มากที่สุด บอกตรงๆว่าผมเองก็ทำตัวไม่ถูก บรรยากาศระหว่างเรามันดูน่าอึดอัดจนเกินกว่าจะมองหน้ากันนานเกินสามวินาที แถมทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจนผมคิดบทสนทนาที่เราควรพูดคุยกันไม่ออกเลย...

     

     

     

     

     

                แต่วันนี้ผมไม่ต้องทำแบบนั้นอีกแล้ว ผมตัดสินใจเอาเองว่ามันถึงเวลาที่เราควรจะเคลียร์ปัญหาที่ติดค้างคาราคาซังนี้ให้จบสิ้นไป เราสองคนคงพากันเดินมาจนสุดขอบหน้าผาสูงชันนี้เต็มที ไม่มีหนทางข้างหน้าให้เราได้ก้าวต่ออีกแล้ว ถ้าหากไม่อดทนนั่งอยู่ข้างบนนั้นด้วยกัน ก็คงจะต้องกระโดดลงมาแล้วยอมปล่อยมือที่ต่างฝ่ายต่างเคยจับกันและกันเอาไว้เสียแน่นหนา... บอกลา... แล้วก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ---------- Inertia ----------

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แปลกดีที่วันนี้ฝนไม่ตกเหมือนทุกๆวัน ท้องฟ้าด้านนอกแจ่มใสตั้งแต่เช้าจนผมนึกเกะกะร่มที่อุตส่าห์พกมา ผมกลับมาถึงห้องด้วยความรู้สึกเอื่อยเฉื่อย สิ่งที่คุยกับพี่มาร์คเมื่อคืนยังวิ่งวนอยู่ในสมองจนผมไม่พร้อมที่จะเจอหน้าเขา ผมนับหนึ่งถึงสามก่อนกลั้นใจเปิดประตูเข้าไป แต่แล้วก็ต้องตกใจนิดหน่อยกับสิ่งที่เห็น พี่มาร์คเดินมาหาผมพร้อมกับแก้วน้ำเย็นในมือ เขายิ้มให้ผม แล้วก็กอดผมอย่างที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว

     

     

     

     

     

                “พี่ทำกับข้าวเสร็จพอดี ไปกินกันเถอะ หิวไส้จะขาดแหนะ” เขาพูดอย่างร่าเริงก่อนเดินนำผมเข้าไปในครัว โต๊ะอาหารที่เคยมีข้าวเย็นของผมแค่คนเดียวบัดนี้กลับเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายที่ผมจำได้ว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่ายจริงๆ ผมยืนอึ้งกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าโดยมีพี่มาร์คนั่งยิ้มมองผมอยู่

     

     

     

                “ตกใจอะไร กินได้แล้ว” 

     

     

                “ค...ครับ”

     

     

     

     

     

                ผมเลือกตักอาหารในจานตรงหน้าเข้าปาก รสมือของพี่มาร์คที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานยังคงอร่อยไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกกินอะไรไม่ค่อยลง นี่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือยังไง...สิ่งที่ห่างหายไประหว่างเราอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างง่ายดายเพียงข้ามคืน มันประหลาดเกินไปจนผมนึกหวาดกลัว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                มื้อเย็นของเราผ่านไปโดยที่พี่มาร์คยิ้มให้ผมมากกว่าที่ผ่านมา เขาชวนผมคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ตลอดเวลา และนี่ก็อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนด้วยที่เราได้มองหน้ากันอย่างเต็มสองตา ผมอาสาเป็นฝ่ายล้างจานในขณะที่พี่มาร์ครับหน้าที่ทำความสะอาดโต๊ะอาหาร จนถึงตอนนี้เสียงของเขาก็ยังเจื้อยแจ้วออกมาไม่ขาด ผมแสร้งหัวเราะให้กับมุกตลกที่เขาฟังมาจากพี่ที่บริษัท ตอบคำถามเขาบ้างเมื่อเขาเอ่ยถาม และเล่าเรื่องที่มหาลัยให้เขาฟังนิดหน่อยเพื่อไม่ให้บทสนทนาของเราน่าเบื่อจนเกินไป

     

     

     

     

     

                พี่มาร์คหายเข้าไปในห้องสักพักตอนที่พวกเราจัดการงานในครัวจนเสร็จเรียบร้อย แล้วเขาก็ออกมาข้างนอกอีกครั้งในตอนที่ผมนั่งเฉยๆอยู่บนโซฟา กำลังลังเลว่าจะเปิดโทรทัศน์ดูหรือจะหยิบการบ้านออกมาลองทำดี

     

     

     

     

     

                “ยูคยอม...” อีกฝ่ายเอ่ยเรียกก่อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พี่มาร์คยังคงส่งยิ้มมาให้แต่แววตาคู่นั้นกลับดูสั่นระริกจนผมเริ่มใจไม่ดีมากขึ้นทุกที ได้แต่เงยหน้ามองเขานิ่งๆก่อนส่งยิ้มตอบกลับไป

     

     

     

     

     

     

     

                “นายรับรู้ได้ใช่ไหมว่าระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิม” พูดพลางหย่อนตัวลงนั่งเคียงข้างกัน ผมระบายความรู้สึกเลวร้ายที่ไม่สามารถอธิบายได้โดยการกัดริมฝีปากด้านในจนเจ็บแสบก่อนพยักหน้าเบาๆ

     

     

     

     

     

     

     

                “พี่รู้สึก นายรู้สึก เราต่างคนต่างก็รู้สึก...มันถึงเวลาแล้วหรือเปล่าที่พวกเราควรทำอะไรสักอย่าง”

     

     

     

     

     

     

     

                “ปล่อยทิ้งไว้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกจริงไหม ยูคยอม...พี่จะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นนะ”

     

     

     

     

     

     

     

                “แล้วเราสองคนก็...”

               

     

     

     

     

     

     

                ผมหลับตาลงแน่นตอนที่พี่มาร์คเริ่มพูดคำว่าเราสองคนขึ้นมา ไม่ต้องการรับรู้ถ้อยคำต่อจากนั้น ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีอะไรแปลกไปมากมายจนทำให้ผมรู้สึกกลัว แต่สำหรับคำบอกลาพวกนั้นมันไม่กะทันหันเกินไปหน่อยหรือไง...ผมยังไม่ได้เตรียมใจที่จะมาฟังอะไรแบบนั้นเลย

               

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                “ก็เลิกกัน...ดีไหม”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ผมเคยได้ยินมาหลายหนกับคำกล่าวที่ว่าหลังจากท้องฟ้าแจ่มใสและคลื่นลมสงบผ่านไป คลื่นลูกใหญ่กับมหันตภัยรุนแรงจะตามมาในไม่ช้า วินาทีนี้ผมพิสูจน์ได้แล้วว่าคำกล่าวเหล่านั้นเป็นความจริงทุกประการ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีคลื่นยักษ์ซัดสาด ไม่มีพายุเฮอริเคนที่พัดพาตัวของผมให้ลอยคว้าง แต่ประโยคที่เขาได้พูดออกมาและบรรยากาศรอบข้างตอนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกพังทลายไม่ต่าง 

     

     

     

                มหันตภายร้ายเกิดขึ้นกับผมแล้วจริงๆ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                และผมคิดว่านี่คงเป็นรอยยิ้มประหลาดที่สุดในชีวิตที่ผมฝืนแค่นมันออกมาในวินาทีที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอีกฝ่ายยังไงดี จนเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งพี่มาร์คก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว ผมลุกขึ้นยืนจากโซฟาของเรา ก้าวขาทั้งสองอันสั่นเทาไปยืนกลางห้องที่ตอนนี้ดูกว้างไปจนแปลกตา พี่มาร์คเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ทันทีที่เหลือบไปเห็นผมรู้สึกหมดแรงจนแทบทรุดลงตรงนั้น นี่เขาเตรียมการมาแล้วจริงๆสินะ... เขาพร้อมจะไปจากผมเต็มทีแล้วใช่ไหม... แล้วถ้าผมจะลองรั้งเขาเอาไว้ล่ะ ถ้าหากผมลองย้ำอีกสักครั้งว่าผมยังรักเขามากมายแค่ไหน ถ้าผมให้คำมั่นสัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายที่ชื่อคิมยูคยอมคนนี้...คุกเข่าลงต่อหน้าเขาและเอ่ยคำสัญญาอย่างจริงใจว่าผมจะทำเรื่องระหว่างเราให้มันดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา สัญญาว่าจะทำให้ความรักของเรากลับไปดีเหมือนเดิม ถ้าผมทำอย่างนั้นมันจะพอเปลี่ยนใจเขาได้บ้างหรือเปล่า...

     

     

     

     

     

     

     

                วินาทีนี้ผมกำลังทำตัวเป็นความเฉื่อยอย่างเต็มรูปแบบ...คิดหาหนทางเป็นร้อยพันในเวลาไม่กี่นาทีเพียงเพื่อหวังว่าจะสามารถยื้อความรักของเราให้คงเดิมเอาไว้ให้ได้ ผมยังอยากอยู่กับพี่มาร์ค ยังอยากให้ได้เราอยู่ด้วยกันแบบคนรักในห้องห้องนี้ และผมตัดสินใจแล้วว่าจะลองรั้งเขาดูสักครั้งหนึ่ง...ถึงแม้ว่าต่อจากนี้อาจจะต้องเจ็บเจียนตาย แต่ผมยอมแล้วจริงๆ 

     

     

     

     

     

     

                ผมยอมทุกอย่างขอแค่เรายังอยู่ด้วยกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แผ่นหลังของคนที่จับกระเป๋าเดินทางของตัวเองอยู่ตอนนี้ดูช่างบอบบางและเหนื่อยล้าเกินทน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงเดินเข้าไปหาเขา เดินเข้าไปโอบกอดเขาเอาไว้สุดแรงด้วยกลัวว่าภาพตรงหน้าอาจจะเลือนหายไปได้ง่ายๆ ผมหลับตาลงและซบใบหน้าลงกับซอกคอหอมกรุ่นที่คุ้นเคย ซึมซับเก็บเอาความรู้สึกยามที่เราสองคนยังอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่พอจะทำได้ ฝังมันไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจที่กำลังแหลกสลาย...เผื่อว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ไม่ไปได้ไหม...”

         

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - END -

     

     

     

     

     

     







    #ออกแรงเฉื่อย

     




     

    ป.ล. เนื้อหาทางวิชาการอาจไม่ถูกต้อง 100% ต้องขออภัยด้วยนะคะ 

     

     

     

     

    THANKS TO : don't say goodbye - TVXQ!
     : 
    ครั้งแรกที่เห็นรูปคยอมมาร์คข้างบนเราแหกในใจดังมาก มันฟิคมาก ฟีลได้มาก นั่งจ้องสักพักก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เช่นว่าแต่งฟิคสั้นกลิ่นดราม่าสักเรื่องเป็นต้น แต่ยังไงก็คิดพล็อตไม่ออกเลย จนเกือบจะล้มเลิกความต้องการนี้ไปแล้ว โชคดีที่ได้คุยกับคนคิดติสท์แตกคนเดิม จึงได้มาซึ่งพล็อตงามๆตอนตีสามกว่า ว่าด้วยเรื่องของความเฉื่อย ซึ่งเราชอบมากที่มันสามารถนำมายกตัวอย่างเปรียบเทียบกับความรักของคนสองคนได้ แต่ก็ค่อนข้างยากค่ะกับการที่จะต้องสื่อให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงความเฉื่อยและความเหนื่อยของพวกเขาที่เกิดขึ้นท่ามกลางความ(ยัง)รัก จะทำยังไงให้ผู้อ่านรับรู้ถึงเหตุผลในทุกการกระทำที่เฉยชาของทั้งคู่ ปรึกษากันอยู่นานแต่สุดท้ายก็สำเร็จจนได้ค่ะ เราเองไม่ค่อยมั่นใจว่าทุกท่านจะเข้าใจฟีลของเรื่องตรงกับฟีลที่พวกเราอยากจะสื่อออกมาหรือเปล่า แต่ต้องบอกอีกครั้งว่าเราหลงรักในความธรรมดาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของฟิคเรื่องนี้มากเลยค่ะ ต้องขอยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับคนคิดพล็อตที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของเรื่องแบบที่เราเองก็ทำไม่ได้และหลงมองข้ามไปหลายจุด ส่วนตอนจบของเรื่องเราขอตัดไว้แค่ตรงนั้น อย่าโกรธกันเลยนะคะ ไม่รู้จริงๆว่าเรื่องราวหลังจากนี้มันควรจะเป็นไปในทิศทางใดต่อ พี่มาร์คจะหันกลับมากอดยูคยอมเอาไว้หรือว่าจะยังคงเดินจากไป ซึ่งเราคิดว่ามันมีความเป็นไปได้หลายทางและเชื่อว่าหากทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์นั้นก็คงจะมีคำตอบในใจที่แตกต่างกันออกไป ขอเพียงแค่อย่าลืมว่ายูคยอมกับพี่มาร์คเฉื่อยและเหนื่อยมาก แต่ก็รักกันมากด้วยเช่นกัน ทอล์คยาวมากแต่ก็บอกความคิดของเราไปหมดแล้วค่ะ ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ (ถ้ามี 55555) ขอบคุณที่ได้เข้ามาร่วมออกแรงเฉื่อยไปกับยูคยอมและพี่มาร์คด้วยค่ะ ขอบคุณมากๆเลย ♥

     : ไม่มีอะไรจะทอล์คมากค่ะ เพราะคนข้างบนเขียนไว้เยอะมากแล้ว เพียงแค่อยากจะบอกว่าฟิคเรื่องนี้คิดพล็อตยากมาก ด้วยความที่มันเป็นเรื่องอารมณ์และความรู้สึกของคนเฉื่อยๆสองคนที่ไม่ได้โกรธกัน ไม่ได้เกลียดกัน ไม่ได้มีมือที่สาม ไม่ได้รักใครอื่น ไม่มีอุปสรรคอะไรเลยสักนิด มันจึงยากที่จะสื่อว่าทำไมความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงเปลี่ยนไป ยากที่จะสื่อว่าพวกเขายังรักกันอยู่จริงไหม แต่ด้วยประการทั้งปวง ต้องขอขอบคุณคนเขียนคนเก่งของเราที่เขียนออกมาได้สวยงาม ลึกซึ้ง เข้าถึงอารมณ์ของคนอ่านได้เป็นอย่างดี จุดเล็กๆน้อยๆของการบรรยายในแต่ละตัวอักษร คือความสวยงามของเนื้อเรื่องทั้งหมด เรื่องนี้สวยงามได้เพราะบทบรรยายจริงๆค่ะ สุดท้ายนี้หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้รับความเพลิดเพลินจากการอ่านเรื่องนี้เป็นอย่างมากนะคะ 555555 ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 





    คิดและเขียนโดย MYWE :-)


                                                                                                   

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×