ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SHORT FIC ALL GOT7 : EMOTION [YUGBAM JACKBAM JACKJAE YUGMARK BSON BNIOR MARKBAM]

    ลำดับตอนที่ #2 : (II)TEMPORARY [JACKXBAM] END.

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 59


     







       และคุณเชื่อไหมครับ...มันเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่ผมเห็นเขาทำหน้าป่วยใส่โทรศัพท์มือถือ



     

     

    .









    .







    .



     


     

                ผมตื่นนอนตอนหกโมงเช้าด้วยความโหวงเหวงแปลกๆในหัวใจ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสำหรับโปรเจ็กต์การถ่ายทำโฆษณา ผมหลับหูหลับตาไถลตัวลงจากเตียงนอนนุ่มนิ่ม เดินลากขาอ้อยอิ่งไปเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นแล้วซุกตัวภายใต้สายน้ำจากฝักบัวอยู่นานสองนาน จนเริ่มกลัวว่าผิวหนังจะยุ่ยเละเหมือนไก่ตุ๋นนั่นล่ะ จึงตัดใจออกมาคว้าเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ขายาวจากตู้เสื้อผ้ามาสวมด้วยสมองขาวอันโพลน พลังงานของผมเหมือนลดลงจนติดลบถ้าเทียบกับวันแรกที่เริ่มเข้างาน

                ออดี้สีขาวคลานเอื่อยเฉื่อยไปตามท้องถนน จนบ้างทีมันก็เอื่อยซะจนผมโดนรถคันข้างหลังบีบแตรไล่ แต่ใครสนล่ะ...ตรงๆเลยไหม แต่ถึงไม่บอกพวกคุณก็คงรู้อยู่แล้วล่ะ รู้อยู่แล้วนิ่ว่าผมกำลังพยายามยืดเวลา ผมอยากไปถึงที่ถ่ายทำช้าๆ ผมอยากให้วันนี้มีอุปสรรคอะไรก็ได้ ภาวนาให้แจ็คสันวุ่นวายกับโทรศัพท์มือถือของตัวเองจนไม่มีสมาธิถ่ายทำ ผมไม่เหนื่อยหรอกนะถ้าต้องถ่ายเทคที่สอง สาม สี่ จนถึงเทคที่ร้อย หรือไม่ก็เทคที่พัน ถ้ามันจะช่วยยืดเวลาทั้งหมดออกไปได้

                วินาทีนี้ผมขอเปิดเผยความเห็นแก่ตัวบางประการ สารภาพจากก้นบึ้งของหัวใจ...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ผมไม่อยากให้โปรเจ็กต์นี้มันสิ้นสุดเลย


                แต่พวกคุณก็รู้ว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เสียงสั่งคัทครั้งสุดท้ายของวันดังขึ้นก่อนเสียงเฮลั่นของคนในกองเพียงไม่กี่วินาที วันนี้งานทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี... มันดีเกินไปจนน่าหงุดหงิดด้วยซ้ำ ในขณะที่ทีมงานต่างแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของ ผมได้แต่ยืนเช็คสภาพกล้องที่ใช้ถ่ายทำไปเรื่อยเปื่อย พยายามควบคุมอาการหน่วงหนึบแบบไร้ที่มาที่ไปของตัวเอง มันเป็นอาการบ้าๆที่ทำให้ผมไม่มีแรงจะขยับไปไหน หรือแม้แต่จะขยับปากพูดอะไรกับใคร

                และความหน่วงหนึบบ้าบอก็ออกฤทธิ์บีบรัดหัวใจของผมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เมื่อผมรับรู้ได้ถึงแรงสะกิดจากทางด้านหลังแล้วผมก็หันไป...ใจร้ายชะมัดที่เจ้าของแรงสะกิดกำลังยืนฉีกยิ้มกว้างให้ผมอยู่ หวัง แจ็คสัน... แววตาของเขาสดใสยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ผมเคยสบมอง มันสดใสเสียจนน่าใจหายเมื่อผมพาลคิดไปว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย หลังจากจบงานนี้แล้วคงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องติดต่อกันอีก ในเมื่อผมเองก็มีงานของผม และเขาก็มีงานยุ่งๆของเขา งานแผนการตลาดอันยุ่งยากวุ่นวายกำลังรอให้เขากลับไปจัดการสะสางกับมันอยู่



    “คุณแจบอมชวนไปฉลองปิดโปรเจ็กต์ คุณไปด้วยกันนะ”

    ผมพยักหน้าตอบรับโดยไม่ต้องใช้ความคิดเลย คุณรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอว่าผมกำลังยืดเวลา
    อย่างน้อยฉลองปิดโปรเจ็กต์คงกินเวลาถึงประมาณตีหนึ่ง และกว่าจะถึงตอนนั้นผมคงเมาจนลืม
    อาการหน่วงๆนี่ไปแล้ว จนเมื่อการจากลามาถึง ผมก็คงจะผ่านมันไปได้ง่ายๆ

    หวังว่าคงจะเป็นเช่นนั้น...








     

    21.15

    เสียงเพลงในผับลดจังหวะจากดนตรีร็อคหนักๆมาเป็นเพลงบัลลาดฟังสบาย ผมมองเห็นภาพแจ็คสันที่พร่ามัวกำลังเทของเหลวใสสีอำพันลงในแก้วทรงสูงแล้วยื่นมันมาตรงหน้าผม

    “แจ็คสัน คุณนี่นะ...” ผมส่ายหน้าขำๆ รับแก้วในมือของเขามากระดกแบบรวดเดียวหมดอย่างเสียไม่ได้ รสขมปร่าเย็นจัดที่ไหลผ่านคอกำลังลดเลือนสติสัมปชัญญะของผมลงไปหนึ่งระดับ

    “หมดขวดนี้แล้วพอนะ ผมไม่ไหวแล้ว หน้าคุณลอยไปลอยมาแล้วเนี่ย” แล้วแจ็คสันก็หัวเราะ
    เอิ๊กอ๊ากให้น้ำกับเสียงยานคางที่ฟังไม่ค่อยจะเป็นภาษาของผม  


     “โอเคๆ แบ่งกันคนละครึ่งก็หมดพอดี” เมื่อสิ้นประโยค ทุกอย่างก็วนลูป...ภาพแจ็คสันที่พร่ามัวกำลังเทของเหลวใสสีอำพันลงในแก้วทรงสูง ยื่นมันมาตรงหน้าผม


    และรสขมปร่าเย็นจัดที่ไหลผ่านคอก็ลดเลือนสติสัมปชัญญะของผมลงไป...อีกหนึ่งระดับ







    23.10

    เปลือกตาของผมหนักอึ้ง... หัวของผมก็เช่นกัน ผมบังคับร่างกายให้กระเถิบตัวลงไปเอาหัวพิงไว้กับที่พักแขนของโซฟา ตอนนี้เสียงคนคุยกันหรือแม้กระทั่งเสียงเพลงกลายเป็นเสียงลมหวีดหวิวที่จับใจความแทบไม่รู้เรื่อง ผมสะดุ้งให้กับสัมผัสเย็นเยียบบางอย่างที่เกิดขึ้นบนใบหน้า เดาว่ามันคงเป็นแก้วน้ำหรืออะไรสักอย่าง แล้วลมอุ่นๆเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ก็ผะแผ่วที่ใบหูหลังจากนั้นไม่กี่วินาที

    “คุณไหวหรือเปล่า กลับกันไหม” หูผมได้ยินอย่างนั้น...ถ้าฟังไม่ผิดนะ


    “คุณไม่ไหวแน่ๆอ่ะ ไปเถอะ ผมไปส่ง” แล้วร่างของผมก็ลอยขึ้นจากโซฟา ผมดิ้นไปมาเพราะความรู้สึกที่แปลกใหม่...ใครบางคนกำลังพาผมโบยบิน ผมหรี่ตา พยายามเพ่งมองใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่คืบ และแม้ว่าสภาพสายตาของผมตอนนี้มันแย่มากจนติดลบ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่อุ้มผมอยู่ตอนนี้คือ หวัง แจ็คสัน ซึ่งเมื่อผมมั่นใจอย่างนั้น ผมก็นิ่งลง...เพราะผมรู้สึกปลอดภัย









                ผมรู้สึกตัวอีกทีบนเตียงนุ่มๆ ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวดังผสานไปกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่ครางหึ่ง แสงไฟสลัวในห้องช่วยให้ผมไม่ปวดตาเท่าไร ในขณะที่ผมกำลังยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เสียงน้ำที่เคยได้ยินก็หยุดลง เสียงเปิดประตูดังขึ้นต่อจากนั้น ผมรีบหันขวับไปตามต้นเสียง...ใครอยู่ในห้องของผมกัน


     

                ร่างหนาของชายคนหนึ่งที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวปกปิดท่อนล่างเดินออกมาจากห้องน้ำ ไฟในห้องไม่สว่างพอที่จะทำให้ผมรู้ว่าใครคือชายคนนั้น ผมกระวนกระวาย ความตื่นกลัวแล่นขึ้นมาจับขั้วหัวใจ สติอันเลือนรางที่มีในตอนนั้นบอกให้ผมรีบออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้ แต่เพราะลุกเร็วเกินไปบวกกับความมึนเบลอจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังตกค้างอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวสิบริกเตอร์เกิดขึ้นทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น ผมพยายามทรงตัว ซึ่งมันไร้ผล...ร่างของผมหล่นตุ้บลงบนพื้น


                “คุณ!” ผู้ชายคนนั้นหันมาก่อนรีบเดินเข้ามาหา และผมก็กระเถิบหนีตามสัญชาตญาณ


                “คุณ เป็นอะไรไป” ผมจนมุมเมื่อแผ่นหลังแนบไปกับโต๊ะข้างเตียง ชายคนนั้นย่อตัวลงนั่งด้านหน้าก่อนเอื้อมมือมาสัมผัสกับมือที่สั่นระริกของผมเบาๆ น่าแปลกใจที่สัมผัสนั้นทำให้ความหวาดกลัวที่มีเริ่มหายไป



     

     

                “คุณ...” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า แต่ให้ตายเถอะ...มันลำบากจริงๆ สาบานเลยว่านับจากนี้ผมจะไม่แตะแอลกอฮอล์เกินขนาด





                “แจ็คสัน...”




     

                แล้วอยู่ดีๆผมก็เอ่ยชื่อนี้ออกมา อะไรบางอย่างบอกผมว่าคนตรงหน้าคือเขา ซึ่งผมก็เชื่ออะไรบางอย่างนั้นอย่างแรงกล้าเสียด้วย



                “ครับ แบมแบม...นี่คุณกลัวผมตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” เสียบแหบเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ ผมหัวเราะตามเบาๆ อ่า...ที่ผมหัวเราะไม่ใช่เพราะคำถามของเขานะ แค่ตลกดีที่ความเชื่ออันแรงกล้าของผมมันถูกเผง!



     

                “คุณมาอยู่ในห้องผมได้ไง” ผมเลือกตอบคำถามเขาด้วยคำถาม(ที่สำคัญกว่า)ของผม

                “ห้องของคุณ?” แจ็คสันทวนคำถาม

                “ครับ ห้องของผม”
     

                ผมพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ผมควรจะเอะใจตั้งแต่ที่ผมถอยหลังไปชนกับโต๊ะข้างเตียง เพราะห้องของผมมันไม่มีโต๊ะอยู่ตรงนั้น ความอุ่นนุ่มที่ฝ่าเท้านี่ก็อีก...

                ผมกำลังนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นพรม ซึ่งผิดถนัด เพราะผมจำได้ว่าห้องของผมมันปูกระเบื้อง...

      

                แจ็คสันจ้องมองสีหน้าเหวอๆของผมแล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมา มือหนาเอื้อมมาบีบที่ไหล่ทั้งสองข้างเบาๆ ก่อนใบหน้าคมภายใต้แสงไฟสลัวจะเคลื่อนเข้าใกล้เรื่อยๆและหยุดลงที่ระยะห้าเซนติเมตร กะด้วยสายตาจากปลายจมูกของผมถึงปลายจมูกของเขาโดยประมาณ



                “ฟังนะ...เมื่อตอนหัวค่ำพวกเราไปเลี้ยงฉลองกันที่ผับ ผมชงเหล้าให้คุณ แล้วคุณก็รับไปดื่มเอาๆ นั่น...อย่ามองเหมือนผมมอมเหล้าคุณสิครับ คุณไม่ปฏิเสธเอง สักพักคุณก็เริ่มเมา คุณไหลลงไปซบกับโซฟาแบบไม่ไหวแล้ว ผมเลยกะจะพาคุณไปส่ง ผมถามทางกลับบ้าน....แต่คุณตอบผมด้วยเสียงกรน ผมเลยตัดสินใจพาคุณมาพักที่คอนโดของผมก่อน”

                “อ่า...”

                “เมาไม่รู้เรื่องแล้วยังจะขโมยคอนโดของคนอื่นอีกหรอครับ” แจ็คสันล้อเลียน ยิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่าย ที่ผ่านมาผมคิดว่าเขาแค่หล่อดี แต่ตอนนี้ฤทธิ์แอลกอฮอล์จางๆกลับเถียงผมว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เขาน่ะ...เฉียดๆคำว่าเพอร์เฟ็กต์เลยต่างหาก ผมได้แต่นิ่งมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้นเหมือนโดนมนต์สะกด ผมมอง...และมองจนแจ็คสันเริ่มหุบยิ้ม มือหนาค่อยๆเอื้อมมาสัมผัสที่ใบหน้าของผมเบาๆ



                “แบม...”




     

                แล้วอยู่ดีๆความหน่วงหนึบที่เคยเกิดขึ้นตลอดทั้งวันก็กลับมาโดยไม่ได้รับเชิญ   






                ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หลับตาแน่นเมื่อตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังประทุขึ้นมาบีบรัดหัวใจจนอึดอัด  มันทำให้ผมต้องถามตัวเองซ้ำๆว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาในตอนนี้เกินเลยไปถึงจุดไหนแล้ว ระยะเวลา 5 วัน ล่วงเข้าสู้วันที่ 6 สำหรับการพบเจอและทำความรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง...
                ตลกเกินไปไหมที่ระยะเวลาเพียงน้อยนิด แต่ผมกลับปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นสามารถเข้ามามีอิทธิพลต่อตัวเองได้อย่างน่าประหลาด เมื่อรู้ตัวอีกที ทั้งแววตาท่าทาง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และทุกๆอย่างของเขาก็ได้กลายมาเป็นความคุ้นชินในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันไม่ยุติธรรมจริงๆที่อีกไม่นานต่อจากนี้ผมก็จะต้องไป ไป...โดยที่ผมได้ทิ้งอะไรบางอย่างที่แสนสำคัญไว้กับเขาด้วย





                ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อลมหายใจร้อนๆเป่ารดบ่นใบหน้าจนเกินพอดี แจ็คสันเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กับผมอย่างช้าๆ ระยะห้าเซนติเมตรจากตอนแรกลดหลั่นลงเรื่อยๆ ผมหลับตาลงเป็นครั้งที่สอง หลับตาลงเพื่อยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น...คล้ายป้อมปราการรอบตัวผมค่อยๆพังทลาย








                ริมฝีปากนุ่มหยุ่นสัมผัสเข้ากับริมฝีปากสั่นระริกของผม...









    วินาทีนี้...ความรู้สึกที่เกินเลยไม่สามารถย้อนกลับมายังจุดที่มันควรจะอยู่ได้อีกต่อไป







    มือหนาลากไล้จากใบหน้าของผมไปยังท้ายทอย ออกแรงดันน้อยๆให้ผมเงยหน้ารับสัมผัสอ่อนโยนจากเขาได้อย่างถนัดถนี่ มืออีกข้างรุกล้ำผ่านสาบเสื้อเชิ้ตตัวบาง เกินเลยไปยังแผ่นหลังและลูบวนอยู่เช่นนั้น ร่างกายของเราเบียดชิดจนรับรู้ได้ถึงไอความร้อนของกันและกันภายใต้อากาศเย็นเยียบจากเครื่องปรับอากาศ และทันทีที่ผมเผลอเอื้อมมือขึ้นไปรั้งท้ายทอยของเขาให้ลงมาใกล้









    อะไรบางอย่างที่ผมทิ้งเอาไว้กับเขา...ก็กลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์













    อะไรบางอย่างที่เรียกว่าหัวใจ...



     













     

                และถ้านี่คือละครหลังข่าว...ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัวของแสงไฟ กล้องจะค่อยๆแพนผ่านพวกเราไปอย่างช้าๆ ไปหยุดอยู่ที่โคมไฟหัวเตียง แล้วภาพก็จะตัดเข้าสู่โฆษณา...



     

                ซึ่งสำหรับผมก็ประมาณนั้น











                เมื่อกลับเข้าสู่ละครอีกครั้ง ภายในห้องจะสว่างด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามา ป่านนี้ฝ่ายหญิงคงกำลังนั่งร้องไห้ตีโพยตีพายอยู่บนเตียงยับย่น ทันทีที่เห็นหน้าฝ่ายชาย มือเรียวของเธอจะสะบัดใส่ใบหน้าของเขาอย่างเต็มแรง พร้อมกับคำตัดพ้อต่อว่ามากมายที่ปนมาพร้อมเสียงสะอื้นปานจะขาดใจ

                ซึ่งสำหรับผมนั้นแตกต่าง...โอเคว่าผมตื่นขึ้นมาภายในห้องที่สว่างด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง นอนอยู่บนเตียงที่ผ้าปูที่นอนยับย่น ผมนิ่งอยู่อย่างนั้นประมาณห้านาทีเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น จากนั้นผมก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่ขึ้นมาใส่อย่างลวกๆ กัดฟันพาร่างอันหนักอึ้งไปยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ยืนอยู่อย่างนั้นสักพักประตูก็ถูกเปิดออก แจ็คสันชะงักนิดหน่อยตอนที่เห็นหน้าผม แล้วเขาก็เดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร ผมเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยก่อนเดินออกไปเจอเขาที่นั่งอยู่ ผมยิ้มให้เขา เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่ตรงหัวเตียง






     

                “คุณโอเคนะ?” และแล้วประโยคแรกของวันก็เกิดขึ้นจากเขา







                “ทำไมผมต้องไม่โอเคล่ะ?” ผมถามกลับ

                “ไปนะ...” แล้วเดินไปที่ประตูห้อง






                แจ็คสันเดินตามผมมาทันก่อนที่ผมจะเอื้อมจับลูกบิดประตู เขารวบตัวผมเข้าไปกอดเบาๆ
    ยังไม่ทันที่ผมจะกอดตอบเขาก็ปล่อยมือ...มันรวดเร็วจนน่าใจหาย


    และน่าแปลกที่ทั้งผมและเขาต่างไม่มีใครสนใจที่จะแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างกันไว้เลย



     

                 ผมยิ้มให้เขาอีกครั้ง คราวนี้เขายิ้มบางๆตอบกลับมาแล้วพยักหน้าให้ แม้จะไม่มีคำพูดใดแต่ผมอ่านสายตาของเขาออกได้ในระดับหนึ่ง ‘กลับบ้านดีๆล่ะ โชคดีนะ ประมาณนั้นมั้ง... ซึ่งผมเองก็ใช้สายตาแบบเดียวกันตอบกลับเขาไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะอ่านมันออกเช่นเดียวกัน









    -







     

     

    หวัง แจ็คสัน ต้องเผชิญกับอาการคันยุบยิบในหัวใจมากว่าสามสัปดาห์ นับตั้งแต่ค่ำคืนที่เขาปล่อยให้ความรู้สึกที่เอ่อล้นกรีดม่านบางๆของคำว่าเพื่อนร่วมงานจนขาดสะบั้น จนถึงวันนี้...เขาก็ไม่ได้ติดต่อกับช่างภาพอิสระคนเก่งคนนั้นอีกเลย ชายหนุ่มเพียงตัดสินใจปล่อยให้ทุกอย่างสิ้นสุดลงเงียบๆ และพวกเขาก็จากกันด้วยดีดั่งใจปรารถนา

    จน ณ ตอนนี้ แจ็คสันตระหนักได้ว่าเขาตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์ เมื่อเขาเพิ่งค้นพบต้นตอของอาการคันยุบยิบในหัวใจ สาเหตุมันมาจากรอยยิ้มสดใสของคนคนหนึ่ง คนที่เขาได้แต่ใช้สายตาอวยพรก่อนจากกันในวันนั้น อวยพรจากใจว่าขอให้โชคดี ซึ่งเขาไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไรว่ามันเรียกว่าความคิดถึง คิดถึงทั้งรอยยิ้มนั้นและเจ้าของของมัน และไอ้ความคิดถึงที่ว่านั่นมันก็ช่างเลวร้ายเหลือเกิน...มันออกฤทธิ์รุนแรงยิ่งกว่าโรคร้ายใดๆบนโลกนี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่มียาขนานใดที่สามารถรักษาให้หายขาด หรือแม้แต่แค่ช่วยบรรเทาอาการที่แสนทรมานนี้ลงสักนิดก็ไม่มี





    โชคดีที่แสงแดดตอนบ่ายวันอาทิตย์ไม่ร้อนแรงมากเท่าไรนัก แจ็คสันเหยียบย่ำหญ้าเขียวชอุ่มไปยังม้านั่งสีขาวตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ กว่าหนึ่งเดือนที่เขาไม่ได้มาเยือนที่แห่งนี้ แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม สวนสาธารณะใจกลางกรุงโซลยังคงสวยงามและเงียบสงบไม่เปลี่ยนแปลง แจ็คสันไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไรนักว่าเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร แต่ถ้าให้เดา...เขาเดาว่ามันเป็นผลข้างเคียงหนึ่งของอาการที่ชื่อว่าความคิดถึงบ้าบอนั่น

     แจ็คสันไม่ได้มีจุดประสงค์ใดเป็นพิเศษในการที่มานั่งแช่เหมือนคนไม่มีที่ไปอยู่ตรงนี้ เขาเพียงแค่อยากจะมานั่งหายใจทิ้งเฉยๆสัก 1 ชั่วโมง... แต่จนแล้วจดรอดมันก็กลายเป็น 2 ชั่วโมง...

    กระทั่ง 3 ชั่วโมงผ่านไป ใครคนหนึ่งที่กำลังเดินใกล้เข้ามาดึงดูดความสนใจจากเขาได้อย่างฉับพลัน และยิ่งคนๆนั้นเดินใกล้เข้ามามากเท่าไร ความชัดเจนก็ยิ่งปรากฏขึ้นเท่านั้น ก้อนเนื้อในอกซ้ายของเขาเต้นโครมครามจวนเจียนจะหลุดออกมากระโดดโลดเต้นบนพื้นหญ้า และทันทีที่สังเกตเห็นกล้อง DSLR ที่คล้องคอเขาคนนั้นอยู่ รอยยิ้มกว้างก็ผุดขึ้นโดยไร้การควบคุม อาการคันยิบในหัวใจบรรเทาลงจนแทบจะมลายหายไปจนหมดสิ้น วินาทีนั้นเองที่แจ็คสันได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริงอย่างน่าสมเพช

     

    ไอ้ที่บอกว่าเขาไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรในการมานั่งอยู่ตรงนี้...เขาหลอกตัวเองทั้งนั้น










     

    และเหมือนเขาจะมองไม่เห็นผม...

    แบมแบมเดินไปอีกทางก่อนนั่งลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

    มันไม่ไกลจากม้านั่งตัวที่ผมนั่งอยู่เท่าไรนัก...ตัวที่เราเคยนั่งด้วยกันนั่นล่ะ

    ผมลอบมองใบหน้าอ่อนที่ระบายยิ้มสดใสให้กับต้นไม้ใบหญ้าและกล้องตัวโปรดในมือ

    รู้สึกเหมือนเลือดมาเลี้ยงหัวใจได้เพียงพอเป็นครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์

    แบมแบมยังคงเป็นคนเดิม...

    คนที่ทำให้ผมสบายใจได้ง่ายๆเพียงแค่จ้องมอง

    ...ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน
      

     





     

     

    คุณเชื่อไหมว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้

    มันเป็นระยะเวลากว่าสามสัปดาห์กับความรู้สึกแปลกๆที่ค้างคาในหัวใจ

    เหมือนกับว่าผมต้องทำอะไรสักอย่าง...แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร

    ในขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตก อะไรบางอย่างก็สั่งให้ผมมาที่สวนสาธารณะแห่งนี้

    และผมใช้ความพยายามมหาศาลที่จะไม่หันไปมองที่ที่ผมกับแจ็คสันเคยนั่งด้วยกัน

    เพราะสิ่งเหล่านั้นมันอาจทำให้ความอดทนของผมพังไม่เป็นท่า

    ผมอาจไปหาเขาที่บริษัท

    คุกเข่าขอร้องโง่ๆว่าช่วยคืนความรู้สึกของผมมาได้ไหม…

     

    ช่วยทำให้ผมเป็นเหมือนเดิมก่อนที่จะเจอคุณได้ไหม…

    หรือไม่วันนั้น...ก็ช่วยปล่อยผมที่เมาเละไว้ที่ผับได้ไหม

    ครับ...ผมอาจจะทำแบบนั้นเลยก็ได้ ซึ่งมันไม่ควรอย่างยิ่ง  

     








     

     

    ผมควรเดินเข้าไปหาแล้วทักทายเขาในฐานะคนเคยร่วมงานไหม

    สวัสดีครับแบมแบม ผมแจ็คสันนะ คุณจำผมได้หรือเปล่าหรือไม่ก็...

     ‘ตั้งแต่วันนั้นคุณไม่คิดจะหาทางติดต่อผมเลยหรอ คุณรู้สึกเหมือนผมไหม

    หรือคุณโคตรจะสบายใจ...ในขณะที่ผมแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว’

    ตอนนี้ผมกลายเป็นแจ็คสันคนโง่ที่ได้แต่นั่งมองเขาอยู่อย่างนั้น

    ตบตีกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง...ไม่รู้จริงๆว่าอะไรคือสิ่งที่ผมสมควรทำ

    แต่ถ้าถามความต้องการ…ผมคงวิ่งไปกอดเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นเขาเดินเข้ามา 











     

    สายลมเย็นที่พัดผ่าน พาผมวนกลับไปยังวันแรกที่เราเจอกัน

    ผมหลับตาลงเพื่อสะกดเก็บความฟุ้งซ่านที่ตีรวนในจิตใจ

    คิดอะไรมากมายล่ะแบมแบมคนโง่…

    ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขามันยิ่งกว่าคำว่าชั่วคราว

    ผู้ชายที่ชื่อ หวัง แจ็คสัน คงลืมผู้ชายที่ชื่อกันต์พิมุกต์ไปแล้ว 










     

    กลุ่มผมสีดำของแบมแบมปลิวไหวไปมาตามแรงลมอ่อนๆ

    ดวงตากลมโตหรี่ลงช้าๆ ในขณะที่ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา

    ทำยังไงได้...ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันจะยิ่งกว่าคำว่าชั่วคราว

    แต่ผู้ชายที่ชื่อ หวัง แจ็คสัน ไม่เคยลืมผู้ชายที่ชื่อกันต์พิมุกต์ลงเลยสักวัน...

     

     








    “แด๊ดดี้!








     

    ผมสะดุ้ง ลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองยังต้นเสียง

    เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลหันขวับกลับไปด้วย

    เด็กผู้ชายในชุดเอี๊ยมเจ้าของเสียงเล็กโถมตัวเข้าหาผู้ชายอีกคนอย่างแรง

    และถึงแม้จะเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีที่ผมเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของชายคนนั้น

    เสียงหัวใจของผมก็เต้นดังจนกลัวว่ามันจะระเบิด สองขาลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ

    ถ้าเป็นเขาแล้ว ผมจะเป็นแบบนี้เสมอ... ผมสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่าเขาคือใคร

    หวัง แจ็คสัน...

     







     

    อีกไม่กี่ก้าวผมก็จะถึงตัวแบมแบมที่กำลังนั่งหลับตาอยู่แล้ว

    แต่เสียงเล็กๆของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมต้องชะงัก

    เมื่อหันไปมองก็พบเด็กผู้ชายใส่เอี๊ยมคนหนึ่งเดินเข้ามาเกือบถึงตัวผม

    หญิงสาวผมยาวในชุดเดรสสีชมพูเดินตามหลังเด็กชายคนนั้นมาติดๆ

    ยังไม่ทันที่จะได้ถอยหนี เด็กชายคนนั้นก็โถมตัวเข้าใส่ผมอย่างแรง

     









     

    “หนูคิดถึงแด๊ดดี้ แด๊ดดี้คิดถึงหนูไหม หม่ามี้หายโกรธแด๊ดดี้แล้วนะ”
    ...

    “หนูพูดกับหม่ามี้ตั้งนาน กว่าหม่ามี้จะยอมพาหนูมาหาแด๊ดดี้”
    ...

    “แด๊ดดี้กลับบ้านของเรากันนะ กลับไปอยู่กับหนูกับหม่ามี้นะ”
    ...




     






     

     

    แด๊ดดี้... หม่ามี้... และ บ้านของเรา...

    นี่คือคีย์เวิร์ดที่ทำให้ขาของผมหมดแรงลงดื้อๆ

    ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มองดู ‘ครอบครัว ตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า 











     

     

    ผมทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

    ได้แต่ย่อเข่าลงแล้วคว้าลูกชายตัวน้อยวัยสามขวบมากอดไว้ในอ้อมแขน

    ฝังปลายคางลงกับบ่าเล็กแล้วเหลือบตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    แต่จิตใจกลับพะวงอยู่กับใครอีกคน…ป่านนี้แบมแบมคงเห็นและได้ยินทุกอย่าง

    อยากวิ่งไปหา...แต่ใบหน้าของลูกชายที่จ้องมองผมอยู่เหมือนกับโซ่เส้นใหญ่

    เป็นโซ่ที่ล่ามผมเอาไว้...ให้ไม่สามารถเดินไปยังที่ที่ใจปรารถนาได้อีก

     

     










     

    “แจ็คสัน พี่ขอโทษนะ ทั้งๆที่รู้ว่างานเรายุ่งแต่ก็ยังงี่เง่าใส่

    พี่ไม่หย่าแล้ว เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่นะ...”

     









     

    ชื่อที่หลุดออกจากปากของผู้หญิงในเดรสสีชมพูคนนั้นตอกย้ำผมได้เป็นอย่างดี

    ผมกระเถิบตัวไปซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่

    เม้มปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์หลากหลายที่ประดังประเดเข้ามา

    ความรู้สึกทั้งหลายแหล่ที่ผมอยากจะทวงคืนจากเขานักหนา

    เหมือนโดนโยนกลับคืนมาอย่างไร้ค่า รุนแรง...จนตั้งรับไม่ทัน







    -












     

     

     

                ภาพพ่อแม่ลูกที่เดินผ่านไปดูอบอุ่นยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว... 

     

                ผู้ชายที่ชื่อ หวัง แจ็คสัน หันมาจ้องยังต้นไม้ใหญ่ที่แบมแบมใช้ซ่อนตัวอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันน้อยๆเมื่อพบว่ามันว่างเปล่า จากนั้นเขาก็หันกลับไป...
     

                เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากท่าทางมีความสุขของเด็กชายตัวเล็กดังแว่วมาตามสายลม และมันกัดกินหัวใจของแบมแบมให้กร่อนลงจนแทบไม่เหลือชิ้นดี











                สองขาเหยียดยืนขึ้นอีกครั้งก่อนก้าวออกมาจากที่หลบซ่อน มือเรียวยกกล้อง DSLR คู่ใจขึ้นมาแนบชิดกับดวงตา แบมแบมพยายามเพ่งมองภาพของคนสามคนผ่านเลนส์กล้อง ภาพครอบครัวอบอุ่นค่อยๆไกลออกไปทุกที... นิ้วเรียวกดชัตเตอร์ลงหนึ่งครั้ง พร้อมๆกับหยาดน้ำที่ตกลงบดบังดวงตาของแบมแบมจนพร่ามัว










     

     

     

     

    - delete -


     

    ปลายนิ้วชี้ไล้วนบนหน้าจอกล้อง DSLR ตัวเก่ง ตัวอักษรเล็กๆที่ปรากฏนั้นกระตุกหัวใจให้วูบไหวได้ไม่น้อย ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ 




     


    - ok -



    ...



     


    cancel -





     

     

    เจ้าของกล้องพรูลมหายใจออกมาเบาๆเมื่อท้ายที่สุดแล้วเขายังยืนยันที่จะเก็บภาพนั้นเอาไว้ แบมแบมยกยิ้มบางให้กับภาพของ หวัง แจ็คสัน และครอบครัว ที่ถ่ายได้จากด้านหลัง









    รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เฝ้าสังเกตความเป็นไปของสิ่งรอบข้างผ่านเลนส์กล้อง และมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อสามารถบันทึกสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ได้ 










                แบมแบมภาวนาขอให้คนในความสัมพันธ์ชั่วคราวของเขา มีความสุขเช่นเดียวกัน...

     

     

     









    - END -














     

    THANKS TO : เก็บ - room39


     : ที่จริงแล้วกว่าหนึ่งหมื่นคำจะไม่สามารถออกมาโลดแล่นสู่สายตาทุกคนได้เลย ถ้าเราขาดพลอตจากคนคิดติสท์แตก ที่ริเริ่มรังสรรค์เรื่องราวดีๆและน่าประทับใจของทั้งคู่ และไว้ใจให้เราได้ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร คืออยากจะบอกว่าเรื่องนี้จบแล้วจริงๆนะคะ มีแค่สองตอนค่ะ ขอโทษน้า อาจจะจบไม่สวยตรงใจใครๆ แต่เรากลับคิดว่าตอนจบแบบนี้มันก็เป็นเสน่ห์ของนิยายอีกแบบโนะ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านจากใจค่ะ  

     : เรื่องนี้มันเกิดจากห้วงอารมณ์หนึ่งที่เรารู้สึกกับเหตุการณ์หนึ่ง ความหน่วงที่เกิดขึ้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของพลอตฟิคเรื่องนี้ ซึ่งมันก็คงเป็นได้แค่โครงเรื่องๆหนึ่งที่คาไว้ในหน้าเวิร์ด ถ้าไม่ติดว่ามีคนเก่งใจดีสามารถถ่ายทอดเรื่องราวนี้ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง สวยงาม สนุกสนานตามแบบฉบับของเจ้าตัว หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้รับความบันเทิง(?)จากการอ่าน ขอบคุณที่เปิดเข้ามาและอ่านจนจบนะคะ ;-)

     




     

    คิดและเขียน โดย MYWE :-)

     

     

     



     

     

     









     

    PS.TEMPORARY แปลว่า ชั่วคราว ถ้าหากมันยาวนานกว่านั้น ก็คงไม่ใช่แค่...ชั่วคราว

     












    SQWEEZ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×