คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : (I)TEMPORARY [JACKXBAM]
TEMPORARY
- delete -
ปลายนิ้วชี้ไล้วนบนหน้าจอกล้อง DSLR ตัวเก่ง ตัวอักษรเล็กๆที่ปรากฏนั้นกระตุกหัวใจให้วูบไหวได้ไม่น้อย ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ
- ok -
...
- cancel -
เจ้าของกล้องพรูลมหายใจออกมาเบาๆเมื่อท้ายที่สุดแล้วเขายืนยันที่จะลบภาพนั้นทิ้ง เครื่องหมายนาฬิกาทรายอันเล็กหมุนไปมาอยู่ไม่กี่วินาทีเหมือนให้เวลาทำใจ...
-
สวัสดีครับ
ผม นายกันต์พิมุกต์ ภูวกุล ชื่อเล่นว่าแบมแบม ปัจจุบันอายุ 24 ปี ประกอบอาชีพเป็นช่างภาพอิสระ วันนี้ผมไม่มีงานจึงเกลือกกลิ้งอยู่ที่คอนโดทั้งวัน แน่นอนว่ามันน่าเบื่อมากๆ ด้วยความอุดอู้ของช่วงเวลาตอน 15.40 ทำให้ผมตัดสินใจลุกไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดีกว่าในตอนแรก (คุณคงไม่คิดว่าผมจะสวมเสื้อยืดย้วยๆกับกางเกงบอลที่สีตกใส่ออกจากบ้านใช่ไหมครับ) และเหยียบคันเร่งเจ้าออดี้สีขาวคู่ใจออกจากสถานที่จำเจแสนหน่ายตอนเวลา 16.00 พอดิบพอดี จนถึงบรรทัดนี้ ผมคิดว่าคุณคงยังไม่ลืมว่าผมเป็นช่างภาพอิสระ เหมือนๆกับผมที่ไม่ลืมคว้าคุณ DSLR ตัวโปรดติดมือออกมาด้วย
ตอนนี้ผมอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งใจกลางกรุงโซล แสงแดดอ่อนรำไร ลมเย็นๆที่พัดเอื่อย ผู้คนที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน ต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม และดอกไม้เล็กจ้อยสีสดที่กำลังล้อเล่นกับเหล่าใบหญ้า บรรยากาศที่สวยงามบนความเงียบสงบของที่แห่งนี้ ตอบจุดประสงค์การออกมาจากห้องอันน่าเบื่อหน่ายของผมในวันนี้ได้เป็นอย่างดี ผมกวาดสายตาไปทั่วสวนสาธารณะก่อนเดินไปจับจองม้านั่งสีขาวตัวหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ตัดสินใจจะลงหลักปักฐานอยู่ตรงนี้จนกว่าท้องฟ้าจะทาตัวเองเป็นสีดำสนิท
กินเวลากว่า 20 นาทีที่ผมนั่งอยู่เฉยๆ ท้องฟ้าเริ่มลงมือทาตัวเองเป็นสีส้มเจือเหลือง ด้วยทัศนียภาพและแสงสวยๆในเวลานี้ ทำให้ผมได้ฤกษ์หยิบยกกล้องตัวโปรดขึ้นมาส่องแนบกับดวงตา เลือกเอานกกระจิบสองตัวที่กำลังคลอเคลียกันอยู่บนกิ่งไม้ด้านหน้าเป็นเป้าหมายของเสียงชัตเตอร์ ผมยิ้มให้กับภาพที่เห็น รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เฝ้าสังเกตความเป็นไปของสิ่งรอบข้างผ่านเลนส์กล้อง และมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อผมสามารถบันทึกสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ได้
ซึ่งไม่ใช่ในตอนนี้...
ผมหงุดหงิดจนแทบเขวี้ยงกล้องสุดที่รักลงพื้นหญ้าเมื่อไม่สามารถเก็บภาพเจ้านกน้อยเอาไว้ได้ตามที่ปรารถนา หน้าจอกล้องขึ้นตัวอักษรสีขาวเล็กๆเตือนว่าหน่วยความจำเต็ม นั่นหมายความว่าผมต้องนั่งลบรูปเก่าๆที่เคยถ่ายไว้ถ้าต้องการจะเก็บภาพใหม่ๆในวันนี้ มันเป็นสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด เพราะทุกภาพที่ผมบันทึกไว้ต่างมีความหมายเป็นของตัวเองในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งผมไม่ต้องการที่จะลบมันทิ้งไปแม้สักภาพเดียว แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ต้องกล้ำกลืนกดลบภาพเก่าๆที่เคยถ่ายไปจำนวนหนึ่ง เพื่อที่จะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพบว่าเจ้านกน้อยน่ารักทั้งสองที่ผมต้องการนักหนา กำลังบินแยกกันไปคนละทิศละทางแบบต่อหน้าต่อตา...
อารมณ์บูดแล่นขึ้นมายึดพื้นที่อีกครั้ง คราวนี้ผมยกกล้องขึ้นก่อนรัวชัตเตอร์แบบไร้การควบคุม เป็นการประชดประชันโง่ๆต่อเมมโมรี่ของกล้องและนกกระจิบสองตัวที่มาให้ความหวังแล้วจากไป เมื่อรัวจนสาแก่ใจผมจึงมานั่งเช็คภาพที่ไม่ได้ตั้งใจถ่ายดู ความหงุดหงิดโมโหที่เกิดเมื่อครู่เริ่มจางหายเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างจากภาพที่ถ่ายได้ ตอนนี้ผมกำลังตลกผู้ชายในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินกับกางเกงสแล็คสีดำสไตล์หนุ่มออฟฟิศคนหนึ่งที่เลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆทุกครั้งที่ผมกดดูภาพถัดไป สุดท้ายผมก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อกดดูไปถึงภาพล่าสุด และผมละสายตาจากกล้องขึ้นมาเจอผู้ชายในภาพกำลังนั่งอยู่ข้างๆผมในตอนนี้ อืม...หวังว่าเขาคงยังไม่รู้ว่าผมกำลังดูอะไรอยู่นะ
“สวัสดีครับ” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆผู้ชายข้างๆที่ผมเคยเกือบหัวเราะใส่หันมาทักทาย ใบหน้าเนือยๆนั่นทำให้ผมลังเลนิดๆว่าผมควรจะตอบกลับเขาไปยังไง ควรตอบแบบสดใส หรือทำตัวหม่นหมองให้เข้ากับอีกฝ่ายดี
“สวัสดีครับ” สุดท้ายก็กลายเป็นคำตอบสุดเบสิกกับรอยยิ้มตามมารยาทที่พึงกระทำ เขาคนนั้นยิ้มรับน้อยๆก่อนยืดตัวขึ้นจากเดิมที่เคยกึ่งนั่งกึ่งนอน...นี่เขากำลังจะชวนผมคุยแบบจริงจังแล้วสินะ
“มาถ่ายรูปหรอครับ” ถามพร้อมสายตาที่เลื่อนมาที่กล้องในมือ ผมใจหายแว้บแต่ก็ต้องแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกในวินาทีต่อมา โชคดีที่หน้าจอดับไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงเห็นภาพตัวของเขาเองที่ผม(บังเอิญ)ถ่ายและคิดว่าผมเป็นไอ้โรคจิตที่แอบถ่ายชาวบ้านแน่ๆ
“ประมาณนั้นครับ แต่ถ่ายเล่นไปเรื่อยๆเฉยๆ ไม่ได้จริงจังอะไร” คนชวนคุยพยักหน้ารับสองทีก่อนเงียบไป ผมเลยต้องตั้งคำตามกับตัวเองอีกครั้งว่าควรจะทำยังไง ต่อบทสนทนา หรือปล่อยให้เงียบกันไปแบบนี้ดี
“แล้วคุณ...เอ่อ...เพิ่งเลิกงานหรอครับ” สุดท้ายผมก็ตัดสินใจชวนคุยต่อ กลัวว่าถ้าไม่ถามอะไรกลับไปบ้างจะเป็นการเสียมารยาท คนเขาอุส่าชวนคุยทั้งที
“ครับ...เบื่อๆน่ะ เลยแวะมานั่งเล่น” คนโดนถามตอบโดยยังไม่ละสายตาจากภาพข้างหน้า ผมแอบมองตามสายตานั้นไป อยากรู้เหลือเกินว่ามีอะไรน่าสนใจกว่าคู่สนทนานักหนา แต่เมื่อมองตามไปก็พบเพียงเศษใบไม้ที่ปลิวเรี่ยไปกับพื้นหญ้า เด็กผู้ชายตัวเล็กวิ่งดุ๊กๆตามตะครุบใบไม้นั้นไปทั่ว ไม่มีอะไรที่น่าสนใจนักนิด...นี่คงจะเบื่อเข้าขั้นสุดแล้วจริงๆสินะ
“อ่า...ครับ” ผมส่งยิ้มแหยๆก่อนพูดต่อ
“คุณดูเหนื่อยมากเลย พักผ่อนเถอะครับ...” และแสร้งทำเป็นก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ
“นี่ผมกำลังจะไปพอดี” ผมโกหกคำโต กำลังจะไปอะไรกัน ฟ้ายังไม่มืดตามที่ตั้งใจไว้ด้วยซ้ำ แต่สีหน้าเหนื่อยล้าจากคนข้างๆทำให้ผมเริ่มอึดอัดจนแทบนั่งไม่ติด
“ธรรมดาของมนุษย์เงินเดือนน่ะครับ เอ่อ...แล้ววันนี้คุณไม่ต้องทำงานหรอ” คำต่อประโยคที่ยาวกว่าเดิมเล็กน้อยกับประโยคคำถามทำให้ผมต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะหนีไปจากที่นี่
“ครับ วันนี้ไม่มีงานน่ะ” ผมตอบ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของอีกฝ่ายจึงอธิบายต่อ
“ผมเป็นช่างภาพอิสระครับ พอดีวันนี้ไม่มีใครจ้าง”
“ดีจังนะครับ งานคงสนุกน่าดู ไม่ซ้ำซากจำเจด้วย” เขาพูดพลางเอื้อมแขนข้างหนึ่งไปพาดไว้กับพนักพิง ท่าทีสบายๆต่างจากในตอนแรกทำให้ผมเริ่มผ่อนคลาย
“สนุกดีครับ พอดีผมชอบถ่ายรูปด้วยก็เลยไม่มีปัญหาอะไร”
ผมตอบยิ้มๆแล้วหมุนกล้องในมือเล่นไปมาอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อดี พอแอบชำเลืองตาไปมองคนข้างๆอีกรอบก็เห็นว่าเขากำลังนั่งกอดอก แหงนหน้ามองท้องฟ้า สักพักก็หลับตาลง พร้อมกับที่ผมได้ยินเสียงลมหายใจถูกพ่นออกมาเบาๆ ชีวิตนี่จะเหนื่อยอะไรนักหนานะ...
นั่งมองอยู่สักพักหนึ่งก็ไม่เห็นว่าจะลืมตาขึ้นมา แต่ผมมั่นใจนะว่าเขาไม่ได้หลับหรอก แล้วนี่ผมควรนั่งตรงนี้เป็นเพื่อนเขาไหม หรือถ้าผมลุกไปโดยไม่ได้บอกจะเสียมารยาทหรือเปล่านะ แต่ถ้าผมบอก...แล้วมันกลายเป็นว่าผมไปรบกวนเขาล่ะ
“เอ่อ...ขอตัวกลับก่อนนะครับ” และผมก็เลือกทำตามข้อสุดท้าย...เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้คนข้างกายอีกนิดก่อนพูดเบาๆ เขาลืมตาขึ้นมายิ้มให้และพยักหน้ารับ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เสียงที่ดังไล่หลังมาติดๆทำให้ผมชะงักก่อนหันกลับไป
“เช่นกันครับ”
ผมตอบรับไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้วไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร คนแปลกหน้าสองคนที่คุยกันแต่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามนี่นับว่าเป็นการรู้จักกันอย่างหนึ่งหรือเปล่านะ...
-
Rrrr
เสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังลั่นทำให้ผมสะดุ้งตื่น ผมคว้ามากดรับสายและกรอกเสียงงัวเงียของตัวเองลงไปโดยไม่มีการดัดแปลงใดๆทั้งสิ้น แล้วความงัวเงียก็หายเป็นปลิดทิ้งในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อพบว่าปลายสายโทรมาจากบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นระดับต้นๆของเกาหลีใต้ ทางนั้นบอกว่าต้องการให้ผมไปเป็นช่างภาพให้กับโฆษณาสินค้าตัวหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าผมตอบตกลงทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรสักนิด บริษัทใหญ่ขนาดนั้นใครๆก็อยากร่วมงาน หลังตกลงกันเสร็จผมวางโทรศัพท์ก่อนหยิบปฏิทินตรงหัวเตียงขึ้นมา อีกมือเอื้อมหยิบปากกาเคมีมาขีดฆ่าวันที่ของวันนี้ วงกลมวันที่ของวันพรุ่งนี้ลงไป เขียนข้อความกำกับไว้พร้อมหัวใจดวงโตๆ
‘เข้าบริษัทXXX เริ่มทำงาน ♥’
-
เช้าวันถัดมา ผมกระเด้งตัวโดยอัตโนมัติตั้งแต่หกโมงโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก รีบลุกไปอาบน้ำ แปรงฟัน ก่อนมายืนเสียเวลาอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเกือบหนึ่งชั่วโมง ในตอนแรกผมเลือกหยิบเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน กางเกงสแล็คสีดำ และผูกไทด์ ในขณะที่กำลังจะสะบัดสูทแล้วสวมลงไปแบบคูลๆ ก็คิดได้ว่าผมโดนจ้างไปเป็นตากล้องนะ ไม่ใช่ไปเป็นประธานบริษัทอะไรถึงต้องแต่งตัวเต็มยศถึงขั้นสวมสูทผูกไทด์ ดังนั้นผมเลยถอดทุกอย่างออกจากตัวก่อนสาละวนกับการเลือกชุดครั้งที่ 2
คราวนี้ผมลองสวมกางเกงยีนส์ฟอกสีขาดเข่ากับเสื้อโปโลสีแดงสด...ก่อนพบว่าผมกลายเป็นเด็กกะโปโลที่ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ มันควรจะเป็นทางการมากกว่านี้ ผมโยนทุกอย่างจากตัวลงไปกองอยู่ที่พื้นอีกครั้งและเริ่มเลือกชุดรอบที่ 3 โดยไร้การพินิจพิเคราะห์ เพราะขณะนี้เข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกากำลังจ่อเข้าใกล้เลข 7 ส่วนเข็มยาวอยู่ที่เลข 10 ผมคิดว่ากำลังจะสาย ทางบริษัทนัดคุยตอนแปดโมงตรง พอลองเผื่อเวลาไม่ชินเส้นทางบวกกับรถติดๆในวันทำงานแล้ว โอ้...ผมถึงกับใจสั่นด้วยความกังวล
และแล้วกางเกงยีนส์สีดำกับเชิ้ตสีขาวพับแขนถึงข้อศอกก็มาอยู่บนตัวผมภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที และผมคิดว่ามันโอเคที่สุดแล้ว เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จผมก็ปล่อยซากเสื้อผ้าหน้าตู้ให้ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น รีบวิ่งไปทั่วห้องเพื่อฉวยของที่จำเป็นใส่เป้ และไม่ลืมที่จะหยิบกล้อง DSLR คู่ใจที่เปลี่ยนเมมฯแล้วเรียบร้อยขึ้นมาสะพายไว้ด้วย สุดท้าย ในเวลา 06.58 รถออดี้สีขาวของผมก็ทะยานสู่ท้องถนนด้วยความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ใบสั่งขับรถเร็วเกินกำหนดไม่ได้มีอิทธิพลกับผมเท่างานที่รออยู่ข้างหน้าสักนิด)
ตอนนี้ผมกำลังช็อกนิดๆ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง เหตุผลมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 30 นาที ผมมาถึงบริษัทอย่างฉิวเฉียดในเวลา 07.55 แนะนำตัวกับพนักงานสาวสวยประจำเคาน์เตอร์ก่อนถามทางไปห้องประชุม ผมเคาะประตู 3 ครั้งและเปิดมันออกในเวลาแปดโมงตรง แต่ดูเหมือนว่าทุกคนมาพร้อมแล้ว และทุกสายตาก็จับจ้องมาเหมือนกับผมเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรืออะไรสักอย่าง สาบานว่าตอนนี้แปดโมงตรง พนักงานที่นี่คงไม่ได้นับการสายเป็นวินาทีใช่ไหมครับ
“คุณกันต์พิมุกต์ใช่ไหม เชิญนั่งเลยครับ” บรรยากาศดูมีมิติขึ้นมานิดหน่อยตอนผู้ชายใส่สูทที่นั่งอยู่หัวโต๊ะลุกขึ้นยืนทักทายผม ก่อนผายมือไปยังเก้าอี้ตัวเดียวที่ว่างอยู่
ผมโค้งให้ทุกคนในห้องแบบ 90 องศาแล้วเดินก้มหน้างุดๆไปยังที่ของตัวเอง เขินอายเกินกว่าจะสบตาใคร ทั้งที่ประสบการณ์การเข้าสังคมห้องประชุมของผมก็มีไม่น้อย แต่เพราะนี่เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก ความประหม่าของผมก็เลยใหญ่มากตามไปด้วย
จนกระทั่งผมหย่อนก้นลงนั่งเรียบร้อยดีแล้ว คุณอิมแจบอมที่เป็นประธานก็เริ่มแนะนำตัวแบบไม่เป็นทางการมากนัก จากนั้นคุณปาร์คจินยอง รองประธานที่นั่งอยู่ขวามือของคุณอิมแจบอมก็เริ่มแนะนำตัวบ้าง ผมใช้โอกาสนี้เองในการเหลือบมองเพื่อนร่วมงานทีละคน โต๊ะตัวยาวแบบที่นิยมใช้กันในห้องประชุม มีคนนั่งเต็มตั้งแต่หัวโต๊ะยันสุดขอบโต๊ะ (ซึ่งก็คือผมเอง) การแนะนำตัวเป็นแบบฟันปลา สลับซ้ายขวาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคราวคนที่นั่งอยู่ข้างๆของผมเริ่มพูด ผมจึงหันหน้าไปมอง และนั่นล่ะ ตัวการที่ทำให้ผมช็อก
“สวัสดีครับ ผมหวัง แจ็คสันครับ”
ชายหนุ่มในเชิ้ตแขนยาวสีดำโค้งหนึ่งครั้งหลังจบประโยคแล้วนั่งลง คนที่อยู่ตรงข้ามผมเริ่มลุกขึ้นและแนะนำตัว จนกระทั่งถึงผมคนสุดท้าย เสียงปรบมือในห้องดังขึ้นพอเป็นพิธี คุณอิมแจบอมเริ่มพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ที่กำลังจะทำ ในขณะเดียวกันกับที่คุณหวัง แจ็คสัน หันมาสบกับสายตาผมที่กำลังมองเขาอยู่แล้วก่อนหน้านี้
“ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ คุณกันต์พิมุกต์”
“ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งเช่นกับครับ คุณหวัง แจ็คสัน”
ตามมารยาทในที่ประชุมแล้ว บทสนทนาระหว่างผมกับเขาจึงเกิดขึ้นเพียงคนละประโยค หลังจากนั้นพวกเราก็หันไปตั้งใจนั่งฟังคุณอิมแจบอมและคุณลูกค้าเจ้าของแบนด์สาธยายโปรเจ็กต์ ทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปออกมาว่าโปรเจ็กต์นี้จะใช้เวลาในการถ่ายทำโฆษณาทั้งหมด 3 วัน ส่วนพรีเซ็นเตอร์ ทางลูกค้าเจ้าของแบนด์เขาอยากได้พนักงานในบริษัทนี้นี่แหละครับ
ซึ่งจากมติในที่ประชุมแล้ว คนที่เหมาะสมกับอาหารเสริมผู้ชายมากที่สุดก็คือคุณหวัง แจ็คสัน คนที่นั่งข้างๆผมนั่นล่ะ พวกเราคุยรายละเอียดปลีกย่อยกันต่ออีกนิดหน่อยจนเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าๆจึงปิดการประชุม ผมเดินออกจากห้องมาก็เจอกับคุณแจ็คสันที่เหมือนจะยืนรอผมอยู่ อีกฝ่ายยิ้มให้แล้วเดินเข้ามาหา
“ดีใจที่ได้ร่วมงานกับคุณนะครับ ลูกค้ารายใหญ่ของเราออกปากเสนองานนี้ให้คุณเองเลย โชคดีจริงๆที่คุณตกลงรับงาน ตอนแรกที่คุยกับคุณที่สวนสาธารณะนั่น คุณดูว่างจนผมคิดว่าคุณเป็นช่างภาพอิสระธรรมดาๆ ไม่คิดว่าจะเจ๋งขนาดนี้ ขอบคุณมากๆเลยนะครับ”
ผมทำเพียงค้อมศีรษะและยิ้มรับกับคำชมของเขา ก่อนเป็นฝ่ายต่อบทสนทนา
“ฮ่ะๆ พอดีว่าผมเรื่องมากเรื่องรับงานน่ะครับเลยไม่ค่อยมีงานเท่าไร ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ทั้งทางบริษัทแล้วก็เจ้าของแบนด์ด้วยที่ให้เกียรติเลือกผม แต่คุณเองก็เจ๋งเหมือนกันนะครับ แผนการตลาดของคุณนี่สุดยอดมากเลย”
“ขอบคุณครับ แต่ตอนนี้พนักงานฝ่ายการตลาดธรรมดาๆคงต้องจับพลัดจับผลูกลายมาเป็นพรีเซ็นเตอร์จำเป็นแล้วล่ะครับ รบกวนคุณช่างภาพหน่อยนะ ผมเองก็ไม่ค่อยสู้กล้องเท่าไร”
ผมยิ้มขำไปกับท่าทางสบายๆของเขาผิดกับวันแรกที่เราเจอกัน คุณแจ็คสันอ้างตัวเองเป็นเจ้าถิ่น อาสาพาผมไปทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งข้างบริษัท ส่วนงานวันนี้ก็มีแค่นี้ล่ะครับ พรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มถ่ายทำกันแบบจริงๆจังๆ
บรรยากาศมื้อกลางวันดำเนินไปได้ด้วยดีแบบมากๆ เราผลัดกันเล่าเรื่องราวของตน และรับฟังเรื่องราวของอีกคน หัวเราะเสียงดังร่วมกันไปกับเรื่องตลกในชีวิต คุณแจ็คสันเล่าถึงความน่าปวดหัวของการจัดการตลาด เพื่อนร่วมงานที่เพิ่งลาออกไปเมื่อปลายปี บอสคนก่อนที่ชอบดื่มกาแฟแบบใส่น้ำตาลสามช้อนพูนๆ ผมเล่าถึงอาชีพช่างภาพอิสระของตัวเอง กล้อง DSLR ตัวแรกที่ได้มาเป็นของขวัญการสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ นิสัยเสียอย่างการชอบเก็บภาพไว้ในกล้องโดยไม่คิดจะย้ายไปเก็บไว้ที่อื่น รวมไปถึงการที่ผมชอบลืมเปลี่ยนเมมฯก็ด้วย
เรื่องราวที่ผมพรั่งพรูออกมาเริ่มลึกขึ้น ทั้งชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย เพื่อนสนิทสมัยมัธยมปลาย แฟนคนแรกสมัยประถม และแฟนคนล่าสุดตอนปี 2 ผมเล่าเพลินจนลืมเปิดโอกาสให้คุณแจ็คสันได้เล่าบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ขัดอะไร ซ้ำยังมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวของผมอย่างผู้ฟังที่ดี เผลอแปบเดียวผมก็พบว่าเราเริ่มสนิทกันมาก คำสุภาพที่ใช้กับคนแปลกหน้าเริ่มไม่ปรากฏในบทสนทนา คำว่าคุณกันต์พิมุกต์ก็หายไปเหลือแต่คำว่าแบมเพียงพยางค์เดียว แต่ถึงอย่างนั้น ระหว่างผมกับเขาก็ยังเรียกแทนกันว่า ‘ผม’ กับ ‘คุณ’ อยู่ดี
-
วันนี้เป็นวันที่เริ่มทำงานอย่างจริงจังเป็นวันแรก ทีมงานทุกคนมาพร้อมกันที่บริษัทและเริ่มถ่ายทำตั้งแต่เก้าโมงเช้า แน่นอนว่าผมมาก่อนเวลาเกือบ 30 นาที คือผมไม่สามารถทนสายตาที่ทุกคนมองมาที่ผมในวันแรกที่ผมมาตรงเวลาแบบเป๊ะๆนั่นได้จริงๆ (สาบานเป็นรอบที่สี่ล้านแปดแสนแล้วว่าผมไม่ได้สายสักนิด)
ส่วน ณ ขณะนี้เวลา 10.15 นาฬิกา และคุณหวัง แจ็คสัน พรีเซ็นเตอร์สุดหล่อประจำกอง ยุ่งกับโทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นรอบที่สองล้านระหว่างการถ่ายทำ
“เฮ้! คุณ มีสมาธิหน่อย ผมอยากรีบกลับบ้านไปดูบอลแล้ว”
ผมท้วงขำๆ คนฝั่งตรงข้ามของกล้องพยักหน้ารับก่อนเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงยีนส์ แต่หลังจากนั้นอีก 5 นาที เขาก็เริ่มสะดุ้งเป็นพักๆพร้อมกับเอามือมาแนบที่กระเป๋าข้างที่เสียบโทรศัพท์มือถืออยู่ ผมเดาว่าเขาอาจจะกำลังหนีหนี้ หรือไม่ก็เป็นโรคจิตพวกที่ชอบมโนว่าโทรศัพท์สั่นอะไรทำนองนั้นมั้ง
หลังจากการปรามครั้งที่สองของผมและพี่ๆทีมงาน การถ่ายทำก็ดำเนินไปแบบเกือบจะราบรื่น คุณแจ็คสันเหมาะสมจริงๆกับสินค้าตัวนี้ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ท่าทาง การพูดจา ดูเข้ากันดีไปเสียหมด ติดอยู่แค่สายตาคมที่พาลเอาแต่จะจ้องไปที่กระเป๋ากางเกงนั่น คนเบื้องหลังจนปัญญาจะพูดบวกกับเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่นักเลยไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร
ทันทีที่พักเบรก โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งแรกที่เขาหยิบมันขึ้นมา ผมแสร้งทำเป็นเช็คแสง ปรับนู่นปรับนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็แอบลอบมองเขาที่กำลังรัวนิ้วลงบนเครื่อง ผมขมวดคิ้วตามเมื่อเห็นว่าหัวคิ้วหนาของเขากำลังเขยื้อนเข้าหากัน แล้วเขาก็เดินใกล้เข้ามา... ใกล้เข้ามา... และกำลังจะผ่านผมไปโดยยังไม่ละสายตาไปจากจอมือถือ ผ่านผมไปโดยไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่าผมหันหน้าไปมองและกำลังจะอ้าปากชวนคุย และเขาก็เดินผ่านผมไปแล้ว... มีเพียงเสียงปิดเครื่องเบาๆจากมือถือของเขาที่ดังขึ้นเท่านั้น
เขาเดินไปยังเพื่อนพนักงานรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลัง พูดอะไรบางอย่างขณะที่คิ้วก็ขมวดหากันจนแทบผูกเป็นเงื่อนตาย โยนโทรศัพท์มือถือให้กับพนักงานคนนั้นเบาๆ เหมือนกับมันกลายเป็นเศษเหล็กขึ้นสนิมไร้ค่า ก่อนแยกตัวไปนั่งดื่มน้ำคนเดียวเงียบๆที่มุมหนึ่งของห้อง สีหน้าเหนื่อยหน่ายซังกะตายเหมือนกับที่เจอกันวันแรกไม่มีผิด ผมอยากเดินเข้าไปถามเหลือเกินว่าเจ้าหนี้คุณตามหาบ้านจนเจอแล้วพังโทรทัศน์เครื่องเดียวที่มีไปหรอ หรือพวกมันจุดไฟเผาบ้านคุณไปแล้ว ติดหนี้เท่าไรล่ะ ผมให้ยืมเอาไหม ไม่คิดดอกเบี้ยหรอกนะ...อะไรทำนองนั้น
ไม่ใช่หรอกครับ ความจริงแล้วผมแค่อยากถามเขาว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า แค่แสดงความเป็นห่วงเหมือนเพื่อนคนหนึ่งแค่นั้น แต่ก็นั่นล่ะ สีหน้าของเขา และช่องว่างระหว่างเราในตอนนี้ ยังกว้างเกินกว่าที่ผมจะเสนอหน้าเข้าไปถามสารทุกข์สุกดิบ เลยทำได้แค่ยืนมองอยู่ห่างๆแบบนี้ ไม่ต้องห่วงครับ ไม่มีอะไรเกินเลยในความรู้สึก ผมแค่กลัวว่าพรีเซ็นเตอร์ของเราจะเส้นเลือดในสมองแตกตายไปเสียก่อนเท่านั้นล่ะ
-
วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว พวกเราออกมาทำงานนอกสถานที่กันครับ พี่ๆทีมงานทุกคนของบริษัทนี้น่ารักและเป็นกันเองมากๆ ทำให้ผมเริ่มปรับตัวให้สนิทกับพวกพี่ๆได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่ที่สนิทมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นคุณหวัง แจ็คสัน พรีเซ็นเตอร์ของเรานี่ล่ะครับ พูดตรงๆว่าเราสนิทกันมากจนพูดกับใครเขาก็คงไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเราเพิ่งรู้จักกันมาได้แค่สามวันเท่านั้นเอง
“แสงพร้อม กล้องพร้อม แจ็คสันพร้อมนะครับ ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!” พี่ผู้กำกับโฆษณาที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ผ้าใบหลังมอนิเตอร์ตะโกนใส่โทรโข่ง ทุกเสียงในบริเวณใกล้เคียงเงียบลงพร้อมกัน ทุกสายตาจับจ้องไปยังพรีเซ็นเตอร์โฆษณาที่ยืนอยู่หน้ากล้อง
Rrrr Rrrr
แต่ยังไม่ทันที่พรีเซ็นเตอร์ของเราจะได้พูดอะไรออกมา เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทีมงานแต่ละคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ส่วนแจ็คสันชะงัก ใบหน้าถอดสี พร้อมๆกับผู้กำกับที่สั่งคัท
“ขอโทษทีครับ” ค้อมหัวขอโทษเล็กน้อยก่อนรีบเดินออกจากฉากไป ผมมองตามแจ็คสันที่พอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู สีหน้าลุกลี้ลุกลนก็ฉายชัดขึ้นเต็มใบหน้า แจ็คสันเดินไปกดรับโทรศัพท์ที่มุมๆหนึ่งก่อนยกขึ้นแนบหู และพอดีจริงๆที่แถวนั้นมีกระติกน้ำวางอยู่ ผมเลยเกิดหิวน้ำขึ้นมาทันที
“พี่ฟังผมก่อน!”
ผมชะงักมือที่กำลังถือแก้วตักน้ำในกระติกใบใหญ่ พยายามไม่แสดงท่าทีอะไรและจดจ่อสมาธิอยู่กับคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ
“ผมขอโทษ...”
...
“พี่ครับ!”
...
“พี่! เฮ้! พี่! อย่าเพิ่งดิ”
มีเพียงเท่านี้จริงๆที่ผมได้ยิน นี่ผมกำลังจะเข้าใจว่าเขากำลังหนีหนี้อยู่จริงๆแล้วนะ แจ็คสันที่ท่าทางหัวเสียเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกง เป็นเวลาเดียวกับที่ผมเองก็หายหิวน้ำพอดี
“คุณ ขอผมแก้วนึงดิ”
ผมสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงแผ่วๆที่ข้างหูและแรงสะกิดเบาๆที่บ่า แสร้งทำหน้าทำตาเหมือนคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ส่งแก้วน้ำให้ แล้วก็เดินจากมา
แต่เอาจริงๆนะ ประโยคที่ผมแอบได้ยินเขาคุยโทรศัพท์ก่อนหน้ามันทำให้ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย ผมเดินกลับมาที่อุปกรณ์ทำมาหากินของตัวเอง ในขณะที่สายตาก็ยังลอบมองแจ็คสันเหมือนกับว่าผมไม่ใช่ตากล้องแต่เป็นสโตกเกอร์หรือไม่ก็ซาแซงแฟนอะไรประมาณนั้น
แจ็คสันที่ดื่มน้ำเสร็จแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอีกครั้ง คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้แทบทุกครั้งที่เขามองไปที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง และนั่นมันทำให้ผมอยากจะเอาไม้หน้าสามมาดามขึงคิ้วเขาไว้ให้รู้แล้วรู้รอด แจ็คสันทำอะไรบางอย่างกับมือถือของตัวเอง ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา (แค่วันแรกวันเดียว) ผมเดาว่าเขากดปิดเครื่อง และจัดการโยนมันให้กับพนักงานคนเดิมที่เหมือนจะเข้าใจดีเกี่ยวกับการกระทำนั้นของแจ็คสัน พนักงานผู้รับฝากโทรศัพท์มือถือลุกขึ้นยืนก่อนตบไปที่บ่ากว้างของคนหน้ามุ่ยสองทีคล้ายปลอบใจ ผมมองเพียงเท่านั้นก็ต้องรีบหันกลับมาแกล้งยุ่งวุ่นวายกับกล้องด้านหน้าตามเดิม แต่เหมือนจะไม่ทัน เมื่อแจ็คสันผละตัวออกจากเพื่อนคนนั้นและหันมาสบตากับผมที่แอบมองอยู่เต็มๆ
แจ็คสันเลิ่กคิ้วใส่ผมคล้ายจะถามว่า ‘มีอะไรไหม’ ส่วนผมก็แกล้งเลิ่กคิ้วกลับไปให้แบบงงๆ พยักหน้าหนึ่งครั้งแล้วก็สะบัดหันไปทางกล้องประมาณว่า ‘ทุกคนพร้อมแล้ว คุณน่ะ มาเข้าฉากสักทีเถอะ’ แจ็คสันเองก็พยักหน้าให้ผมเหมือนจะเข้าใจก่อนเดินมาเข้าฉากแล้วเราก็เริ่มถ่ายทำกันต่ออีกครั้ง
“แบม! วันนี้ไปหาอะไรกินด้วยกันไหม” แจ็คสันปรี่เข้ามาหาผมทันทีที่เสร็จการถ่ายทำ ผมหันไปและยิ้มกว้างให้กับการกระทำเหมือนเด็กๆนั่น
“หิวมากหรอคุณ เดี๋ยวไทด์ก็รัดคอตายพอดี” ผมพูดขำๆ แจ็คสันดูตลกดีเวลาที่เขากำลังวุ่นวายอยู่กับอะไรสักอย่าง อย่างเช่นตอนนี้ที่เนคไทด์บนคอของเขากำลังพันกันมั่วซั่ว คือมันก็สมควรแล้วล่ะนะ เพราะเขากระชากมันไปมาแบบโคตรจะไร้ศิลปะขณะที่กำลังวิ่งมาหาผมเมื่อกี้นี้
“ช่วยหน่อย”
สีหน้ายุ่งเหยิงตอนเขาพูดสองพยางค์นี้ออกมาทำให้ผมหลุดขำพรืด รู้สึกเหมือนเขาเป็นเด็กเตรียมอนุบาลที่ตะบี้ตะบันยัดขาทั้งสองข้างลงในขากางเกงเพียงข้างเดียว กระโดดโหยงเหยงจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่อยู่บนพื้นกระเบื้อง แล้วก็ร้องโวยวายให้แม่ช่วย เขาทำเหมือนกับมันเป็นเรื่องยุ่งยากนักหนา ทั้งที่ความจริงแล้วหากเขาใจเย็นลงอีกนิดแล้วค่อยๆลงมือแก้ไขมันไปทีละสเต็ป เขาจะไม่เสียเวลาขนาดนี้ และมันจะสำเร็จโดยง่ายดายเสียยิ่งกว่าฝีมือการคูณเลขสองหลักของผมตอนเกรด 3
ออดี้สีขาวของผมแล่นเข้ามาจอดขนาบข้างกับรถเก๋งสีดำคันคุ้นเคยที่เพิ่งหยุดนิ่งก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วินาที แจ็คสันก้าวลงจากรถคันนั้นก่อนมายืนทำเท่ท้าวแขนไว้กับหลังคารถสีขาวของผม
“คุณแพ้”
คิ้วหนากระตุกขึ้นข้างเดียวพร้อมๆกับมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย ท่าทางยียวนกวนประสาทนั่นทำให้ผมกระแทกประตูรถปิดอย่างแรง ก่อนจะสะดุ้งเพราะดูเหมือนมันจะแรงเกินไปนิดหน่อย และเจ็บใจที่สุดเมื่อแจ็คสันขำก๊ากให้กับท่าทางดีแตกของผม
“รู้แล้วน่า อย่าสั่งเยอะละกันนะครับคุณพรีเซ็นเตอร์ สงสารเงินในกระเป๋าของช่างภาพต๊อกต๋อยคนนี้ด้วย”
ผมพูดขำๆ เดินนำหน้าคนกวนประสาทเข้าร้านอาหารร้านหนึ่งที่เขาเป็นคนแนะนำเองว่าอร่อยนักหนา ยังไม่พอนะ มื้อนี้ผมต้องเป็นคนจ่ายด้วย ก็เพราะเกมบ้าๆที่เขาคิดขึ้นมาเองอีกนั่นล่ะ ‘แข่งกันไหมคุณ ใครไปถึงช้ากว่าจ่ายนะ มือนี้’ แล้วไงล่ะ ตัวเองรู้จักร้านมาก่อนก็ได้เปรียบอยู่แล้ว พอจะไม่เล่นด้วยก็หาว่าไม่กล้า ซึ่งพอดีว่าคนอย่างกันต์พิมุกต์ไม่ชอบให้ใครมาท้า ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางเอาชนะเขาได้เลยก็เถอะ แต่คุณเคยได้ยินไหมครับ ประโยคที่ว่า ไม่แข่งยิ่งแพ้ นั่นน่ะ คติในการดำเนินชีวิตของผมเลยนะ
นับ 1-10 เมื่อไร ความอดทนผมต้องขาดผึงแน่ๆ ผมเขี่ยเส้นสปาเกตตีในจานไปมาแบบโคตรจะหมดอารมณ์ บอกผมที่ว่าผมมาทานมื้อเย็นกับคนหรือหุ่นยนต์ แถมยังเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้สนใจแต่โทรศัพท์มือถืออีกต่างหาก
“คุณ ฟังผมอยู่หรือเปล่า” ผมใช้ส้อมเคาะที่จานของคนตรงหน้า แจ็คสันเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์มือถือมามองผมงงๆ
“ครับ? เมื่อกี้คุณว่าไงนะ” การตอบคำถามด้วยคำถามของเขาทำเอาผมต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ ตัดสินใจรวบช้อนส้อมวางลงกับจานแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
“ขอโทษทีครับ พอดีผม...” แจ็คสันวางโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะ ริมฝีปากอิ่มถูกขบเม้มจนเป็นสีเข้มคล้ายเจ้าตัวกำลังคิดหาเหตุผลที่ดีหรือไม่ก็กำลังลำบากใจกับอะไรสักอย่าง
“ผมไม่เป็นอะไร ว่าแต่คุณเถอะ...”
ซึ่งท่าทางแบบนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกแย่กับเขาไม่ลงจริงๆ แจ็คสันนั่งนิ่ง แววตาหม่นแสงของเขาที่ทอดมองมายังผมดูอ่อนแรงและเหนื่อยล้าเต็มที
“ถามจริงๆนะ คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
มันทำให้ผมคล้ายๆกับ...หายใจไม่ออก
“อย่าคิดว่าผมกำลังวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของคุณเลยนะ แต่ผมสังเกตมาสักพักแล้ว คือ...ผมรู้สึกเหมือนคุณไม่ค่อยโอเคเท่าไร”
“ผม...”
แจ็คสันพึมพำเบาๆและก้มหน้าหลบสายตา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ ผมก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ไม่รู้ว่าคุณรู้ตัวหรือเปล่า แต่คุณทำหน้าอยากตายทุกครั้งที่คุณมองโทรศัพท์มือถือ...”
ซึ่งจริงๆนะ มันทำให้คนมองอย่างผมเหมือนจะตายไปด้วยยังไงไม่รู้...
“ขอโทษนะครับถ้าคำถามของผมอาจจะทำให้คุณไม่สบายใจ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมไม่ได้ต้องการคำตอบ คิดซะว่าผมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งดีกว่า ถ้าปัญหาของคุณมันหนักหนาจนทนไม่ไหวและเมื่อไรที่คุณต้องการระบายมันออกมา ผมจะดีใจมากถ้าวันนั้นคุณมองเห็นผมเป็นคนแรก”
“แบมแบม...”
“ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ ยังไงซะ...คุณก็คือเพื่อนคนหนึ่งของผม”
ครับ ผมเป็นห่วง...ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง
แจ็คสันฉีกยิ้มเล็กๆหลังจบประโยค มือหนาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดปิดเครื่องแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง
“ขอบคุณนะครับ จริงๆนะ ผมโคตรซึ้งเลย”
“ผมยอมรับก็ได้ว่าผมก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไร ชีวิตผมช่วงนี้มันวุ่นวายแล้วก็มีเรื่องให้คิดเยอะแยะเต็มไปหมด แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมว่าผมคิดออกแล้วว่าจะจัดการกับพวกมันยังไงดี”
“คุณรู้ไหม...มีแต่คนมองว่าผมดูเป็นคนขี้เล่น ชีวิตเหมือนคนมีความสุขตลอดเวลา แล้วคุณก็คงจะรู้ด้วยใช่ไหมครับ ว่าชีวิตใครมันจะไปหรรษาได้ขนาดนั้น”
“ครับ...ผมเข้าใจ” ผมรับคำสั้นๆ
“พวกเขาคิดว่านี่เป็นตัวตนของผมไปแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมไม่กล้าแสดงด้านอื่นออกมาให้พวกเขาเห็นเลย จริงๆนะ ไม่เคยมีใครเห็นผมเป็นแบบนี้ นอกจากเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง...ถ้าคุณสังเกตคุณอาจจะพอนึกได้ คนที่ผมชอบเอาโทรศัพท์มือถือไปฝากมันนั่นล่ะ”
ผมนึกตาม พยักหน้า แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ...เดาอะไรผิดที่ไหนล่ะ
“ส่วนอีกคนก็คือ...คุณ”
“คิดๆดูแล้วผมก็แปลกใจเหมือนกัน ทำไมกับคุณ...คนที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่กี่วัน ผมถึงได้กล้าแสดงด้านที่แตกต่างออกมา หรือเป็นเพราะว่าคุณบังเอิญเห็นด้านนั้นของผมตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน มันก็เลยไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังอีก” แจ็คสันพูดพลางควงช้อนในมือไปพลาง ท่าทางสบายใจขึ้นกว่าในตอนแรกมาก
“แน่ล่ะ...คุณเล่นทักผมด้วยหน้าเบื่อโลกซะขนาดนั้น ให้บอกผมว่าคุณเป็นคนขรึมๆ ซีเรียสกับชีวิตตลอดเวลานี่ยังจะน่าเชื่อมากกว่าอีก”
“คุณเชื่อไหม ตั้งแต่ที่ผมรู้จักคุณนี่ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ผมชอบคุณนะ...ชอบที่คุณเป็นแบบนี้ ขอบคุณอีกครั้งที่เป็นห่วงผมนะครับ ว่าแต่...คุณอิ่มแล้วใช่ไหม
กลับกันเถอะ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง ตอบแทนที่คุณทำให้ผมสบายใจและหาทางออกเจอสักที”
แววตาที่เริ่มสดใสของคนตรงหน้าช่วยให้ผมหายใจคล่องขึ้นมานิดหน่อย ผมไม่ค้านอะไรเรื่องที่ว่าเขาจะเป็นคนจ่ายเงิน (มันควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เขาคิดเกมขี้โกงผมขึ้นมา)
“คุณสบายใจแล้ว หวังว่าผมคงไม่เห็นคุณทำหน้าป่วยใส่โทรศัพท์อีกนะ” แต่ผมก็ยังไม่วายแกล้งล้อเขาเล่นอยู่ดี
“กลับดีๆนะครับ ขอบคุณสำหรับอาหาร” ผมโบกมือลาแจ็คสันตรงหน้าร้านก่อนที่เราจะแยกกันกลับ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ออกเดินก็รับรู้ได้ถึงแรงกระตุกเบาๆที่ฝ่ามือ
“รีบหรือเปล่าครับ อยู่เป็นเพื่อนผมแปบนึงได้ไหม” ผมไม่พูดอะไรและพยักหน้าแทนคำตอบ
แจ็คสันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเครื่องอีกครั้ง กดอะไรบางอย่างก่อนยกขึ้นแนบหู
ครั้งที่หนึ่ง... ครั้งที่สอง... ครั้งที่สาม... และคิ้วบนใบหน้าของเขาก็เริ่มขมวดผูกกันแบบที่เขาชอบเผลอทำเสมอ ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะติดต่อหาใครสักคน...ซึ่งไม่สำเร็จ
“ผมหวังว่าผมคงไม่เห็นคุณทำหน้าป่วยใส่โทรศัพท์...” ผมแกล้งทวนประโยคที่พูดกับเขาเมื่อครู่ แจ็คสันละสายตาจากโทรศัพท์มือถือมามองหน้าผมก่อนเอ่ยเบาๆหากแต่หนักแน่นเหลือเกิน
“ครั้งสุดท้ายครับ”
แจ็คสันยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหูอีกครั้ง และครั้งนี้เหมือนผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างได้จากแววตาอันวูบไหวของเขา ผมไม่มั่นใจเท่าไรว่ามันอ่านว่าอะไร ทั้งดูเจ็บปวดแต่ก็ผ่อนคลายอย่างประหลาด และถ้าเซนส์ของผมไม่ผิด...นี่คงเป็นทางออกที่เขาเพิ่งหาเจอ
“พี่ครับ ผมติดต่อพี่ไม่ได้เลยขอฝากข้อความทิ้งไว้ละกัน ผมลองมาคิดๆดูแล้วนะเรื่องที่พี่บอก ตอนนี้ผมเห็นด้วยกับพี่แล้วล่ะ ผมโอเค ตกลงตามนั้นทุกอย่างนะ ขอบคุณครับ”
พูดเพียงแค่นั้นแล้วแจ็คสันก็เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม ลมหายใจร้อนๆถูกพ่นออกมาจนปะทะเข้ากับใบหน้าของผม แจ็คสันยิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่าย เขาดูสบายใจเหมือนกับได้ยกโลกทั้งใบที่เคยแบกไว้ออกจากบ่า...
ทุ่มมันลงไปกับพื้น... แล้วก็มองดูมันแหลกสลายแบบไม่เหลือชิ้นดี
และคุณเชื่อไหมครับ...มันเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่ผมเห็นเขาทำหน้าป่วยใส่โทรศัพท์มือถือ
ความคิดเห็น