ตอนที่ 3 : Chapter 2 มันเกินใจจะรับไหว [60%]
Chapter 2
— เฟรนลี่ เป็นมิตร ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์
เพียวโบกมือลาให้เพื่อนพร้อมกับเอ่ยอ้อมแอ้มว่าวันนี้ปวดขาขอไม่ไปส่งนะทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น อยู่ๆเขาก็แค่กลายเป็นคนเก็บตัวและเงียบขรึมหลังจากที่ตลอดการสนทนาชายหนุ่มรู้สึกว่าตนถูกมองตลอดโดยคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
“กลับสักที พี่แอบอยู่ตั้งนานแน่ะ”
“ไอ้เหี้ยเอ้ย!”
เสียงนุ่มสบถดังลั่น พีรกานต์ขยับตัวหนีจากสิ่งที่ตนยังมองไม่เห็น เขาไม่เคยชินกับการมีอีกชีวิตมาอยู่ในห้องถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่ยุงหรือจิ้งจกก่อนจะพบร่างนั้นนั่งด้วยท่าทางเรียบร้อยอยู่ตรงโซฟาที่ประจำของอีกฝ่าย เดฟที่ตอนนี้เปลี่ยนสรรพนามและเรียกตัวเองแบบนับญาติโดยไม่ถามสุขภาพกันสักคำส่งยิ้มมาให้เขาด้วยท่าทีมีความหวัง ไม่สิถ้าให้ถูกต้องบอกว่าอีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้บรรดาขนมในถุงที่วางอยู่หน้าของเพียวถึงจะถูก
“คนนั้นใครน่ะ แฟนเหรอ?”
“กูยังไม่มีแฟน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเพื่อนที่นิสัยดีมากเลยนะ มีขนมติดไม้ติดมือมาเยอะเลย”
ร่างนั้นยันตัวลุกขึ้นก่อนจะเดินมาหา โชคดีที่สองเท้านั่นค่อยๆก้าวเหมือนที่มนุษย์ปกติกระทำกันไม่ใช่ติดไอพ่นไว้ที่ใต้เท้าแบบผีที่เคยเห็นในละครหรือโชว์สะพานโค้งแบบพวกเอ็กซอร์ซิสต์ให้ได้เห็น หากเป็นแบบนั้นคงไม่แคล้วให้เจ้าของห้องรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะหยุดเต้นอีกรอบเป็นแน่ ผีอายุมากกว่านั่งลงตรงหน้า ดวงตาหม่นแสงดูเป็นประกายนิดหน่อยขณะชี้มาทางกล่องนมในถุง
“คราวหน้าบอกให้เขาซื้อธูปมาด้วยสิ” อีกฝ่ายว่า
“จะได้จุดเชิญพี่ให้กินด้วยได้ไง”
คนฟังถอนหายใจให้กับประโยคคำพูดนั้นก่อนจะโบกมือในอากาศ ไม่เชิงไล่แต่อาจหมายความว่า ‘เรื่องของมึงเถอะ’ อะไรประมาณนั้นก่อนจะเดินไปยังประตู เขาต้องรีบไปซื้อของในเซเว่นก่อนที่ตนจะลืม ตุนของไว้สำหรับคืนนี้ทำงานที่คั่งค้างให้เสร็จแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าบริษัทเพราะมีธุระจะต้องคุยกับเพื่อนสนิทเรื่องเจ้าของคนเก่าของห้องนี้รวมถึงแวะสังสรรค์ตามประสาชายโสดอีกนิดหน่อย
เพียวอยากดื่มเพื่อให้ลืมผีที่นั่งทำหน้าไร้เดียงสาอยู่บนโซฟาสักหน่อยเพราะแม้ว่าจะลองพยายามทำใจหลายต่อหลายหนแล้วแต่มันก็ยังยากเกินไปอยู่ดีที่จะตื่นมาทุกเช้าแล้วพบว่าตนไม่ได้อยู่ห้องนี้ตัวคนเดียวอีกต่อไป
“ไปเซเว่นแป๊บ เดี๋ยวมา”
ผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในห้องนี้ว่าแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องไปหยิบกระเป๋าและแอร์พอดส์มาใส่ ชายหนุ่มกดเลือกเพลงอยู่สักพักก็เก็บทุกอย่างลงในกระเป๋ากางเกงเหลือเพียงแต่คีย์การ์ดฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเดินลงลิฟต์ไปยังเซเว่นข้างคอนโดเพราะของใช้บางอย่างหมดรวมถึงขนมขบเคี้ยวที่ต้องกินแก้ปากว่างตอนกลางคืน ถ้าได้เบียร์ติดมือกลับมาด้วยก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ทว่าแว๊บหนึ่งที่เดินผ่านประตูมา แอร์เย็นที่ปะทะเข้ากับร่างเช่นเดียวกับความวูบไหวที่บริเวณใบหูก็ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย
พีรกานต์พยายามปล่อยวางและปลอบใจว่าตัวเองคงอยู่กับวิณญาณมากเกินไปจนทำให้เริ่มเพี้ยนแม้ว่าความเป็นจริงแล้วมันจะเพิ่งผ่านไปได้แค่วันเดียวเองด้วยซ้ำ ทว่าพอเดินผ่านโซนบรรดาเครื่องดื่มเขาก็ยังได้ยินเสียงแปลกๆเหมือนหูแว่วอยู่
‘หยิบนมสตรอว์เบอร์รี่มาด้วยสิ’
‘นะๆ นมสตรอว์เบอร์รี่อร่อยมากเลย’
คำเหล่านี้มันวนเวียนอยู่ภายในโสตประสาทซ้ำๆราวกับเพียวกำลังโดนสะกด ซึ่งมันค่อนข้างแปลกเพราะสิ่งนั้นไม่ใช่ของโปรดของเขา ไม่ใช่สิ่งที่พีรกานต์พิศวาสหรือต้องคอยมองหาทุกครั้งเวลาไปร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้าเลยสักนิด หากแต่เป็น...
“หยิบเถอะนะ พี่อยากกิน”
“...”
เอางี้นะ คือมึงลงตามกูมาได้ยังไงก่อน?
ชายหนุ่มเกือบหลุดสบถแล้วเพราะทันทีที่ถอดแอร์พอดส์ออกก็เห็นเจ้าของเสียงทุ้มที่เคยกระซิบอยู่ข้างหูเดินลอยไปลอยมา วูบหนึ่งที่เขาเผลอนึกว่าไอ้นี่มันอาจจะตายในส้วมเพราะอีกฝ่ายช่างเหมือนมากจริงๆ เหมือนเมอร์เทิลจอมคร่ำครวญในหนังเรื่องแฮรี่พอตเตอร์มากกว่าแคสเปอร์หัวโปกอะไรนั่นอีก
ตกลงว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้คิดไปเองจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังเกิดคำถามเล็กๆอยู่ภายในใจว่าอีกฝ่ายตามลงมาได้อย่างไร? เซเว่นไม่มีเจ้าที่เจ้าทางเลยใช่ไหม หรือใครจะเข้าออกร้านสะดวกซื้อนี่ก็ได้เพราะมีสโลแกนประจำใจว่าหิวเมื่อไหร่ก็แวะมา
“สักกล่องไหม?”
“มึงจะตามมาเพื่อ!?” เขากระซิบเสียงลอดไรฟัน
“แต่พี่ขออนุญาตเพียวแล้วนะ”
ขอตอนไหนวะ!
“เพียวพยักหน้าตอบด้วย”
“เดฟ...”
นั่นกูแค่อินเพลง
เขามองร่างโปร่งแสงตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจเป็นรอบที่สิบสามของวัน อย่าเถียงคนบ้าอย่าว่าคนเป็นผี นี่อาจเป็นคติประจำใจในการใช้ชีวิตแบบใหม่ของพีรกานต์หลังจากนี้ก็ได้ พอคิดได้ดังนั้นเจ้าตัวจึงเดินดุ่มออกจากโซนเครื่องดื่มไปอย่างไร้เยื่อใยโดยไม่คิดฟังคำทัดทานที่ดังขึ้นอย่างหงอยๆ ในห้องก็มีนมจะซื้อไปตุนทำไมนักหนาอยากจะรู้นัก!
ชายหนุ่มส่ายศีรษะกับท่าทางที่เห็นเมื่อครู่ได้เพียงแค่แป๊บเดียว แป๊บเดียวจริงๆสาบานได้ก่อนดวงตากลมจะเบิกกว้างอีกครั้งเมื่อเห็นขนมเบนโต๊ะกำลังลอยเคว้งอยู่ตรงหน้า
“มันซื้อห่อใหญ่แถมห่อเล็กด้วยนะ”
แม่...ผมไม่โอเค
“เดฟ วางมันลง”
“แต่ว่าพี่...”
“เดี๋ยวนี้!”
พีรกานต์คิดว่าตัวเองได้กลายเป็นคนขวัญอ่อนแทนปัญญาไปแล้วจริงๆ เขาเกือบแหกปากตะโกนด้วยซ้ำตอนที่เห็นขนมลอยได้โดยปราศจากคนถือมันก่อนจะเริ่มฉุกคิดว่าตนไม่ได้ลงมาคนเดียว ก้อนเนื้อในอกเต้นถี่เหมือนตอนถูกแฟนเก่าบอกรักไม่มีผิด
มันอาจไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเขาพยายามบอกกับตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วทำตัวให้ปกติเข้าไว้ ทุกอย่างสามารถรับมือได้ ขนาดธีสิสที่ทำไปร้องไห้ไปยังสามารถผ่านมันมาได้กับอีแค่ขนมลอยบนอากาศแค่นี้ถือว่ากระจอกมาก
ไม่น่ากลัว ไม่ต้องตกใจ คีพคูลไว้พีรกานต์
“วันโกนหน้าอย่าลืมทำบุญมาให้ด้วยนะ”
“...”
“อยากกินเกี๊ยวซ่าด้วยเหมือนกันน่ะ”
เห็นไหม บอกแล้วว่าไม่น่ากลัว...
“ถามจริงนะเดฟ แบบถามจริงๆเลย” เขาว่า
“ก่อนตายอดอยากปากแห้งมากเลยเหรอวะ?”
พูดไปแบบนั้นแหละ ไม่ต้องการคำตอบอะไรหรอก เพียวส่ายศีรษะอย่างคนพยายามปลงก่อนจะเดินดุ่มไปรีบดูของที่ตัวเองต้องการเพื่อที่จะได้รีบออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุดเพราะนายพีรกานต์ไม่ได้อยากดูเหมือนหมอปลาหรือน้าป๋องในสายตาผู้พบเห็นที่เป็นมักเกิ้ล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายได้ยินเสียงทุ้มๆดังลอยตามมาจนน่าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“จะเดินไปไหนน่ะ เพียวยังไม่ได้หยิบเบนโต๊ะใส่ตะกร้าเลยนะ”
เจ้าของชื่ออยากจะหันกลับไปถามเหลือเกินว่าเราสนิทกันถึงขั้นนั้นแล้วหรือ? ขั้นที่อีกฝ่ายสามารถแทนตัวเองว่าพี่แล้วเรียกเขาด้วยชื่อเล่น ตอนนี้พีรกานต์เริ่มไม่เข้าใจแล้วจริงๆ
“โอเคไม่กินก็ได้ เอาไว้วันหลังเนอะ”
ไม่เข้าใจว่าผีเฟรนลี่ดูเป็นมิตรเหมือนลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ขนาดนี้จะถูกฆาตกรรมได้อย่างไร ซ่อนศพไว้ในกำแพงอย่างนั้นหรือ? ถ้าบอกว่าอีกฝ่ายลื่นสบู่หัวโขกชักโครกตายแบบนั้นยังดูเข้าท่ามากกว่าอีก
“เทวฤทธิ์...”
“ครับเพียว?”
“อย่าเล่นสวิทซ์ไฟ”
“พี่ไม่ได้เล่นสักหน่อย”
ร่างที่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาขมวดคิ้วทั้งที่หลักฐานมัดตัวแน่นหนา ก็ได้ยินชัดๆอยู่เมื่อกี้ว่ามึงตบสวิทซ์ไฟเล่นยังจะมาเถียงเดี๋ยวกูเรียกหมอผีมาจับลงหม้อเลยนี่ไอ้หน้าหมา!
“พี่แค่คิดว่าเพียวควรเปิดไฟตอนทำงาน แบบนี้น่าจะดีกว่านะ”
“…”
“ทำแบบนี้นานวันเข้าสายตาแย่แน่ แล้วก็ควรไปนั่งทำที่โต๊ะทำงานด้วยครับไม่ใช่นั่งพิมพ์บนโซฟา”
“ยังไม่มีอารมณ์ลุก”
ช่างเป็นผีที่เจ้ากี้เจ้าการ เขาคิดแบบนั้นขณะก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานตรงหน้าต่อเพราะตนเลทมาเยอะแล้ว ในแต่ละวันเขาควรได้งานแต่เพราะเมื่อวานเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นทุกอย่างเลยหยุดชะงัก และถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังระแวงอยู่แต่ภาระหน้าที่ก็ควรเดินต่อไป
มันเป็นอะไรที่ทำใจยากจริงๆ ชีวิตวัยยี่สิบห้าปีของเขากับการทำงานโดยมีวิณญาณนั่งกอดเข่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถมหันไปทีไรก็ส่งยิ้มเป็นกำลังใจมาให้ทุกครั้งจนเกือบลืมไปแล้วว่านั่นคือผี แถมเพิ่งทำเบนโตะลอยได้ไปเมื่อช่วงสายที่ผ่านมาด้วย
“นายดูเครียดๆนะ”
“กูทำธีสิสเดฟ” เสียงนุ่มพึมพำ
“ไม่ได้นั่งเล่นเดอะซิมจะให้อารมณ์ดีขนาดไหน?”
“มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“มากกก”
เพียวลากเสียงตอบขณะกดเซฟงาน แม้จะไม่ได้ยากเกินความสามารถแต่ก็ยากจนต้องมานั่งคิดว่าทำไมตอนนั้นกูทิ้งเกิดติสทิ้งเพื่อนเทงานแล้วไปเรียนต่อวะ อาการอกหักนี่มันทำให้คนคลุ่มคลั่งได้ขนาดนั้นเลยจริงๆนะ อยากทำตัวยุ่งเข้าไว้จะได้ไม่ต้องคิดอะไรก็เลยได้วุ่นวายสมใจ เรียนไปทำงานไปจนกระทั่งที่ตอนนี้ลืมเขาได้แล้วแต่งานกูก็ยังท่วมหัวอยู่ครับสังคม
“ก่อนตายจบไรมา?”
“บริหารครับ” คนที่นั่งบนโซฟาตอบยิ้มๆ
“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมบางเรื่องกลับจำได้แต่พอเป็นเรื่องที่สำคัญดันจำไม่ได้เสียอย่างนั้น”
“ตายมานานแค่ไหนแล้วก็จำไม่ได้เหรอ?”
“อืม...ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าเวลาเดินไปเรื่อยๆแต่ไม่เคยรู้ว่าผ่านไปเท่าไหร่”
อีกฝ่ายยังคงยิ้มบางๆขณะพูดกับเขาแต่เพียวกลับรับรู้ได้ถึงความเศร้าที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงทุ้มนั่น แว๊บหนึ่งที่พีรกานต์คิดว่าร่างตรงหน้าไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด อีกฝ่ายเหมือนเด็กแม้จะตัวใหญ่กว่าเขา ถ้าให้เดาแล้วคงไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบเพราะขนาดเพียวเองสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบแปดแล้วก็ยังดูตัวเล็กเมื่อเทียบกับเดฟ
ไม่เกินร้อยแปดสิบห้าเขาคาดคะเนไว้แบบนั้นก่อนจะสบถออกมาเมื่อตัวเองดันบ้าจี้พิมพ์ส่วนสูงของผีแคสเปอร์ลงไปในธีสิส การคุยไปทำงานไปทำให้เขาเสียสมาธิเพียวสรุปกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานและปล่อยให้ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขาสองคน หรือถ้าให้ถูกต้องคือหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตน
เกือบตีหนึ่ง...
พีรกานต์เริ่มตัวย้วยหลังจากนั่งทำงานมาหลายชั่วโมง เขาเซฟงานทั้งหมดก่อนจะพับฟาแมคลงเป็นอันว่าวันนี้กูไม่ทำแล้วนะ ค่อยเจอกันใหม่พรุ่งนี้ก่อนจะวางข้าวของทุกอย่างกองไว้อย่างนั้น ชายหนุ่มเหยียดขาราบไปกับพื้นด้วยความเมื่อยขบ เจ้าตัวทั้งขยับคอและหักมือตัวเองไปมาในแบบที่ชอบทำก่อนจะหันไปยังโซฟา
เดฟยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น นั่งมองตาปริบๆเสียด้วยพร้อมส่งยิ้มมาให้ โคตรจะเหมือนลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์จริงๆให้ตาย คือถ้าแลบลิ้นหน่อยพรุ่งนี้จะไปตลาดซื้อตับปิ้งกับข้าวไปใส่บาตรให้แล้ว เขาคิดอย่างขบขันอยู่ภายในใจก่อนจะพบว่ามันแปลกมากจริงๆนะที่ตัวเองทำงานอยู่กับผีได้ตั้งหลายชั่วโมงโดยไม่รู้สึกกลัว
“รีบนอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ต้องไปข้างนอกไม่ใช่เหรอ?”
ขนาดเสื้อเปื้อนเลือดเป็นดวงขนาดนั้นแต่ผู้ชายที่ชื่อเทวฤทธิ์กลับไม่มีความน่ากลัวปะปนอยู่เลยจริงๆราวกับเมื่อวานที่เจอกันนายพีรกานต์อุปทานไปเอง อีกฝ่ายมีความเป็นคนสูงมาก เหมือนเด็กแต่ก็เหมือนลูกหมาด้วยในเวลาเดียวกัน บอกให้นั่งรอตรงนั้นอย่ามายุ่งตอนเขาทำงานเดฟก็ทำอย่างที่เขาบอกจริงๆ
นี่ยังไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมงเลยนะ...
พีรกานต์มึงจะปรับตัวไวขนาดนี้ไม่ได้ปะ
“ราตรีสวัสดิ์ครับเพียว”
หรือจริงๆแล้วไม่ใช่เขาหรอกที่ปรับตัวได้เร็ว
“พี่จะอยู่ตรงนี้ไม่เดินเพ่นพ่านไปไหน จะคอยช่วยดูแลความเรียบร้อยให้ด้วยไม่ต้องห่วงนะ”
ที่ดูกลมกลืนน่ะคือผู้ชายที่ชื่อเทวฤทธิ์ต่างหาก...
60%
tbc
#ถ้าพบศพผมกรุณาติดต่อกลับ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พึ่งเคยมาอ่านสนุกมากค่ะ น่ารักๆ
รอคุณเตยมาต่อนะคะ
น้องเพียวครับพี่เขาน่าสงสารนะครับ
พี่เดฟนี่น่ารักอ่าา / เพียวนี่สายโหดเลยนะเนี่ย เอ็นดูพี่เค้าหน่อยลูกกก