ตอนที่ 7 : รดน้ำครั้งที่ 6 ว่าใครที่อยู่ตรงนี้...รู้ยัง
รดน้ำครั้งที่ 6
ไม่ใช่พรหมลิขิตที่ขีดเอาไว้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจ ก็อยากให้เธอเข้าใจสักครั้ง
“ทำไรวะ?”
“ผัดถั่วงอกใส่หมูสับเยอะๆ”
ผมว่าขณะที่มือก็ยังสาละวนอยู่กับการค่อยๆเด็ดถั่วงอกที่อยู่ในตะกร้าขึ้นมาอย่างเบามือ มันเป็นการปลูกแบบใช้ตะกร้าสามใบเป็นถั่วงอกทาวเวอร์ที่เมื่ออาทิตย์ก่อนนายตุลยากรแอบแวะไปขอเมล็ดถั่วเขียวมาจากโรงตากจนบัดนี้ที่มันเติบโตงอกงามลำต้นสีขาวอวบอ้วนพร้อมกิน
“เดี๋ยวไปซื้อของแป๊บ มึงจะเอาอะไรไหม?”
“แวะดูแมวกูให้ด้วย ซื้อนมให้น้องขวดนึงแล้วค่อยมาเอาเงินที่กู”
เพราะตอนกลับมาน่ะไม่เจอเจ้าตั้งโอ๋ นมที่เตรียมมาจึงถูกเจาะดื่มไปก่อนด้วยความกระหาย คุนพยักหน้ารับอย่างปลงๆกับคำขอของผมที่กำลังจะเอาถั่วงอกไปล้างก่อนจะคว้ากระเป๋าสตางค์เดินออกจากห้องไป ภายในห้องกลับมาเงียบอีกครั้งโดยมีนายตุลยากรกำลังนั่งเท้าคางใช้ความคิดอย่างหนัก
ผมขี้เกียจเด็ดรากของถั่วงอกแต่ก็ไม่ชอบที่จะเห็นเพราะมันรกหูรกตาเวลากิน สีเหลืองอ่อนมันตัดกับสีขาวเกินไปพูดจากใจเลยนะ สิ่งนี้คือความไม่เข้ากันจนมองอย่างไรก็รู้สึกแสลงตาไปหมด
“เฮ้อ...”
ทว่าท้ายที่สุดความขี้เกียจก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผมใช้เวลานานนับสิบนาทีขณะที่ปล่อยให้หมูหมักนอนเล่นอยู่ในชามต่อไปเพื่อแวะมาเด็ดส่วนปลายของถั่วงอกออกทีละต้น เครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงยังคงสั่นเป็นจังหวะคลาสสิกจนคันสีข้างไปหมด มันจะต้องเป็นแจ้งเตือนจากเพจนั้นที่ผมติดตามอยู่แน่ๆหรือไม่ก็มีคนมาคอมเม้นต์รูปตะกร้าสามสีที่เพิ่งโพสต์ไป
ช่วงนี้ชีวิตของผมยังคงเฟื่องฟูและเป็นที่จับตา มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เจอราหูที่ชื่อบอมเบย์ อีกฝ่ายแอดเฟซมาด้วยนะแต่ว่าผมไม่ได้กดรับเขาเลยทำได้แค่เป็นหนึ่งในผู้ติดตามหลักร้อยของนายตุลยากร เอกที่รู้เรื่องนี้แหกปากบ่นเสียจนผมแทบลืมทางกลับบ้านเลยด้วยซ้ำตอนที่เห็นรูปเมื่อเช้า มันมัวแต่พล่ามไม่หยุดว่าคนอื่นนอกจากมันน่ะไม่มีใครน่าคบหาด้วยสักคน คนพวกนั้นไม่น่าไว้ใจหรือแม้แต่ยกเรื่องครอบครัวมาอ้างว่าพี่โปรดน่ะสั่งมันให้คอยดูแลผมให้ดี แต่ขอโทษเถอะ กูใจแตกตั้งแต่ตอนเปิดประตูเข้าไปเจอมึงกำลังเข้าได้เข้าเข็มกับใครแล้ว
ไอ้หน้าหมาเอ้ย!
“ข้าวปลอดสารพิษก็น่าสนใจ หรือจะไปไร่องุ่นดี?”
“ไร่รังสิมันต์ใกล้อยู่นะ แค่ชลเอง”
“ดังตู้มเลยไหม?”
“มุกควายว่ะป้อง”
สาระของเฉินได้หายไปจากบทสนทนาแล้วหลังจากเกิดรถชนขึ้นจนผมได้แต่สงสัยว่าทำไมกลุ่มเราไม่สามารถคุยกันดีๆได้เกินห้านาทีเลยสักครั้ง
“เดี๋ยวลองถามเพื่อนอีกสามคนก่อนว่าเอาไง” เฉินว่า
“แต่รังสิมันต์เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว เดี๋ยวกูให้หลิวไปถามก่อนมันรู้จักกับธาดานิเทศ ไอ้นั่นเข้าๆออกๆไร่นั้นเป็นว่าเล่นเพราะแฟนเป็นลูกชายเจ้าของไร่”
ออฟแคมปัสเป็นหนึ่งในวิชาบังคับที่เราจะต้องลงพื้นที่จริงและไปค้างคืนเพื่อเก็บข้อมูลเพื่อมาทำเล่มและพรีเซ้นต์ ในคราแรกผมเกือบเสนอไร่ของปู่แล้วแต่ด้วยความที่ว่าอยากไปเที่ยวที่อื่นมากกว่าเลยอุบเงียบไว้และปล่อยให้ความลับนี้ตายจากไปพร้อมกับตุลยากร
พวกเรายังคงนั่งถกเถียงประเด็นนี้และหาข้อมูลกันอย่างจริงจังเนื่องจากวันนี้ไม่มีเรียนจึงมีเวลาให้นัดรวมตัวและพูดคุยถึงแผนการอย่างจริงจังเพราะการไปครั้งนี้ต้องไปกันเป็นกลุ่ม กลุ่มพวกผมมีกันอยู่เจ็ดคนด้วยกันประกอบด้วยแก๊งเดิมที่มีแต่คนไม่ปกติกับเพื่อนอีกสามคนในสาขา สถานที่กับแพลนต้องถูกนำเสนออีกครั้งในอาทิตย์หน้าก่อนจะลงสนามจริงและถ้าหากไม่คุยตอนนี้เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวพอแยกย้ายกลับหอเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ในทีมก็จะพากันลืมหมดจนใกล้ถึงอาทิตย์หน้านู่นล่ะเรื่องงานถึงจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง
“เย็นนี้กูส่งข้อมูลคร่าวๆไปให้ก็แล้วกัน”
แต่อย่างน้อยก็ยังมีเฉินเพื่อนรักที่เป็นเหมือนด้านสว่างในกองขยะเปียก ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของเอกกับป้องเถียงกันเรื่องทอดมันในถุงและสนใจเว็บไซต์ตรงหน้าที่ร่างข้างกายยื่นมาให้ดู
“แล้วคะน้ามึงตากดินเตรียมไว้ยัง?”
“กูว่าจะแวะไปอีกทีวันเสาร์น่าจะพอดี”
ไม่ได้อยู่ๆก็เปลี่ยนใจหรอกนะจริงๆ แค่ดินที่ต้องเตรียมมันยังไม่พร้อมต่างหาก แม้ว่าวันนี้จะมีเวลาว่างมากแค่ไหนแต่การย่อยหน้าดินเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน กว่าจะใส่ปุ๋ยแล้วคลุกเคล้าให้ทั่วมันต้องใช้เวลา ไม่ได้กลัวว่าไปแล้วจะป๊ะกับคนที่เรียนอยู่ตึกข้างๆเลยสักนิดจริงๆนะ
“ไม่กลับบ้านหรือไง?”
“เงินกูยังไม่หมด”
ผมกับเฉินมองตาอย่างรู้กัน ไม่อยากจะอวดเลยแต่ว่าเดือนนี้น่ะนายตุลยากรล่ำซำเป็นพิเศษเพราะเป้ทีพี่ชายซื้อให้นั้นไม่เพียงแต่นำมาใช้ใส่ของได้มันยังมีแบงค์สีเทาอีกห้าใบสอดไว้อยู่ราวกับเป็นขวัญและกำลังใจให้คนสู้ชีวิตอย่างผม
ที่พี่โปรดบอกว่าช่วงนี้ซื้อกินน้อยลงน่าจะจริง...
บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้นก่อนที่ผมจะหยิบไม้ปลายแหลมเอื้อมไปจิ้มทอดมันชิ้นสุดท้ายที่คนปัญญาอ่อนกำลังแย่งกันเข้าปากเคี้ยวท่ามกลางควายสองตัวที่ได้แต่ทำตาโต ป้องเป็นคนแรกที่สบถออกมาได้ใจความว่าองคชาตแต่เป็นคำที่สั้นกว่านี้ร้อนจนถึงเอกต้องมานั่งแก้ประโยคให้ดูซอฟท์ลง
“ให้เรียกว่าโอโบ๊ะจามะ”
“……”
อะไรนะ?
“โอโบ๊ะจามะไง”
“เอางี้นะ ทำไมเราต้องเพิ่มประโยคจากหนึ่งเป็นสี่?”
ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ผมที่งง เฉินเองก็สงสัยไม่ต่างกัน
“มึงรู้จักเต็กอิมมั้ย อยู่ปีสี่ตึกไกลโพ้นที่ในเพจไอ้นุ่นเคยเอามาอวย?”
“ไม่” ผมส่ายศีรษะ “ทำไมอะ?”
“เปล่า กูก็ไม่รู้จักแต่เรียกตามเขาเฉยๆฟังดูแล้วน่ารักดี”
เฉินโบกมือในอากาศเป็นเชิงว่าเรื่องของมึงเถอะในขณะที่ป้องเก็บถุงทอดมันเตรียมไปทิ้ง และผมที่ได้แต่มองหน้าเอกอย่างพิเคราะห์ บางทีนะบางทีในอนาคตพวกเราอาจเข้าไปอยู่สภาก็ได้ในนามของพรรคนี้เป็นห่าอะไรกันนักทำไมทำตัวปัญญาอ่อนไม่หยุด
“ปาร์ค”
“หือ?” ผมหันไปตามเสียงเรียกของเอก
“ว่าไง?”
“ถ้าโดนไอ้ประมงนั่นระรานอีกให้มาบอกกู”
ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความจริงจังจนผมอดคิดไม่ได้ว่าหรือมันจะอินกับการสวมบทบาทเป็นพ่อผมจริงๆวะ?
“หนูยังตัวแค่นี้เอง อย่าเพิ่งหัดแก่แดดเลย”
ผมอยากจะตะโกนคำว่าอีควายออกไปดังๆตอนเห็นเพื่อนสนิทตัวเองยืนทำท่าเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาแตะกัน ขอร้องเถอะนั่นมนุษย์หรือเหาถึงจะได้มีขนาดแค่นั้นน่ะ แต่จนแล้วจนรอดบทสนทนาของเราก็สิ้นสุดลงที่คำว่าแก่แดดก่อนต่างคนจะแยกย้ายกลับหอ ซึ่งแน่นอนว่าในส่วนของคนที่กลับนั้นคงจะมีแค่ผมแต่ไอ้พวกที่เหลือนี่น่าจะไปจบแถวร้านเหล้าหรือไม่ก็นัดกับคนคุยไปดูหนัง ชีวิตของพวกมันทำอยู่แค่นี้สลับกัน
ร้านข้างทางยังคงเต็มไปด้วยอาหารมากมายให้เลือกซื้อจนผู้พบเห็นอดไม่ได้ที่จะแวะหาเค้กสักสองชิ้นกับหอยแมลงภู่ต้มและอาหารอีกสองสามอย่างกลับไปกินด้วยเป็นมื้อเย็น ผมเดินหอบของกินเต็มมือกลับห้องด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุขจนไม่ได้คิดใส่ใจถึงใครบางคนที่เคยถามตัวเองว่าจะแวะมาแปลงคะน้าอีกวันไหน
ผมคิดว่าเขาคงจะแกล้งถามเล่นๆ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆจนกระทั่งเห็นเพื่อนที่เรียนพืชสวนแคปสตอรี่ในไอจีของใครบางคนมาแชร์ เป็นภาพบรรดาแปลงผักทั้งหลายที่ถ่ายจากมุมไกลๆจนเห็นรายละเอียดไม่ค่อยชัด มันถูกถ่ายในยามที่อาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว
เขาอาจจะบังเอิญมีเรื่องให้ต้องแวะไป...
ผมพิมพ์ชื่อไอจีของอีกฝ่ายในช่องค้นหาก่อนจะไล่ดูสตอรี่ทั้งหมด มันมีอยู่แค่สองรูปคือแปลงเกษตรตอนที่ยังพอมีแดดอยู่ เป็นตอนที่ท้องฟ้ายังสว่างและอีกภาพคือภาพที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อกี้ ไม่มีข้อความอื่นใดนอกจากอีโมรูปคะน้าเล็กๆสามต้นกลางภาพ
“ไม่เอาหน่า...”
เขาคงมีธุระจริงๆนั่นแหละ
แต่ถึงจะพยายามคิดแบบนั้นแต่สุดท้ายผมก็ดันเก็บเรื่องนี้ไปนอนคิดเกือบค่อนคืน
การใช้ชีวิตตลอดอาทิตย์นี่ถือว่าโชคดีมาก...
โชคดีแค่ไหนที่ยังรอดมาได้ถึงวันศุกร์นั่งกินบิงซูมะม่วงเพิ่มน้ำตาลในเลือดแบบนี้ บอกเลยว่าถ้วยละสองร้อยนายตุลยากรสามารถจัดการหมดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครให้เสียศักดิ์ศรี ในคราแรกผมกะว่าจะแวะไปซื้ออุปกรณ์นิดหน่อยเพราะพรุ่งนี้จะแวะมาแปลง แต่ไปๆมาๆดันได้เจ้าเบ๊บน้องรหัสของป้องเอาของมาให้ครบเสร็จสรรพตั้งแต่เมล็ดคะน้ายันถุงมือราวกับรู้ล่วงหน้าว่านายตุลยากรคนนี้ได้ทำสิ่งมีค่าหายไปและหาอย่างไรก็ไม่เจอ
ความหวานคำที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่เข้าปากทำให้ผมรู้สึกตื่นตัว มะม่วงชิ้นเล็กขนาดพอดีคำชิ้นสุดท้ายถูกเคี้ยวแบบหยาบๆก่อนผมจะวางช้อนเมื่ออาหารตรงหน้าเหลือเพียงแค่ก้นถ้วย ในใจนึกตัดพ้อไปถึงเพื่อนสนิททุกคนที่เทกันแรงมาก เข้าใจว่าโตๆกันแล้วก็ต้องมีชีวิตของตัวเองแต่นี่มันเกินไป ตอนเช้านัดกันเสียดิบดีพอตกบ่ายเจอสาวเท่านั้นแหละคำว่ามิตรภาพก็จางหายไปกับสายลม คำสัญญาของจิ้มจุ่มมันสั้นและผมเองก็เจ็บช้ำเกินกว่าจะลุกยืนได้ใหม่
“อะไรวะเนี่ย...”
ผมที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูถึงขั้นสบถกับแม่ซื้อเมื่อมีคนแท็กเฟซตัวเองมาสิบกว่าคนหรืออาจจะมากกว่านั้นแต่ผมไม่ได้นับ ใจความเหล่านั้นล้วนบอกให้ผมรับแอดหน่อย สงสารพี่เขา น้องปาร์คอย่างนั้นอย่างนี้มากมายก่ายกองจนอดเลื่อนขึ้นไปดูโพสต์ไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกับตัวเองยังไงก่อนจะถึงบางอ้อ
ชีวิตนายตุลยากรถูกรุกรานครับสังคม...
จุดนี้อย่าใช้คำว่าเกี่ยวเลย ใช้คำว่าผมคือเป้าหมายน่าจะเหมาะกว่า
Thithiti Wanichkul
24 นาที
สมคริส ปลาสลิดบางบ่อ และอีก 127 คน ความคิดเห็น 28 รายการ
ไอ้พี่บอมอะไรนั่นมันยืมมือฆ่าคนชัดๆ!
อีกฝ่ายทำให้สังคมกดดันผมแม้จะไม่มีแคปชั่นอื่นใดนอกจากรูปๆเดียวที่แคปมาลงเพียงเท่านั้นก็ทำผมสั่นไปถึงหัวใจ นาทีนี้คนที่กำลังกำโทรศัพท์อยู่ได้แต่คิดอย่างชั่งใจว่าควรจะเอายังไงต่อดีกับชีวิต หากปล่อยเบลอไปแล้วจะโดนอะไรหรือเปล่าก่อนจะเข้าไปส่องยอดผู้ติดตามกับจำนวนเพื่อนของอีกฝ่าย
“……”
ผมว่าตัวเองควรจะรีบกดรับเพราะจำนวนเพื่อนของไอ้พี่บอมน่ะมากกว่าผมไม่รู้ตั้งกี่เท่าชนิดที่สามารถเกณฑ์มารีพอร์ตเฟซของผมที่มีเพื่อนอยู่เพียงไม่กี่ร้อยคนให้หายไปได้ภายในสามนาที ตกลงชื่ออะไรกันแน่อะเรา บอมหรือยุ้ย? แต่ไม่ใช่ญาติเยอะนะ ต้องเป็นไอ้พี่บอมเบย์คนเพื่อนเยอะ!
“พี่บอมอะไรนั่น...”
“เปล่านะกูเปล่า ไม่ว่ามึงจะรู้อะไรมากูกับเขาเราไม่ได้เจอกันเลย ไม่สนิทกันถึงขนาดนั้นด้วย”
“ชาวบ้านเขาจะเรียกอาการแบบนี้ว่าร้อนตัวอะมึง”
ผมมองรูมเมทของตัวเองที่กำลังทำหน้าทำตาเหมือนคนที่รู้แจ้งเห็นความเคลื่อนไหวทุกอย่างบนโลกอย่างหมั่นไส้ อีกฝ่ายที่ใส่เพียงกางเกงนอนตัวเดียวกำลังนั่งเอาแมควางอยู่ตรงตัก บนหน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าของอีกฝ่ายมีโพสต์ที่กำลังพูดถึงคนตัวอักษรย่อน้องป คณะเกษตร กับพี่บบ ที่เรียนประมง
เอางี้นะ อย่าเกรงใจที่จะเติม _าร์ค ลงไปเพิ่มเลยไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว
“เขาจีบมึง”
“เปล่า” ผมส่ายหัวทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“มันเป็นเรื่องบังเอิญ”
“ไม่ปาร์ค มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เต่าได้พบกัน”
เต่าพ่องส์...
ผมมองตามปลายนิ้วของคุนที่กระดิกเรียกให้ไปนั่งอ่านคอมเม้นต์ด้วยกัน โอ้สิทธัตถะผมไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมาโด่งดังในเพจคู่จิ้นฟินจนลมปราณแตกซ่านอะไรนี่ โอเค...จริงๆเพจเขาชื่อคู่จิ้นฟินเวอร์เฉยๆที่เหลือผมเติมมันเข้าไปเอง
“ความรักเป็นขั้วบวกขั้วลบหนุ่มๆได้มาพบกันในร้านก๋วยเตี๋ยวไก่”
บางทีผมก็เหนื่อยกับคนแบบนี้...
“ถ้าเอกกับเฉินมาเห็นนะรับรองบ้านกูแตกแน่”
“พี่ชายมึงอีกล่ะ?”
เราหันมาสบตากันก่อนจะหันไปอ่านบรรดาตัวอักษรที่เรียงกันเป็นพรืดตรงหน้า พวกเขาคุยกันอย่างออกรสใช้ตัวอักษรย่อเยอะจนบางคำผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ส่วนใหญ่บอกว่าไอ้พี่บอมออกตัวแรงมาก แรงกว่ารถแข่งในสนาม เข้าชาร์ตเก่งเพื่อนเจ้าตัวหลายคนงงบอกไม่เคยเจอนายทิธิติเวอร์ชั่นนี้ เหมือนโดนผีเข้าและอีกมากมายที่ผมไล่อ่านไม่หมด
“นี่ยังถือว่าน้อยนะ” คุนว่า
“คู่ที่คบกันจริงแอดมินแม่งชงหนักจนกูนึกว่าชาติก่อนเป็นบาร์เทนเดอร์”
“แต่มันเยอะมากสำหรับกู”
กับคนที่ไม่เคยได้รับความสนใจหรือสนความเป็นไปของโลกเท่าไหร่แบบผม มันค่อนข้างเปลี่ยนชีวิตของนายตุลยากรไปในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ แม้จะเคยพูดถึงบ้างแต่ก็เกิดแค่ในสาขาหรือนอกเหนือจากนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้เห็นหรือรับรู้อะไรด้วย แต่นี่ไม่ใช่
ผมไม่เคยไปซื้อลูกชิ้นที่ตลาดในมอแล้วได้ฟรีเพิ่มอีกไม้มาก่อนเลย...
พี่คนขายบอกว่าเขาเอ็นดูผมเพราะเจ้าตัวเป็นเพื่อนกับไอ้พี่บอม ขนาดเดินผ่านร้านขายปลาสวยงามพี่คนขายที่เรียนประมงยังจะเอาปลาที่เพาะพันธุ์เองให้ผมเอาไปเลี้ยงฟรีๆแต่เพราะว่าเลี้ยงตัวเองยังไม่ค่อยรอดเลยได้แต่ยิ้มรับและเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพไป
“มึงอึดอัดหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็ไม่นะ” ผมคิดตามคำพูดของตัวเองก่อนจะสรุปได้ว่ามันเป็นไปอย่างที่เพิ่งเอ่ยไปเมื่อครู่จริงๆ
“แค่รู้สึกว่าแปลกดีเฉยๆเพราะกูไม่เคยเจออะไรแบบนี้อะ”
“เขาไม่ได้ตามมาเกาะแกะอะไรขนาดนั้นใช่ไหม?”
“บ้าดิ เขาจะตามกูทำไม?”
“นั่นเป็นเรื่องที่มึงต้องหาคำตอบด้วยตัวเองปาร์ค”
คุนยักไหล่ก่อนจะบ่นหิวแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นผิดกับผมที่ยังคงนั่งเน่าอยู่บนเตียงของมัน ว่ากันตามตรงผมคิดว่าไอ้พี่บอมคงรู้สึกผิดแหละ อีกฝ่ายคงตระหนักได้แล้วจริงๆว่าการสูญเสียมันเป็นยังไงถึงพยายามทำให้ผมหายโกรธทั้งๆที่จริงไม่ได้รู้สึกเคืองอะไรแล้วตั้งแต่ได้กินเค้กกับน้ำฟรี
เป็นเพราะความบังเอิญมากกว่า...
ผมสรุปกับตัวเองแบบนั้น พอสบายใจก็เลยไม่อยากรู้ความเห็นอะไรของคนอื่นอีก ไปอาบน้ำสระผมเอาความเหน็ดเหนื่อยที่เจอมาวันนี้ไปทิ้งในท่อแล้วมานั่งดูหนังดีกว่า นอนสักเที่ยงคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยตื่นไปแปลงให้กำเนิดน้องๆคะน้าชุดใหม่ออกมาลืมตาดูโลก แค่คิดก็มีความสุขแล้วให้ตายสิ
เก้าโมงครึ่ง...
เป็นเวลาที่แดดกำลังดีแสงยูวีก็พร้อมทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึงผมเองที่กำลังยืนงงในแปลงผัก นายตุลยากรกำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าตนไปเตรียมพวกฟางข้าวมากองไว้พร้อมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อนจะพบว่าผมไม่ได้ทำ ไม่รู้เรื่อง จำอะไรไม่ได้สักอย่าง แถมยังจำไม่ได้ด้วยว่าไปนัดใครไว้ตอนไหนถึงได้เจอผู้ชายตัวสูงในมือถือบัวรดน้ำยืนโบกไม้โบกมือให้อยู่ไม่ไกลน่ะ
“พี่มาได้ไง?”
“เดินมาครับ” อีกฝ่ายว่า
“หยอกเล่น มาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว มีซ้อมบาสกับเพื่อน”
ผมมองคนที่เดินมาจัดแจงวางของในมือเสร็จสรรพ อีกฝ่ายมาพร้อมน้ำเปล่าสองขวดกับผ้าเย็นจนผมงงว่าตกลงใครเป็นเจ้าของแปลงและใครที่กำลังจะปลูกผักกันแน่
“เรา...ไม่ๆคือผมสงสัยว่าพี่ซ้อมเสร็จแล้วไม่กลับห้องเหรอ?”
“มาช่วยนายปลูกคะน้าไง”
คนตรงหน้ายิ้มจนตาหยี ไม่อยากจะบอกเลยแต่ว่าตอนเขายิ้มน่ะดูดีมากจริงๆนะขอขีดเส้นใต้แล้วเน้นย้ำอีกครั้ง ไม่เหมือนตอนหน้านิ่งๆดุๆที่เห็นทีก็กลัวขี้หดตดหาย อีกทั้งคำพูดของอีกฝ่ายดูเป็นธรรมชาติเสียจนผมเผลอคิดไปว่าหรือตัวเองจะเคยอนุญาตให้เจ้าตัวมาทำอะไรแบบนี้ด้วยจริงๆวะ?
“ผมปลูกเองได้ ทำคนเดียวมาตลอดด้วยพี่ไม่ต้องลำบากหรอก แค่สองแปลงเองสบายไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว”
ใช่ ผมแพลนไว้เรียบร้อยเลยว่าหากเสร็จจากนี้แล้วจะไปดูหนังต่อ แวะเดินซื้อของใช้เข้าหอเพราะมันพากันหมดเหมือนนัดกันล่วงหน้ามาแล้ว
“แต่ถ้ามีคนช่วยจะเสร็จไวกว่านะ”
เอาไงดีวะ...
“พี่อยากเรียนรู้การปลูกคะน้าจากนายด้วย”
เหมือนอีกฝ่ายล่วงรู้มาก่อนว่าผมเป็นพวกขี้ใจอ่อน ยิ่งได้ยินใครมาบอกอยากเรียนรู้อะไรด้วยอยากได้คำชี้แนะในสิ่งที่ตัวเองรักและถนัดนี่มันก็นะ แค่ได้ยินก็ใจฟูอยู่แล้วอะจะให้ปฏิเสธก็ดูใจร้ายเกินไปผมทำไม่ได้หรอก
“งั้นอย่างแรกเลยพี่ต้องไปช่วยผมยกถุงดินมาไว้ตรงนี้...”
คนอายุมากกว่าทำตามอย่างว่าง่าย ผมเห็นเขาแบกถุงดินที่ตัวเองเคยผสมเผื่อไว้ด้วยความรู้สึกเวทนา ไม่ได้หมายถึงพี่บอมอะไรนั่นน่ะหมายถึงตัวกูเองครับสังคม ลองนึกดูว่าถ้าผมเป็นคนทำล่ะก็ปกติแบกทีก็ต้องหยุดพักทีผิดกับอีกฝ่ายกลับถือเดินแบบสบายๆดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยสักนิดเหมือนหิ้วตะกร้าเดินตลาด ให้อารมณ์เหมือนนายแบบกับหมาที่พยายามคาบอาหารหนักห้าร้อยกรัมเข้าบ้าน
และเพราะว่ามีฟางแล้วสิ่งที่ผมถือมาจึงมีแค่จอบสองอันเพื่อใช้สำหรับทำแนวร่องดิน โชคดีที่มีคนมาวางเก็บไว้ไม่อย่างนั้นผมคงต้องลำบากถ่อไปไกลเพื่อหยิบมันเพราะจอบของที่นี่ชอบหาย ไม่รู้จะขโมยไปทำไมกันนักหนา อีกนิดคือต้องทำเรื่องยืมคืนแบบหนังสือในหอสมุดแล้วล่ะ
“เราจะปลูกแบบหว่านเมล็ดกันใช่ไหม?”
“หือ...” ผมหันไปมองร่างข้างกายก่อนจะพยักหน้า
“ถ้าปลูกแบบนี้จะช่วยเรื่องประหยัดเวลา”
“แล้วต้องเริ่มจากอะไร?”
“ใส่ถุงมือ พี่เอาไปคู่หนึ่ง”
ผมหยิบของที่ว่าออกจากกระเป๋าผ้าส่งให้อีกฝ่ายก่อนจะชี้นิ้วไปยังจอบที่วางอยู่บนพื้นเป็นเชิงว่าหยิบขึ้นมาเสีย เราจะร่วมสู้ไปด้วยกัน หลังจากนี้ไม่ว่าจะร้อนเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนจะฝ่าไปร้อนเป็นฟืนเป็นไฟแต่ทุกหยาดเหงื่อที่เสียไปก็เพื่อคะน้าที่สวยงาม
“พี่ต้องทำแบบนี้ เอาสองเส้นยาวๆพอนะครับ ถ้าไม่ทำแนวร่องดินก่อนจะหยอดเมล็ดไม่ได้ พี่ลองไปทำอีกแปลง เดี๋ยวผมจัดการตรงนี้เอง”
แปลงคะน้าสองแปลงท้ายสวนแม้จะฟังดูน้อยแต่แท้จริงแล้วมันกลับกินพื้นที่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวเพราะแม้จะไม่กว้างแต่มันก็กินพื้นที่เป็นแนวยาวจนสามารถลงไปนอนเหยียดได้เลย ผมคอยหันไปมองคนอายุมากกว่าที่ถือจอบอย่างทะมัดทะแมงก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีเพราะเผลอโฟกัสผิดที่ จากใจนะตุลยากร มึงควรชื่นชมการทำงานของอีกฝ่ายไม่ใช่ไปแอบมองเสื้อผ้าเขา มาซ้อมกีฬาใส่เสื้อกล้ามมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่ควรสงสัยเรื่องกล้ามแขนกับผิวบ่มแดด นั่นไม่ใช่สิ่งที่เหมาะที่ควรอย่างแรง
“พี่ทำเสร็จแล้ว”
“หะ หา...? ”
“มาเช็คก่อนไหม พี่ว่าตัวเองทำเอียงๆไปนิด” ผมชะโงกหน้าไปดูผลงานตามเสียงเรียกก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
“โอเคแล้วพี่ ฝีมือไม่ธรรมดานะนั่น แต่รอผมแป๊บจะเสร็จแล้ว ไปหาที่หลบก่อนแดดกำลังร้อนเลย”
ร้อนจริงครับตอนนี้ เพราะมัวแต่โอ้เอ้นั่งกินข้าวมันไก่กับปลากริมไข่เต่ากว่าจะถึงแดดก็จ่อตูดแล้ว โชคดีที่ไม่ต้องเดินอ้อมโลกไปขนฟางด้วยไม่อย่างนั้นเหนื่อยตายเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากขอบคุณคนที่เอามันมากองไว้ให้ ถ้าให้เดาเล่นๆก็น่าจะเป็นของแปลงข้างๆแน่ๆ ดูแล้วเขาน่าจะเพิ่งแวะมาทำแถมยังคลุมผักไว้เสร็จสรรพ ไว้เจอหน้าต้องขอบคุณสักหน่อยเพราะอีกฝ่ายทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย
“เงยหน้าขึ้น”
“เงยทำไ...”
“อยู่นิ่งๆด้วย”
ผมที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างอยู่ๆก็ดันพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น สัมผัสเย็นนิดๆที่นาบลงมาบนผิวหน้านั้นให้ความรู้สึกดีเป็นบ้า แม้ว่าผ้าจะไม่ได้เย็นเหมือนตอนเพิ่งซื้อมาใหม่ๆแต่พอเทน้ำเปล่าลงไปมันก็สดชื่นโคตรๆ แถมอีกผืนที่แปะลงมาบนต้นคอน่ะ นี่มันสวรรค์ยามสายชัดๆ
“ช่วงนี้อากาศร้อนมาก”
จริง...อันนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“ทำแบบนี้จะดีขึ้น เหงื่อนายออกเยอะเลย”
“พวกขี้ร้อนก็แบบนี้แหละพี่”
ผมตอบกลับก่อนจะคิดได้ว่าตัวเองควรพูดอะไรออกไปสักอย่างให้คนที่กำลังจริงจังกับการซับเหงื่อที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้าให้ผมอย่างระมัดระวัง รวมถึงระยะห่างที่ทำให้คนทางนี้ได้เห็นถึงรายละเอียดๆน้อยๆของร่างสูงข้างกายได้มากขึ้น หลายอย่างที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นรวมถึงหลายมุมที่เพิ่งได้สัมผัส
ดูเป็นคนธรรมดาที่ใจดีเอามากๆ...
“ขอบคุณครับ”
มือที่กำลังถือผ้าชะงักไปครู่หนึ่งก่อนคนอายุมากกว่าจะยิ้ม เป็นอีกครั้งที่ผมคิดว่าพี่บอมอะไรนี่ยิ้มสวยมาก เวลายิ้มแล้วอีกฝ่ายดูกลายเป็นคนละคนที่ผมกล้าพูดคุยด้วย เหมือนกับบรรยากาศรอบข้างหยุดเดินไปชั่วขณะ มันร้อนฉิบหายเหมือนเดิมแหละแต่ผมกลับรู้สึกว่าการปลูกผักครั้งนี้มันไม่เงียบเหงาอย่างที่เคยเป็น
“ยินดีครับ”
พวกเราใช้เวลาตลอดช่วงเช้าที่เหลือไปกับการหยอดเมล็ดและกลบดินให้เรียบร้อย สุดท้ายดินที่ทำเตรียมไว้ก็ไม่ถูกนำมาใช้เพราะที่มีอยู่มันเพียงพอต่อการปลูก ผมได้แต่ยิ้มแหยๆส่งให้คนอายุมากกว่าที่อาสาจะแบกมันกลับไปเก็บที่เดิมเช่นเดียวกับอุปกรณ์ที่เหลือปล่อยให้ผมโรยฟางข้าวรอไปพลางๆ
อันที่จริงผมกะว่าจะทำมุ้งคลุมด้วยแต่ก็เกรงใจคนที่มาช่วยเลยคิดว่าไว้ว่างๆค่อยแวะมาทำทีหลังก็ได้ และเมื่อพี่บอม เดินกลับมางานของผมก็เสร็จพอดีราวกับคำนวณเวลาไว้แล้ว ผมจัดแจงถอดถุงมือออกเช่นเดียวกับร่างตรงหน้าที่ทำตามอย่างคนหัวไว
“เรียบร้อยแล้ว เสร็จไวมากเลยอะวันนี้”
“สนุกเหมือนกันนะ พี่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย”
ผมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน คำว่า ‘สนุก’ เป็นสิ่งที่นายตุลยากรไม่สามารถพบได้จากกลุ่มเพื่อนสนิท ขนาดผักบุ้งที่ปลุกง่ายๆป้องมันยังปลูกไปหอนไป เหนื่อยอย่างนั้นเหงื่อออกอย่างนี้ อยากกินเป็ปซี่ กีวี่เย็นๆต้องมาอะไรของแม่งไม่รู้จนผมละเหี่ยใจ
“พี่จะไปไหนต่อไหม?”
“แวะไปอาบน้ำที่ยิม ร้อนมากเลย” อีกฝ่ายเอ่ยตอบขณะที่ก้มลงไปหยิบเป้แล้วเดินตามผมออกมาจากแปลง
“อาบได้ด้วยเหรอ? แบบว่า...เขาอนุญาตงี้?”
“ครับ แค่อย่าทำสกปรกก็พอ พี่เลยเอาเสื้อมาเผื่อด้วย นี่จะไปข้างนอกต่อมันสะดวกดีน่ะ”
ผมที่กำลังจะชวนอีกฝ่ายไปเลี้ยงมื้อเที่ยงสักมื้อแทนคำขอบคุณชะงักกับประโยคนั้น
“ข้างนอก?”
“วันนี้หนังที่อยากดูเข้าโรงพอดี”
“อ่อ ไปเที่ยวกับเพื่อ...”
“เปล่า ไปคนเดียว เพื่อนพี่วันนี้มันมีนัดกับแฟน บางคนก็กลับบ้าน”
“……”
“คือ...ผมก็จะไปดูหนังเหมือนกัน นี่กะว่ากลับบ้านอาบน้ำเสร็จจะแวะไปห้าง”
“ห้างเหรอ?”
บุญคุณต้องทดแทนอย่างสาสมท่องไว้ตุลยากร ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆราวกับชีวิตไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แหงสิวะนอกจากเพื่อนแล้วเคยไปพูดอะไรทำนองนี้กับใครที่ไหน ผมมองหน้าคู่สนทนาที่กำลังมองมาทางนี้อยู่แล้วอีกครั้ง พี่บอมขมวดคิ้วนิดหน่อยขณะรอคำตอบ
ถ้าเราจะไปดูหนังเหมือนกันพอดี เพราะงั้นนะ...
“พี่อยากไปด้วยกันไหม?”
tbc
#เกษตรทฤษฎีรัก
ใครแบกฟางมาให้น้า55555555 อย่างที่กล่าวไว้ข้างบนเลย ไม่ใช่พรหมลิขิ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจ ปาร์คต้องเข้าใจสักครั้งแล้วนะ จนกว่าจะพบกันใหม่เอนจอยรีดดิ่ง!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พพี่เขาตอบตกลกตั้งแต่บอกเพื่่อนทิ้งแล้วน้อง555
น้องปาร์คเอ้ยไม่ทันเลห์เหลี่ยมพี่บอมคนแผนสูงหรอกลูก555
เขินพี่บอม อ่ะ ถ้าจะชอบน้องมากจริง ๆ แต่ชอบเรื่องนี้ ไม่ใช่ปี 1-2 จีบกัน แต่กลายเป็น ปี 3-4
ใจบางกับตอนเช็ดเหงื่อมากเลยค่ะ แค่คิดก็เขินแล้ว ยิ่งนึกภาพรอยยิ้มของพี่บอมหา่นห่กนก่หนห่ดดราฟาไ่ำ (ยอมแล้วทูนหัวอยากมีผ.ชื่อบอมเบย์) พี่เขาดูเป็นคนฉลาดและวางแผนเก่งมากเลยค่ะ ชอบ555555555
ชอบความชิลของน้องปาร์ค 55
ส่วนพี่บอมคือรุกหนักมาก มาตรงฉับไว วางแผนดิบดี น้องน่าจะไม่รอดอะ แถมประกาศตัวชัดเจน เหลือแต่ปริ้นภาพน้องลงบิลบอร์ดอะ 5555
แต่น้องปาร์คนี่เห็นใส่ๆแต่จริงๆน่าจะไม่ธรรมดาน้าาาา😏