ตอนที่ 5 : รดน้ำครั้งที่ 4 โทษฐานทำน่ารักใส่
รดน้ำครั้งที่ 4
โทษฐานทำน่ารักใส่ เลยโดนไปสองกำ...
ชายฉกรรจ์ทั้งห้ายังคงก้มหน้าก้มตาสั่งอาหารกันอย่างมุ่งมั่น ตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่ากลุ่มนี้น่ะมีทั้งหมดหกชีวิตด้วยกัน คนที่เคยเจอคราวก่อนวันนี้เขาไม่มาด้วยเพราะไปนอนค้างกับแฟน รายนั้นชื่อองศาครอบครัวค่อนข้างมีอิทธิพลที่เคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ ส่วนอีกคนที่นั่งนิ่งทำหน้าเป็นตูดอยู่ชื่อเจกำลังทะเลาะอยู่กับแฟนแต่ดันหิวเพื่อนชวนมากินข้าวก็เลยมาด้วย
“น้องปาร์คจะสั่งอะไรเพิ่มก็เชิญตามสบายเลยนะครับ พวกพี่เลี้ยงเอง”
“เอ่อ...ครับ”
ผมยกมือขึ้นเกาหัวเก้อๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นขี้กลากแบบแปลกๆ การตกเป็นเป้าสายตานี่มันน่าอึดอัดมากจริงๆ และเสี้ยววินาทีหนึ่งนายตุลยากรก็ได้ยินเสียงพูดพึมพำของคนชื่อเจที่บอกว่า ‘ติดอ่างหรือไง?’ พอหันไปมองก็เจอเข้ากับสายตายียวนของไอ้หน้าตี๋ที่เหมือนอยากมีซีนกับเขาบ้าง แต่เพราะขนาดเราต่างกันและเพื่อนเขาก็นั่งกันหัวดกอยู่ผมเลยได้แต่กำช้อนแน่น
สมน้ำหน้าที่ทะเลาะกับแฟน สมควรแล้วล่ะปากแบบนี้น่ะ!
ท่ามกลางเสียงพูดคุยที่แม้จะเป็นภาษาไทยแต่คนที่มาจากเกษตรกลับไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยสักนิด แต่ว่าแม้จะคุยเรื่องปลากันแต่สายตาเหล่านั้นกลับคอยเหล่มาทางนี้ ยิ่งไอ้ตัวที่เคยเจอในเซเว่นนี่ยิ่งหนักเลย มองจนอยากจะยกขาขึ้นจกตาอีกฝ่ายทิ้งจนกระทั่งป้าเจ้าของร้านยกถาดอาหารมาเสิร์ฟนายตุลยากรที่ตกเป็นเป้าสายตามาตั้งแต่ต้นจึงหายใจหายคอได้คล่องขึ้นเพราะสายตาเหล่านั้นเบนหันไปจดจ่อกับข้าวต้มตรงหน้าแทน
เนื้อปลาเย็นชืดถูกจิ้มเข้าปาก ผมนั่งเคี้ยวเรียบร้อยกว่าปกติ ปลาวันนี้ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ไร้รสชาติกว่าปกติเช่นเดียวกับน้ำจิ้ม ผมกำลังย้อนคิดอีกครั้งว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ก่อนจะชิมน้ำซุปแล้วตัดสินใจไม่ปรุง รีบกินรีบกลับดีกว่าเพราะที่นี่มีแต่คนบ้าคบไม่ได้
“พวกมึง งานเข้ากูละ”
พี่ที่เคยถูกผมหลอกเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ อีกฝ่ายทำหน้าตาแปลกๆที่ดูไม่รู้ว่าประหลาดใจหรือวิตกกังวล เขาตักข้าวต้มเข้าปากอีกหลายคำก่อนจะตามด้วยลูกชิ้นกับเนื้อปลาในขณะที่เพื่อนทั้งกลุ่มลุกฮือพร้อมเสือกแบบไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนล่วงหน้า
“อะไรวะอิน?”
เจ้าของชื่อยังคงมุ่งมานะกับการกินแม้จะบ่นร้อนไปด้วย ไอ้พี่อินอะไรนี่ยกมือขึ้นเป็นปางอย่าเพิ่งถามก่อนจะหยิบแก้วน้ำอัดลมขึ้นดูดอึกใหญ่
“เมทโทรมาบอกว่าน้องสกาเล็ตกูนอนตะแคง ขอกลับไปดูก่อน”
เอางี้นะ อะไรคือสกาเล็ต?
“น้องปาร์คครับ”
ผมแทบสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายหันขวับมาทางตัวเอง ไอ้พี่อินทำหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้งเหมือนต้องเลือกระหว่างสกาเล็ตกับนายตุลยากรก่อนจะพึมพำเรื่องหากโชคชะตาพรหมลิขิตอะไรทำนองนั้นมีจริงเราคงได้พบกันแล้วจึงวิ่งออกไปโดยที่ไม่จ่ายเงิน ครับ...ไปแต่ตัวกันเลยทีเดียวจนพี่ไม้ที่ได้สติตะโกนด่าตามหลังเพราะอีกฝ่ายออกตัวเสียดิบดีว่าจะเป็นป๋าเลี้ยงเองเพราะงั้นคนที่เหลือเลยสั่งเหมือนจะเอาไปเลี้ยงคนทั้งโรงทาน
“ใครคือสกาเล็ตเหรอครับ?” ผมสะกิดถามพี่จอห์นที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวถัดไปด้วยความอยากรู้
“ปลาหมอสีของอินมันน่ะ”
“……”
คือพวกมึงมีปลาประจำตัวกันหรอกเหรอ…
คิดว่าที่นี่คือฮอกวอตส์ถูกมะ หรือยังไง?
“ช่วงนี้ปลาพากันป่วยเหมือนเป็นเทรนด์” ไอ้พี่บอมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็เริ่มบ่นพึมพำ
“ให้เขาไปอยู่เป็นเพื่อนกันไง เดซี่ของมึงอะบอมกับอีน้องอนาสตาเซียที่ตายห่าแล้วยังทำก้างแทงปากคนกิน”
ผมได้แต่นั่งฟังพวกเขาคุยกันอย่างเงียบๆ ไม่ใช่เก็บข้อมูลหรอกนะแต่ต้องรีบกินเพื่อที่จะได้รีบจ่ายเงินกลับหอ แล้วนายตุลยากรก็สามารถทำได้ครับ ผมใช้เวลาไม่กี่นาทีฟาดข้าวต้มตรงหน้าจนเกลี้ยงก่อนจะรีบยันตัวลุกขึ้นสาวเท้าตรงไปยังป้าเจ้าของร้านด้วยความไวผิดปกติ และอีกเมตรเดียวก็จะถึงตัวแล้วด้วยซ้ำทว่ากลับช้าไปเมื่อรู้สึกถึงมือของใครสักคนที่คว้าแขนผมแหวกอากาศเสียงดัง ‘หมับ’
“ปะ ไปกันเถอะ”
อะไร? ไปไหน ไม่ไปว้อย!
ไอ้พี่บอมหันไปตะโกนบอกเพื่อนเรื่องฝากจ่ายเงินด้วยแล้วค่อยมาเคลียร์กันพรุ่งนี้ก่อนจะพาผมเดินออกมาทั้งที่มือยังกำแบงค์ร้อยไว้อยู่เลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ไม่เอาเรื่องยอมอโหสิกรรมแล้วยังจะตามจองล้างจองผลาญกันอีกเหรอ?
“พี่จะพาเรา อ่า...พี่จะพาผมไปไหน?”
ผมเกือบยกมืออีกข้างมาตะครุบปากตัวเองไว้ ไอ้นิสัยแทนตัวเองแบบนี้มันแก้ยากเกินไป ยิ่งใช้กับเพื่อนผู้หญิงในสาขาหรือคนรู้จักจนติดก็ยิ่งเลิกไม่ได้เผลอตัวทีไรหลุดออกมาทุกที
“มาส่งครับ”
อยู่กับมึงอะน่ากลัวกว่าเดินคนเดียวอีกบอม...
“ส่งตรงนี้แหละเร...เดินกลับเองได้ หออยู่ใกล้แค่นี้เอง”
ผมยกความจริงขึ้นมาพูดเพราไม่ต้องการเพื่อนร่วมทางแต่อย่างใดซึ่งดูเหมือนว่าไอ้พี่บอมเองจะเข้าใจนะเพราะอีกฝ่ายพยักหน้ารับคำพูดนั้น แต่ก็แค่เหมือนแหละเพราะอยู่ๆเจ้าตัวก็ถามต่อ
“หอที่ว่านี่ตรงไหนเหรอ?”
“นู่นไง” ผมยกมือขึ้นชี้ไปยังจุดหมายที่อยู่ไม่ไกลจากร้านข้าวต้ม
“หอที่สะอาดๆหน่อยข้างๆมีร้านกาแฟอยู่ อ่า...”
และเป็นอีกครั้งที่ผมรู้ดีว่ามันไม่ทันอีกแล้ว ไม่ทันตั้งแต่เห็นรอยยิ้มขำของคนตรงหน้า ภายในใจของนายตุลยากรตอนนี้สบถคำว่าบ้าจริงเป็นครั้งที่เจ็ดของวัน ผมตีอกชกหัวตัวเองในความคิด ปากไวเป็นภัยตอนนี้รู้ซึ้งแล้วจริงๆ
“หอเราสองคนอยู่ตึกตรงข้ามกันเลย”
“…….”
“หา? อ่า...คือโอเคใกล้ก็ใกล้ ถ้าไม่มีไรแล้วขอตัวน...”
ผมเกือบหัวทิ่มด้วยซ้ำตอนหมุนตัวเตรียมจะวิ่งแล้วโดนคว้าแขนไว้อีกรอบ มันเป็นอะไรนักนะคนสมัยนี้เอะอะดึงเอะอะคว้า เป็นเดอะสตาร์กันเหรอถึงค้นฟ้าคว้าดาวอะ? ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มบางๆของอีกฝ่ายก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดจนอยากเอาหัวโหม่งเสยคางให้รู้แล้วรู้รอด ขอโทษได้ไหมที่ดึกแล้วไม่ได้ใส่เสริมส้นมาด้วย ใครจะรู้ว่าต้องมาเจอกับพวกยักษ์ไซคลอปส์ที่ร้านข้าวต้มกัน
“เรื่องผลเลือดอย่าเที่ยวบอกใครมั่วซั่ว”
“ครับ?”
“มันจะไม่เป็นผลดีก...หือ”
ผมมองคนตรงหน้าที่ยืนเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มไปมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตารีเรียวจ้องมาทางนี้ราวกับต้องการจะค้นหาความจริง
“หรือผลไม่ได้เป็นบวกนะ?”
การกินคะน้าทำให้คนฉลาดขึ้นจริงๆ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ
“อ..อะไร มั่วแล้ว” ผมว่า
“อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่นได้ไหม”
“เป็นจริงๆหรือพูดเพื่อกันคนแบบอินมัน?”
“……”
ไอ้พี่บอมก้าวเข้ามาประชิดตัวผม ระยะห่างของเราตอนนี้เหลือเท่าอาจารย์ฝ่ายปกครองตอนตรวจระเบียบ แถมสายตาก็เหมือนโชคดีที่ในมือของอีกฝ่ายไม่มีไม้กับถุงเท้าที่ยึดมาไม่อย่างนั้นจินตนาการของผมคงไปได้ไกลมากกว่านี้
“ไม่ไหวเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ย “เป็นเด็กเป็นเล็กหัดโกหก”
ขอโทษเถอะที่ต้องพูดแบบนี้ในใจ เป็นเด็กเป็นเล็กบ้าบออะไรกัน ผมน่ะปีสามส่วนเขาปีสี่ เราอายุห่างกันแค่ปีเดียวอย่ามาทำเป็นซ่าขนาดนั้นได้ไหม แต่ถ้าวัดจากส่วนสูงสิอันนี้ค่อยว่ากันใหม่อีกที
“แต่ไม่ต้องห่วงพี่ไม่บอกใครหรอก”
รอยยิ้มบางในแบบของเจ้าตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง กายสูงก้าวเท้าถอยห่างผมเช่นเดียวกับมือของอีกฝ่ายที่เมื่อกี้กำข้อมือจนมิด ไม่ได้มิดธรรมดาด้วยนะ ต้องบอกว่ากำจนรอบแล้วยังเหลือที่ให้นิ้วโป้งกระดิกเล่นอีกเยอะเลย
“กลับห้องดีๆนะครับ”
ผมได้ยินคำพูดนั้นนะตอนเดินห่างออกมา แต่จะไม่ตอบกลับหรอกเพราะวันนี้ตัวเองแพร่งพรายความลับออกไปหลายเรื่องแล้ว กลัวว่าถ้าอ้าปากพูดอีกนิดคงโดนสาวไปถึงหมายเลขห้อง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้มาก่อนหรือผมปัญญาอ่อนแบบที่ป้องเคยบอกกันแน่
แต่ก็เอาเถอะ...
อย่างน้อยไอ้พี่บอมก็ดึงผมออกมาจากกลุ่มนั้นแล้วพามาหย่อนอยู่ใกล้ๆร้าน โชคดีหน่อยตรงที่ไม่ต้องยืนตอบคำถามไร้สาระ เอาเวลาที่เหลือนี่รีบกลับไปนอนพักเอาแรงดีกว่าเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปผจญโลกของคนขี้งกที่เสียค่าเทอมหลายหมื่นได้แต่แค่คะน้ากำละสิบบาทบางคนยังจะต่อราคากันให้หัวใจคนขายเจ็บช้ำอีก
เนี่ย...ชีวิตพ่อค้ามันก็น่าเศร้าแบบนี้แหละ
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า อันที่จริงก็เกือบจะครึ่งแล้วล่ะแต่ว่าอากาศยังดีอยู่ บรรดาน้องคะน้าของผมถูกห่อใส่ใบตองอย่างเรียบร้อยเหมือนอากงขายปลาทูสมัยก่อนไม่มีผิด ตามด้วยเชือกผักตบชวาที่ซื้อมาจากงานตลาดคราวก่อนที่คณะอื่นทำมาขาย
ป้องเคยด่าผมเรื่องนี้จนปากเปียกปากแฉะเลิกพูดไปในที่สุดว่าผมจะได้อะไรจากการกระทำแบบนี้ทุกเดือน โลกร้อนน้อยลงเหรอ? ผมจะไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้รวยขึ้น ไม่ได้ออกทีวี ไม่มีใครรู้จัก ไม่ได้ชื่อเสียงที่มากขึ้น ไม่ได้เห็นประเทศพัฒนาในเร็ววันเพราะสิ่งที่ผมได้คือได้แค่ความรู้สึก...
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันสวยออกนะผมว่า ดูเป็นคะน้าที่เรียบร้อยและแพงมากแม้ว่ากำไรจะต่ำเตี้ยเหมือนมาเสียค่าที่เพื่อขายขำแต่สิ่งที่ป้องไม่รู้เลยคือผมขาดทุนไปถึงไหนแล้วกว่าน้องๆเหล่านี้จะโตน่ะ ถ้าเทียบกับเวลาที่ต้องหมั่นคอยมาดูแลรดน้ำ ตื่นแต่เช้ามานั่งห่อเป็นกำอย่างสวยงามแล้วทำเชือกสำหรับหิ้วไปไหนมาไหนด้วย ทั้งหมดที่ทำผมได้แค่ความสุขจริงๆนั่นแหละ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำโดยมองข้ามผลกำไร คนซื้อก็ได้ผักปลอดสารพิษที่เจ้าของประคบประหงมอย่างดี คนขายก็ได้เงินนิดหน่อยไปซื้อเมล็ดคะน้ามาปลูกใหม่กับอาหารให้น้องแมวจรจัดที่ใต้ตึกเราค่อนข้างสนิทกันและผมตั้งชื่อให้อีกฝ่ายว่าเจ้าตั้งโอ๋
“อีลูกเป็ด”
“หือ...ไรอะ?”
แต่ก็อย่างว่าแหละ กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ยังต้องเจอมารผจญแล้วมีเหรอคนเดินดินคนธรรมดาไม่มีราคาไม่มีคุณค่าใดไม่ใช่ผู้วิเศษอย่างใครๆอย่างผมจะไม่เจอเสียงควายๆดังขึ้นดักฝันน่ะ
“เราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม?”
“ใช่ไง ถามทำไม?”
“ฝากขายบุ้งหน่อยดิ”
ชายหนุ่มนามว่าปกป้องพูดขึ้นหน้าตาเฉย วันนี้อีกฝ่ายแต่งตัวดูดีเป็นพิเศษชนิดที่ว่าถ้าเปลี่ยนจากเนกไทเป็นโบว์หูกระต่ายได้เจ้าตัวก็คงทำ
“ต้นข้าวอยากเดินตลาดแต่ไม่อยากทิ้งมึงไว้คนเดียว” อีกฝ่ายพูดเสริม
“ช่วยไลน์ไปบอกให้หน่อยว่ามึงอยากอยู่คนเดียว”
“แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ”
“ขายผักบุ้งหมดได้เท่าไหร่มึงเอาไป”
“……”
ผมไม่ใช่คนเห็นแก่เงินสักหน่อย...
“เที่ยงนี้งบสองร้อยจะกินไรมึงเลือกได้เล...”
“แต่กูจะยอมเป็นคนโดดเดี่ยวผู้น่ารักสักวันก็ได้ จะไสหัวไปไหนก็ตามสะดวกเลย อ้อ...ขอเวลาพิมพ์ข้อความสามสิบวินะ”
ครับ...ก็นั่นล่ะ ผมไม่ได้อยากเป็นคนแบบนี้เท่าไหร่หรอกนะแต่ว่าบางทีการปรับตัวก็เป็นสิ่งจำเป็น คิดไหมว่าทำไมแมลงสาบถึงอยู่มาได้ถึงปัจจุบันทั้งที่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คน เพราะพวกเขาเหล่านั้นหน้าด้านและมีวิวัฒนาการทำตัวกลมกลืนไปกับสภาพแววล้อม ที่ไหนดีก็ไปอยู่ที่นั่นและทั้งนี้ทั้งนั้นผมขอย้ำอีกครั้งว่าตัวเองหมายถึงแมลงสาบ ข้อความยาวเหยียดถูกส่งไปหาน้องรหัสพร้อมกับเน้นย้ำว่าถ้าเจอของอร่อยให้แวะซื้อมาฝากด้วยเงินของสายเปย์ของท่านภรัณยูคนดีคนเดิมของผม ต่อจากนี้ต่อให้มันจะเรียกผมว่าลูกเป็ดอีกสองวันก็ไม่โกรธบอกเลย
ผมมองแผงผักทั้งสองชนิดตรงหน้าด้วยความรู้สึกดีเกินกว่าจะกล่าวเป็นคำพูด น้องบุ้งลูกบุญธรรมทั้งหลายของผมเติบโตขึ้นอย่างดีเยี่ยมจริงๆแม้ว่าจะต้องคัดออกไปเยอะหน่อยเพราะค่อนข้างแก่ ไม่รู้ว่าคนเป็นพ่อของน้องดูแลยังไงให้เกินวัยขนาดนั้นไอ้ควายเอ้ย!
“มาจ้ามามะพร้าวหอมๆเนื้อนุ่มน้ำหวานอร่อยใช้ดื่มก็ได้ล้างหน้าก็ดีจ้าา”
“บาร์บีคิวร้อนๆ ไก่หมูเนื้อมีหมดเลยเร่เข้ามาไม้ละสิบบาท มีแค่ช่วงเช้าเด้อขายหมดจะรีบไปเรียนต่อแล้วว้อยยยย”
“ใครอยากเจอคนดังมาทางนี้เพราะร้านเรามีข้าวก้องสหรัถขายแบบรักสุขภาพ กับข้าวก็แสนแซ่บแถมมีให้เลือกหลากหลายมากๆกล่องละสามสิบห้าบาทเท่านั้น”
ผมได้แต่นั่งกลืนน้ำลายตอนที่ได้ยินบรรดาเสียงเรียกลูกค้าจากร้านข้างๆ เมื่อเทียบกับโต๊ะตัวเองแล้วมันช่างเงียบงันและเหงาหงอยจนนายตุลยากรอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองควรไปตะโกนขายคะน้าพร้อมด้วยท่าทางสุดเย้ายวนกับเขาเพื่อเรียกลูกค้าด้วยไหม? แต่คิดไปก็เท่านั้นเพราะผมไม่ใช่สายเอนเตอร์เทนใคร เป็นได้แค่พี่ระเบียบที่น้องไม่กลัว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากจริงๆนะ
เมื่อเป็นแบบนั้นผมเลยหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากดถ่ายรูปตัวเองที่กำลังถือคะน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกถึงความต้องการขายที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น ไม่รู้ทำไมเหมือนกันคนกากๆไม่ค่อยรู้จักใครแบบผมถึงมีชาวบ้านแวะเวียนกันมาทำความรู้จักเยอะเอาเรื่องเหมือนกัน เห็นหน้าโง่ๆแบบนี้น่ะแต่นายตุลยากรเคยได้ชื่อว่าเป็นของดีฝั่งเกษตรด้วยนะ วงเล็บอีกนิดว่าของดีเกษตรที่ต้องแหวกดงกล้วยตามหาเพราะหายากหน่อยเนื่องจากตัวเองไม่ยุ่งกับกิจกรรมอะไรสักอย่าง
ผมจัดอยู่ในหมวดหมู่คนขี้เกียจ กีฬาก็ไม่เอาอ่าวเพราะแค่เห็นเหงื่อออกก็ท้อแล้ว ถ้าไม่โดนบังคับเลี่ยงได้ก็จะไม่ไปไม่เปิดเผยตัวให้ใครเห็นมากนัก มีเพียงแค่กิจกรรมเดียวในแต่ละปีที่ผมลงอย่างสม่ำเสมอคือกีฬาสี ไม่ใช่การวิ่งหรือแข่งเตะบอลเท่ๆอย่างใครเขาแต่เป็นการกินวิบากที่เพื่อนๆในสาขาต้องจองให้เป็นพิเศษชนิดที่ว่าหากมีแข่งชื่อแรกต้องเป็นตุลยากรผู้ไม่เลือกกิน จะกล้วยหอม หมูปิ้ง หรือแม้กระทั่งน้ำแข็งไสผมก็สามารถทำเวลาได้ดีจนเพื่อนในกลุ่มยกย่องให้ผมคือหลุมดำแห่งการย่อย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นน่ะ
ตอนนี้ผมอยากกินบาร์บิคิวไก่...
“พี่ปาร์ค! พอหนูเห็นโพสต์พี่หนูก็รีบวิ่งมาหาเลยนะ”
แม้ว่าปกติผักของผมจะขายได้เรื่อยๆแต่เนื่องจากวันนี้คนขายต้องการให้มันหมดไวกว่าปกติเพื่อที่จะได้ไปซื้อของมานั่งกินบ้างเลยตัดสินใจถ่ายรูปลงเฟซ ผมไม่ค่อยอยากใช้วิธีนี้เท่าไหร่เพราะมันเป็นการระบุที่อยู่จนอดนั่งโง่ๆแบบติสๆแต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมหิวเกินกว่าจะคิดเรื่องอื่นแล้ว กลิ่นหอมของอาหารมันล่อใจเกินไปจนอยากจะทิ้งแผงคะน้าแล้ววิ่งไปตามหาคำตอบของหัวใจ
“กี่กำดีครับ?”
“เอากำหนึ่งค่ะ หนูจะทำยำคะน้ากุ้งสดกินกับเพื่อน”
“วันนี้พี่มีผักบุ้งด้วยนะ กรอบๆเลย ยำผักบุ้งก็ดีเหมือนกัน กินผักเยอะๆจะได้ร่างกายแข็งแรง”
หลังจากโพสต์ข้อความลงโซเชียลไม่นานร้านผักออแกนิคปลอดสารพิษและทำโดยไม่หวังผลกำไรของผมก็เริ่มมีผู้คนให้ความสนใจ สาวๆทั้งหลายเข้ามาพร้อมกับเรียกชื่อผมอย่างสนิทสนมราวกับเราเคยรู้จักกันมาก่อน แต่เอาเข้าจริงผมไม่รู้จักใครสักคน แต่ว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องแบบนี้
ผมสนุกกับการรับเงินและแจกจ่ายรอยยิ้มหวานๆให้บรรดาคนที่เอาเงินมาให้แม้จะรู้สึกสงสารคนที่ซื้อผักบุ้งของป้องนิดหน่อยก็เถอะ มันแม่งไม่รู้จักหั่นเลยอะ ถุงก็ไม่มีให้เขาเดินมาซื้อทีเหมือนแบกต้นกล้วยงานแต่งกลับไปโคตรจะใช้ไม่ได้!
“พี่ปาร์ครู้จักพี่บอมด้วยเหรอคะ?”
ผมที่เกือบจะอุทานคำว่าเนกาเช้งชาลาก้าตอนได้ยินคำว่า ‘ปาร์คบอม’ ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งมองลูกค้าตรงหน้าอย่างสงสัย
“บอมไหนครับ?”
“พี่บอมเบย์ไงคะ อยู่ประมงที่หล่อๆอะ เขาบอกว่าพี่ขายผักอยู่ที่นี่พวกหนูเลยตามมาซื้อ”
“……”
“ใช่ๆ คือหนูเห็นพี่เขาโพสต์เฟซรูปคะน้าด้วยล่ะสองกำบอกว่าเพิ่งซื้อมาเมื่อกี้ เห็นช่วยโปรโมตหนูเลยนึกว่ารู้จักกัน จิ้นเลยอะรักข้ามตึกเนอะอยู่ใกล้กันด้วยบ้าจริง”
มานงมาเนอะอะไรกันล่ะ!
แล้วมาซื้อตอนไหน? ถึงจะมัวแต่รับเงินเพลินแต่ผมไม่มีทางจำหน้าลูกค้าตัวเองที่แวะเวียนมาหาไม่ได้แน่ ขนาดคนที่มาเพราะเอกผมยังจำได้เลย
“เหรอครับ...”
“ถ้าคืนนี้เพื่อนเขาไลฟ์จะแวะไปถามให้นะ”
“ไม่ๆ คือไม่ต้องขนาดนั้นก็...” ผมหันไปอีกทางเพื่อรับเงินและเอ่ยทวนราคา
“สามกำสามสิบนะครับ ซื้อเยอะดีจังขอบคุณนะ เอ่อ...คือจะบอกว่าไม่ต้องไปถามเขาครับ ไม่เป็นไร”
เราไม่ควรจับปลาสองมือฉันใด การเสือกก็ไม่ควรทำควบคู่ไปกับการขายผักฉันนั้น ผมได้แต่ถอนหายใจขณะพยายามตั้งสติแล้วตะโกนว่าเหลือคะน้าแค่สองกำสุดท้ายแม้ว่าจะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างของบรรดาทีมที่มาตามโพสต์ของพี่บอมที่ไม่ได้ผักไปก็ขอมาเห็นหน้าผมหน่อยก็ยังดี
เพื่ออะไรกัน?
“ผักบุ้งเหลืออีกสี่กำนะครับ หมดแล้วหมดเลย กว่าจะเจอกันอีกทีก็ยาวเลยนะ”
บอกแล้วว่าผักของผมน่ะแรร์มาก ไม่ได้ขายบ่อยแบบร้านอื่นๆเพราะมันต้องใช้เวลา แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือวันนี้ร้านขายผักที่เคยคึกคักหลังบัดนี้มันดูครึกครื้นมากกว่าปกติเพราะคำว่า ‘เห็นโพสต์ของพี่บอมเลยแวะมา’
“กำสุดท้ายแล้ว ขอบคุณทุกคนมากนะครับ ใครที่มาไม่ทันเจอกันอีกทีใกล้สอบเลยเนอะ ขอเวลาไปปลูกใหม่ก่อน”
ผมรู้สึกว่าอยู่ๆตัวเองก็ดูเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ได้ยินเสียงอังกอร์เรียกชื่อด้วยนะ บ้างก็บอกว่าปาร์คเป็นชื่อที่น่ารักดีจัง บ้างก็บอกว่าพี่บอมตาถึง และบ้างที่บอกว่าวันนี้เพจมีคู่จิ้นใหม่ถือกำเนิด แต่ขอร้องล่ะผมเกิดมายี่สิบปีแล้วเถอะ
“พี่บอมอะไรนี่เขาเป็นที่รู้จักขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ด้วยความคาใจ สิ่งที่ผมทำหลังจากการเก็บผ้าปูโต๊ะจึงเป็นการสะกิดถามร้านข้างๆที่กำลังขายข้าวแกงกับเพื่อนอีกสามคน ดูทรงแล้วมาจากคหกรรมแน่นอน แถมแกงเขียวหวานยังกลิ่นหอมมากและเท่าที่รู้เขาจะเปิดขายยันบ่ายเลยเพราะวันนี้เจ้าตัวไม่มีเรียน ถูกและดีขนาดนี้ถ้ามีโอกาสผมจะแวะมา
“พวกในเพจหนุ่มหล่อไง” อีกฝ่ายว่า
“นายปีสามใช่ไหมอะ?”
“อื้อ เราอยู่ปีสาม”
“เขาเป็นเพื่อนกับเดือนมอรุ่นก่อนเราปีหนึ่ง เพื่อนของพี่จอห์นที่หล่อๆอะ”
ความรู้ใหม่ของผมคือหนึ่งในกลุ่มคนไม่เต็มบาทเหล่านั้นมีเดือนมหาลัย
เจอการแข่งขันที่เข้มข้นจนเกินไปเลยทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกสินะ...
“ผมว่าพี่ที่ชื่อองศาเท่กว่า”
ดูดีพูดน้อยไม่รวมหัวขโมยผักใครแถมยังบ้านมีฐานะ ผมจำได้ดีเพราะผมกลัวเขา
“พี่บอมก็หล่อ แต่สองคนนั้นเขาไม่ค่อยมายุ่งอะไรแบบนี้ไง ยิ่งพี่องศายิ่งแล้วใหญ่ปะเงียบขนาดนั้นคงจะยอมให้คนอื่นชี้นิ้วสั่งให้ทำนั่นทำนี่หรอก”
“แล้วทำไมคนถึงรู้จักเหรอ? ผมหมายถึงพี่ที่ชื่อบอมอะคือแบบเขาก็ไม่ได้เป็นเดือนไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้นทำไมถึงดัง” หรือแค่หล่อก็พอแล้ว?
ผมคิดแบบนั้นแต่ไม่ได้พูดเพราะกลัวโดนรุมประชาทัณฑ์จากบรรดาสาวๆบางคนที่ยังไม่เดินไป รู้หรอกนะทำเป็นเดินซื้อนั่นซื้อนี่แต่สุดท้ายแล้วก็ชะโงกมาทางฝั่งของผมน่ะ ถ้ามาเพราะเขาของหมดแล้วก็ควรไปสิ อยู่นานคนตรงนี้มันทำอะไรไม่ถูกนะรู้ไหม
“ส่วนใหญ่ก็ปากต่อปากมั้ง”
“ยังไง?”
“ก็พี่เขาเคยไลฟ์ร้องเพลงเล่นกีต้าร์อะไรสักอย่างนี่แหละ แล้วแบบเสียงดีแถมหล่อคนเลยตามกัน มาปังแบบจริงๆจังๆก็ตอนกีฬาสีปีก่อนที่แข่งบาส ผู้ชายหุ่นลีนๆใส่เสื้อกล้ามที่ชู๊ตสามแต้มมันดีกับใจนะ”
“อย่างนั้นเองเหรอ...”
ผมพึมพำรับคำพูดนั้นขณะเริ่มคิดว่าตอนนั้นตัวเองอยู่ไหนก่อนจะได้คำตอบว่าช่วงเวลาแข่งบาสที่ว่านายตุลยากรอยู่อีกฝั่งเลย กำลังตะล่อมกินขนมของกองเชียร์คณะอื่นเพราะเกษตรมีแค่น้ำแดงจางๆเท่านั้น
“สรุปคือเขามีคนรู้จักเยอะ?”
“ใช่” คู่สนทนาที่ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ชื่อพยักหน้า
“แล้วเขาไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้ไง”
“แบบไหนครับ?”
“ถ่ายรูปแล้วโปรโมทอะไรให้ใคร เพื่อนนี่เคยจะจ้างให้โพสต์ด้วยนะแต่พี่เขาไม่รับ”
คืออยากจะบอกว่าควรรับเถอะจริงๆนะ เพราะพอไม่มีจะกินก็มายุ่งกับน้องๆของผมอะอันนี้จำฝังใจนะจะบอกให้! เราคุยกันอีกนิดหน่อย ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องของพี่บอมอะไรนี่แล้วแต่เป็นการไถ่ถามว่าแกงกะทิมันเก็บได้นานไหม แล้วถ้าผมให้ช่วยเก็บไว้ให้สักถุงพร้อมข้าวกับทอดมันแล้วมาเอาตอนเที่ยงจะได้หรือเปล่า ซึ่งคำตอบคือได้ เพื่อนเขาอีกสองคนอาสาจะช่วยสานฝันให้นายตุลยากรได้อิ่มท้องดังนั้นเย็นนี้ผมจึงไม่ต้องแวะซื้อหรือออกไปหาอะไรกินที่ไหนอีกแล้ว
ผมคิดได้แบบนั้นก็รีบเอาของไปเก็บแล้วเดินตัวปลิวเตรียมไปเรียนโดยที่ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบชั่วโมงเนื่องจากวันนี้หมดไวเป็นพิเศษ นายตุลยากรที่วันนี้มีความสุขกับบาร์บีคิวไก่และไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกเลยกระทั่งเย็นเพราะมัวแต่ตีกับเพื่อนเรื่องของกิน ลามลามมาจนถึงตอนนี้ก็ยังกัดกันอยู่
“แดกจนอ้วนขนาดนี้แล้วยังจะห่วงกินเค้ก ร้านในตลาดมันปิดไปสามชาติแล้วอีเป็ดสายพันธุ์อู๊ด ร้านประจำมึงวันนี้เขาก็ไม่ขายแหกตาดูในเพจเสียบ้าง”
“ต่อให้กูจะอ้วนหรือผอมน้องรหัสกูก็ไม่รับรักคนอย่างมึงอยู่ดีไหมอะป้อง?”
“เฉินได้ยินไหม! มึงได้ยินไหมว่ามันหยามใจกูขนาดไหน หัวใจกูก็ดวงแค่นี้มึงพูดออกมาได้ยังไงเฮงซวย!”
จริงๆการวิ่งหนีตีนก็ถือเป็นการออกกำลังกายได้นะถ้าไม่คิดมาก ผมหัวเราะเอิ๊กอ้ากกับแอคติ้งของเพื่อนในกลุ่มก่อนจะเดินกลับหอพร้อมกับถุงแกงในมือด้วยความเสียดายนิดหน่อยเพราะวันนี้ร้านเค้กไม่มาขายจะไปกินที่อื่นก็เกินงบคนอยากประหยัด
ในคราแรกผมคิดว่าตัวเองอาจจะเดินกลับได้เพราะหอมันอยู่ไม่ไกลจากมอเท่าไหร่เดินเพลินๆสิบห้านาทีก็ถึงแต่ไปๆมาๆความขี้เกียจก็เอาชนะไปได้ ผมจึงตัดสินใจนั่งวินกลับแทนเพื่อประหยัดทั้งพลังงานและเวลาก่อนจะไขกุญแจเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี รูมเมทอย่างคุนเองวันนี้ก็อยู่ห้อง อีกฝ่ายกำลังนั่งเล่นแลปท็อปก่อนจะหันมาเอ่ยทักผมก่อนเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำแต่หนนี้น่ะมันมีบางอย่างผิดแผกแตกต่างจากเดิมไปนิดหน่อย
“ปาร์คมึงมาดูนี่เร็ว”
“ทำไมอะ?”
“ไปรู้จักกับพี่บอมตอนไหน?”
เป็นอีกครั้งที่คนถูกถามชะงักกับประโยคนั้น
“เปล่านี่ ทำไมมีไรอะ?”
“ก็พวกพี่จอห์นเขาไลฟ์ เมื่อกี้มีคนถามว่าชอบกินข้าวร้านไหน พี่บอมเขาก็ตอบว่าคณะเกษตรกับข้าวอร่อยดีชอบแวะมากินบ่อย แล้วพอมีคนถามอีกว่าแวะมากินข้าวอย่างเดียวจริงเหรอพี่บอมก็เงียบ”
“แล้ว?”
ผมถามต่ออย่างสงสัย เพราะถึงจะบอกแบบนั้นอุตส่าห์เล่าเสียยาวเหยียดแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับตัวเองตอนไหนทำไมต้องเรียกมาดู
“นี่ไง พี่บอมชอบกินผัดผักคะน้าหมูกรอบเหรอคะหนูเห็นพี่ไม้ลงในสตอรี่เมื่อกี้บอกว่าฝีมือพี่บอมทำ” คุนอ่านเม้นให้ผมฟัง เขาดูตั้งใจกว่าตอนทำวิจัยอีกถ้าให้พูดกันตรงๆ
“แล้วทีนี้ก็มีคนบอกต่อว่าคะน้าที่พี่เขาซื้ออะเป็นของหนุ่มเกษตรคนหนึ่งที่ปลูกเองขายเอง นานๆทีถึงจะแวะมาลงขายในตลาด เขายิ้มๆแล้วตอบว่ารู้เพราะฝากน้องรหัสเพื่อนไปซื้อ น้องน้ำทิพย์คนเดิมอะไรนี่ก็เลยชงต่อว่าคะน้าอร่อยแล้วคนขายน่ารักมั้ย โคตรจะไม่เมคเซ้นส์แต่ให้ทายว่าไอ้พี่บอมนี่ตอบว่า?”
“น่ารักมาก”
ก็บ้าแล้วไหม? ประสาทจริงๆ
“มึงรู้ได้ไงอะ”
“…….”
“อือ พี่เขาตอบแบบที่มึงว่าเป๊ะๆ”
เชื่อไหมว่าวินาทีนั้นนายตุลยากรขนลุกซู่เลย...
“ปวดขี้เดี๋ยวมา ฝากอุ่นแกงด้วย”
ผมโพล่งขึ้นก่อนจะวางของแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆ จะอยู่ต่อให้โดนซักจนสะอาดหรือไงล่ะ? ตัวใครตัวมันล่ะทีนี้
tbc
#เกษตรทฤษฎีรัก
จนกว่าจะพบกันใหม่ เอนจอยรีดดิ้ง!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่บอม รุกแรงเอาเรื่องแฮะ
ตามมาจากอยู่ใต้ฟ้า ตางฟ้า ทับใจไรท์มากมันฟิลกู๊ดมากเลยค่ะ เขียนได้ตลกน่ารักมาก แต่ละตอนไม่ขำก็ต้องมีรอยยิ้มค่ะ ชอบมากๆ เลย ชอบความค่อยเป็นค่อยไปที่ไรท์เขียนมันเรียลดีค่ะ รอนะคะ
เสียดายพี่องศามีแฟนแล้วไม่งั้นมันละทีนี้ พี่บอมเอยยย หวงน้องไม่บอกพี่อินอะดิ
น่ารักกกกกมากกกก
5555 น้องปาร์ค เป็นคนตลกอะ
น่ารักมากน้องหนู แงงง