ตอนที่ 13 : รดน้ำครั้งที่ 12 ให้ฉันดูแลเธอรักเธอได้ไหม
ผมใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะนั่งรถมาถึงจุดหมายด้วยรถกระป๋องแอร์ธรรมชาติที่ทำให้หน้าม้าแตกไปแล้วเจ็ดรอบถ้วนและติดไฟแดงนานมากเท่าที่จะติดได้ถือเป็นชีวิตดีๆของคนกรุงเทพ แดดช่วงเที่ยงถือว่าร้อนกำลังดี ดีเท่าไหร่ที่ยังไม่สุกตายระหว่างทางจนผมได้แต่คิดถึงบรรดาคะน้าทั้งหลายที่เริ่มจะแก่แต่ตัวเองยังไม่ได้นำไปขายสักทีด้วยความรู้สึกผิด
สองเท้าเริ่มก้าวเดินลัดเลาะไปตามทางหลังลงจากรถและจ่ายเงินเรียบร้อย มือข้างหนึ่งกระชับเป้ที่สะพายอยู่ขณะที่อีกข้างยกขึ้นเช็ดเหงื่อที่ทำให้หน้าผากมันย่องไปถึงไหนต่อไหน รักแร้ของผมเปียกเช่นเดียวกับช่วงต้นคอ รองเท้าที่ใส่ก็อบอ้าวเสียจนอยากซื้อคู่ใหม่เปลี่ยนมันเสียงตรงนี้
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีนายตุลยากรก็มาถึงจุดหมาย หน้าโรงพยาบาลศิริราชเป็นจุดนัดพบที่ดีทีเดียวเพราะผมเห็นพี่บอม ยืนสูงเด่นเป็นสง่าอยู่ทั้งที่มีระยะห่างไม่ต่ำกว่าสิบเมตร อีกฝ่ายมีสภาพไม่ต่างกับผมเท่าไหร่นัก อากาศประเทศไทยทำให้ภาพลักษณ์ของเราสองคนดูแย่มากจริงๆให้ตาย
“พี่มารอนานหรือยัง?”
“ไม่นานครับ” อีกฝ่ายว่า
“ไปหาอะไรกินกันก่อนไหม?”
“ครับ เอาร้านที่พี่บอกเลย”
ผมเลือกที่จะเดินตามพี่บอมอย่างว่าง่ายเพราะเมื่อเช้าคุยกับอีกฝ่ายถึงเรื่องร้านอาหารแล้ว เจ้าตัวบอกมาว่ารู้จักร้านอาหารญี่ปุ่นที่หนึ่งที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวแล้วของก็สดดี ด้วยเหตุนี้ผมจึงให้เขาเป็นผู้นำทาง ซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าที่ได้ดีมากตั้งแต่คอยหันมามองผมที่เดินตามหลังอยู่เป็นระยะเนื่องจากคนช่วงเวลานี้ค่อนข้างเยอะ
จนท้ายที่สุดสิ่งที่พี่บอมเลือกทำเพื่อกันคนเด๋ออย่างผมพลัดหลงหายไปกับฝูงชนก็คือการจับสายเป้ของผมไว้ให้อารมณ์เหมือนเราชาวนาอยู่กับควาย อีกฝ่ายจูงส่วนตุลยากรเดินตามต้อยๆทำให้คนทางนี้เริ่มกลับมาโฟกัสและเลิกสนใจร้านตามทาง
กินเสร็จค่อยแวะกลับมา...
ผมให้คำมั่นสัญญากับตัวเองไว้แบบนั้น
“ร้านนี้ครับ ถึงแล้ว”
เสียงทุ้มทำให้ผมหลุดภวังค์ข้าวหมูแดงที่กลิ่นหอมพาให้ใจสั่น มือข้างที่เคยจับสายเป้อยู่ปล่อยออกก่อนจะพยักหน้าให้ผมเดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นริมแม่น้ำ ร่างสูงตรงหน้าที่ดูคุ้นเคยราวกับมาเป็นประจำผิดกับผมที่กำลังนึกอยู่ว่าที่ผ่านมาตัวเองไปอยู่ไหนทำไมไม่เคยเห็นที่นี่ทิ้งตัวนั่งโต๊ะติดกระจกตามด้วยผมที่ภายในหัวกำลังคิดถึงเรื่องเงินในกระเป๋า และหลังจากคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงได้ขยับหน้าเข้าไปหาคนอายุมากกว่าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หารนะครับ”
“หือ?”
“หารอะหาร คนละครึ่ง ห้ามเลี้ยงกันนะโอเคไหม?”
พี่บอมหลุดหัวเราะออกมาในขณะที่ผมกำลังเครียดมากเพราะตัวเองอยากสั่งชุดซาชิมิแบบโต๊ะข้างๆที่เสิร์ฟแบบเป็นเรือมาทั้งลำทั้งที่ยังไม่ได้ดูเมนูด้วยซ้ำ
“ได้สิ หารคนละครึ่ง”
“พี่ชอบกินอะไร?”
“ซาชิมิครับ”
“พรหมลิขิตมาก” ผมถึงกับหลุดอุทาน
“เอาเป็นอันนี้ไหม?”
“ครับ ปาร์คสั่งมาได้เลย”
“แต่ผมไม่รู้ว่าพี่ชอบกินอะไรบ้างอะ...”
“ถ้าอย่างนั้นให้พี่สั่งให้ไหม?”
“อื้อ เอาเลย ขืนให้ผมสั่งมีหวังหยุดไม่ได้แน่ เจอภาพไหนน่ากินผมจิ้มหมดแหละ”
เป็นอีกครั้งที่พี่บอมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะรับเมนูไปดู อีกฝ่ายเอ่ยสั่งอย่างคล่องแคล่วตั้งแต่ปลาดิบยันราเมงและของทานเล่นต่างๆเหมือนมานั่งอยู่ในใจของนายตุลยากรอย่างไรอย่างนั้น จบด้วยน้ำอัดลมของผมและน้ำเปล่าที่คนอายุมากกว่าสั่งให้ตัวเองก่อนเมนูจะถูกปิดและยื่นส่งคืนให้พนักงาน
“ซาชิมิพี่สั่งเป็นชุดเล็กหน่อยปาร์คจะได้เลือกกินอย่างอื่นได้ด้วย ถ้าอยากกินเมนูไหนอีกสั่งเพิ่มได้เลยนะ กินไม่หมดเดี๋ยวพี่ช่วยกิน”
ว่ากันตามตรง ผมหยุดประทับใจในตัวพี่บอมไม่ได้เลยจริงๆ...
ไอ้ประโยคที่ว่า ‘ถ้าอยากกินเมนูไหนอีกสั่งเพิ่มได้เลยนะ กินไม่หมดเดี๋ยวพี่ช่วยกิน’ เนี่ยมันทุ้มอยู่ในใจของนายตุลยากรมากชนิดที่ว่าอีกฝ่ายดูเท่ขึ้นในสายตาของผมอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ป้องชอบแย่งทว่าพี่คนนี้นั้นมีแต่ให้ คิดแล้วก็น้ำตาจะไหลขอแชร์
พวกเราเริ่มจัดการอาหารตรงหน้าทันทีที่มาเสิร์ฟโดยไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเป็นพิธีนิดหน่อยเผื่อส่งกลับให้ป้องเวลาที่มันส่งรูปอาหารมาตอนดึกและอัพลงโซเชียลอีกหน่อยเพราะปลาสีสวยมาก ผมคีบแซลมอนเข้าปากคำแรกด้วยความเต็มตื่นก่อนจะตามด้วยทูน่าผิดกับพี่บอมที่เริ่มต้นด้วยราเมง
“แท็กได้ไหม?”
“ครับ? ยังไงนะ”
“หมายถึงรูป พี่อัพแล้วแท็กนายได้ไหม?”
“อื้อๆ ได้ดิ แท็กมาเลย”
ผมที่ลืมฉุกคิดไปหน่อยพยักหน้ารับก่อนจะเพิ่งตระหนักได้ว่าถ้าอีกฝ่ายแท็กรูปมาทีนี้คนทั้งหมู่บ้านก็จะล่วงรู้ทั้งหมดว่าตุลยากรมาทำอะไรที่ไหนกับใครแต่เพราะอนุญาตไปแล้วผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลย เก็บเครื่องมือสื่อสารปิดทุกการรับรู้แล้วหยิบขิงดองเข้าปากแทน
“แล้วจะขายคะน้าอีกช่วงไหน?”
“ตลาดเช้ารอบหน้าเลยครับ”
คนถูกถามรีบเคี้ยวทาโกะยากิในปากให้หมดก่อนเอ่ยตอบ มันค่อนข้างร้อนเชียวล่ะและผมค่อนข้างมั่นใจว่าหน้าตาของตัวเองตอนเคี้ยวคงดูย่ำแย่มากทีเดียวไม่อย่างนั้นพี่บอมไม่รีบส่งแก้วน้ำให้หรอก
“น้องๆของผมแก่หง่อมแล้ว ต้องรีบเก็บ จริงๆอยากทำน้ำข้าวโพดด้วยนะ แต่ต้องรอว่างก่อนช่วงนี้งานรุมสุมเต็มหัวเลยอะ แถมมีสอบอีก”
“พี่ไปด้วยได้ไหม หรือปกติไปกับใคร?”
“ส่วนใหญ่จะไปขายกับป้องแต่ป้องขี้เกียจตื่นเช้า อ่า...ผมหมายถึงเพื่อนสนิทในกลุ่ม แต่พี่อย่ามาเลย ตื่นเช้ามากนะสู้นอนอยู่บ้านดีกว่า”
“ปกติพี่ตื่นเช้าอยู่แล้วครับ มาออกกำลังกาย”
“ทำไมขยัน...”
“วิ่งตอนเช้าอากาศดีจะตาย”
“แต่สำหรับผมตอนเช้าเหมาะกับการกินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆมากกว่า”
พี่บอมหัวเราะออกมาน้อยๆกับคำพูดนั้นของผมก่อนเราจะจัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรอีกจนกระทั่งเห็นราคาตอนอิ่มแล้วนั่นแหละ บอกเลยว่ามันเป็นวินาทีที่นายตุลยากรชักเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองจุกอะไรมากกว่ากันระหว่างค่าอาหารกับของที่กินไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เลิกสนใจขนมปังร้านที่เคยเดินผ่านมาอยู่ดี
“กลิ่นเครปหอมจังอะ...”
ร่างข้างกายเลิกคิ้ว ผมว่านะต้องมีจุดหนึ่งแหละที่พี่เขาเริ่มคิดแหละว่าต้องซื้อยาถ่ายพยาธิให้คนที่กินไม่หยุดแบบผมทั้งๆที่มันเป็นเรื่องปกติของวงการอาหารแท้ๆ กินคาวเสร็จก็ต้องกินหวานต่อสิล้างปากไง
“เอาฝอยทองนูเทลล่าครับ”
ผมลากอีกฝ่ายเข้ามาหลบมุมด้วยกันก่อนจะเริ่มสั่งเมนูที่อยากกินโดยมีพี่บอมที่ทำยืนมองอยู่ก่อนห้านาทีหลังจากนั้นผมจะได้ของหวานมาเดินถือกินอีกหนึ่งชิ้นถ้วนแถมยังเผื่อแผ่ไปให้คนอายุมากกว่าได้ลองกินด้วยแต่ดูเหมือนว่าพี่บอมจะไม่ค่อยชอบกินหวานเท่าไหร่ ซึ่งอันที่จริงก็พอเดาได้จากตอนที่เคยเห็นอีกฝ่ายสั่งเค้กมาเยอะแยะแล้วทิ้งให้ผมกินคนเดียวนั่นแหละ
เราใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมงหลังจากนั้นในการเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้เป็นว่าเล่นจนของกินเต็มมือไปหมด ต้องบอกว่าเฉพาะผมเพราะพี่บอมเองนอกจากซื้อสาหร่ายพวงองุ่นกล่องใหญ่กับหมูยอก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็อ้าปากรับของที่ผมยื่นส่งให้ตลอด อย่างล่าสุดทอดมันดูเหมือนจะถูกปากจนอีกฝ่ายต้องวกกลับไปซื้ออีกรอบหลังจากโดนผมป้ายยาไปคำหนึ่ง
เรียกได้ว่าเป็นไม่กี่ชั่วโมงที่คุ้มค่ามากเพราะพวกเราเข้ากันได้ดีแบบสุดๆ ทั้งเรื่องกินที่เข้าเดินเข้าร้านนั้นทีออกร้านนี้ทีแถมยังคอยให้การช่วยเหลืออย่างดีในด้านการถือ ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนพูดมากก็ตอนที่คุยเรื่องสัพเพเหระกับอีกฝ่ายไม่หยุดจนกระทั่งรู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงป้ายรถเมล์เสียแล้ว
“เกษตรกับประมงจะมีแข่งกันรอบหน้า...”
“บาสน่ะเหรอ?”
ผมหันไปมองพี่บอมที่ตอนนี้ยืนรอรออยู่ด้วยกัน อีกฝ่ายมีเหงื่อซึมไปทั่วบริเวณขมับเพราะอากาศประเทศไทยที่หล่อมาจากไหนก็ต้องหน้ามันเพราะเธอ
“ปาร์คไปไหมครับ?”
เอาเข้าจริงผมชอบเวลาที่พี่เขาพูดกับผมแบบนี้นะ...
“ไปสิ ไม่ไปได้ไง”
“ไปเชียร์เพื่อนเหรอ?”
ผมพยายามกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้มไปหมดกับคำพูดนั้นที่มาพร้อมใบหน้าหงอๆเหมือนกับรู้คำตอบอยู่แล้ว ใจหนึ่งก็อยากแกล้งแต่อีกใจก็คิดได้ว่าเราจะใจร้ายกับคนที่ตากแดดเดินตามแบบไปไหนไปกันกับตัวเองได้ยังไงไหว
“เปล่าครับ”
เห็นแก่ที่มาเป็นเพื่อนเดินซื้อของด้วยกันวันนี้หรอกนะ
“ไปเชียร์พี่ต่างหาก”
ผมใช้ไฟฉายส่องบรรดาน้องๆคะน้าเบื้องหน้าที่ตอนนี้เกือบจะมีอายุเท่าแม่ตัวเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย มันเป็นความผิดของผมจริงๆที่มัวแต่หลงระเริงกับแสงสีจนลืมบรรดาญาติๆที่ยืนตากแดดรอการมาเยี่ยมเยือนของตัวเอง
ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าครึ่ง ผมเริ่มสำรวจน้องๆอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อเช็คว่ามีต้นไหนไม่สมบูรณ์บ้าง ซึ่งพูดกันตามตรง หมวกใบสีเหลืองสดใสที่ยืมมาจากคุนน่ะ แม้จะมีที่ให้สอดไฟฉายและเคลื่อนตัวได้สะดวกแต่พอใส่แล้วกลับทำให้ผมดูเหมือนจะมาส่องกบมากกว่าเก็บผัก แถมบรรยากาศรอบตัวก็ค่อนข้างเงียบเหงาหน่อยๆเพราะถัดจากจุดที่ตนยืนอยู่ ผมเห็นมีแค่สองชีวิตเท่านั้นที่แวะมารดน้ำกับก้มๆเงยๆทำอะไรสักอย่าง
แต่ที่ไม่น่าเชื่อเลยคือแปลงผักบุ้งข้างๆผมน่ะถูกถอนออกไปแล้ว เรื่องนี้คือเป็นข่าวที่ค่อนข้างน่าตกใจอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้เพราะปกติป้องไม่เคยเก็บน้องไปก่อน ขนาดชวนมารดน้ำยังมีท่าทีอิดออดจนอดคิดไม่ได้ว่าที่เป็นแบบนี้ สาเหตุน่าจะมาจากต้นข้าวอย่างแน่นอน
“มีอายุแล้วก็ใช่ว่าจะออกเรือนไม่ได้เนอะ” ผมพึมพำขณะเก็บน้องๆใส่ตะกร้าใบใหญ่ทีละต้นอย่างทะนุถนอม
“ไปอาบน้ำกับพี่ปาร์คนะ”
เกือบหกโมงกว่าคะน้าทั้งหมดจะถูกเก็บโดยมีผมที่เดินตัวเอียงเพราะไม่มีคนช่วย ทั้งตะกร้าผักเอยย่ามใส่ใบจองเอยรุงรังไปหมด ครั้นพอจะมีอาสาสมัครก็ดันไม่ยอมให้เขามาอีก ว่าตามตรงหลังจากกลับมาจากวังหลังผมกับพี่บอมก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก และเพราะเริ่มจับทางได้ว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมทำอะไรได้จากไอจีที่ฟอลกันอยู่ ซึ่งจุดนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจฟอลกลับหรอกนะแต่พอดีว่าเข้าไปส่องๆเขาตอนแท็กรูปมาแล้วมือเรามันดันลั่นก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
กลับเข้าเรื่องเมื่อครู่ต่อ เพราะเริ่มจับทางได้นี่แหละก็เลยไม่ได้อัพสตอรี่ไม่ได้โพสต์แม้แต่ในเฟซ ไม่ได้บอกใครด้วยนอกจากคุนที่ยืมหมวกอีกฝ่ายมา ถ้าเอกกับเฉินรู้ว่าผมต้องมาแบกของขนาดนี้คนเดียวหัวอกคนเป็นพ่อคงจะสลายแต่เชื่อเถอะว่าถึงชวนพวกมันก็ไม่มาเพราะได้ข่าวว่าเมื่อวานพากันนั่งตี้อยู่ร้านยาดอง
ผมใช้เวลาล้างผักค่อนข้างนานเพราะต้องล้างทีละต้น กว่าจะหอบข้าวหอบของมาถึงโซนตลาดก็เล่นเอาหอบแฮ่กๆทว่าเหงื่อที่ซึมอยู่บริเวณขมับและแผ่นหลังกลับให้ความรู้สึกเย็นสบายเมื่อลมพัดมาจนอดคิดไม่ได้ว่าบรรยากาศตอนเช้านี่มันเหมาะกับการกินโจ๊กใส่ไข่ร้อนๆจริงๆนะ
“อยู่โต๊ะไหนครับ?”
“G17 ครับ”
ตะกร้าผักในมือถูกช่วงชิงไปแบบงงๆก่อนคนที่สมองตอนเช้าจะช้าผิดปกติแบบผมจะเริ่มคิดได้ว่านี่มันไม่ปกตินะ แต่กว่าจะรู้ก็สายไปแล้วเมื่อร่างที่ถือตะกร้าเดินนำอยู่นี่มันคุ้นตามากจริงๆ จนกระทั่งเดินมาถึงแผงตัวเองผมก็ยังพูดไม่ออก หนึ่งเลยคือเหนื่อยต้องขอเวลาพักหายใจก่อน และสองคือไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาตลาดแต่เช้าแบบนี้
“กำละเท่าไหร่ครับ?”
“เอ่อ...สิบบาท”
“ขอใบตองกับเชือกด้วยครับ พี่มัดเลยนะ ต้องแยกไหมแบบกำเดียวกับสองกำ?”
“แล้วแต่เลยครับ”
เหมือนหน้าตาเจ้าของร้านจะเปลี่ยนไปหรือเปล่านะ? ผมได้แต่คิดขณะช่วยส่งใบตองที่ถูกเช็ดจนสะอาดแล้วให้ร่างข้างๆที่มัดผักได้ทะมัดทะแมงเหมือนเคยทำมาก่อน ภาพจำเมื่อครั้งก่อนยังคงผุดขึ้นมาเรื่อยๆเหมือนส้วมมีปัญหา แถมจำได้ดีเลยล่ะว่าหลังจากพูดแบบนั้นออกไปตัวเองก็รีบเดินหนีขึ้นรถ กะว่าจะต้องมีสักสายที่แล่นผ่านมาทันเวลาแบบในหนังแต่สุดท้ายพอเห็นว่าไม่มีสายไหนที่ผ่านมหาลัยเลยสักคันจึงสุ่มขึ้นเพื่อหนีออกจากสถานการณ์นั้น
รู้ตัวอีกทีก็เกือบไปถึงเส้นพุทธมณฑล พอเล่าให้เพื่อนฟังก็ถูกปกป้องคนทรยศหัวเราะเยาะเย้ยจนไม่กล้าสู้หน้าใครอีก ส่วนเอกกับเฉินก็ได้แต่ลูบหัวแล้วบอกว่าทีหลังจะซื้อของบำรุงสมองให้กิน แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องหลงทางก็ทำให้นายตุลยากรไม่ต้องตอบคำถามเพื่อนๆว่าไปไหนกับพี่บอมมา ไม่รู้ว่าคุ้มไหมแต่การจราจรในประเทศไทยทำให้ผมเสียเวลาชีวิตมากจริงๆ
“พี่หิวน้ำจังครับ”
“หือ? ก็ไ...”
“เดี๋ยวตรงนี้พี่ทำเอง วานปาร์คไปซื้อน้ำให้หน่อยได้ไหม?”
เสียงนั้นเอ่ยทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตา พี่บอมกำลังตั้งใจห่อน้องๆผมอย่างดีโดยมีเจ้าของได้แต่ยืนเกะกะคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆเพราะไม่มีอะไรทำ
“พี่อยากกินน้ำอะไร?”
“เอาแบบปาร์คเลย”
“ผมกินชาเย็นนะ”
“ครับ พี่กินได้หมดเลย”
“งั้นเดี๋ยวผมออกให้ หยุด! ไม่ต้องหยิบเงินนะ ฝากร้านแป๊บหนึ่งเดี๋ยวมา”
ผมวิ่งเหยาะๆออกไปจากแผงตัวเองก่อนจะตรงไปยังร้านน้ำใกล้ๆแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจไม่ทำตัวขี้งกและเพิ่มงบประมาณในการซื้อจากแก้วละสิบบาทเป็นยี่สิบ ไม่เน้นหวานและราดนมเยอะๆตามสไตล์พร้อมกับน้ำเปล่าอีกสองขวดเผื่อกระหายระหว่างขายของเพราะดูท่าแล้วไล่อย่างไรก็คงไม่ไปแน่ๆ
ใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น ตุลยากรนักวิ่งทีมชาติไหนไม่รู้ล่ะก็วิ่งกลับมาที่แผงของตัวเองก่อนจะพบว่าน้องๆเริ่มทยอยกันออกเรือนไปแล้วโดยมีพี่บอมที่ทำหน้าที่ขายไปห่อไปได้อย่างไม่มีที่ติ
“ขอเป็นเหรียญนะครับ ใครมีเหรียญพี่ขอเหรียญก่อนนะ”
แถมยังดูเป็นมืออาชีพแบบสุดๆด้วย...
“พอดีลูกค้ามาพี่เลยเริ่มขายก่อน เงินอยู่ในถุงผ้านะ ว่าไงครับ? สองกำยี่สิบบาทรับมาพอดีนะ”
อีกฝ่ายหันมาพูดกับผมได้แป๊บเดียวก็เบนสายตาหันไปคุยกับลูกค้าต่อ พอเห็นแบบนั้นของที่ซื้อมาจึงถูกแขวนไว้ ก่อนผมจะรีบถลาเข้าไปช่วยคนอายุมากกว่าขายของเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้มีเวลาห่อน้องๆใส่ในใบตอง
“อีกสองห่อครับสองห่อ ยี่สิบบาทเท่านั้น”
“......”
“มองไร ยี่สิบไง เอาของมาสิ”
“มึงมาทำไรวะอง?”
“เบ๊บอยากกินคะน้าผัดปลากระป๋อง”
เจ้าของร่างเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะคว้าห่อคะน้าในมือของผมไปถือ อีกฝ่ายมองน้องๆที่อยู่ในใบตองสลับกับผมก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วเดินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อะไรกัน? นี่เป็นจุดขายของร้านผมเชียวนะ แล้วเพื่อนตัวเองยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นี่ไม่คิดจะทักกันหน่อยเลยหรือไง?
“พี่เขาทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?”
“องมันทำอาหารเก่ง”
พี่บอมพูดขึ้นก่อนจะหันไปทำท่าโบกมือกับคนที่จะแวะมาเป็นเชิงว่าร้านเราน่ะขายหมดแล้วแถมยังคว่ำป้ายราคาลงให้เสร็จสรรพแล้วจึงหันมาคุยกับผมต่อ
“พี่ก็ทำเป็นถ้านายอยากลองชิม ห้องพี่มีครัวอยู่นะ”
“……”
แค่จะกินข้าวต้องชวนไปห้องเลยเหรอเฮ้ย!
“อยู่ตรงข้ามกันแค่นี้เอง เดินแป๊บเดียวก็ถึง”
“ชาละลายหมดแล้วอะ พี่กินน้ำก่อนเถอะ”
ป้องมักชมอยู่เสมอว่าผมเก่งมากเรื่องเบี่ยงประเด็นแบบโง่ๆ แต่มันก็ได้ผลทุกครั้งเลยนะเห็นไหม เพราะพี่บอมรับแก้วน้ำที่ผมยื่นส่งให้ไปกินโดยไม่พูดอะไรเช่นเดียวกันกับคนทางนี้ที่รีบดูดอึกใหญ่จนเกือบสำลัก เป็นการกระทำที่ดูสะเหล่ออยู่หน่อยๆแต่ก็ช่างมันเถอะ
“คะน้าหมดแล้วครับ ไว้เจอกันใหม่รอบหน้านะ”
ผมวางแก้วน้ำขณะเริ่มเก็บโต๊ะ รอบนี้เหมือนขายทำเวลาจริงๆเพราะผักหมดไวมากจนอยากเอาไปลงกินเนสบุ๊ค แถมเชือกกับใบตองคราวนี้ที่คำนวณพลาดจึงไม่มีให้เหลือทิ้งเลยสักนิด กลับกันยังห่อไม่พอร้อนจนพี่บอมต้องรวบเป็นช่อดอกไม้เลยด้วยซ้ำ
“แบบนี้เรียกว่าขายดีไหม?”
“อื้อ เก็บไวแสดงว่าขายดี แต่อย่าพูดเรื่องกำไรเพราะร้านผมไม่เคยมีกับเขาหรอก”
บรรดาเหรียญหนักๆที่อยู่ในถุงผ้าหากให้นับจริงๆก็คงได้ประมาณสามร้อยนิดๆ มองอย่างไรก็ไม่คุ้มแถมครั้งนี้ผมคัดออกค่อนข้างเยอะเลยด้วยเพราะคะน้าค่อนข้างแก่เกินมาตรฐานไปหน่อย
“ปาร์คจะปลูกอีกทีวันไหนครับ?”
“เทอมหน้านู่นเลย” ผมพยักหน้าให้กับคำพูดของตัวเอง
“เพราะเดี๋ยวก็สอบแล้วไม่มีเวลาหรอก แต่เอางี้นะ”
“หือ?”
“เงินที่ขายได้วันนี้เอาไปกินข้าวต้มกันเถอะ”
“ร้านเดิมหรือ?”
“อื้อ เขาว่าได้กินข้าวต้มก่อนแข่งบาสจะเฮงแหละ”
ตรรกะของตุลยากรที่คิดได้ขึ้นเองเมื่อครู่ทำให้คู่สนทนาหัวเราะออกมา แถมดูจะเกินเบอร์ไปมากจนผมเริ่มสงสัยว่ามุกตัวเองมันตลกขนาดนั้นเลยเหรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเฉลยให้ฟังเท่านั้นล่ะ จากหน้าบานๆก็เริ่มหดลงเหลือสองนิ้วเพียงเพราะคำพูดที่ว่า...
“พี่กำลังนึกถึงวันนั้นที่นายบอกจะไปเชียร์พี่อยู่ดีๆก็หนีไปขึ้นรถเสียดื้อๆ เห็นบ่นในสตอรี่ว่าขึ้นผิดคันจนหลงไปเกือบถึงสายสอง”
ทำไมคนชื่อทิธิติถึงนิสัยแบบนี้วะ!
“ผมจะไปเรียนแล้ว พี่มีซ้อมถึงกี่โมงน่ะ?”
“สักสองทุ่มเจอกันที่ร้านได้ไหม?”
“ได้ครับ ตามนี้นะผมไปล่ะ”
‘หมับ’
“…….”
“เห็นชะเง้อมองร้านบาบิคิวตั้งหลายครั้ง เราไปเดินตลาดกันก่อนดีไหม?”
หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่าพัฒนาการ?
ผมได้แต่มองมือที่จับแขนตัวเองไว้อยู่สลับกับคนอายุมากกว่าตาปริบๆก่อนจะพยักหน้าเมื่อได้ยินโค้ดลับอย่างบาบิคิว ไม่รู้ว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรแต่สุดท้ายเราสองคนกลับใช้เวลาที่เหลือหมดไปกับการแวะเข้าร้านนั้นออกร้านนี้แถมยังได้ยากิโซบะของดีคหกรรมมานั่งกินกันคนละชามอีก
“พี่รู้ได้ไงว่าผมจะลงตลาดวันนี้?”
“เดาครับ” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆก่อนจะคีบหมูส่งมาให้ผม
“แล้วก็เดาถูกด้วยเห็นไหม”
เห็นครับเห็น...
เห็นตั้งแต่พี่คีบหมูของตัวเองยันเลาะไก่ออกจากไม้ส่งให้ถึงชามผมด้วย
ทำไมถึงได้ใจดีแบบนี้นะ?
“มาแล้วเหรอนังตัวดี”
“อะไรอะ มีไรกัน?”
“รู้ใช่ไหมว่าถ้าสินสอดไม่ถึงร้อยล้านกูไม่ให้ลูกกูออกเรือนนะ”
ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างเอกที่แสร้งยกโทรศัพท์ทำเป็นกดเครื่องคิดเลขคำนวณเงินค่าสินสอดอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่นัก ส่วนเฉินเองก็นั่งเล่นโทรศัพท์จนผมนึกว่าตัวเองจะรอดแล้วนะแต่ไม่ใช่แบบนั้นเลยเมื่ออีกฝ่ายยื่นเครื่องมือสื่อสารมาตรงหน้า
“ภาพเด็ดๆจากนุ่นนุดไทยที่เอามาฝาก”
“……”
“หนูไม่บอกป๊าแล้วหนีไปขายของกับหนุ่มคณะอื่นแบบนี้ได้ยังไง นั่นศัตรูเชียวนะ!”
“ศัตรูอะไรของมึงเฉิน เพ้อเจ้อ”
“จะแข่งกันอยู่แล้ว บอกมาว่าหนูเชียร์พ่อจ๋าของหนู!”
เอกหันมาเขย่าตัวผมแถมยังเล่นใหญ่จนนึกว่าตัวเองกำลังแสดงหนังอยู่อย่างไรอย่างนั้น ส่วนป้องที่กำลังแชทคุยกับใครสักคนอยู่เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาเวทนา ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าต้นข้าวแน่ๆ มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ทำให้มันงดเสือกเรื่องของผมได้
“ชักจะล้ำเส้นใหญ่แล้ว เห็นพวกกูไม่ว่าแล้วเอาใหญ่ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!?”
“บอมเบย์ประมงไง”
“จ้า ขอบใจน้าาา”
เอกวาดรอยยิ้มแสนดีก่อนจะใช้มือควายๆของมันเอื้อมมาบีบแก้มทั้งสองข้างของผมจนยืดโดยมีเฉินเป็นคนจับแยกก่อนจะลูบหัวปลอบผมแถมยังชี้หน้าประณามการกระทำของเพื่อนตัวเองแต่สุดท้ายก็กลายเป็นการยื้อแย่งโดยมีผมเนี่ยแหละที่พวกมันดึงแขนแย่งกันไม่หยุด
“ป้อง ช่วยหน่อย”
“ไม่ว่าง นั่งหายใจอยู่”
“กูว่าที่พี่เขยมึงนะ!”
“ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสินะคุณตุลยากรว่าผมน่ะมีสิทธิ์มากกว่าใคร”
“มึงอินห่าอะไรมาเนี่ย?”
“ละครหลังข่าว” เอกว่า
“ตั้งแต่เช้าละ อารมณ์ดีฉิบหายจนอยากด่า”
สุดท้ายป้องก็ไม่ได้ช่วยผม เพื่อนข้างๆก็มองด้วยสายตาเหมือนไอ้พวกนี้มันเป็นบ้าอะไรกันจนกระทั่งอาจารย์มานั่นล่ะวงถึงได้แตกแยกย้ายกันไปนั่งที่ใครที่มัน
“อาการเดียวกันเป๊ะ ลูกกูกับอีป้อง”
ผมได้ยินเอกพึมพำอยู่ข้างๆก็หุบยิ้มหันไปส่งสายตาดุๆให้อีกฝ่ายก่อนจะกลับมาตั้งใจฟังอาจารย์พูดต่อ พยายามจะจับใจความและจดทุกสิ่งที่ได้ยินลงสมุดแต่สุดท้ายก็ได้มาแค่สรุปสั้นๆกับรูปอาหารที่กินไปเมื่อเช้ากับใครบางคนมาเต็มหน้ากระดาษ
“ไง เพิ่งตื่นเหรอ?”
ผมพยักหน้าขณะเดินขยี้ตานำคนอายุมากกว่าเข้าไปในร้านเพื่อนั่งที่ประจำ ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนแต่ตื่นมาอีกทีก็ทุ่มสี่สิบแล้ว จะให้เปลี่ยนเสื้อรึก็ไม่ทันสุดท้ายก็เลยออกมาในสภาพชุดนอนแบบชินจังที่ต่างกับอีกฝ่ายที่ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นแบบสุดๆ
“พี่ซ้อมเลิกดึกจังอะ”
“ก็ใกล้แข่งแล้วนี่นะ เขาว่าเกษตรแข็งมากเลยต้องซ้อมหนักหน่อย”
ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าที่เห็นแข็งๆดุๆกันน่ะตัวจริงแล้วโคตรปัญญาอ่อนเพราะเคยไปดูพวกมันซ้อมกัน ไม่เน้นทำคะแนนแต่ถนัดเหลือเกินเรื่องปล่อยมุก ซึ่งจุดนี้ผมจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจแบบนั้นต่อไปดีแล้วเพราะเด็กเกษตรไม่ขายเพื่อน
“พี่อาบน้ำที่ยิมเลยเหรอ?”
“ครับ กลับไปก็นอนเลยจะได้ไม่เสียเวลา”
เพราะได้กลิ่นครีมอาบน้ำกับเห็นถุงอะไรสักอย่างเลยทักออกไปแบบนั้นก่อนบทสนทนาของเราจะจบลงเพราะต้องสั่งอาหาร พวกเราสุมหัวเลือกเมนูกันอย่างจริงจังโดยมีงบสามร้อยยี่สิบบาทได้ที่จากการขายผักก่อนจะจบที่ยำไข่เค็ม ผัดผักบุ้งไฟแดง หมูเค็ม ไชโป๊ผัดไข่และผัดหอยลาย
“ข้าวต้มสามน้ำเปล่าสองนะครับ”
พี่บอมไม่ได้ค้านตอนที่ผมบอกว่าตัวเองมีงบเท่าไหร่และอยากเป็นเจ้ามือวันนี้ อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ายิ้มๆก่อนอาสาช่วยเลือกเมนูที่มีราคาเหมาะสมแถมยังเหลือเศษอีกนิดหน่อยด้วย
“พี่กินได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ อุตส่าห์มาช่วยขายอะ แป๊บเดียวเองผักหมดไวมาก อภินิหารบอมกวัก”
“บอมกวัก?”
“เหมือนแมวกวักไง ที่เรียกลูกค้าอะ ยิ่งเวลาพี่ยิ้มกว้างๆนะเหมือนมาก”
“แบบนี้น่ะเหรอ?”
พี่บอมยิ้มจนตาปิดก่อนจะยกมือขึ้นทำท่าทำทางในแบบที่ผู้พบเห็นต้องหัวเราะออกมาพร้อมพยักหน้ายืนยันว่าเหมือนมากจริงๆ เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระอยู่พักหนึ่งตั้งแต่เรื่องแข่งบาสจนถึงเรื่องรับสมัครสมาชิกค่ายอาสาจนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ
“พี่กินข้าวต้มสองชามได้เลยนะ ผมชามเดียวก็จุกแล้วอะ ส่วนมากเน้นกับมากกว่าไม่เน้นข้าว”
“เอางั้นเหรอ?”
“อื้อ กินเยอะๆจะได้โตไวๆ”
อีกแล้ว ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว...
ถึงจะเคยบอกว่าอีกฝ่ายหน้าดุแต่เวลายิ้มแล้วดูเปลี่ยนเป็นคนละคนก็เถอะ แต่พักหลังๆมานี้ผมว่าพี่แกชักจะยิ้มบ่อยเกินไปแล้ว คนอะไรจะดูมีความสุขได้ตลอดเวลาขนาดนี้ ไอ้ช่วงแรกๆน่ะก็ไม่อะไรหรอกแต่ทำไปทำมาผมดันรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นโคตรน่ามอง จะเป็นรอยยิ้มเอ็นดูหรือยิ้มกว้างจนตาหยี มันแปลกมากที่ผมละสายตาจากเขาไม่ได้เลย
“ขอบคุณที่เลี้ยงนะครับ”
คำพูดคำจาสุภาพแบบนี้ก็ด้วย...
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปอาหารตรงหน้าไว้สองภาพเผื่อส่งกลับเวลาเพื่อนคนไหนส่งภาพของกินมาให้ตอนดึกก่อนจะโพสต์ลงเฟซแต่ก็พบว่าช้าไปเพราะพี่บอมนำไปก่อนแล้ว แม้จะไม่ได้แท็กแต่ถ้าดูจากเมนูอาหารที่เหมือนกันเป๊ะๆก็น่าจะพอเดาออก
และใช่ครับ...มันเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆเพราะเพื่อนๆของอีกฝ่ายพากันมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างคึกคักประหนึ่งโพสต์ขายของที่ต่อราคาได้อย่างไรอย่างนั้น พี่ไม้เป็นคนแรกๆที่คอมเมนต์ว่าหน้าตาอาหารคล้ายกับคนๆหนึ่งที่ลงรูปในเวลาไล่เลี่ยกันซึ่งนั่นก็คือผมอย่างไม่ต้องสืบ ก่อนพี่จอห์นจะเมนต์ต่อว่าไหนบอกรีบกลับบ้านไงทำไมถึงไปโผล่ที่ร้านข้าวต้มตามด้วยเพื่อนในสาขาของเขาที่พร้อมใจกันมาอวยพร
“ทำไมเขารู้หมดเลยว่าเรามาด้วยกัน...”
“โอเคใช่ไหม?”
“แน่นอนครับ สบายมาก” ผมพยักหน้าก่อนจะคีบผักบุ้งเข้าปาก
“เหมือนมีพี่ชายเพิ่มเลยอะ ปกติผมจะไปไหนมาไหนกับพี่โปรด แต่พอเข้ามหาลัยมาอยู่หอเลยทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ พี่...พี่บอม”
ผมมองคนอายุมากกว่าที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ฝั่งตรงข้าม พี่บอมวางตะเกียบก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มผมเลยทำตามบ้างแต่ทุกอย่างก็ยังตกอยู่ในความเงียบอยู่ดีจนผมเริ่มใจเสียเพราะเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ หน้าตาจริงจังในแบบที่ผมเคยเห็นตอนอีกฝ่ายแข่งบาส ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้เห็นอีกครั้งวันนี้ที่ร้านข้าวต้ม
“จะพูดอีกครั้งนะว่าพี่ไม่ได้อยากเป็นพี่ชายของนาย”
“…….”
“จะให้รอนานแค่ไหนก็ได้ แต่อย่าจัดพี่ไว้ในหมวดหมู่นั้น พี่ไม่ยอม”
เสียงทุ้มว่า อีกฝ่ายจ้องหน้าผมได้พักหนึ่งก็ถอนหายใจออกมาในที่สุด
“ทำหน้าหงอเฉยเลย พี่ไม่ได้ดุอะไรสักหน่อย เอ้านี่…กินผักบุ้งเยอะๆบำรุงสายตา”
ไม่ได้หงอสักหน่อยแค่ทำอะไรไม่ถูกต่างหาก ผมคิดแบบนั้นแต่ไม่ได้พูดออกไปเพราะมัวแต่เคี้ยวอยู่ บรรยากาศอึม ครึมเมื่อครู่เริ่มหายไปเมื่อพี่บอมกลับมายิ้มเหมือนเดิมตอนผมตักไชโป๊ผัดไข่ส่งให้เขา สุดท้ายมื้อดึกของเราก็จบลงในเวลาสามทุ่มนิดๆพร้อมกับสองร่างที่เดินออกมาจากร้านในสภาพหนังท้องตึง
“แยกกันตรงนี้แหละพี่ เดี๋ยวผมข้ามสะพานลอยกลับเอง”
“โอเคครับ ถ้าถึงแล้วส่งข้อความมาบอกพี่ด้วยได้ไหม?”
“ทำไมจะไม่ได้ เดี๋ยวถึงห้องแล้วผมโทรหาก็ได้”
“……”
“ทำไมอะ หรือไม่ว่าง? งั้นผมส่งข...”
“ว่าง อ่า...หมายถึงว่างอยู่แล้ว ปาร์คโทรมาได้เลย”
“โอเคครับ งั้นกลับดีๆนะ”
“ครับ กลับดีๆนะ”
ผมเดินแยกออกมาพร้อมกับหนึ่งความคิดที่ผุดขึ้นว่าทำไมเมื่อครู่ตัวเองถึงบอกไปแบบนั้นนะ? ก่อนจะได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวเพราะหาคำตอบไม่ได้ แต่ครู่เดียวคำถามใหม่ก็ผุดขึ้นมา คำถามที่ว่าไอ้ขาสองข้างเนี่ยจะรีบวิ่งไปไหน หออยู่ใกล้แค่นี้เอง!
#เกษตรทฤษฎีรัก
แอบหายไปนานเลย ขอบคุณที่ยังรอพวกเขานะคะ หลังจากปีใหม่จะพยายามกลับมาอัปตามปกติแล้วค่ะ เย่ T__T
ขอบคุณทุกคอมเมนต์มากๆเลยนะคะ ขอบคุณที่เอ็นดูพวกเขา แอบแวะไปนั่งอ่านก่อนมาอัปแล้วใจฟูมากเท่าแปลงคะน้าชุปแป้งทอดเลย
และเช่นเดิมสามารถส่งผ่านความคิดถึงและความเห็นได้ทั้งทางคอมเมนต์และ #เกษตรทฤษฎีรัก
จนกว่าจะพบกันใหม่ เอนจอยรีดดิ้ง!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มีความสุขจังเลยค่ะ นานแค่ไหนก็จะรอนะคะไรท์
ชอบเรื่องนี้มากจริงๆเลยอะ อ่านแล้วอารมณ์ดีสุดๆ
โอ้ย จะน่ารักกันไปถึงไหน เขินมากกกกกกกกกก