ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตในญี่ปุ่น

    ลำดับตอนที่ #4 : โรงเรียนภาษา ตอนที่ 2: การใช้ชีวิตในหอ

    • อัปเดตล่าสุด 14 ม.ค. 52


    หอที่ผมได้ไปอยู่นั้น อยู่ในมหาวิทยาลัย Tokyo University of Foreign Studies ซึ่งมีโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ ตัวหอนั้นอยู่ใกล้กับโรงเรียนภาษามาก ๆ ใช้เวลาเดินแค่หนึ่งถึงสองนาทีก็เดินถึงแล้ว เพราะฉะนั้นตอนเช้าก็จะสะดวกมาก บางทีตื่นตอนแปดโมงครึ่งก็ยังไปทันเข้าเรียนตอนเก้าโมงได้สบาย ๆ

     

    วันแรกที่ไปถึงห้องของตัวเองในหอ ก็รู้สึกประทับใจในความกะทัดรัดของห้อง ที่ถึงแม้จะขนาดเล็ก(ประมาณ 10 ตารางเมตร) แต่ก็มีทุกอย่างครบคือมีเตียง โต๊ะ ห้องน้ำ ครัว (เตาไฟฟ้าเล็ก ๆ บวกซิงค์น้ำ) ตู้เย็น และตู้เก็บของเล็ก ๆ ทั้งหมดนี้ถูกจัดไว้อย่างดีจนมีพื้นที่เหลือกลางห้องเพียงนิดเดียว

     

    ห้องของผมอยู่บนชั้นหกของหอ จากทั้งหมดเจ็ดชั้น ชั้นล่างสุดของหอจะเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ต่าง ๆ เช่นห้องครัวรวม ห้องอ่านหนังสือ ห้องดูทีวีกลาง ห้องดนตรีที่มีเปียโนให้หนึ่งเครื่อง สภาพทุกอย่างยังใหม่อยู่เพราะหอนี้เป็นหอที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ โดยผมได้เข้าอยู่เป็นรุ่นที่สอง มีอยู่อย่างเดียวที่รู้สึกว่าเก่า คือเปียโนที่เสียงเพี้ยงตั้งแต่ลองเล่นวันแรก สงสัยว่าเปียโนเครื่องนี้คงเป็นมือสองที่ไปขอของมหาวิทยาลัยมา

     

    เนื่องจากหอนี้ตั้งอยู่ในตัวมหาวิทยาลัย พวกเราชาวนักเรียนต่างชาติก็เลยสามารถใช้สถานที่ต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยได้ เช่นห้องสมุดที่จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนเมื่อถึงวันใกล้สอบ โรงยิม แล้วก็โรงอาหารที่คนส่วนใหญ่ไปกินข้าวกลางวันกัน

     

    ตอนแรก ๆ ผมก็พอใจที่จะกินข้าวที่โรงอาหารทุกวัน ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น ส่วนมื้อเช้าก็ทำอะไรง่าย ๆ กินเช่นขนมปังหรือคอร์นเฟลค แต่พอผ่านไปสักพักผมก็เริ่มเบื่อ ก็เลยอยากลองทำอาหารเองดูบ้าง

     

    ปัญหาคือ ผมทำอาหารไม่เป็น

     

    แต่พอผมคิดได้ว่าทุกอย่างย่อมมีครั้งแรก ก็เลยไปซื้อเครื่องครัวต่าง ๆ พวกกระทะ จาน ชาม ช้อนส้อม มา แล้วลองถามวิธีทำอาหารจากรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ดู พอได้เมนูง่าย ๆ เช่นผัดยากิโซบะ ผัดผัก ข้าวผัด ไข่เจียวไข่ดาว เป็นต้น ในที่สุดก็ถึงเวลาเริ่มลองผิดลองถูก ปรุงรสชาดไปตามสัญชาติญาณโดยใช้เครื่องปรุงที่หาได้ในญี่ปุ่น

     

    ผลลัพธ์ที่ออกมาก็พอกินได้ ไม่ถึงกับท้องเสีย แต่ก็ไม่กล้าไปโชว์ให้คนอื่นดูเหมือนกัน กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จตั้งแต่เตรียมของจนกระทั่งล้างชามก็ใช้เวลาพอสมควร บางทีที่กินหมดเร็วก็จะรู้สึกว่า อุตส่าห์ใช้เวลาทำตั้งนาน แต่พอถึงเวลากินดันกินหมดภายในแป๊บเดียว ผมเลยทำอาหารแค่บางวันแล้วเก็บใส่กล่องไว้กินวันรุ่งขึ้น วันไหนขี้เกียจทำก็ไปกินที่ร้านแถว ๆ หอแทน

     

    สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างการทำอาหารกินเองกับการไปกินข้างนอก (นอกจากรสชาด) คือราคา เพราะว่าทำกินเองจะถูกกว่ามาก ถ้ากินข้างนอก ถึงแม้เป็นราเมงถูก ๆ ก็จะเริ่มที่ 600 เยน ถ้าเป็นอาหารชุดก็จะแพงกว่านั้นอีก แต่ถ้าไปซื้อวัตถุดิบมาทำเอง หุงข้าวกินเอง ก็จะประหยัดเงินไปได้มากพอสมควร

     

    หอที่ผมอยู่นั้นอยู่ที่ที่ค่อนข้างจะนอกเมือง ถึงแม้จะอยู่ในโตเกียวแต่ก็เป็นส่วนที่ห่างในกลางเมืองใหญ่ ๆ ถ้าต้องการไปชินจุกุหรือชิบุย่า(เป็นชื่อย่านชอปปิ้งใหญ่ ๆ ) ก็ต้องนั่งรถไฟเข้าไปประมาณ 30 นาที บริเวณรอบ ๆ หอ ก็ไม่ค่อยมีที่ซื้อของเท่าไหร่ ถ้าต้องการซื้อของเพื่อมาทำกับข้าวก็ต้องปั่นจักรยานไปประมาณ 10 นาที ไปถึงเมืองที่ใกล้ที่สุดที่มีซุปเปอร์มาร์เกต

     

    ปกติวันธรรมดากว่าจะเลิกเรียนก็เย็นแล้ว แถมต้องเตรียมเนื้อหาของวันต่อไปอีก ผมก็เลยไม่ค่อยได้ออกไปไหน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ถ้าอยากไปซื้อของหรือซื้อหนังสือ ก็จะขึ้นรถไฟเข้าเมืองไปชินจุกุ ซึ่งมีร้านหนังสือคิโนะคุนิยะขนาดมหึมาอยู่ (มีสองร้าน แต่ละร้านเป็นตึกเจ็ดชั้น) บางทีก็จะมีรุ่นพี่ทุนญี่ปุ่นแวะเข้ามาเล่นที่หอ หรือว่ามาทำกับข้าวให้กิน  ตอนช่วงใกล้สอบรุ่นพี่ก็จะเข้ามาบ่อยขึ้นเล็กน้อย เพื่อมาติวข้อสอบและตอบคำถามต่าง ๆ แต่พออ่านหนังสือกันไปได้สักพัก สุดท้ายก็ต้องจบด้วยการเล่นไพ่อยู่ดี

     

    ผมได้ใช้เวลาอยู่ที่หอนี้หนึ่งปีเต็มตลอดช่วงที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ตอนแรก ๆ ก็รู้สึกไม่ชินกับการต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในห้องแคบ ๆ ห้องนี้ แต่พออยู่ไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มชิน ได้เจอเรื่องเรื่องสนุกสนานมากมาย ได้ทำอะไรใหม่ ๆ หลายอย่าง พอถึงเวลาต้องย้ายออกตอนจบปี ผมก็เลยรู้สึกเหมือนว่าหอนี้กลายเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×