ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตในญี่ปุ่น

    ลำดับตอนที่ #3 : โรงเรียนภาษา ตอนที่ 1: เพื่อน ๆ และ การเรียนภาษาญี่ปุ่น

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 51


    ที่โรงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ผมไปเรียนนี้(Japanese Language Center ของ Tokyo University of Foreign Studies) จะมีนักเรียนต่างชาติมาเรียนภาษาญี่ปุ่นปีละประมาณ 70 คน โดยทั้งหมดนี้จะเป็นคนที่ได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นเหมือนกัน ชาติที่มาจำนวนมากสุดทุกปีคือเวียตนามและมองโกเลีย จะมีประมาณปีละ 10 คน

     

    ในแต่ละห้องเรียนจะมีนักเรียนแค่แปดคน โดยเขาจะพยายามจัดห้องโดยไม่ให้ชาติเดียวกันอยู่ห้องเดียวกัน เพื่อไม่ให้คุยกันด้วยภาษาของตัวเอง แปดคนนี้ก็ต้องเรียนด้วยกันไปตลอดทั้งปี ห้องที่ผมอยู่มีคนมาจากแทนซาเนีย มองโกเลีย เวียตนาม ปารากวัย ยูเครน ฮังการี และคาซักสถาน นอกจากนี้แล้วในห้องอื่น ๆ ก็มีนักเรียนมาจากอีกหลาย ๆ ชาติ เช่นอินเดีย เคนยา บัลแกเรีย มาเลเซีย ฟิจิ และอื่น ๆ ถือได้ว่าที่นี่เป็นที่รวมนักเรียนนานาชาติได้หลากหลายที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา

     

    กลุ่มคนไทยเราจะมีรหัสลับไว้เรียกเด็กต่างชาติบางชาติเวลาคุยเกี่ยวกับพวกเขา เช่นจะเรียกเด็กเวียตนามว่างอบ (จากภาพในจินตนาการที่คนเวียตนามใส่งอบ) เรียกเด็กมองโกเลียว่าม้า (จากนักรบขี่ม้าของเจ็งกิสข่าน) แต่ละปีก็จะตั้งรหัสลับใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ พอไปถามรุ่นน้องก็จะได้ชื่อใหม่ ๆ เช่น มาเลเซียคือเสือเหลือง อินโดนิเซียคืออิเหนา เป็นต้น จริง ๆ แล้วการตั้งชื่อนี้ไม่ได้ตั้งใจไปล้อเลียนหรือดูถูกอะไรเขาหรอก เพียงแต่เพื่อไม่ให้เขารู้ตัวเวลาเรานินทาแค่นั้นเอง (คิดไปคิดมาคนชาติอื่นอาจจะมีรหัสเรียกคนไทยเหมือนกัน อาจจะเรียกว่าพวกช้างก็ได้มั้ง แต่ผมก็ยังไม่เคยลองถามดู)

     

    ตอนแรกที่เพิ่งไปถึงใหม่ ๆ คนส่วนใหญ่ก็ยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ค่อยคล่อง ก็เลยจะใช้ภาษาอังกฤษคุยกันตลอด โดยเด็กที่มาที่นี่ภาษาอังกฤษจะดีเกือบทุกคน ก็จะมีบางคนเป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนชาวเวียตนามคนหนึ่ง ตอนเย็นวันหนึ่งผมเดินสวนกับเขาในโรงเรียน เนื่องจากคาบเรียนแต่ละห้องไม่เหมือนกัน ผมก็เลยจะถามเขาว่าคาบต่อไปเขาเลิกกี่โมง

    ผม : What time does your class end?

    เพื่อนคนเวียตนาม : (คิดสักพักแล้วค่อยตอบ) Yes.

    โอ่ยเวรกรรม ผมว่าสำเนียงอังกฤษตัวเองก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ทำไมคุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้ หลังจากนั้นมาผมเลยคุยกับคนนั้นเป็นภาษาญี่ปุ่นตลอด ถึงแม้จะไม่คล่องแต่ก็รู้สึกว่าน่าจะสื่อสารได้รู้เรื่องกว่า

     

    ในเรื่องการเรียนภาษาญี่ปุ่นของโรงเรียนนี้ อาจารย์ประจำห้องผม ชื่ออ.คุซุโมโต เคยบอกผมว่า ที่นี่เป็นโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในโลก และพอเรียนไปเรื่อย ๆ ผมก็เริ่มเห็นด้วยกับเขา ข้อดีหลัก ๆ ของโรงเรียนนี้คือห้องเรียนที่เล็ก ทำให้ฝึกพูดกันได้ทั่วถึง และความเร็วมหาโหดของคอร์สเร่งรัด คือขนาดผมเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนอยู่ม.ปลายมาสองปี พอมาอยู่ที่โรงเรียนนี้ได้แค่หนึ่งเดือนเขาก็สอนทันความรู้เก่าผมหมดแล้ว

     

    ในวันแรก ๆ ก็จะมีคอร์สสอนอ่านเขียนฮิรากะนะและคาตาคะนะ โดยจะสอนชุดละหนึ่งวันจบพอดี หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าบทเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจัง เรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ โดยคาบแรกเริ่มเก้าโมงเช้า คาบสุดท้ายจบบ่ายสี่โมงครึ่งถึงหกโมงเย็น ขึ้นอยู่กับแต่ละวัน สิ่งที่ไปถึงแล้วรู้สึกไม่ชินที่สุด คือคาบเรียนที่ยาวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เพราะว่าพอถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะเริ่มรู้สึกว่าน่าจะใกล้เวลาพักแล้ว แต่ก็ยังต้องนั่งเรียนต่อไปอีกตั้งครึ่งชั่วโมง

     

    ในช่วงสองเดือนแรกก็จะเป็นคาบภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวก่อน โดยหลัก ๆ ในแต่ละวันก็จะมีบทสนทนาที่ต้องท่องมาก่อน แล้วมาฝึกพูดในห้อง อาจารย์จะคอยถามตอบให้เด็กทุกคนได้ฝึกพูดอย่างทั่วถึง ต่อจากนั้นก็จะเป็นไวยากรณ์ แล้วก็เรียนเขียนตัวอักษรคันจิ ซึ่งจะเรียนตัวใหม่วันละ 13 ตัวทุกวัน และจะมีสอบย่อยคันจิทุกวันเช่นกัน ตอนแรกฟังดูอาจรู้สึกเหมือนว่าปริมาณเนื้อหาแน่นเหลือเกิน แต่พอเรียนไปได้สักพักมันก็จะเริ่มกลายเป็นกิจวัตร คือพอเลิกเรียนเสร็จตอนเย็นก็มาท่องบทสนทนาของวันต่อไป แล้วก็ฝึกคัดคันจิของวันนั้นเพื่อไปสอบย่อย เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้สึกว่าการท่องคันจิทุกวันกลายเป็นเรื่องปกติไป

     

    พอเข้าเดือนมิถุนายน ก็จะเริ่มมีคาบวิชาอื่น ๆ  เพิ่มเข้ามา เช่นสายวิทย์ก็จะมีเลขกับวิทย์พื้นฐาน สายศิลป์คำนวณมีเลขกับเศรษฐศาสตร์ แล้วพวกที่เรียนภาษาหรือกฏหมายก็ต้องเจอคาบการเมืองและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ในคาบเลขคาบแรก ๆ ก็จะเริ่มตั้งแต่วิธีอ่านตัวเลข เศษส่วน สมการต่าง ๆ แล้วค่อยเริ่มเรียนเนื้อหาจริง ๆ โดยในเทอมหนึ่งจะทวนการพิสูจน์ เรขาคณิต และตรีโกณก่อน แล้วในเทอมสองค่อยขึ้นแคลคูลัส ส่วนในคาบวิทย์ก็เริ่มที่พื้นฐานเหมือนกัน คือชื่อธาตุและสารเคมีต่าง ๆ ชื่ออุปกรณ์ในห้องแลบ ชื่อปริมาณและคอนเซปต์ต่าง ๆ ในฟิสิกส์ ข้อสอบวิทย์ของเทอมแรกจะเน้นให้เขียนอธิบายเรื่องต่าง ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น เลยไม่ค่อยมีคำนวณเท่าไหร่ (ซึ่งผมรู้สึกว่าการอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นมันยากกว่าแก้โจทย์อยู่หลายเท่า)

     

    พอเรียนจบเทอมแรกในปลายเดือนกรกฎาคม ผมก็รู้สึกว่าเริ่มใช้ภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง รู้คันจิประมาณ 600 ตัว เริ่มอ่านการ์ตูนภาษาญี่ปุ่นได้ (โดยเปิดพจนานุกรมไปพลาง ๆ) พอจะสนทนาเรื่องง่าย ๆ ได้ แต่แค่นี้ก็ยังไม่พอที่จะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยรู้เรื่องหรอก ต้องเรียนต่อไปอีกจนถึงเดือนมีนาคมปีถัดไปกว่าจะเริ่มเข้าใกล้เป้าหมายนั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×