คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : หมอดูหรือหมอเดา? ตอนที่ 2: จิตวิทยา
เราอยากจะคิดว่า การที่เราเชื่ออะไรบางอย่างอยู่นั้น มันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและมีหลักฐาน แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราอาจจะไม่รู้สึกตัว คืออิทธิพลของวิธีคิดของสมองเราที่บางทีทำให้ความเชื่อเราไม่สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง
ผมจะแนะนำปัจจัยทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อโดยคร่าว ๆ 2 เรื่องต่อไปนี้
1.ไบแอสยืนยัน (Confirmation Bias)
เริ่มต้นด้วยโจทย์ปัญหาละกัน
สมมุติว่ามีการ์ดวางอยู่บนโต๊ะ 4 ใบ โดยการ์ดแต่ละใบจะมีตัวเลขอยู่หน้าหนึ่ง และตัวอักษรอยู่อีกหน้าหนึ่ง ตอนนี้คุณเห็นแค่ด้านบนของการ์ด 4 ใบนี้ ซึ่งได้แก่ 2, 3, A และ B
ถ้าคุณต้องการทดสอบกฏที่ว่า “การ์ดทุกใบที่มีเลขคู่อยู่ด้านหนึ่ง จะมีสระ (A, E, I, O, U) อยู่อีกด้านหนึ่ง” คุณต้องพลิกดูการ์ดทั้งหมดกี่ใบ และใบไหนบ้าง?
ให้เวลาคิดสักครู่
ผมเดาว่าคนส่วนใหญ่คงตอบว่า เปิดดูการ์ดที่เขียนว่า 2 กับ A
ซึ่งเป็นคำตอบที่ผิด
คำตอบที่ถูกคือ เปิดดูการ์ดที่เขียนเลข 2 เพื่อดูว่าข้างหลังเป็นสระหรือไม่ และเปิดดูการ์ดที่เขียนตัว B เพื่อดูว่าอีกด้านเป็นเลขคู่หรือไม่ ถ้าหลังการ์ด B เป็นเลขคู่ กฏนี้ก็จะผิดทันที (ส่วนการ์ด A ไม่ต้องเปิดดูก็ได้ เพราะว่ามันไม่มีผล คือถึงแม้ข้างหลังจะเป็นเลขคี่ มันก็ไม่เกี่ยวกับกฏนี้) คนส่วนใหญ่จะมองข้ามการ์ด B ทั้ง ๆ ที่มันมีข้อมูลที่สำคัญพอ ๆ กันอยู่
โจทย์นี้มาจากการทดลองทางจิตวิทยาอันหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึง “Confirmation Bias” หรือ”ไบแอสยืนยัน”ในการคิดของมนุษย์ คำนี้แปลมาจากศัพท์เทคนิคทางจิตวิทยาเลยอาจจะรู้สึกเข้าใจยากเล็กน้อย แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนเลย คำว่าไบแอสหมายถึงการเอนเอียงหรือมีแนวโน้มไปทางเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในที่นี้ไบแอสยืนยันก็หมายถึง “แน้วโน้มของคนในการมองหาหลักฐานที่ยืนยันหรือสนับสนุนความคิดตนเอง มากกว่าการหาหลักฐานขัดแย้ง”
ในเรื่องการดูดวง ไบแอสนี้จะเข้ามามีผลอย่างมาก ในคำทำนายเรื่องราวหรือนิสัยต่าง ๆ เช่น สมมุติว่ามีหมอดูทำนายนิสัยเราว่าเราเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เราก็จะพยายามนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ยืนยันคำทำนายนี้ แต่ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่มีใครเข้ากับคนทุกคนได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือเข้ากับคนไม่ได้เลยสักคนอยู่แล้ว ทุกคนก็ต้องเคยมีบางเวลาที่รู้สึกว่าสามารถเข้ากับคนอื่นได้ดี และบางเวลาที่รู้สึกอยากอยู่คนเดียว แล้วพอเราได้ฟังคำทำนายนี้เราก็จะมองหาแค่หลักฐานที่สนับสนุน(ซึ่งอย่างไรมันก็ต้องมีอยู่แล้ว) ผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่าคำทำนายเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะแม่นยำ
ในเรื่องราวหลาย ๆ อย่างนั้น ถ้าต้องการหาแต่หลักฐานยืนยัน อย่างไรมันก็ต้องพบบ้างไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือหลักฐานขัดแย้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเรามักจะลืมนึกถึงไป
2.ความสะดวกในการนึกถึง (Availability)
ลองทำโจทย์อีกข้อละกัน
คุณคิดว่าคำศัพท์ในข้อไหนมีจำนวนมากกว่ากัน?
1. คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ขึ้นต้นด้วยตัว r (เช่น road)
2. คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีตัว r เป็นตัวอักษรตัวที่สามในคำ (เช่น car)
คนส่วนใหญ่(รวมถึงตัวผมเอง)จะคิดว่าคำที่มีตัว r ขึ้นต้นมีมากกว่า ซึ่งเป็นคำตอบที่ผิด
นักจิตวิทยาซึ่งเป็นผู้ทำการทดลองที่ถามคำถามนี้ คือเดเนียล คาห์เนมัน (Daniel Kahneman) และ เอมอส ทเวอร์สกี (Amos Tversky) ได้เสนอคำอธิบายว่า เวลาคนพยายามจะนึกว่าคำกลุ่มไหนมีมากกว่ากันนั้น วิธีหนึ่งที่คนมักจะใช้คือการลองนึกคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว r กับคำที่มีตัว r เป็นตัวที่สามขึ้นมาหลาย ๆ คำ แล้วถ้านึกคำกลุ่มไหนออกได้สะดวกกว่า ก็จะสรุปว่าคำกลุ่มนั้นมีมากกว่า
ในกรณีนี้ วิธีดังกล่าวจะนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิด เพราะว่าการที่เรานึกคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว r ออกง่ายกว่า ไม่ได้แสดงว่ามันมีจำนวนมากกว่า แต่แค่แสดงว่าการนึกคำจากอักษรตัวแรกง่ายกว่าการนึกคำจากอักษรตัวที่สาม
ในทำนองเดียวกัน บางทีการที่เรานึกบางเรื่องได้ง่ายกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย
คาห์เนมันกับทเวอร์สกีเรียกวิธีคิดแบบนี้ว่า “The Availability Heuristic” ซึ่งผมแปลว่า “การคิดโดยอ้างอิงความสะดวกในการนึกถึง”
ปัจจัยนี้จะเข้ามามีผลหลังจากที่คุณดูดวงเสร็จไป แล้วมานึกถึงผลการดูดวงภายหลัง สมมุติว่าหมอดูคนนั้นฝีมือตก เดาเรื่องถูกแค่ 1 ใน 10 แต่เมื่อเรามานึกในภายหลัง เราก็มักจะนึกออกแต่เรื่องที่เขาทาย (เดา) ถูกหนึ่งเรื่องนั้น ส่วนเรื่องที่ผิดอีกเก้าเรื่องก็คงจะไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำแล้ว เราก็เลยคิดว่าหมอดูคนนั้นทายแม่น
สรุปง่าย ๆ คือ คนเราจะนึกถึงความทรงจำที่ประทับใจได้มากกว่าความทรงจำที่ธรรมดา และจะพลอยนึกว่าความทรงจำที่ประทับใจนั้นเกิดขึ้นบ่อยกว่าความเป็นจริง
ความคิดเห็น