ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตในญี่ปุ่น

    ลำดับตอนที่ #2 : วันแรกที่ไปถึงญี่ปุ่น

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 51


    ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นระดับปริญญาตรีที่ผมได้รับเป็นทุนระยะ 5 ปี คือไปเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อน 1 ปี แล้วต่อมหาวิทยาลัยอีก 4 ปี การเรียนภาษาญี่ปุ่นก็จะมีศูนย์ใหญ่อยู่สองที่ คือที่โตเกียวกับโอซาก้า สำหรับตัวผมถูกจัดให้ไปที่โตเกียว โดยในรุ่นผมมีทั้งหมด 8 คน ได้ไปโอซาก้า 3 คน ส่วนอีก 5 คนได้ไปโตเกียว จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาแบ่งนักเรียนกันอย่างไร (แต่พวกเราชาวโตเกียวก็มีข้อสันนิษฐานว่า เขาใช้หน้าตาเป็นเกณฑ์)

     

    ช่วงที่พวกเราออกเดินทางไปกันคือเดือนเมษายน เพราะที่ญี่ปุ่นเขาถือว่าเดือนเมษายนเป็นเดือนแห่งการเริ่มต้น เป็นช่วงที่ดอกซากุระเริ่มบาน และโรงเรียนกับบริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มรับคนใหม่เข้ามา

     

    ตอนนั้นผมไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง (สมัยนั้นสุวรรณภูมิยังไม่เปิด) ยังจำได้ว่าวันนั้นมีเพื่อน ๆ ไปส่งพอสมควรเหมือนกัน ตอนที่บอกลากับเพื่อน ๆ ผมก็ยังเฮฮาดีอยู่ แต่พอท้ายสุดกลับมาลาพ่อแม่ ผมก็น้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่ทันรู้ตัว มันรู้สึกวูบไปเมื่อผมได้รู้สึกตัวจริง ๆ ว่า จะต้องไปอยู่ต่างประเทศ ไปอยู่ห่างพ่อแม่และน้อง จะได้กลับบ้านรอบเร็วสุดก็ต้องรอถึงตอนสิ้นปี ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะเคยไปโฮมสเตย์ที่ประเทศอื่น ๆ มาก่อน แต่โฮมสเตย์ก็ยาวอย่างมากหนึ่งเดือน ผมไม่เคยต้องห่างบ้านนานขนาดนี้มาก่อน

     

    ผมยังจำได้อยู่ว่า คุณพ่อเป็นคนยื่นกระดาษทิชชูมาให้เช็ดน้ำตา แล้วก็บอกว่า ไปอยู่ที่นู่นแล้วให้ตั้งใจเรียน

     

    พอเข้าไปข้างในตัวสนามบิน ผมก็ไปหาเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันที่กำลังจะไปญี่ปุ่นด้วยกัน ปรากฎว่ารอบนี้มีพวกเราป.ตรี 5 คน กับรุ่นพี่ที่ได้ทุนระดับป.โทอีกประมาณ 15 คน ที่จะนั่งเครื่องบินลำเดียวกันไปโตเกียว โดยปกติเครื่องบินจะใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมงจากกรุงเทพไปถึงสนามบินนาริตะที่โตเกียว

     

    พอลงที่นาริตะ ออกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จ ก็มีเจ้าหน้าที่จากองค์กร JASSO (Japan Student Services Organization) มารอรับ เพราะเขาก็คงกะว่าคนที่มาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกก็คงจะยังเดินทางไปไหนมาไหนไม่ค่อยเป็น เจ้าหน้าที่เขาก็พานักเรียนบางกลุ่มขึ้นรถบัส บ้างก็ขึ้นรถไฟ แต่กลุ่มพวกเราป.ตรีห้าคนนี้พิเศษสุด ได้นั่งแท็กซี่ตรงไปส่งที่หอเลย นั่งแท็กซี่ไปประมาณสองชั่วโมง มิเตอร์ขึ้นมาถึงประมาณตั้งสามหมื่นเยน (คือหนึ่งหมื่นบาท) ซึ่งโชคดีอันนี้เราไม่ต้องออกเอง ทางองค์กรเป็นคนออกให้

     

    พอไปถึงที่หอตอนค่ำ ๆ  ก็มีหัวหน้าโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นอุตส่าห์มาต้อนรับ พร้อมกับรุ่นพี่คนไทยอีกหลาย ๆ คน ซึ่งทำให้ผมประทับใจในความอบอุ่นของคนไทยที่นี่ ที่พยายามมาให้ช่วยรุ่นน้องปรับตัวเข้ากับที่นี่ให้เร็วที่สุด และไม่ให้รู้สึกเคว้งเวลาเพิ่งมาถึงญี่ปุ่นใหม่ ๆ

     

    หลังจากจับฉลากห้องพัก แล้วเอาของขึ้นไปเก็บที่ห้องเสร็จ รุ่นพี่ก็พาไปกินอาหารเย็นมื้อแรกในญี่ปุ่น ที่ร้านอาหารชื่อบามิยัน แถว ๆ สถานีรถไฟโทบิตะคิว ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้หอ จริง ๆ คำว่าใกล้นี้หมายความว่าต้องอยู่ไปสักพักถึงจะเริ่มรู้สึกว่าใกล้ แต่ในคืนแรกนั้นเดินไปเกือบยี่สิบนาที ซึ่งตอนนั้นก็คิดในใจว่าไม่เห็นใกล้ตรงไหนเลย

     

    ในร้านอาหาร แน่นอนว่าเมนูทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด พวกผมไม่มีใครอ่านออกอยู่แล้ว ก็ต้องอาศัยให้รุ่นพี่แปลให้ แต่ก็มีชื่ออาหารบางชนิดที่ผมชี้ถามรุ่นพี่ที่อยู่มาญี่ปุ่นสามสี่ปี แล้วเขาตอบว่าอ่านไม่ออก และสอนให้อ่านว่า โคเระ (แปลว่า “อันนี้”) จำได้ว่าตอนนั้นช็อคมาก ที่ขนาดรุ่นพี่ที่อยู่มานานยังอ่านคันจิบางตัวไม่ออกเลย แล้วตัวเราเองจะไปรอดอย่างไรเนี่ย?

    พอกินข้าวเสร็จก็กลับไปที่หอ แล้วก็ไปรวมตัวกันที่ห้องนอนคนหนึ่ง แล้วก็รุ่นพี่ก็ถามตอบพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ เช่น ถามว่าทำไมถึงอยากมาญี่ปุ่น มาเรียนคณะอะไร แล้วรุ่นพี่ก็ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโรงเรียนภาษาญี่ปุ่น เกือบทุกคนจะบอกตรงกันว่า ปีศูนย์นี้ (คือที่นี่จะเรียกปีที่โรงเรียนภาษา คือปีก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ว่าปีศูนย์) เป็นปีที่เครียดที่สุดและแต่ก็จะเป็นปีที่รู้สึกสนุกที่สุดด้วย

     

    นั่งคุยกันไปได้สักพัก ก็มีพี่คนหนึ่งควักไพ่ออกมาจากกระเป๋าแล้วเริ่มสอนเกมไพ่ชื่อ “นโปเลียน” ให้พวกผม ซึ่งเกมนี้เป็นเกมที่คนไทยที่นี่เล่นกันเกือบทุกครั้งที่มีการรวมตัวกัน ผมเป็นคนที่ชอบเล่นไพ่อยู่แล้วก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็แอบสงสารเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็นผู้หญิงอีกสองคน ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบเล่นไพ่เท่าไหร่ พวกเขาคงคิดอยู่ในใจว่า “มาถึงญี่ปุ่นวันแรกก็จับเล่นไพ่เลยเนี่ยนะ?”

     

    แค่นั้นยังไม่พอ หลังจากเล่นไพ่ไปจนเริ่มรู้สึกว่าดึกแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปนอน แต่ก็มีรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งที่อยากเล่นไพ่ต่อ ก็เลยขอยืมห้องนอนผม ผมก็เลยต้องจบวันแรกในญี่ปุ่นด้วยการขนเครื่องนอนเป็นตั้ง ไปขออาศัยห้องเพื่อนนอนคืนนั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×