คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Diary หน้าที่ 12 : Too late
เส้นคั่นบางๆ
ระหว่างคำว่า ‘อดีต’ และ ‘ปัจจุบัน’
คงเป็นเพราะช่วงเตรียมสอบเลยทำให้ทุกคนต่างหันหน้าเข้าหาหนังสือ จากที่ไม่ค่อยได้คุยกันอยู่แล้วนับวันก็ยิ่งห่างเกินกันออกไป พอหันหลังกลับไปมองก็พบเพียงแค่แผ่นหลังกว้างกับเสียงเปิดหน้ากระดาษเท่านั้น..
เวลาผ่านไปจนดึกดื่น คยูฮยอนอ้าปากหาวแล้วหาวอีกแต่ก็ต้องฝืนถ่างตาอ่านหนังสือต่อไป ใบหน้ามนหันไปมองใครอีกคนที่ลุกขึ้นเดินไปชงกาแฟดื่ม ซีวอนเรียนบริหารคงปวดหัวกับตัวหนังสือมากกว่าเขาหลายเท่า
ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดบ้างที่ต้องเจอหน้ากันทุกวัน แต่มันก็คงดีกว่าการที่จะให้เขาเข้าไปคุยกับซีวอนแล้วทุกอย่างมันแย่ลง.. มันผิดที่ตัวเขาเองนั่นแหละ.. ผิดที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ เรื่องราวถึงบานปลายมาขนาดนี้.. เพราะสิ่งที่ทำไปก็เหมือนกับการให้ความหวังซีวอนจนทุกอย่างมันเป็นแบบนี้
“เฮ้อ..” ร่างโปร่งถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางยกมือขึ้นบีบขมับตัวเองทั้งสองข้างก่อนที่แก้วโกโก้ร้อนจะถูกวางลงพร้อมกับกลิ่นโคโลญจ์อ่อนๆ ที่ลอยแตะจมูก.. คยูฮยอนเอี้ยวตัวกลับไปมองหากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้หยุดสบตากับเขาเหมือนอย่างที่เคยเป็น.. ร่างสูงเดินกลับไปนั่งจมปุกอยู่กับหนังสืออีกครั้งจนคยูฮยอนประหลาดใจ
ซีวอนอาจจะเหนื่อยกับการวิ่งตามเขาแล้วก็เป็นได้
แต่พอถูกเมินกลับรู้สึกใจหาย ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายต้องการให้มันเป็นอย่างนี้แท้ๆ
เอาแต่ใจจริงๆโจคยูฮยอน..
ร่างโปร่งเอื้อมมือหวังจะหยิบปากกาเน้นข้อความที่อยู่ในกล่องปากกาที่วางอยู่ไกลมือแต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเผลอปัดแก้วโกโก้ร้อนที่ร่างสูงพึ่งวางไว้ให้เมื่อครู่ตกลงบนพื้นอย่างไม่ตั้งใจ
“เพล๊ง!!!”
ความซุ่มซ่ามเป็นต้นเหตุให้ทั้งคู่แทบสำลักความอึดอัดในใจออกมา แก้วกระเบื้องสีเขียวแตกกระจายไปทั่วพื้นห้องท่ามกลางความเงียบในเวลาค่ำคืน.. ร่างโปร่งรีบก้มลงไปเก็บซากเศษแก้วที่ซีวอนซื้อมาเป็นคู่แต่บัดนี้กลับแตกกระจายเพราะฝีมือของเขา ทั้งที่มือยังไม่ได้สัมผัสเศษแก้วเลยสักชิ้นข้อมือเล็กกลับถูกดึงรั้งไว้โดยใครอีกคน
คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ก้มหน้าเก็บเศษแก้วด้วยมือเดียวทั้งที่มืออีกข้างยังคงจับข้อมือเขาไว้อยู่โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ไม่ได้ตั้งใจ..
“เดี๋ยวเราเก็บเอง คยูฮยอนไปอ่านหนังสือต่อเถอะ” ใบหน้าคมพูดทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้คยูฮยอนรู้สึกผิดมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“
..”
แก้วคู่ที่ยังไม่เคยใช้ถึงแม้ว่ามันจะเคยถูกเติมเต็มด้วยน้ำเปล่าหรือนมช็อคโกแลตมาแล้ว..แต่สุดท้ายก็จบด้วยการถูกเททิ้งทุกครั้ง.. ปัจจุบันเหลือแค่เศษซากที่ร่างสูงค่อยๆเก็บมัน
ถ้าโกรธหรือไม่พอใจจะบ่นบ้างก็ได้นะ.. แต่อย่าเงียบไปแบบนี้
ร่างโปร่งหยัดตัวยืนขึ้นก่อนจะรีบเดินไปเข้าห้องน้ำทันที.. ซีวอนหยุดการกระทำทุกอย่างพร้อมกับจ้องไปยังเศษแก้วในที่โกยขยะ.. แก้วสีเขียวที่ไม่ได้มีลวดลายสวยงามเหมือนแก้วใบอื่น มีเพียงร่มสีขาวลอยอยู่ท่ามกลางสายฝน หากแต่ถ้านำมาวางคู่กันกับแก้วสีฟ้าอีกใบก็จะได้เป็นรูปร่างเด็กผู้ชายถือร่มอยู่ท่ามกลางสายฝน..
ต่อไปนี้.. คงเหลือเพียงแค่เด็กผู้ชายยืนตากฝนอย่างโดดเดี่ยวโดยที่ไม่มีร่มคอยกำบังสายฝนที่ตกลงมาอีกแล้ว..
.
.
เปลือกตาบางค่อยๆลืมขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ร่างโปร่งยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางเกาหัวอ้าปากหาวเพราะนอนไม่พอ วันนี้เป็นวันแรกแรกของการสอบปลายภาคถึงแม้ว่าจะลืมตาไม่ขึ้นสักแค่ไหนแต่ก็ต้องฝืนเดินไปอาบน้ำอยู่ดี
ร่างโปร่งหยุดยืนกับที่เมื่อเห็นโพสอิทสีฟ้าติดอยู่หน้าห้องน้ำ มือบางดึงมันออกมาใกล้ๆก่อนจะเพ่งสายตามอง
‘นมถั่วเหลืองอยู่ในตู้เย็น มันช่วยเรื่องความจำได้ดีเลยนะ : )’
โพสอิทถูกถือไว้อยู่อย่างนั้น ทั้งที่พึ่งหกโมงเช้าแท้ ๆ แต่ใครอีกคนกลับไม่อยู่ห้องซะแล้ว ซีวอนคงไปนั่งอ่านหนังสือหน้าห้องสอบเช่นเคย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่..
ขาเรียวก้าวมาหยุดหน้าโต๊ะอาหารที่เขาสองคนนั่งทานมื้อเย็นด้วยกันทุกวัน.. ดวงตาคู่สวยสั่นระริกเมื่อเห็นแก้วใบสีเขียวที่ตกแตกเมื่อวานได้ถูกประกอบติดกันในสภาพบิดเบี้ยวและรอยต่ออย่างเห็นได้ชัดวางไว้บนแผ่นกระดาษสีขาว
ทั้งที่ต้องอ่านหนังสือ
ทั้งที่ต้องพักผ่อนเพื่อเตรียมสอบในเช้านี้
แต่เขาก็ยังพยายามนั่งประกอบซากเศษแก้วกระเบื้องที่แตกร้าวไปแล้วให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม..
รอยต่อของแก้วก็เหมือนกับความรู้สึกของเขาทั้งคู่นั่นแหละ.. แก้วที่แตกไปแล้ว.. ต่อให้พยายามประกอบมันสักเท่าไหร่.. ยังไงก็ยังคงเห็นรอยร้าวอยู่ดี
.
.
วันแรกของการสอบแสนทรหดได้ผ่านไปอย่างทุลักทุเล.. อีฮยอกแจถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อกลับมาเปิดหนังสืออ่านย้อนหลัง ข้อสอบออกตามหนังสืออย่างที่อาจารย์บอกทุกอย่างแล้วแต่เขากลับจำไม่ได้
“สอบได้รึเปล่าเด็กน้อย~” มือเรียวเอื้อมไปขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าพลางนั่งลงยองๆตรงหน้า ฮยอกแจเบะปากเมื่อได้ยินคำถามของพี่รหัส ทั้งที่พยายามจะลืมเรื่องสอบไปแล้วแท้ๆ
“โอ๊ะๆ พี่พูดแทงใจฮยอกแจเหรอ ฮ่าๆ ดูทำหน้าเข้าสิ” หัวเราะจนเห็นลักยิ้มเล็กๆ ฮีชอลลุกขึ้นยืนพร้อมกับจูงมืออีกคนให้ลุกขึ้นตามก่อนจะถือกระเป๋าให้
“จะไปไหนครับ?”
“เอ้า.. ก็ฮยอกแจสอบเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ครับแต่..”
“ไปกินไอติมกันดีกว่า~” มือเรียวสอดประสานกับมือเล็กให้เดินตาม อีฮยอกแจหันไปมองรอบข้างราวกับหวาดระแวง..
กลัว.. กลัวว่าจะถูกนินทาเหมือนกับคยูฮยอน
.
.
“มือไปโดนอะไรมาน่ะซีวอน” ผู้มาใหม่เดินเข้ามาถามร่างสูงที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าห้องสอบ
“อ๋อ.. แก้วบาดน่ะครับ” ริมฝีปากหยักยิ้มให้ก่อนจะก้มหน้าลงไปตั้งใจอ่านหนังสือต่อ ร่างโปร่งหยิบสมุดเลคเชอร์ขึ้นมาเปิดบ้าง ถึงจะได้ยินคำตอบจากปากเพื่อนแล้วแต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้..แค่แก้วแตกแล้วทำไมต้องติดพลาสเตอร์เยอะแยะขนาดนั้น
“ได้ยินมาว่านายได้ทุนไปเรียนอังกฤษด้วย เจ๋งว่ะ”
“โชคช่วยต่างหาก” หัวเราะในลำคอทั้งที่สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือ
“อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ใจหายเหมือนกันนะเนี่ย”
“พูดเหมือนเราไปแล้วไปลับงั้นแหละ ฮ่าๆ”
“มันก็ไม่ต่างอะไรเลยนี่ นายเรียนจบที่นั่นพอกลับมาก็คงทำงานเลยใช่ไหมล่ะ แล้วเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่”
“ต้องได้เจอสิ”
“ยังไงก็ติดต่อมาบ้างแล้วกัน ห้ามหนีหายไปเฉยๆนะเว้ย” ร่างโปร่งเอาศอกสะกิดคนเป็นเพื่อนก่อนจะหัวเราะออกมาทั้งคู่
“ไม่หายหรอก..เรายังมีเรื่องที่ต้องรบกวนให้นายต้องช่วยอยู่..ฮันคยอง”
.
.
ในร้านไอศกรีมที่ถูกตกแต่งอย่างน่ารักย่านหลัง ม. เป็นจุดศูนย์รวมของนักศึกษาที่จะมานั่งอ่านหนังสือ สอนพิเศษ หรือแม้กระทั่งนัดเดท ลูกเชอรี่สีแดงถูกหยิบขึ้นมาจ่อตรงหน้าร่างเล็กก่อนที่ดวงตาเรียวจะหรี่มองลูกเชอรี่สลับกับใบหน้าสวยของพี่รหัสไปมา
“...ผมจะอ่านหนังสือครับ”
“อะไรกัน สอบเสร็จแล้วนะ ไว้กลับไปอ่านที่ห้องก็ได้นี่.. เร็วสิ..อ้าม~”
เพราะรู้ว่าฮยอกแจมีเรื่องอึดอัดในใจ ก็แค่อยากให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น
“อย่าทำหน้าบึ้งนักซี่~ ถ้าไม่กินพี่งอนนะ” เหมือนกับเป็นประโยคคำสั่งนัยๆ จนร่างบางต้องจำใจทำตามที่ฮีชอลบอก
“โอ๊ะ~” มือเรียวชักกลับเมื่อใครอีกคนทำท่าจะอ้าปากงับลูกเชอรี่ของโปรดของเขา คนตัวเล็กคิ้วขมวดก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟาแสดงสีหน้าไม่พอใจจนคิมฮีชอลหลุดหัวเราะออกมา
“อะไรเล่า งอนพี่เหรอ”
“พี่น่ะกินไปเลยครับ ผมจะอ่านหนังสือต่อแล้ว” ฮยอกแจบ่นพึมพำเบาๆ พลางก้มหน้าอ่านหนังสือปล่อยให้คนขี้แกล้งนั่งกินไอศครีมต่อไป
RRRrrrr
.
ปลายสายที่โทรเข้ามาสร้างความงุนงงให้อีฮยอกแจได้ไม่น้อย.. มือเล็กชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
“
.”
‘.....’
“....มีอะไร..โทรมาแล้วทำไมไม่พูด”
‘
..กึ่กๆ’
“นี่..อีทงเฮ!” ฮยอกแจเริ่มโมโหเมื่อปลายสายเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา จะทำอะไรอีกล่ะ จะป่วนให้ปวดหัวเล่นแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกับทุกครั้งเหรอไง?
‘
..’
“อีทงเฮ.. อย่ามาทำแบบนี้นะ!” คิมฮีชอลลดสีหน้าลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมโตจ้องหน้ารุ่นน้องที่เริ่มนั่งไม่ติดกับที่ด้วยความหงุดหงิดแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้
‘เพล้ง!!’ เสียงบางสิ่งตกกระทบลงบนพื้นอย่างแรงจนร่างบางเริ่มใจไม่ดี มือถือเครื่องเล็กที่ถืออยู่ถูกกำไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยเรียกชื่อคนที่อยู่ในปลายสายด้วยความเป็นห่วง
“ทงเฮ..ทงเฮ!!”
ตื้ด.............................
มือเล็กสั่นสะท้านเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก.. เกิดอะไรขึ้นกับทงเฮ.. แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? วันนี้ทงเฮไม่มีสอบ..เขาจะอยู่ห้องรึเปล่านะ..
หมั่บ..
มือเรียวกุมข้อมือร่างบางเอาไว้ในขณะที่ขาเล็กกำลังจะก้าวเท้าออกไป.. ฮยอกแจหันกลับมามองหน้าพี่รหัสที่ฉายแววตาจริงจังจนเขาเองรู้สึกกลัว
“อย่าไป”
“จำไม่ได้เหรอว่าหมอนั่นทำอะไรไว้บ้าง”
คำเตือนของฮีชอลทำให้ฮยอกแจฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้เขาปวดหัวได้ไม่หยุด
“ฮยอกแจ..” ใบหน้าสวยยังคงจ้องหน้ารุ่นน้องอยู่อย่างนั้น ไม่อยากให้ฮยอกแจต้องกลับไปรู้สึกแย่ๆ เพราะความเอาแต่ใจของรูมเมทตัวปัญหาของเขาอีก
จากเรื่องวันนั้น วันที่ฮยอกแจรีบกลับไปที่ห้องเพราะเป็นห่วงทงเฮ.. แต่ก็โดนหลอกให้ไปเก้อ
“
.”
“ถ้าเกิดตอนนี้ฮยอกแจสอบอยู่ล่ะ? ก็จะยอมทิ้งสอบแล้วไปหามันงั้นเหรอ?”
“ถ้าเกิดโดนหลอกอีกจะทำยังไง?”
“ขอโทษครับพี่ฮีชอล..”
.
.
ขาเล็กวิ่งมาหยุดหน้าประตูลิฟท์ หมายเลขที่บ่งบอกชั้นทำเอาฮยอกแจอยากเปลี่ยนใจวิ่งขึ้นบันไดแทน ร่างบางหอบหายใจหนักอีกทั้งเหงื่อไคลที่ไหลซึมไปทั่วใบหน้าหวาน ความกังวลถึงใครอีกคนทำให้เขารีบกลับมาที่นี่..
ติ๊ง ..
เสียงประตูลิฟท์เปิดออกเรียวขาก็เริ่มวิ่งอีกครั้ง.. มือเล็กล้วงกุญแจห้องในกระเป๋าก่อนจะเปิดมันออกอย่างรีบร้อน
กังวล.. กลัว..
“ถ้าเกิดโดนหลอกอีกจะทำยังไง?”
แต่ความรู้สึกนั้นกลับถูกกลบไปเพียงเพราะคิดว่าใครอีกคนกำลังมีอันตราย.. ถึงยังไงก็ตาม.. อีฮยอกแจตัดอีทงเฮไปจากหัวใจไม่ได้หรอก
ปัง!
“
.”
“
.”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพราะภาพที่เห็นอยู่นั้นทำให้อีฮยอกแจเข้าใจทุกอย่างได้ดี.. ร่างหนาในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงสามส่วนสบายๆบ่งบอกว่าวันนี้เขาพร้อมจะนอนไร้สาระอยู่ในห้องไม่ไปไหนทั้งที่คนอื่นๆ กำลังตั้งใจอ่านหนังสือสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย
ใบหน้าคมละสายตาจากเกมส์ทีวีเพียงครู่เพื่อหันไปมองหน้าผู้มาใหม่ก่อนจะหันกลับไปจดจ้องภาพที่ฉายอยู่ในจออีกครั้ง
“
..”
“......”
ที่รีบวิ่งมา..เพื่ออะไร
“มองอะไร” ถามทั้งที่สายตายังคงสนใจแต่แก้วอยู่อย่างนั้น มือหนากดจอยสติ๊กรัวๆ ไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่เลยแม้แต่น้อย
“นายโทรหาฉัน..” ร่างบางพูดเสียงแผ่ว.. ใช่.. เพราะว่าทงเฮโทรหา..ถึงได้รีบกลับมายังไงล่ะ
“หือ..”
“ฉันได้ยินเสียงอะไรแตก..ก็เลย”
มือหนากดหยุดเกมส์เอาไว้พลางเสตามองมายังร่างบางที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น.. ใบหน้าคมแสดงสีหน้านิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่รู้เรื่องทุกอย่างอยู่เต็มอก
“อ๊อ..ถ้าหมายถึงเรื่องนั้น” ร่างหนาลุกขึ้นเดินไปหยิบถุงขยะเล็กๆ ข้างในบรรจุเศษจานแก้วเอาไว้มาให้อีกคนดูพลางเกาหัว
“ตอนล้างจานมือมันลื่นไปหน่อย ขอโทษด้วยแล้วกันนะ โห~ท่าทางจานใบนี้ท่าจะแพงซะด้วยสิ” ทงเฮยักใหล่แล้วเดินเอาขยะไปทิ้งที่เดิมก่อนจะเดินกลับมานั่งบนโซฟาอีกครั้ง
“
..”
“ส่วนเรื่องโทรออก...” มือหนาคว้ามือถือสีดำขึ้นมากดเลื่อนดูพลางทำหน้าตกใจจนเกินจริง
“ฉันโทรหานายนี่นา! ..อา..แย่จริง..สงสัยฉันเผลอนั่งทับแล้วมันกดโทรออกเองล่ะมั้ง” ทงเฮหันไปหัวเราะหน้าตาเฉยผิดกับสีหน้าฮยอกแจที่ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น.. ร่างหนายกยิ้มพลางหันกลับไปสนใจจอแก้วอีกครั้งปล่อยให้ใครอีกคนยืนกำหมัดแน่นด้วยความอึดอัดใจ
มือถือมันคงกดโทรเองตอนที่นายกำลังล้างจานอยู่สินะอีทงเฮ..
“จะทำแบบนี้อีกนานแค่ไหน”
ร่างบางถามเสียงนิ่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่นั่งเล่นเกมส์อยู่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“จะทำร้ายฉันอีกนานเท่าไหร่ถึงจะพอใจ..”
ได้ยินทุกอย่าง แต่แล้วไงล่ะ?
“เลิกทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของฉันสักที ในเมื่อฉันกับนายเราไม่ได้เป็นอะไรกัน!”
หมดความอดทนแล้ว.. จะทรมานกันอีกนานแค่ไหน..
ความผิดของอีฮยอกแจมันมากมายขนาดที่ให้อภัยไม่ได้เลยหรือยังไงกัน?
“งั้นเรามาคบกันไหมล่ะ” เอ่ยถามเสียงเรียบทั้งที่ไม่ได้หันมามองหน้าคู่สนทนาเลยสักนิด
“
.”
มือหนาวางจอยสติ๊กลงบนโซฟาก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบาง ฮยอกแจพยายามกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้ถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากสักแค่ไหน ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองใบหน้าคนใจร้ายด้วยแววตาแข็งกร้าว
“นายกับฉัน..เรามาคบกัน”
“พูดอะไรของนาย” ฮยอกแจถามก่อนจะหันหลังกลับ ไม่อยากคุยกับคนพรรค์นี้แล้ว น่าจะเชื่อตามที่พี่ฮีชอลบอกตั้งแต่ทีแรก..
มือหนารวบเอวบางเอาไว้พร้อมกับดึงเข้ามากอดแน่น จมูกโด่งสันกดลงที่เรือนผมในขณะที่คนตัวเล็กพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของคนใจร้าย
“อย่ามายุ่งกับฉัน!”
“แต่นายยังไม่ตอบตกลงเลยนี่..อีฮยอกแจ”
“ตอบเหรอ? ตอบอะไรล่ะ! ฉันจะไม่ยอมให้นายมาปั่นหัวฉันอีกแล้ว!”
“เอาแต่ใจจัง ฉันอุตส่าห์เปิดทางให้นายขนาดนี้แล้ว ชอบไม่ใช่เหรออะไรที่มันเป็นความลับน่ะ.. ฉันไม่บอกซีวอนหรอก”
“
.” ร่างบางหอบหายใจเมื่อการที่พยายามดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายไม่เป็นผล
สุดท้าย.. อีทงเฮก็ไม่เคยรู้อะไรเลยสักอย่าง
“อย่าดื้อสิ.. นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบเวลาที่นายขัดใจฉัน” ริมฝีปากหนากดจูบลงบนพวงแก้มเนียนอย่างจาบจ้วงถึงแม้ว่าร่างบางจะพยายามเบือนหลบสักแค่ไหน
“คบกันงั้นเหรอ..นายน่ะ..เคยรักฉันด้วยรึไง..” ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง.. ถึงแม้จะรู้ดีแก่ใจว่าคำตอบนั้นจะออกมาเป็นยังไง.. จะออกมาทำร้ายจิตใจเขาแค่ไหน
แต่ก็ยังอยากฟัง..
“เปล่า”
นั่นไง.. ได้ยินชัดเต็มสองหูรึยังล่ะอีฮยอกแจ..
“นายเองก็ต้องการแบบนี้ไม่ใช่รึไง?” กระชับกอดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิมขัดกับคำพูดที่แสนเย็นชา ถึงแม้อ้อมกอดนี้จะอบอุ่นสักแค่ไหน..แต่ข้างในกลับหนาวเย็นจนแทบไม่ไหว
“ฉัน..ไม่ต้องการ” ร่างบางเอ่ยเสียงแผ่ว สิ่งที่ทำร้ายจิตใจของอีฮยอกแจได้ดีที่สุดก็คือประโยคนี้.. ถึงแม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่มันทำให้หัวใจคนที่ได้ฟังแหลกสลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
น้ำตาที่เคยใหลออกมาได้ง่ายๆ ในตอนนี้มันคงเหือดแห้งไปหมดแล้ว.. พอกันทีกับคนๆนี้ บอกตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่แต่ก็ไม่เคยหลาบจำสักที
“..อีฮยอกแจ” เสียงกระซิบข้างใบหูพร้อมกับสำผัสวาบหวามตรงช่วงท้อง.. มือหนาพลิกตัวร่างบางให้หันหน้าเข้าหาก่อนจะเชยคางมนขึ้นเพื่อรับรสจูบอ่อนโยนที่ร่างหนามอบให้... นิ้วเรียวยาวไล้ไปตามพวงแก้มเนียนช้าๆอย่างทะนุถนอมหากแต่สัมผัสทุกอย่างนั้นมีแต่ความขมขื่น...
เหมือนกับทุกครั้ง..
พูดจาทำร้ายจิตใจกันให้เจ็บปวด..แล้วก็เข้ามากอดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้..
.
.
ช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจ..
ถ้าพลาดไปแล้ว.. ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก
“อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“เหี้ยอะไรของมึงครับเนี่ย? แดกไปแค่นี้เมาซะแล้วเหรอ ฮ่าๆ”
เสียงเฮฮาของทั้งรุ่นพี่ปีสองและน้องปีหนึ่งที่ต่างรวมสายรหัสมาเพื่อเลี้ยงฉลองหลังจากสอบไฟนอลเสร็จ.. ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่แสนกดดันได้ผ่านไปอย่างยากลำบากถึงแม้หลายคนจะอดหลับอดนอนกับการฝืนทนอ่านหนังสือ ถึงจะง่วงสักแค่ไหน..แต่พอเหล้าเข้าปากตาก็สว่างกันทั้งนั้น
“เล่นเกมส์กันอีกเปล่า” รุ่นพี่ยกแก้วช็อตที่ข้างในมีน้ำสีอำพันขึ้นมา
“เกมส์ห่าอะไรอีก ไม่ต้องเล่นแล้วสัดเปลือง” อีทึกว่าพลางลดมือเพื่อนลงก่อนจะตบหัวไปทีนึง
“กลัวปริ้นอ่ะดิ”
“ไม่ได้รู้เหี้ยอะไรเลย พรุ่งนี้กูต้องทำงานนะ” อีทึกพูดพร้อมกับยกแก้วขึ้นมาดื่มในขณะที่คนอื่นๆ ก็เริ่มรินเหล้าแจกจ่ายกันไปทั่วโต๊ะ
“คยูฮยอน เป็นไรวะ?” ผู้เป็นพี่หันไปถามน้องรหัสที่นั่งอยู่ข้างๆ มือเรียวกำมือถือไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่พร้อมกับยิ้มบางๆ
“เปล่าหรอกพี่”
“อย่ามาโกหกเลยน่า”
“
..”
“เรื่องซีวอนอีกล่ะสิ” ราวกับอ่านใจเขาออกเพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาอีกคน คยูฮยอนหลุบสายตาลง นึกถึงข้อความที่พึ่งได้รับจากใครบางคนที่รออยู่ที่หอพักแล้วก็ต้องถอนหายใจ
“เป็นอะไรไป” อีทึกถามย้ำอีกครั้งก่อนที่คยูฮยอนจะยื่นมือถือให้.. มือแกร่งรับมาเปิดดูข้อความสั้นๆ ที่ซีวอนส่งมาทำให้คนใจแข็งอย่างคยูฮยอนลังเลอยู่ไม่น้อย...
คุณได้รับข้อความจาก..
‘ซีวอน’
[เราจะรอจนถึงเที่ยงคืน..นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เราอยากจะขอคยูฮยอน..]
“จะไม่ไปงั้นเหรอ?” อีทึกหันไปถามคนข้างๆ พร้อมกับยื่นมือถือคืนให้ ร่างโปร่งส่ายหน้าเบาๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าอีกคนรอเขาทำไม.. และรอเพื่ออะไร.. แต่ยังไงก็กลัวกับการที่จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับซีวอน
“ทำไมวะ?”
“ผมไม่อยากไป” ตอบทั้งที่ไม่มองหน้าพี่รหัส ต้องห้ามใจตัวเองไว้ อย่าใจอ่อนเหมือนคราวที่แล้วอีก
“แน่ใจนะว่าแกไม่อยากไป”
“.......”
“ก็ตามใจ” อีทึกหันกลับเข้าวงเหล้าแทนที่จะพูดหว่านล้อมน้องรหัสเหมือนกับทุกครั้ง.. บางเรื่องคนอย่างเขาก็คงเตือนสติคยูฮยอนไม่ได้ คงต้องให้สัมผัสถึงความเจ็บปวดเองแล้วล่ะมั้งถึงจะรู้สึก
ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินแทรกผู้คนออกมาเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์.. ใบหน้ามนเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่ปราศจากดวงดาว มีเพียงแค่กระแสลมเพียงแผ่วเบาที่ให้ความรู้สึกอ้างว้างเท่านั้น
เรียวขาก้าวเดินออกไปข้างหน้า ให้บรรยากาศที่เงียบสงบในเวลาค่ำคืนช่วยทำให้จิตใจเขาสงบลงบ้าง.. ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาว่าที่ทำไปนั้นมันถูกต้องแล้ว..หรือว่าผิดพลาดทั้งหมด
“.....”
“.....”
ร่างโปร่งหยุดชะงักเมื่อเห็นอีฮยอกแจยืนนั่งอยู่บนม้านั่งตามลำพัง ทั้งที่เมื่อกี้เขาเห็นร่างบางยังอยู่ในวงเหล้าแต่ทำไมตอนนี้ถึงได้มานั่งอยู่ตามลำพังแบบนี้
.
.
“.........”
“.........”
“พรุ่งนี้นายจะกลับบ้านรึเปล่า” เป็นฮยอกแจที่ถามขึ้นมาก่อนทั้งที่สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่ถุงมือสีดำข้างหนึ่งที่อยู่ในมือ
“กลับสิ แล้วนายล่ะ”
“อื้อ.. ฉันเองก็จะกลับเหมือนกัน..ก็สอบเสร็จแล้วนี่นา” ฮยอกแจยิ้มบางๆ ประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่คยูฮยอนยอมนั่งกับเขาตามคำเชิญ ถึงจะยังกลัวคยูฮยอนอยู่บ้าง..แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้กล้าเอ่ยปากชวนออกไป
“......”
“ทงเฮ..”
“ซีวอน..”
“คยูฮยอนถามก่อนเลย” ฮยอกแจหันมายิ้มให้กับคนข้างๆ ที่จู่ๆก็เปิดคำถามถึงบุคคลที่สามขึ้นมาพร้อมกัน
“หมอนั่น..เป็นยังไงบ้าง” ถามเพราะเป็นห่วง หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้คุยกับทงเฮอีก ไม่รู้เลยว่าทงเฮโกรธหรือว่าต้องการเวลากันแน่
“ถ้าถามถึงทงเฮ..ฉันก็จะตอบว่าเค้าก็ยังคงบ้าชอบทำอะไรไม่คิดอยู่เหมือนเดิม” ใช่.. อีทงเฮเป็นอย่างนั้นในสายตาอีฮยอกแจจริงๆ
“...ขอบใจ” ร่างโปร่งเอ่ยขอบคุณเบาๆ อย่างน้อยก็รู้สึกสบายใจขึ้นถึงแม้ว่าเรื่องราวระหว่างเขากับทงเฮมันยังคงคาราคาซังอยู่อย่างนี้.. แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
“ส่วนซีวอน..” คยูฮยอนเว้นจังหวะไว้เพียงครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่กำลังรอเขาอยู่.. จะต้องบอกอีฮยอกแจยังไงดีนะ.. ทั้งที่อยู่ด้วยกันทุกวันแต่เขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับซีวอนเลยสักนิด
“เขาก็..”
“นายอยากกลับไปหาเขาไหม” มือเล็กเอื้อมมากุมมืออีกฝ่ายที่วางอยู่ตรงหน้าขาไว้ ประโยคที่พูดมันออกมาจากใจฮยอกแจจริงๆ
กลับไปหาเขาเถอะโจคยูฮยอน.. กลับไปหาคนที่รักนาย..
อย่าเหมือนเขา.. ที่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ กับคนที่ไม่มีหัวใจ
“....................”
“นายจะโกรธฉันก็ได้.. แต่การที่วิ่งหนีความรู้สึกตัวเองน่ะ..มันทรมานนะ..นายเองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ..”
“.................นายต้องการอะไร” จะบ้ารึเปล่าอีฮยอกแจ.. ไม่เห็นรึไงว่าที่ต้องเลิกกับซีวอนก็เพราะใคร?
“เมื่อก่อน..สำหรับฉัน..การที่เราทุ่มเททุกอย่างเพื่อคนที่เรารักจนถูกคนอื่นด่าว่าโง่..ฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ.. แต่การฝืนใจให้ทำตรงข้ามกับความรู้สึกตัวเองนี่สิ..ที่เรียกว่าโง่”
“.........”
“ฉันกับซีวอน..บางครั้งมันอาจดูเหมือนความรัก..แต่จริงๆ แล้วที่เราสองคนคบกันก็เพราะว่าต่างคนต่างเห็นใจอีกฝ่าย” ฮยอกแจยิ้มบางๆ ก่อนจะกำถุงมือสีดำที่มีอยู่ข้างเดียวไว้แน่น
“คยูฮยอน.. การเป็นคนดี..ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสุขเสมอไปหรอกนะ”
.
.
แสงสว่างในห้องที่เกิดขึ้นเพราะเทียนหอมที่ถูกตกแต่งวางประดับอยู่ที่ริมหน้าต่างและพื้นห้อง.. ดอกไลแล็คสีม่วงถูกประดับไว้ในแจกันสีขาวที่ถูกวางไว้บนโต๊ะอาหารอย่างสวยงาม..
ความหมายของดอกไลแล็คคือ ‘รักครั้งแรก’
รักครั้งแรกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำ..
รักครั้งแรกที่ทำให้เขาเริ่มทำอะไรเพื่อคนๆนึงเป็นครั้งแรกทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำอะไรแบบนี้ เพียงเพราะแค่อยากให้คนรักมีความสุข
รักครั้งแรกที่มีแต่ความไม่เข้าใจ..เมื่อความเห็นสวนทางจนต้องทะเลาะกัน..และสุดท้ายก็ต้องมีใครคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายง้อ
และรักครั้งแรกของชเวซีวอน..ก็คือ..โจคยูฮยอน
ร่างสูงก้มลงมองนาฬิกาข้อมือสีดำก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงพลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง.. เลยเวลามาแล้วสิบห้านาที..
หมดหวังแล้วใช่ไหมซีวอน..
ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะของคยูฮยอนก่อนจะวางไดอารี่สีขาวที่เขาเขียนเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับคยูฮยอนลงไปตั้งแต่วันแรกที่รู้ตัวว่าตกหลุมรักคยูฮยอนจนถึงเมื่อวานนี้
กุญแจห้องที่ใช้เป็นประจำทุกวันถูกวางไว้บนไดอารี่บ่งบอกว่าเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีก
แก้วสีฟ้าลายเด็กผู้ชายยืนทำท่าถือร่มท่ามกลางสายฝนถูกวางไว้บนหลังตู้เย็นอย่างโดดเดี่ยวเมื่อแก้วใบสีเขียวที่มีแต่รอยต่อถูกเก็บในกล่องสีขาวอย่างดี
ถึงแม้ว่ามันจะเอามาใช้ไม่ได้อีก..แต่ยังไงมันก็คือของสำคัญที่แทนตัวคยูฮยอนได้หากว่าเขารู้สึกคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกล..
มือแกร่งคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่พร้อมกับลากกระเป๋าเดินทาง..ถึงจะอยากรอคยูฮยอนต่อสักแค่ไหน.. แต่เขาคงปล่อยให้พ่อกับแม่อยู่ชั้นหนึ่งรอเขานานๆ ไม่ได้
เทียนหอมที่ทำหน้าที่ส่องแสงสว่างได้ถูกดับลงก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกจากประตูไป เปลือกตาหนาค่อยๆ หลับลง ทำใจกับเรื่องที่คาดหวังไว้ว่าคยูฮยอนจะกลับมา..
แต่ซีวอนคงหวังมากจนเกินไป..
มือถือสั่นอีกครั้งพร้อมกับหมายเลขของผู้เป็นพ่อ เตือนสติซีวอนให้รู้ว่ามีคนรอเขาอยู่ข้างล่าง..
หมดเวลาแล้วสินะ..
ขายาวก้าวไปข้างหน้าช้าๆ จนหยุดอยู่ที่หน้าลิฟท์ ยังคงหวังลึกๆ อยู่ในใจว่าคยูฮยอนจะกลับมาทันก่อนที่เขาจะออกไปจากที่นี่..
ทุกอย่างที่เขาทำไปทั้งหมดในคืนนี้.. จริงๆแล้วมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น.. ที่เขาอยากจะสื่อให้คยูฮยอนได้รับรู้..
เสียงประตูลิฟท์เปิดออกก่อนที่ใบหน้าคมหันกลับไปมองประตูห้องที่เขาพึ่งเดินออกมา.. ร่างสูงฉายแววตาอาลัยอาวรณ์ ถ้าเกิดเขาไปจากที่นี่แล้ว.. ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ถึงจะได้เจอกับคยูฮยอนอีก
คำพูดประโยคเดียวที่ไม่รู้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีหรือโมโห..แต่ก็เลือกที่จะเสี่ยง..ในเมื่อมันเป็นวันสุดท้ายที่จะได้พูดมันก่อนที่เขาจะไปที่ๆ ไม่สามารถมองเห็นคยูฮยอนได้อีก
บางทีพระเจ้าอาจจะกำหนดให้ทุกอย่างมันออกมาเป็นแบบนี้..
บางทีพระเจ้าอาจจะกำหนดเส้นทางให้เขาเดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีคยูฮยอน
บางทีพระเจ้าอาจจะให้เวลากับเขาทั้งคู่.. เพื่อถามหัวใจตัวเอง..
ว่ายังต้องการกันและกันอยู่หรือเปล่า..
.
.
ขาเรียววิ่งมาอยู่ที่หน้าหอพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า.. ร่างโปร่งหอบหายใจถี่แต่ก็ยังฝืนวิ่งต่อ..
วินาทีเดียวก็สำคัญ..
ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ค่าอีกต่อไปแล้ว
“..ซีวอนเป็นเหมือนนาฬิกาตายมาตลอด..”
“คนเราก็เปรียบเหมือนกับนาฬิกานั่นแหละ.. ต่อให้มีถ่านสักร้อยก้อน..แต่ถ้ามันคนละขนาดก็ไม่สามารถทำให้นาฬิกาเดินไปข้างหน้าได้หรอก”
“นายเคยเป็นคนทำให้นาฬิกาเรือนนั้นเดินไปข้างหน้ามาตลอด.. ครั้งหนึ่งถ่านก้อนนั้นเคยถูกถอดออกไป..นาฬิกาเรือนนั้นเลยไม่สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้..”
“ทุกอย่าง..มันขึ้นอยู่กับนายนะคยูฮยอน”
คำพูดของอีฮยอกแจทำให้คนปากแข็งรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก.. ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าซีวอนคงลืมเขาไปได้ง่ายๆ เหมือนกับคู่รักคู่อื่นที่เวลาเลิกกันไปแล้วก็กลายเป็นแค่คนรู้จัก.. แต่กับซีวอนไม่ใช่..
ความรู้สึกที่เคยมีเป็นยังไง.. มันก็ยังคงชัดเจนอยู่อย่างนั้น
ถึงแม้ว่าคยูฮยอนจะผลักไสเขาสักแค่ไหน.. แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มที่อบอุ่นทุกครั้ง.. ถึงแม้ว่าในหัวใจเขาจะรู้สึกเจ็บปวดกับการกระทำของตัวเองสักเท่าไหร่แต่ก็ฝืนทำออกไป..
เพียงเพราะความอวดดีของตัวเอง...
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา.. ฉันปิดกั้นตัวเอง ไม่เคยถามหัวใจเลยสักครั้งว่าคนที่ฉันรักคือซีวอนจริงหรือเปล่า”
“เคยได้ยินไหม..ว่าคนเราจะรู้สึกเสียใจก็ต่อเมื่อสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดไป”
“อย่าทำร้ายตัวเองเพราะความทิฐิเลยคยูฮยอน”
.
.
ปัง!
ประตูถูกผลักออกเต็มแรงพร้อมกับเรียวขาที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยความกระวนกระวาย.. ภายในห้องที่เงียบสงบ.. มีเพียงแค่กลิ่นหอมของเทียนที่อบอวลไปทั่วห้อง
คยูฮยอนยืนนิ่ง ดวงตาคู่สวยมองไปรอบๆ ห้องหวังว่าใครบางคนจะออกมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วพูดกับเขาว่า “กลับมาแล้วเหรอ”
หากแต่ก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น..
ร่างโปร่งเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของตัวเองที่มีไดอารี่สีขาววางและกุญแจห้องวางเอาไว้..
เพียงแค่ไดอารี่หน้าแรกถูกเปิดออก.. คยูฮยอนก็แทบจะปล่อยโฮออกมาตรงนั้น.. หน้ากระดาษที่มีรูปของคยูฮยอนอยู่เต็มไปหมดจนแทบไม่เหลือที่ว่าง..
‘For You..’
มือเรียวปิดไดอารี่ลงก่อนจะหันกลับไปมองตู้เสื้อผ้าของซีวอน ริมฝีปากบางสั่นระริก.. ร่างโปร่งเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว
ตู้เสื้อผ้าที่ว่างเปล่า..
“.....อึก” คยูฮยอนทรุดลงไปกองกับพื้น.. ใครก็ได้.. บอกเขาทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง..
ซีวอนแค่ขนของกลับบ้านช่วงปิดเทอมแค่นั้นใช่ไหม?
พอเปิดเทอม..ซีวอนก็จะกลับมา..
13/07/11
ไดอารี่หน้าสุดท้าย..
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้บอกความรู้สึกของผมลงบนไดอารี่เล่มนี้..
‘จำได้รึเปล่าคยูฮยอน.. ครั้งหนึ่งเราเคยบอกว่า
‘ความรัก’ สำหรับเรามันดูสวยงามเสมอ
ต่อให้มันจะทำให้เราเจ็บ.. ทำให้เสียใจสักแค่ไหน..
แต่ในความเจ็บนั้นมันก็ยังมีช่วงเวลาแห่งความสุขอยู่..’
ถึงแม้ว่าช่วงเวลาตลอดหนึ่งเทอมที่ผ่านมานั้นมันเต็มไปด้วยความอึดอัด
แต่ผมไม่เคยนึกเสียใจเลย..ที่ได้กลับมาเจอเขาอีกครั้ง
ตอนที่เขาเปิดอ่านไดอารี่หน้านี้คงเข้าวันที่สิบสี่แล้ว..หรืออาจจะช้ากว่านั้น..
ผมไม่แน่ใจเลยว่าแผนการตกแต่งห้องที่แสนโรแมนติกนั่นจะเป็นผลรึเปล่า..
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ถ้าแผนการนั้นไม่สำเร็จ.. ผมก็คงต้องบอกผ่านไดอารี่หน้านี้
ทุกวันที่สิบสี่หลังจากที่เราเลิกกันไปผมก็ไม่มีโอกาสได้พูดประโยคนี้อีก
เพราะตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าคยูฮยอนจะดีใจรึเปล่าที่ได้รู้จักกับผม (หัวเราะ)
มันคือวันแรกที่เราได้รู้จักกัน.. จำได้ใช่ไหม?
ดูแลตัวเองให้ดีนะ..คยูฮยอน...
Siwon Choi
ความคิดเห็น