ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Snow Prince...(Lesson 2) วิวาห์อลวนปล้นหัวใจนายคาสโนว่า

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 #Kim Min Jae

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 56


    หลายวันมานี้ผมไม่ว่างเลย วันทั้งวันก็มีแต่งานเดินสายโปรโมทอัลบั้มตามรายการต่างๆ ไหนจะมีรายการเกมส์โชว์อีก กว่าจะได้นอนกันก็ดึกแล้ว ไม่มีเวลาทำเรื่องส่วนตัวกันเลย

    “เอาล่ะทุกคนฟังผมนะ มีข่าวดีจะบอก ในช่วงกลางเดือนนี้ พวกนายจะมีวันพักผ่อนกันห้าวัน หลังจากนั้นก็ต้องไปญี่ปุ่นหนึ่งถึงสองเดือน กลับมาเกาหลีห้าวันหลังจากนั้นก็ทัวร์เอเชียต่อเลย ดังนั้นในวันหยุดห้าวัน ใครจะทำอะไรที่ไหนก็เชิญตามสบาย” ผู้จัดการเข้ามาแจ้งข่าวก่อนที่จะปล่อยให้เรากลับบ้านกัน

    “นายควรจะจัดงานนายซะตอนนั้น” ปาร์ค ฮยอนอูพูดทันทีที่ผู้จัดการเดินออกไป

    “ตกลงนายจะไปจัดงานที่ไหน” พี่มินจุนพูด

    “ผมจะจัดงานแต่งงานเมืองไทย ก็คงจะเหมือนงานของพี่ ไม่ว่ากันนะครับ” ผมหันไปคุยกับพี่มินจุน

    “ได้เสมอ... ฝากพี่สะใภ้นายจัดการสิ เธอพร้อมที่จะทำ” พี่มินจุนพูดถึงภรรยาของเขา

    “ครับ...” ผมพูด ก่อนที่จะแยกตัวออกมาที่รถของตัวเอง ถึงเราจะอยู่บ้านเดียวกันแต่เราก็ต่างคนต่างมาอยู่ดี เพราะแต่ละคนก็จะมีภารกิจส่วนตัวต่างกัน ตัวผมส่วนมากจะใช้เวลากับการนอน ก่อนที่จะไปทำงาน ผมออกจากบ้านช้ากว่าเพื่อน ปาร์ค ฮยอนอูก็มักจะแวะไปที่ร้านดูแลผิวพรรณก่อนจะกลับเข้าบ้าน ส่วนคัง จีฮุนเขามักจะไปไหนมาไหนคนเดียวบ่อยๆ เขาชอบซื้อของ คิม จุนโฮก็ต้องกลับบ้านบ่อยๆ ส่วนพี่ใหญ่ไม่ต้องพูดถึง เขาติดภรรยาของเขามาก ต้องไปส่งที่ร้านก่อน และต้องกลับมารับก่อนกลับบ้าน บางทีก็นอนเสียที่ร้านกันทั้งคู่ แต่น้อยครั้งที่จะเป็นแบบนั้นเพราะว่าคุณแม่ของพี่มินจุนจะประท้วงถ้าตื่นเช้ามาท่านไม่เจอหน้าลูกสาวอันเป็นที่รักของท่าน

    หลังจากที่เปิดประตูรถเข้าไปนั่งก่อนที่จะพลิกนาฬิกาข้อมือมาดู วันนี้เลิกเร็วกว่าทุกที ผมควรจะไปที่ไหน หรือทำอะไรดีนะ ผมนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนที่เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น

    “มีอะไรอย่างนั้นเหรอ” ผมพูดเมื่อรับสาย

    ได้ยินพี่ฮันนี่บอกว่าวันนี้พวกนายเสร็จงานเร็ว ถ้ายังไม่มีโปรแกรมที่จะไปไหน แวะเข้ามาที่... ฉันจะเรียกที่นั่นว่าอะไรดี โรงแรม... บ้าน...เสียงที่ผมมักจะรำคาญเสมอที่ได้ยิน พูด

    “บ้าน... ที่นั่นฉันถือว่าเป็นบ้านของฉัน” ผมพูดเมื่อคิดถึงที่นั่น ใช่แล้ว... แต่สำหรับผมมันคือบ้าน สิ่งปลูกสร้างหลังใหญ่ที่ใครต่อใครก็เรียกว่าบ้านหลังนั้น มันไม่ใช่บ้านของผม ผมต้องเหงาทุกครั้งเมื่อกลับไปที่นั่นหลังจากที่ไม่มีคุณพ่อแล้ว

    ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านของนายแล้ว นายกินอะไรมาแล้วหรือยัง

    “ยัง”

    ดีเลย... เขามาสิ... นะ...

    “อืม” ผมพูดกับเธอสั้นๆ ก่อนที่จะวางสายไป ก็ดีเหมือนกัน คิดไม่ออกว่าจะไปไหนดี

     

    “มาแล้วเหรอ” เสียงตอนรับของคนที่เปิดประตูห้องให้ผม มันรู้สึกแปลกนิดๆ ที่ทุกทีผมต้องเป็นคนไขกุญแจเข้ามาเอง แล้วพบกับความเงียบสงบ

    “ก็มาแล้วน่ะสิ ไม่อยากนั้นเธอจะเห็นฉันเหรอ” เอาอีกแล้ว ปากผมมันพูดอะไรก็ไม่รู้อีกแล้ว เธอเบ้ปากใส่ผมก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะอาหาร

    “รีบมากินเร็ว ฉันเพิ่งทำเสร็จ” เธอเดินไปนั่งเก้าอี้ที่เคยวางเปล่า และบนโต๊ะอาหารที่เคยว่างเปล่าอยู่เสมอ เวลานี้มีอาหารหลายอย่างวางเรียงรายอยู่ส่งกลิ่นหอมชวนให้หิวข้าวขึ้นมาในทันทีทันใด ผมเดินเข้าไปนั่ง “ได้ยินจากพี่ฮันนี่ว่าช่วงนี้พวกนายโหมงานหนัก ไม่มีเวลากินข้าวกันเลย มันก็จริง ฉันไม่เจอนายมาหลายวันดูออกว่านายผอมไป”

    “ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีเหรอ” ผมพูดก่อนที่จะตักอาหารเข้าปาก ผมปฏิเสธความอร่อยของอาหารฝีมือของเธอคนนี้ไม่เคยได้เลย ทุกครั้งที่ผมได้กินมัน ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ แม้กระทั่งไข่ม้วนที่หากินที่ไหนก็ได้ แต่พอเป็นฝีมือของยัยนี่ทำไมมันถึงได้อร่อยอย่างนี้ก็ไม่รู้

    “ให้ตายสิ... ตั้งแต่มาถึงนายไม่เคยคิดจะพูดอะไรดีๆ กับฉันบ้างเลยนะ ฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน แสดงออกให้มันน้อยลงหน่อยได้ไหม” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนมองหน้าผม “กินไปคนเดียวเถอะ” พูดจบเธอก็เดินไปที่ระเบียงห้อง อะไรกัน อย่าบอกนะว่าเธองอนแล้วผมก็ต้องไปง้อเธอ ผมต้องทำอย่างนั้นเหรอ...

    “นี่... กินข้าวสิเดี๋ยวก็เหลือหรอก” ผมพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงระเบียงห้อง

    “เหลือก็ทิ้งไปสิ ฉันซื้อมา” เธอพูดแล้วก็หันไปทางอื่น

    “ไม่หรอก... เธอเป็นคนทำ” ผมเถียงเธอทันที เพราะลิ้นของผมไม่น่าจะโกหกผมได้

    “นายรู้ได้ไง” เธอหันมาทำตากลมใส่ผมด้วยความแปลกใจ

    “ฉันได้กลิ่นอาหารจากตัวเธอไง” พูดจบผมก็ขยับเข้าไปชิดตัวเธอ ก่อนที่จะทำท่าสูดดมไปที่เธอ

    “จริงเหรอ... นายคงเหม็นสินะ” พูดจบเธอก็เดินหนีผมเข้าไปที่โต๊ะอาหารก่อนที่จะจัดการกินอาหาร ใบหน้าบึ้งตึงด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองของเธอมันทำให้ผมรู้สึกขำ

    “ไม่รู้ว่าเหม็นหรือเปล่าเพราะฉันไม่เคยคิดที่จะดมกลิ่นของเธอ” ผมพูด เธอชำเรืองมองผมก่อนที่เธอจะอมลมไว้ในปากจนแก้มป่องสักพักก่อนที่จะพ่นมันออกมา แล้วจัดการตักอาหารเข้าปาก ผมพยายามแทบตายที่จะไม่หัวเราะออกมา

    “กินซะ” เธอวางผลไม้หลากชนิดที่หันเอาไว้พอคำตรงหน้าผมหลังจากที่เธอจัดการเก็บถ้วยจานออกจากโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    “เธอไม่ต้องล้างจานหรอก ฉันจะให้คนมาจัดการหลังจากที่เราออกไปแล้ว” ผมหันไปคุยกับเธอ หลังจากที่คิดดูแล้วว่าเธอคงจะเหนื่อยจากการทำอาหารพออยู่แล้ว

    “ไม่เป็นไร ฉันล้างได้สบายอยู่แล้ว อ่อ ถ้าต้องมาอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะจัดการทำความสะอาดเอง ทุกอย่างฉันจะทำเองทั้งหมด ที่นายเคยถามว่าฉันต้องการอะไรเพิ่มฉันคิดออกแล้ว ฉันต้องการอุปกรณ์ทำความสะอาด” เธอพูดยาว ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาล้างจานอยู่

    “ขยันจริงๆ ได้สิ แต่เรื่องที่นอนเธอไม่ต้องเรียกร้องหรอกนะ เพราะฉันไม่รู้จะเอาเตียงนอนมายัดไว้ที่ไหน อีกอย่างเตียงที่มีอยู่ก็ใหญ่มากอยู่แล้ว ฉันเองก็ไม่ค่อยได้อยู่อยู่แล้ว” ผมหันไปคุยกับเธอ

    “รู้แล้ว... ถ้านายจะนอนก็นอนไปสิ ฉันจะออกมานานโซฟาข้างนอนเอง”

    “รู้อย่างนั้นก็ดีแล้ว พรุ่งนี้เช้าฉันจะพาเธอไปเจอ... แม่ของฉันแล้วกัน” ผมพูดอย่างยากเย็นกับคำว่าแม่ของผม

    “ฉันยังไม่พร้อมเลย” เธอรีบล้างมือก่อนที่จะเดินมานั่งข้างๆผม

    “ไม่จำเป็นต้องพร้อม แค่ไปเจอ อีกอย่างท่านคงไม่มีเวลามากพอมาคุยอะไรหรอก แค่นั่งเฉยๆ ที่เหลือฉันจะจัดการเอง ไปล้างจานให้เสร็จเถอะ วันนี้ฉันจะไปเจอพ่อแม่ของเธอ” พูดจบผมก็หันมาสนใจผลไม้ตรงหน้าต่อ

    “เข้าใจแล้ว พ่อกับแม่ฉันก็ถามถึงนาย” เธอพูดจบก็เดินกลับไปล้างจานต่อ

     

    “ลูกเขย... แม่เห็นเธอในทีวีบ่อยมากเลยช่วงนี้” ประโยคแรกที่ว่าที่แม่ยายพูดทักทายผม

    “เป็นช่วงโปรโมทนะครับ... คุณแม่ แล้วคุณพ่อล่ะครับ” ผมพูดหลังจากที่ส่งของฝากเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมควรจะมีมาให้เมื่อมาเจอผู้ใหญ่

    “ไม่เห็นต้องลำบากเอาของมาให้เลย พ่อไปทำงานยังไม่กลับมา แล้วกินข้าวกันมาหรือยัง”

    “จีวอนทำให้ผมกินแล้วล่ะครับก่อนที่จะมาพบคุณแม่”

    “ว้าว... เด็กดีของแม่ เธอดูแลสามีเธอได้ดีมาก ไม่ขายหน้าแม่” ดูท่าทางว่าที่แม่ยายของผมจะมีความสุขเหลือเกิน

    “พรุ่งนี้ผมจะมารับจีวอนแต่เช้า เพื่อไปพบกับคุณแม่ของผม” ผมพูด

    “จริงเหรอจ๊ะ... หวังว่าแม่ของเธอจะไม่รังแกลูกสาวของผม เอ... หรือว่าแม่จะตามไปด้วยดี”

    “อย่าเลยค่ะแม่ หนูเคยพบท่านมาแล้วครั้งหนึ่ง ท่านเป็นคนสวยแล้วท่าทางใจดีมาก ท่านไม่รังแกหนูหรอกค่ะ” ว่าที่ภรรยาของผมออกตัวแทนผู้หญิงคนนั้น

    “ผมต้องขอโทษแทนคุณแม่ของผมด้วยที่ท่านยุ่งมากจนไม่มีเวลามาทักทายคุณแม่อย่างเป็นทางการ คุณแม่จะว่าอะไรไหมถ้าจะต้องไปเจอคุณแม่ของผมในวันแต่งงานที่เราจะจัดขึ้นกลางเดือนนี้ที่ประเทศไทย” ผมพูด

    “กลางเดือนนี้แล้วใช่ไหม โอ้ว... ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยไปเที่ยวเมืองไทยเลย” ว่าที่แม่ยายของผมพูด

    “ผมมีเวลาว่างแค่ 5 วันเอง ผมจะส่งตัวจีวอนพร้อมกับพี่ฮันนี่คุณแม่คงรู้จัก” ผมเว้นช่วงให้ท่านตอบคำถาม

    “อ่อ... หนูที่ร้านไหมพรมน่ะเหรอ รู้จักสิน่ารักมากๆ” ว่าที่แม่ยายยิ้มเมื่อพูดถึงพี่ฮันนี่

    “ครับ... เราจะไปจัดงานที่บ้านของเธอที่ประเทศไทย ถ้าคุณแม่ว่างจะเดินทางไปพร้อมกับจีวอนเลยก็ได้ หรือจะตามไปก็ได้ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทางผมจะจัดการเอง” ผมอยู่พูดคุยกับท่านสักพักก็ขอตัวออกมา

    “ฉันทำให้นายต้องลำบากมาก” ว่าที่เจ้าสาวออกมาส่งผมหน้าประตูบ้าน

    “รู้ตัวด้วยเหรอ” ผมพูดหลังจากที่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว

    “รู้สิ ฉันจะชดเชยให้เท่าที่ทำได้ นายอยากได้อะไรก็บอกแล้วกัน ถ้าฉันทำให้ได้ก็จะทำ” เธอพูดแล้วหันไปทางอื่น

    “งั้น... คืนแรกของการแต่งงาน ฉันขอนะ” ผมหันไปมองหน้าเธอ

    “จะบ้าเหรอ!!! ไม่มีทางเสียหรอก ฉันต้องเก็บความบริสุทธิ์ของฉันไว้ให้คนที่ฉันรักเท่านั้น นายไม่มีสิทธิ์นะ อะไรก็ทำให้ได้ยกเว้นสิ่งนี้” เธอพูดด้วยดวงตาที่ตื่นๆ

    “งั้นก็ไม่ต้องพูดมาก” พูดจบผมก็ออกรถทันที อะไรนะ... ผมไม่มีสิทธิ์อย่างนั้นเหรอ ก็คงใช่... เธอออกจะเกลียดผมเสียขนาดนั้น คิดแล้วหงุดหงิด

     

    “เป็นหนูจริงๆ ด้วย” ประโยดแรกที่ผู้หญิงคนนั้นทักทายว่าที่ลูกสะใภ้

    “สวัสดีค่ะ...” ว่าที่ลูกสะใภ้กล่าวทักทาย

    “ฉัน... ไม่สิ... แม่เสียใจที่ไม่มีเวลาเจอหนูเลย แม่มีของจะรับขวัญหนู ในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้” ผู้หญิงคนนั้นเธอหยิบกล่องกำมะหยีสีแดงมาวางไว้บนตักของว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอ “เปิดดูสิจ๊ะ... อ่อ... รับปากกับแม่ก่อนว่าหนูต้องรับไปนะจ๊ะ”

    “ค่ะ” ว่าที่ลูกสะใภ้จัดการเปิดกล่องดู เธอรีบหันมามองหน้าผมแล้วส่ายหน้า ก่อนที่จะหันไปมองคนให้ “มันมีค่ามากเกินไป หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

    “รับไปเถอะ ของแค่นั้นท่านประธานไม่สะเทือนหรอก” ผมพูดก่อนที่จะปิดกล่องลง

    “มันมีค่าทางใจกับแม่มากนะจ๊ะ มันเป็นของขวัญที่คุณพ่อของมินแจซื้อให้แม่เป็นของขวัญ ทันทีที่ท่านทราบว่าเราจะมีลูกด้วยกัน พอคลอดออกมาเป็นลูกชายแม่ก็ตั้งใจเก็บเอาไว้ให้ลูกสะใภ้ แม่รักเครื่องเพชรนี้มาก ดูแลลูกชายแทนแม่ด้วย แม่เป็นแม่ที่แย่แม่รู้ตัว แม่ฝากลูกชายแม่ด้วยนะ” นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นผู้หญิงคนนี้แสดงความเป็นแม่ออกมา

    “ค่ะ... หนูจะดูแลเขาเอง ไม่ใช่เพราะว่าเครื่องเพชร หรือเป็นคำขอของ... คุณ...” เธอหยุดพูด

    “เรียกฉันว่าแม่สิ เพราะตั้งแต่ลูกชายของแม่โต ไม่เคยมีใครเรียกแม่ว่าแม่เลย” ผู้หญิงคนนั้นหันมามองที่ผม ผมหันไปทางอื่น

    “ค่ะ... คุณแม่ ที่หนูจะดูแลเขาเพราะเขาคือ... สามีของหนู” ผมหันไปมองหน้าเธอ คำพูดของเธอทำให้ผมร้อนวาบไปทั้งตัว เป็นเพราะอะไรกันนะ ทั้งๆที่ผมรู้ดีกว่าเธออาจจะโกหก แต่ผมรู้สึกถึงความเป็นสามีขึ้นมา มันรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้ทำให้ผมอยากหนีไปไหน

    “แม่ดีใจที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของเธอ ไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าเราจะเจอกันอีกทีในวันแต่งงานของพวกเธอที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้”

    “ไม่หรอกค่ะ หนูเข้าใจ คุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะ”

    “งั้นวันนี้แม่ขอตัวก่อนนะจ๊ะ แม่มีประชุม” ท่านมองหน้าเราสองคนก่อนที่จะเดินจากไป

    “พูดได้ดี” ผมพูดขึ้นเมื่อเจ้าของห้องทำงานเดินออกไป

    “ฉันพูดจริงๆ หลังจากที่เราแต่งงานกัน เราก็จะเป็นสามีภรรยากัน เพราะเราต้องสาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า นายไม่ต้องกังวลไปนะ ถ้าหาทางออกได้ ฉันจะไปจากชีวิตนายเอง แต่ระหว่างนี้ ฉันจะต้องเป็นภรรยาที่ดีให้นายเอง” พูดจบเธอก็เดินออกไปอีกคน สามี... ภรรยา... อย่างนั้นเหรอ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะได้แต่งงาน และเร็วขนาดนี้ ใครกันนะ ที่คอยลิขิตให้มันเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ผมเครียดมากนะ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในตอนนี้ผมเริ่มเบาใจอย่างบอกไม่ถูก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×