คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 : my heart (รีไรท์ 100%)
บทที่ 4 :: my heart
ตุบ!!
“โอ้ย!!” ฮีซอลอุทานเสียงดังทันทีที่ร่างเข้ากระทบกับพื้นเต็มเหนี่ยว แม้จะมีอ้อมกอดของฮันเกิงป้องกันไว้แล้วชั้นหนึ่ง แต่แรงกระแทกก็ไม่ได้ลดลงเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มนิ่วหน้าก่อนจะโอบมือกุมบาดแผลของตนเบาๆ
“เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มถามไว้ความเป็นห่วง ดวงตาคมกริบเหลือบมองบาดแผลที่กระจายเป็นวงกว้างด้วยความเป็นกังวล ก่อนจะเอื้อมมือฉีกชายเสื้อพันรอบบาดแผลด้วยความทะนุถนอม
“คงต้องพันอย่างนี้ไว้ก่อน ฉันยังไม่มียา เดี๋ยวถ้าสร้างช่องว่างระหว่างมิติอีกครั้ง คง.....” ร่างสูงเงียบเสียงลงเมื่อเห็นฮีซอลแตะแขนเขาเบาๆราวกับสั่งให้หยุดพูด
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไม่ต้องตอนนี้ก็ได้”
“ทำไม....”
“นายเองก็ไม่ไหวไม่ใช่เหรอ ปกติถ้าระดับนาย เมื่อครู่ก็คงถึงที่ห้องมืดแล้ว พลังเวทย์เมื่อกี๊คงใช้พลังไปมากเลยสินะ” เสียงของฮีซอลแผ่วเบาราวกับกระซิบ แต่ทำให้ฮันเกิงใจเย็นขึ้นเป็นกอง เขาค่อยๆเอนหลังลงพลางกราดสายตาไปรอบด้าน
“ที่นี่คงเป็นถ้ำที่ไหนสักแห่งจากฝั่งตะวันออกจากโรงเรียนเรา” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางก้มลงมองคนรักที่กำลังนอนบนตักด้วยความเหนื่อยอ่อน
“หิมะสวยจังนะ ฮันเกิง” ฮันเกิงปรือตามองละอองหิมะขาวบริสุทธ์ที่ร่วงโปรยปรายนอกถ้ำก่อนจะฉีกยิ้มบางๆ
“นั่นสินะ สวยเหมือนกับตอนที่เราเจอกันครั้งแรก” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางย้อนนึกถึงความทรงจำอันหอมหวาน
..
หิมะสีขาวบริสุทธิ์ร่วงโปรยปราย จากฟากฟ้าลงสู่ผืนดิน ย้อมแดนดินจนเป็นสีขาวไกลสุดลูกหูลูกตา ฮันเกิงทำได้แต่เพียงเท้าคางมองอย่างเบื่อหน่ายบนเชิงบันใด ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อไหร่หิมะจะหยุดตกซักทีนะ
แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้กลับหอกัน
“นี่นาย....ยังไม่กลับอีกเหรอป่านนี้” เสียงหวานใสราวกับนกไนติงเกลเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่ม ฮันเกิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็น ฮีซอล คนที่อยู่ตำแหน่งดาวโรงเรียน และกำลังป๊อบสุดๆ จนไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่าจะได้คุยด้วยกันสองต่อสองอย่างนี้
“ฉันไม่มีร่มน่ะ” คำตอบสั้นๆเรียกเสียงหัวเราะสดใสของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มร่างบางก้มลงหยิบร่มในกระเป๋าก่อนจะกวักมือเรียกเขาเป็นเชิงให้มาด้วยกัน
“ถ้าจำไม่ผิดนายอยู่หอเดียวกับฉันนี่ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกับฉันเลยแล้วกันนะ”
“นายจำฉันได้ด้วยเหรอ??” ฮีซอลเลิกคิ้วเล็กน้อย
“จำได้สิ”
เนื่องด้วยความสูงที่แตกต่างกันทำให้ฮันเกิงต้องโง้มไหล่ เดินไม่สะดวกนัก จนเมื่อฮีซอลยื่นร่มให้เขาเป็นฝ่ายถือ จึงทำให้พอเดินได้สบายขึ้นมาอีกหน่อย
แต่เขาสองคนอยู่ใกล้กันขึ้นทุกทีจนฮันเกิงเริ่มกลัวว่าร่างบางจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเขา
“ขอจับมือได้มั้ย?”
“เอ๋.....”
“เอ่อ....ฉันหมายถึง....ไม่สิ....ไม่ต้องก็ได้” เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยตะกุกตะกัก ใบหน้าร้อนผ่าวจนจินตนาการได้ว่าจะแดงขนาดไหน ฮีซอลหัวเราะก่อนจะยื่นมือให้
“เอาสิ”
แม้ว่าหิมะจะหนาวเย็นเพียงไหน แต่เขาก็ไม่รู้ถึงเลยเมื่อได้อยู่ใกล้กับคนที่สดใสดั่งดวงตะวันคนนี้
“คิดถึงตอนที่นายบอกรักฉัน นึกแล้วยังขำไม่หายเลยนะ”
“ไม่เอาน่า อย่าไปพูดถึงมันสิ” ฮีซอลมองใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเคอะเขินของฮีซอลแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆ
“ฉันรอตั้งนาน กว่านายจะมาบอกรักฉัน แล้วฉันก็ดีใจมากๆด้วย”
........................................................................
“ว่าไงนะ!!! มาสเตอร์ให้ฮีซอลไปปราบวิญญาณระดับมอนเตอร์คนเดียวอย่างนั้นเหรอ” ฮันเกิงตะโกนถามอย่างร้อนรน เขาขยี้หัวด้วยความพะว้าพะวง ยิ่งเมื่อเห็นเพื่อนพยักหน้าอย่างหวาดๆ เขาก็ยิ่งร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว
ขาทั้งสองข้างวิ่ง.....วิ่งจนไม่รู้จักเหนื่อย
ขอแค่นายไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว ฮีซอล
*******************
ดวงตาคมกริบด้วยความกราดเกรี้ยว ลืมเสียสนิททั้งเรื่อง มาสเตอร์ ทั้งวิญญาณระดับมอนเตอร์ เมื่อเห็นหญิงสาวใบหน้างดงามจนลืมหายใจอยู่เคียงข้างฮีซอล
ใกล้.......มันจะใกล้เกินไปแล้วนะ
โดยที่ไม่รู้ตัวมือทั้งสองข้างก็กระชากแขนบางบางของหล่อนออกมาแล้ว ดวงตากลมโตเย้ายวนดูเหมือนจะไม่พอใจไม่น้อย
“ฮีซอลเป็นของฉัน”
“ห๊ะ!” ฝ่ายที่อุทานด้วยความไม่แน่ใจกลับเป็นฮีซอลเสียเอง ดวงหน้าสวยหวานแดงฉานลามไปถึงหู ในขณะที่หญิงสาวคนนั้นกลับกระตุกยิ้มบางๆ
“เหมือนจะได้ยินเรื่องน่าสนุก” นิ้วเรียวงามวาดลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ ฉับพลันความพูดต่างๆก็เอ่อล้นออกมาอย่างที่หยุดไม่ไม่อยู่
คาถาห้ามโกหก??
“ฉัน....ฉันรักนาย....ร....รัก”
“กว่านายจะหยุดพูดได้ก็ร้อนจนมาสเตอร์ตั้งสามคนมาแก้คำสาปให้ รู้กันทั้งโรงเรียนเลย”
“โถ่....ใครจะไปรู้ล่ะว่ายัยนั้นเป็นถึงภูตระดับสูงประจำตัวนาย อย่าย้ำเรื่องน่าอายอีกเลยน่า....” ฮีซอลหัวเราะเบาๆ
“แต่นั่นก็ทำให้ฉันรู้ใจนายนี่” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มหวาน เอื้อนเอ่ยสามคำหวานที่ไม่ว่าพูดถึงคราใดหัวใจของสั่นไหว เก็บกลั้นความสุขไว้ไม่อยู่
“ฉันก็รักนายฮีชอล”ท่ามกลางไออุ่นจากความรักที่เอ่อล้นเสมือนมีแรงดึงดูดที่ทำให้ ริมฝีปากของทั้งคู่ก็ค่อยๆประสานเข้าหากัน แลกลิ้มความหวานละไม สัมผัสถึงลมหายใจ ดุจจะเป็นหนึ่งลมหายใจเดียวกัน ความรักที่ถ่ายทอดทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงหัวใจที่มีให้กัน
มากมาย และ ไม่มีวันสิ้นสุด
“ฮันเกิงเวลาอย่างนี้ยัง...... ฉันยังเจ็บแผลอยู่นะ” ฮีซอลอุทรณ์เสียงแผ่ว ในขณะที่ฮันเกิงลอบยิ้มกริ่ม
“ลิ้มรสความรักของฮันแล้ว รับรองแผลจะหายวันหายคืน”
ตกลงคือพรหมลิขิตใช่ไหม ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น
ตกลงให้เรารักกันใช่ไหม อย่างนั้นขอได้ไหม
โปรดอย่าทำให้เราพลัดพรากให้เรารักกันเกิดนานเท่าจนวันตาย
.................ฉันขอได้ไหม
ถ้าการที่เราเจอกันเป็นพรหมลิขิตแล้วล่ะก็
ได้โปรดเถอะไม่ว่าอะไรก็อย่ามาทำให้เราพลัดพรากจากกันเลย ฮีชอล
“คุณยังไหวรึเปล่าครับครับ” คิบอมหยุดถามผู้ที่ช่วยชีวิตเขาที่กำลังหอบอย่างรุนแรง ก่อนจะสะดุดกับปากแผลที่กระจายเป็นวงกว้างจนน่ากลัวบนแขน
“อ๊ะ!! คุณมีแผลอยู่นี่”
“สงสัยจะโดนพลังของเจ้าพวกบ้าเฉี่ยวเอา” ดงแฮหยุดมองดวงตาที่ฉายแววตื่นตระหนกก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ไม่เป็นอะไรหรอก แค่นี่ อยู่ไกลหัวใจจะตาย”
“ปล่อยไว้ไม่ได้นะ เอาแขนมานี่!!!”เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ทันทีที่เห็นดวงตาดุดันเหมือนลูกแมว ก็ยอมยื่นแขนให้แต่โดยดี ดงเฮเหลือบมองคิบอมที่กำลังวาดนิ้วบนแผลของเขาพลางกระตุกยิ้มขำๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อริมฝีปากอุ่นสัมผัสเข้ากับบาดแผล
“เอ่อ....ค....คิบอม” ความเจ็บปวดทุเลาลงราวกับปลิดทิ้ง บาดแผลค่อยๆสมานตัวเป็นเนื้อเดียวจนแทบไม่เหลือร่องรอย คิบอมผละริมฝีปากออกแล้วหยุดมองดูรอยแผลที่หลงเหลือเพียงแค่รอยแดงระเรื่ออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ผมเคยได้ยินว่า จุมพิตของหัวใจ จะสามารถรักษาบาดแผลได้”
“ป่านนี้ ทางฝ่ายฮีซอล จะไปตกอยู่แถวไหนนะ”
“ฮีซอล...ผู้หญิงคนที่สวยๆนั่นหรือครับ” เด็กน้อยทำหน้าเลิกลักเมื่ออยู่ๆเห็นดงเฮหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนดังไปทั่ว
“ถึงจะสวยยังไง เขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงหรอกนะ” เด็กหนุ่มกุมท้องแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ห.....หา แล้ว....เอ่อ....คุณกับฮีซอล เป็น.....เป็นแฟนกันรึเปล่าครับ ดูสนิทกันดีจัง”
“ไม่เห็นเจ้าตัวที่นั่งขู่ฮื่อแฮ่อยู่เหรอ ฮ่ะ...ฮ่ะ... ฉันแค่เป็นเพื่อนสนิทของฮีซอลเขานะ” คงเฮปาดน้ำตาที่เกิดจากความขำขันเบาๆ ก่อนจะหยุดหัวเราะลงเมื่อเห็นดวงตากลมโตมองเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเหงาหงอย
“ผมอยากมีเพื่อนเหมือนกับคุณบ้างจัง” ดงเฮยิ้มอย่างอ่อนโยน มือบางค่อยๆเอื้อมไปลูบหัวคิบอมอย่างแผ่วเบา
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก นายกำลังจะได้สัมผัสมันแล้ว แสงสว่าง น่ะ” เด็กน้อยเงยหน้ามองเขา ไม่ค่อยเข้าใจนักถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง
“นายน่ะ คล้ายกับฉันสมัยเด็กๆ” เมื่อเห็นคิบอมรอฟังตาแป๋ว เขาจึงเล่าไปช้าๆด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
***********************************************
“อย่าไปเล่นกับเจ้านั่นนะ เจ้านั่นมันเด็กกำพร้า” เสียงกระซิบกระซาบจากเด็กชายตัวโต ดวงตากลมโตเหลือบมองเด็กน้อยที่เดินก้มหน้านิ่ง ริมฝีปากบางเม้มแน่น
“อี๋ เจ้าเด็กไม่มีแม่ เจ้าเด็กไม่มีแม่” กลุ่มเด็กทโมนได้ทีก็พากันร้องเฮโลหยอกล้อกันใหญ่ ไม่พอยังปั้นก้อนดินสกปรกปาใส่ดงเฮด้วยใจคะนอง เด็กชายเหลือบมองเด็กเหล่านั้นด้วยแววตาวาวโรจน์หากเอ่อล้มไปด้วยน้ำตา
“หุบปากนะ!!!~”
“เด็กไม่มีแม่ เด็กขี้แย เอากระโปรงมาใส่ซะไป๊!!!” ต่อท้ายด้วยเสียงหัวเราะ ร่างเล็กกัดฟันกรอด ก่อนที่กำปั้นหลุนๆจะกระแทกใส่เด็กใจร้ายจนอีกฝ่ายล้มลงกับพื้น
“เฮ้ย!! มันกล้าดียังไงมาต่อยลูกพี่ ไอ้เด็กไม่มีแม่” กลุ่มเด็กชายโวยวาย ไม่รอช้าพากันรุมดงเฮเป็นการใหญ่ ฝ่ายดงเฮก็ไม่ยอมแพ้ แม้จะเป็นฝ่ายเพลี้ยพล้ำเต็มที
“หยุดนะ!!!!!” เสียงหวานใสตวาดดังลั่น ทำให้ทุกคนหยุดการกระทำทั้งหมด หันมองเด็กหนุ่มที่กำลังป้องปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย
“ค..คุณฮีซอล” เด็กนักเลงดูเหมือนจะหงอยขึ้นทันตาเมื่อเห็น ฮีซอล ลูกผู้มีอิทธิพลอันดับต้นๆของเมือง
“อย่าหาว่าแส่เลยนะ ถ้าจะตีกันก็อย่าหมาหมู่ เห็นแล้วมันน่ารังเกียจ” เด็กชายเอ่ยอย่างเหยียดๆพลางหันไปยื่นมือให้ดงเฮที่สะบักสะบอมไม่เป็นท่า
“เฮ้อ.....ดูไม่ได้เชียวนะนาย” ทันทีรอยยิ้มงดงามระบายบนใบหน้า ดงเฮก็มองเห็น....
แสงสว่าง ที่มองไม่เห็นมานานแสนนาน
*********************************************
“...คุณ ชอบคุณฮีซอลรึเปล่าครับ”
“เปล่าหรอก สำหรับฉันกับฮีซอลมันก็แค่เพื่อนเท่านั้นล่ะ” เพียงเท่านั้น รอยยิ้มน่ารักก็ผุดพรายบนใบหน้าของคิบอม
“จะเป็นไปได้มั้ยครับ....ถ้า” เสียงเล็กเอ่ยอย่างแผ่วเบาพร้อมๆกับดวงหน้าขาวที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ
“หืม?”
“จะเป็นไปได้มั้ยครับ ถ้าผมจะขอให้คุณเป็นแสงสว่าง ของผม” ดงเฮชะงักงัน หัวใจในอกเต้นอย่างรุนแรงจนสมองอื้ออึงไปหมด
“ผมไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกครับ แต่เวลาผมอยู่กับคุณ ตรงนี้มันเต้นแรงมากๆเลย” คิบอมเอ่ยเนิบนาบพลางชี้ที่แผ่นอก .....ตำแหน่งของหัวใจ
“และเวลาผมอยู่กับคุณ ผมมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แบบนี้ ถือว่าผมได้สัมผัสกับแสงสว่างรึยังครับ”
“......ช่วยเป็นแสงสว่างให้ผมได้มั้ยครับ”
ดงเฮยิ้มบางๆด้วยความเขินอายให้กับคำบอกรักแปลกๆของคิบอม ดวงหน้าแดงระเรื่อ ก้มหน้างุด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“เอ่อ.....ด.....ได้สิ”
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราได้อยู่ร่วมกัน
เราก็รู้ว่าเราสามารถเข้าใจกันและกันได้ยิ่งกว่าอยู่ด้วยกันนานนับปี
แม้จะไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร แค่ตอนนี้เรารักกัน
........ก็พอ
..
แว่วเสียงบรรเลงจากขลุ่ยจีน ชายหนุ่มใบหน้าสวยหวานราวกับเทพธิดาจุติประพรมทอดเสียงที่แสนนุ่มนวลหากแฝงไปด้วยความเศร้าสลด บ่งบอกถึงความว้าวุ่นในจิตใจ
ดวงตางดงามปรายตามองคังอินที่กำลังนอนพิงโขดหินด้วยความเหนื่อยอ่อน อีทึกค่อยๆกุมหัวใจตนเองอย่างเหม่อลอย
ว้าวุ่นเหลือเกิน ความรู้สึกนี้
เจ็บปวดเหลือเกินความรู้สึกนี้
แค่เห็นคนที่เขารักเพลี้ยพล้ำต่อศัตรูจนต้องล่าถอย
แค่เผลอคิดว่าคังอินอาจจะได้รับอันตราย
หากสักวัน.....
ไม่มีคนๆนี้อยู่ และคนๆนี้ไม่มีเขาอยู่
จะทนอยู่ต่อไปได้อย่างไร
“คิดอะไรอยู่เหรอครับ...อ๊ะ!! หรือว่าหิว” คังอินดูลุกลี้ลุกลนขึ้นทันตา ก่อนจะสงบลงเมื่อเห็นอีทึกยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้
และเขาจะทนได้ไหม......
“ถ้าสักวันหนึ่ง ผมต้องตายจากไปคุณจะเสียใจรึเปล่า” คังอินผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายถามเสียงเรียบ เจ้าของดวงหน้าหล่อเหลามุ่นคิ้วลงเล็กน้อย
“ทำไมถึงถามอย่างนั้นล่ะครับ” อีทึกหลุบตาลง พลางหัวเราะขื่นๆ
“ผมไม่รู้...แต่ผมอดไม่ได้ที่จะกลัว”
“ไม่เสียใจหรอก” ชายหนุ่มเงยหน้าหยุดมองคังอิน หยดน้ำตาเรื่อที่ขอบเบ้า คำตอบที่ออกทำให้เขาจุกจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ผมจะไม่เสียถ้าคุณตาย เพราะถึงยังไงคุณก็ไม่มีวันตาย.......ไปจากหัวใจของผม”
“...” หยดน้ำตาไหลผ่านแก้มขาวนวล ริมฝีบางยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน
ดีแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว
แค่รู้ว่าคุณจะไม่ทุกข์ทรมานผมก็พอใจแล้ว
ให้ความรักที่มีให้กันยืนยันชีวิตของเรา
หากเมื่อใดรักนี้แตกสลาย เขาก็คงเหมือนตายทั้งเป็น
ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความรักหรอก
เพราะความตายไม่อาจพรากหัวใจที่มีให้กันได้
แต่ความรักต่างหากที่เริ่มต้นชีวิตเรา
หากความรักสิ้นสุด ชีวิตก็คงเหมือนจบสิ้นไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
เกิดภาวะสลับตำแหน่ง เคะ-เมะ ไม่~~~~~~~~~~~!!!!หนูผิดไปแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ (ไม่มีความรับผิดชอบจริงเอ็ง) เอ่อ...ไอ้ฉากหิมะโปะแผล ระเบียบรี่-ซัง ขอเซนเซอร์นะจ้ะ เดี๋ยวนิยายเรื่องนี้มันจะกลายเป็นนิยายฆาตกรรมอำพรางไปซะก่อน
ความคิดเห็น