คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 : ปลดปล่อย (รีไรท์ 100%)
บทที่ 3 :: ปลดปล่อย
“ที่นี่น่ะเหรอ ที่วิญญาณนั่นบอก” ดงแฮพึมพำเบาๆพลางกราดตามองไปรอบๆ บรรยากาศตรงหน้าแทบจะไม่ต่างกับห้องมืดเลยสักนิด เขาตัดสินใจผลักประตูไม้ผุๆออกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะไอโขลกเมื่อกองฝุ่นคละคลุ้งทั่วบริเวณทุกครั้งที่เขาขยับตัว
ภายในบ้านไม่ค่อยน่าดูนัก ข้าวของรกระเกะระกะราวกับไม่มีคนอยู่ หากกลิ่นอายของความโศกเศร้าและเงียบเหงาอ้างว้างกลับทำให้ดงแฮเกิดความรู้สึกหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัว
ตุบ!
เสียงกระทบพื้นทำให้เด็กหนุ่มหันหลังพรึ่บ ดวงตาคมกริบมองฮีซอลที่กำลังปัดเสื้อผ้าด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“โอ้ย ฮันเกิง ส่งฉันมาดีๆไม่ได้เหรอไง เกิดเคล็ดขัดยอกขึ้นมาจะทำยังไงห๊ะ!!” เด็กหนุ่มหน้าหวานโวยวายเสียงดัง กันไปมองคนรักที่กำลังยืนยิ้มแห้งๆราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ใช้ โทนาส สิ”
โป๊ก!!!!
“เล่นมุขบ้าอะไรฟะ!!!”
“มากันแล้วสินะครับ” ดงแฮพูดแล้วต้องรับทำหน้าที่กรรมการจำเป็น
“ก็มาแล้วน่ะสิ แล้วใครใช้ให้นายแอบมาคนเดียวไม่บอกไม่กล่าวห๊ะ!! ฉันตกใจแทบแย่ นึกว่าใครคาบไปกิน” ฮีซอลว่าพลางประทานมะเหงกใส่เพื่อนรักเข้าไปอีกดอก เรียกเสียงโอดโอยเบาๆ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะหันไปด้านข้าง หรี่ตาลงด้วยความไม่แน่ใจ
รู้สึก........
เหมือนมีใครมองอยู่
“ฮึก....ฮือ” เสียงร่ำไห้ดังผะแผ่วพลอยทำให้ผู้มาเยือนพลอยขนลุกเกลียว แม้จะเคยประสบพบเจอวิญญาณอยู่บ่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังอดกลัวนิดๆไม่ได้
“คุณใช่วิญญาณตนนั้นรึเปล่าครับ” ดงแฮพยายามถามอย่างอ่อนโยน
“ปล่อยฉันไปที ปลดปล่อยลูกฉันไปที” เสียงคร่ำครวญใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะผุดพรายกลายเป็นร่างหญิงสาวร่างโปร่งแสง ประกบหน้าร้องไห้ คร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมาน
“ดูเหมือนที่นี่จะมาบาเรียอยู่นะครับ ดงแฮ” อีทึกออกความเห็นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“เอ๊ะ! หรือเพราะบาเรียนี่ ดวงวิญญาณถึงไปเกิดไม่ได้” ฮีซอลอุทานเบาๆ ก่อนจะหันไปทางดงแฮถามความเห็น
“เป็นไปได้ครับ”
“ถ้าทำลายบาเรียนี่ซะ วิญญาณก็คงไปเกิดได้สินะ”
“อย่ามายุ่งนะ!!!” เสียงเล็กตวาดลั่นเรียกความสนใจจากผู้มาเยือนกลุ่มใหญ่ ร่างเด็กหนุ่มก้าวออกจากที่ซ่อนเร้น ดวงตากลมโตกันมามองพวกเขานัยน์ตากร้าว
“ออกไปให้พ้น!!! อย่ามายุ่งกับแม่นะ!!”
“แม่...? นายเป็นลูกที่วิญญาณตนนี้พูดถึงเหรอ?” ดงแฮถามแผ่วๆ แต่อีกฝ่ายกลับมองเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ ราวกับลูกแมวที่กำลังพองขนขู่ฟ่อ
“ฉันบอกว่า ให้ออกไปให้พ้นไงเล่า!!!!” เสียงตวาดดังขึ้นเรื่อยๆ พอๆกับบาเรียที่เริ่มหนาขึ้นจนพวกเขารู้สึกอึดอัดจากพลังที่เพิ่มมากเพราะความโกรธเกรี้ยว
“นายเป็นคนสร้างบาเรียนี่ขึ้นมาเหรอ?”
“ใช่.......”
“นายไม่รู้เหรอว่า ถ้านายทำแบบนี้แล้ววิญญาณแม่นายจะไม่ได้ผุดไม่เกิด”
“ฉันรู้....แต่ฉันอยากอยู่กับแม่!! ฉันไม่ต้องการจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว!!!” เสียงเล็กตวาดก้อง ดวงตากลมโตชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำตา เขาตวาดทั้งๆที่กลั้นเสียงสะอื้นไม่อยู่
“และฉันจะไม่ยอมให้ใครมาพรากแม่ไปจากฉันอีกแล้ว!!!”
“นายไม่ได้เสียงร้องของแม่นายเหรอ? ไม่รู้สึกถึงความทุกข์ทรมานของแม่นายเลยเหรอ?” เด็กหนุ่มชะงักกึก มือเล็กพยายามปาดน้ำตาอย่างทุลักทุเล
“ไม่จริง....แม่อยู่กับฉัน แม่ฉันต้องมีความสุขอยู่แล้ว”
“บ้าจริง...เจ้าเด็กนี้ผูกติดกับวิญญาณจนไม่ฟังใครแล้ว” ฮีซอลสบถเบาๆก่อนจะเงื้อ คฑาขึ้น
“ในเมื่อพูดกันด้วยเหตุไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว!!!”
“อย่านะ!!!!” ร่างเล็กกรีดร้องห้าม ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธเกรี้ยว บาเรียสีฟ้าอ่อนค่อยๆแปรสภาพเป็นหนามแหลมคมล้อมรอบด้านราวกับหินย้อย
“ถ้าพวกแกขัดขวางฉัน!!! ฉันจะฆ่าทุกคนทิ้งซะ!!!!”สภาพรอบด้านไม่ต่างกับคุกที่เปี่ยมไปด้วยอันตราย ยิ่งเด็กหนุ่มโกรธเกรี้ยวมากเท่าไหร่บาเรียก็ยิ่งบีบตัวเข้าเรื่อยๆ ราวกับจะฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ได้
“ให้มันได้อย่างนี้เซ่!!!!!” คังอินโวยวายด้วยความหัวเสีย
“ฟลูท”อีทึกร่ายคาถายืดแขนไปทางด้านข้าง ทันใดนั้นก็ปรากฏขลุ่ยจีนโบราณก็ผุดขึ้นกลางอากาศ เขารีบคว้ามันไว้แน่นก่อนจะวางแนบลงบนริมฝีปากทันที
“ไม่!!!” เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านกรีดร้องทั้งน้ำตาก่อนจะผงะถอยเมื่อรู้สึกถึงพลังแห่งไฟของฮันเกิงที่ดันเขาจนขยับตัวไม่ได้
เสียงขลุ่ยของอีทึกดังขึ้นท่วงทำนองอันไพเราะ เศร้าสลด หากระรื่นหู เสียดหูหากฟังดูยิ่งใหญ่ราวกับกับมีพลังมหาศาลที่มองไม่เห็นต้านบาเรียจนร้าว ก่อนจะแตกสลายในพริบตา ร่างวิญญาณหญิงสาวค่อยๆจางลง
“แม่!!!!”ร่างเด็กหนุ่มสลักตัวจนหลุดจากพลังแห่งไฟ เขาพยายามจะรวบรวมพลังสร้างบาเรียกักขังผู้เป็นแม่ไว้กับตนอีกครั้ง แต่เปล่าประโยชน์ เมื่อวิญญาณค่อยๆเลือนรางลงทุกที
“แม่.....อย่าทิ้งผมไป อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว”
“ลูกจะไม่โดดเดี่ยวจ้ะ” เขาเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ทั้งน้ำตา ใบหน้าของหญิงสาวอิ่มเอิบ ผุดผ่อง ไม่เหมือนเมื่อก่อน คราบเลือดคราบน้ำตาจางหายกลายเป็นรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
“แม่...” ร่างบางครางเรียกอย่างแผ่วเบา
“แม่จะอยู่ในใจลูกเสมอ” ทันทีที่หยาดน้ำตากระทบพื้นร่างวิญญาณของผู้เป็นที่รักก็สูญสลายไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มสะอื้นกุมหัวใจตัวเองด้วยความปวดร้าว
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!”
เมื่อความโศกเศร้าเข้าทิ่มแทงจนไม่มีชิ้นดี สติสัมปชัญญะก็ค่อยๆเลือนรางไป ความมืดเข้าครอบงำไปในมโนสติ
...................................................................................................
ร่างเด็กหนุ่มนอนแน่นิ่งบนเตียงขนาดกลาง คนในห้องหยุดมองเด็กหนุ่มด้วยความเป็นกังวล
“เขาหลับไปนานแล้วนะ จะเป็นอะไรรึเปล่า ฉันว่าน่าพาเขาไปหาหมอนะ” ฮีซอลเอ่ยพลางปาดเหงื่อข้างขมับ
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เพียงแค่ใช้พลังมากเกินไป และจิตใจยังไม่เตรียมพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง” ดงแฮเอ่ยเสียงเรียบแม้ภายในใจจะร้อนรนไม่แพ้คนอื่นๆ
ทันใดนั้นร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่นานก็ค่อยๆกระพริบตาถี่ๆ ดวงตากลมโตกวาดไปรอบด้าน ก่อนจะหันมามองพวกเขาด้วยแววตาโศกเศร้า
“แม่....ไม่อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงสั่นพร่า พยายามกลืนก้องสะอื้นของตนเองด้วยความยากเย็น พลอยทำให้คนในห้องชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าทำถูกรึเปล่าที่พรากแม่ออกจากคนตรงหน้า
“แม่นายไปสู่สุขคติแล้ว เขาจะมีความสุข” หากถ้อยคำปลอบทำได้แค่ทำให้เด็กหนุ่มก้มหน้าซุกหัวเข่าตนเอง ไหล่บางสั่นเบาๆบ่งบอกว่าเขากำลังร้องไห้
“นายชื่ออะไรเหรอ” ดงแฮถามพลางลูบหลังของอีกฝ่ายเบาๆ
“คิม....คิมคิบอม”
“จริงสินายสร้างบาเรียได้ยังไงกัน มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอ ถ้าคนที่ไม่เคยเรียนมาก่อนจะใช้เวทย์มนตร์ได้ขนาดนี้” ฮันเกิงเอ่ยพลางม่นคิ้วความความสงสัย
“เมื่อนานที่แม่เสียใหม่ๆ ตอนนั้นมีชายชุดดำคนหนึ่งมาบอกวิธีสร้างบาเรีย ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่เขาบอก”
“พ่อแม่ของนายมีเพื่อนเป็นจอมเวทย์ระดับสูงรึเปล่า”
“ก็มีไม่น้อย เพราะพ่อของฉันเป็นจอมเวทย์ ส่วนแม่เป็นสัตว์เทวะ” ถ้อยคำเรียบเฉยแต่กลับทำให้ดงแฮสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบนวดขมับก่อนจะเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ
“ถ้าจำไม่ผิด สัตว์เทวะกับจอมเวทย์เมื่อมีลูก ลูกที่ออกมาจะเป็น ‘หัวใจ’ ไม่ใช่หรือ!?!”
“เอ๋??” เหมือนเจ้าตัวเองก็เพิ่งเคยได้ยิน ดวงตากลมตาฉายแววแปลกใจเล็กน้อย
ปัง!!!
เสียงกึกก้องกัมปนาททำให้ทุกคนสะดุ้งโหยง อีทึกที่อยู่ใกล้หน้าต่างเอ่ยขึ้ยด้วยความตกใจ
“มีชายชุดดำมาโจมตีเต็มไปหมดเลยครับ!!!” พวกเขารีบคว้าอาวุธมาไว้ในมือตนทันที ฮันเกิงรีบบริกรรมคาถาสร้างช่องว่างระหว่างมิติ ดงแฮหันมาอุ้มร่างเด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้าละล่ำละลักขึ้นพาดบ่า ก่อนจะพาข้ามมิติเคลื่อนย้ายไปยังห้องมืดทันที
“อะไรวะเนี่ย”ฮีชอลเริ่มเหนื่อยอ่อนเล็กน้อยหลังจากต้องร่ายเวทย์อย่างต่อเนื่อง ฝ่ายอีทึกบรรเลงท่วงทำนองเพลงแห่งการทำลายล้างอย่างไพเราะอยู่ยาวนานจนแทบไม่มีเวลา แต่เหล่าชายชุดดำก็ดูเหมือนจะไม่ลดลง มิหนำซ้ำยังเพิ่มขึ้นทุกทีๆ
“โอ๊ย!!!” ฮีซอลร้องเสียงดังลั่นก่อนจะทรุดฮวบลงไปนั่งกองกับพื้น มือเรียวกุมบาดแผลที่เปิดกว้างจากธนูเวทย์ด้วยความเจ็บปวด
“ฮีซอล!!!” ฮันเกิงรีบถลาเข้ามาดูอาการของคนรักที่ใบหน้าซีดเซียวมากขึ้นทุกทีจากบาดแผลที่ไหลทะลักไม่หยุด เขากอดร่างอีกฝ่ายแน่น หวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียฮีซอลไป
“ไม่เป็นไรนะ
.” ฮีซอลพยักหน้าแม้จะไม่ค่อยได้สตินัก พาลทำให้เลือดในกายของเด็กหนุ่มร่างสูงเดือดพล่าน พลังแห่งไฟโชติช่วงเต็มที่เมื่อรวมเข้ากับความโกรธเกรี้ยว ความคับแค้นที่บังอาจทำให้คนสำคัญของเขาต้องบาดเจ็บ
“หายไปซะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!~” แทบจะไม่ทันได้กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้ายร่างของชายชุดดำก็ราวกับขาดสะบั้นเป็นสองท่อน หยาดเลือดไหลนองชโลมผืนดิน ฮันเกิงหอบอย่างรุนแรงก่อนจะกัดฟันสร้างช่องว่างระหว่างมิติอีกครั้ง
“นายจะต้องไม่เป็นไรฮีซอล”
เหมือนตอนนี้นังออมจะเอาการ์ตูนมามั่วหลายเรื่อง
ชายชุดดำ (ลูกกระจ๊อกกีเด่น) ----> โคนัน
หัวใจ ---à ดีเกรย์แมน
ส่วนนังแจมขอมั่ว
“หายไปซะ!!!!!” ---à ตุลาการทมิฬ
ความคิดเห็น