ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวขโมยแห่งบารามอส ตอนชีวิตที่ดำเนินต่อไป

    ลำดับตอนที่ #9 : ออกเดินทาง >>100%

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 49


    บริเวณแถบชายแดนคาโนวาล หมู่บ้านเล็กที่มีบ้านเพียงไม่กี่หลัง ยังคงเงียบสงัด ร้านขายของ หรือเพิงเล็กๆ เพิ่งจะเริ่มตั้งขาย  ถัดไปเล็กน้อยเป็นโรงแรมเก่าคร่ำครึ ที่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วย เหล่าผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาพักชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแต่เป็นอดีตคนของป้อมอัศวิน บนชั้นสามของโรงแรม เสียงฝีเท้าที่ก้องสะท้อนตามโถงทางเดินยามเช้า ไม่อาจสามารถปลุกเหล่าผู้ที่ยังคงหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้ ร่างโปร่งสูงของนักฆ่าเคลื่อยกายมาหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง ก่อนจะผลักเข้าไป ขาข้างหนึ่งหยุดชะงักเมื่อเตียงของผู้ป่วยว่างเปล่า และยิ่งแปลกใจหนักเข้าไปใหญ่เมื่อคนที่เมื่อวานนอนซม ตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งขีดเขียนบางอย่างอยู่บนโต๊ะ ตรงมุมหนึ่งของห้อง หัวสีเงินหันมาเล็กน้อย ก่อนจะไม่ใสใจกับคนที่เหมือนจะค้างอยู่อย่างนั้น ตรงหน้าประตู

    "แก ฟื้นแล้ว??"  คำถามที่ไม่สมควรถาม เมื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็เป็นหลักฐานชิ้นดี


    "....................." ไร้สึ่งเสียงตอบรับอย่างเคย และเมื่อถามไปก็ไร้ประโยชน์ จึงกล่าวพาดพิงไปอีกคนที่บอกว่า หัวเด็ด ตี.น. ขาดก็จะไม่ลุกไปไหนอีก จนกว่าคนป่วยของมันจะฟื้น แล้วพอฟื้นแล้วมันเลยหายไป??

    "แล้ว เฟรินล่ะ มันไปไหน" เป็นเพียงครั้งเดียวที่เจ้าชายคนสำคัญหยุดมือ พลางวางปากกาลงช้าๆ


    "กลับเดมอส"

    "กลับเดมอส???  ทำไมกลับตอนนี้ล่ะ??" สิ้นคำตอบก็โวยวายขึ้นมาทันที แต่แล้วอีกคนกลับขัดขึ้นมาก่อน


    "เรื่องในคาโนวาล คนของคาโนวาลจัดการเองได้"  ประโยคที่อาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด แต่กับเพื่อนซี๊อย่างนักฆ่าคนนี้ด้วยแล้ว ตีความหมายได้ว่า ไม่อยากให้เฟรินมีอันตราย  ก็ไม่รู้จะห่วงอะไรกันนักกันหนา แต่อย่างว่าถ้าเฟรินอยู่ คนอื่นอาจคิดว่าเดมอสเข้าช่วยเหลือคาโนวาล ก็คงจะไม่ดี


    "นายเลยบอกให้มันกลับไป??"

    "......เฟริน กลับไปก่อนที่ชั้นจะตื่น" คำพูดที่ทำให้คนฟังต้องงงยิ่งนัก หากแต่เมื่อคิดจะเอ่ยปากถาม ก็เหมือนคนตรงหน้าเดาได้ แต่ก็ไม่ยักจะตอบให้ตรง ดันเปลี่ยนบทเสียดื้อๆ

    "ชั้นจะไปสมทบกับท่านพ่อ.......ในอีก 2 อาทิตย์"  ทั้งๆที่ในใจอยากจะถีบไอ้คนมากมาดนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ประโยคสุดท้ายนั้นมีน้ำหนักมากกว่า

    "ทำไมต้อง 2 อาทิตย์"


    "วิธีเดียวที่จะฆ่าไอ้เหล่ายมฑูตนรกนั่นได้ จำเป็นต้องใช้ของอยู่หนึ่งสิ่ง ซึ่งหายากนัก และถึงแม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน ก็คงเอามายากเต็มที แถมเวทย์ที่ใช้ควบคู่ก็ต้องร่ายนานถึง สามวันสามคืน ห้ามถูกรบกวนแม้แต่น้อย นายเลยคิดจะทำเวลาโดยการไปตามหา ก่อนทัพใหญ่จะบุกงั้นสิ"  เสียงที่ร่ายยาวทำให้คนฟังต้องหันไปมองอย่างสนใจ พลันตาสีม่วงก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีเขียว พร้อมด้วยใบหน้าที่ทาบด้วยรอยยิ้มแบบเอกลักษณ์ เฉพาะเจ้าตัว บุคคลที่สามที่เข้ามาในห้องอย่างไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย คงจะมีคนเดียวจริงๆ โร เซวาเรส ที่เบือนหน้าจากนักฆ่าไปมองยังเจ้าชายที่ยังคงนิ่งงัน


    "ชั้นไม่เข้าใจ" คำพูดที่เรียกได้ว่าจริงใจที่สุดจากนักฆ่า เรียกให้ขอทานมากรู้หันกลับมาอีกครั้ง


    "คำสั่งจากเจ้านาย ทาสย่อมไม่มีวันขัดได้ ชั้นจะตามนายไป คาโล" ทั้งๆที่จ้องหน้าคิลอยู่แท้ๆแต่ไอ้เจ้าขอทานบ้านี่ ก็ไม่ยักตอบคำถามแถม ดันไปพูดอะไรกับคาโลที่ยิ่งฟังแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ


    "คงไม่กล้ารบกวนท่านชายแห่งเวนอล" ยิ้มเหยียดเกิดขึ้นบนมุมปากหากแต่คนฟังยังประดับรอยยิ้มกวนๆส่งมาให้ พร้อมทั้งยืนยันด้วยประโยคที่คาโลไม่คิดจะขัดอีกต่อไป


    "เจ้านายชั้น นายย่อมรู้...คาโล วาเนบลี....เธอคงฆ่าชั้นทิ้ง ถ้าไม่ทำตาม และก็อีกอย่าง ชั้นเป็นขอทานไม่ใช่ท่านชาย หวังว่านายจะเข้าใจ"  รอยยิ้มยียวนที่กวนให้อวัยวะที่ติดพื้นดินอยากทำงานเต็มพิกัด หากแต่คนฟังหัวสีเงินกลับถอนหายใจ และพยักหน้า เส้นอารมณ์สุดท้ายจึงขาดผึงในที่สุด


    "ไอ้คาโล ไอ้โร แกสองคนจะคุยกันเองอีกนานมั้ย" หลังจากถูกทิ้งให้ยืนฟังบทสนทนาที่ทำให้เค้า แทบจะบ้าตาย เพราะไม่เห็นจะมีเนื้อหาอะไรซักนิด ก็ถึงคราวที่ถ้าไม่ได้รับคำตอบ เค้าก็จะกลับไปประกอบอาชีพเดิม ที่รู้สึกยากจะหักห้ามใจในตอนนี้เสียเหลือเกิน


    "ใจเย็นสิ ท่านนักฆ่าคงไม่คิดอยากทำงานตอนเช้าหรอกนะ" ว่าจบร่างสูงของบุรุษแห่งทริสทอร์ก็เดินออกไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และก่อนที่นักฆ่าจะสติแตก คำอธิบายที่คนพูดคิดว่าคงยาวแล้วจึงตามมาให้หายสงสัย(รึเปล่า??)
     
    "ชั้นจะต้องไปสโนว์แลนด์ และจะอธิบายระหว่างทาง" ว่าจบคนพูดก็หันกลับไปจัดสัมภาระของตัวเองทิ้งให้อีกคนยังยืนค้างอยู่ในห้อง ในตอนแรกที่โกรธกลับเปลี่ยนเป็นงงจนค้าง ทั้งบทสนทนาที่ไม่เข้าใจ ทั้งการกระทำที่เรียกได้ไม่คิดจะถามก่อนเลยว่าไปด้วยมั้ย

    "นายจะให้ชั้นไปด้วย" คำตอบที่ได้รับมีเพียงสายตาที่บ่งบอกให้รู้ว่า "แล้วแต่นาย" ทำให้คิลได้แต่สบถในใจแล้วรีบออกจากห้องไปจัดข้าวของด้วยเช่นกัน

        ข้าวของส่วนตัวเพียงเล็กน้อยของเจ้าชายน้ำแข็งถูกนำมาตั้งไว้บนเตียง แววตาที่เย็นชาค่อยๆทออ่อนลงเรื่อย เมื่อนึกถึงยามเช้าเมื่อเค้าตื่นขึ้นก่อนที่คิลจะมา  หลังจากที่เขาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา สายตาเริ่มปรับแสงจนเมื่อชินตา ภาพต่างๆจึงเข้าสู่โสตประสาท ภายในห้องที่ไม่คุ้นตา ทำให้เค้าแปลกใจหัวสมองไพล่คิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งเรื่องงานประลองทั้งๆที่เขาชนะ แต่คนทรยศกลับมาทำให้คาโนวาลต้องแปดเปื้อน สติที่หลุดลอยและภาพสุดท้ายที่เหลืออยู่ในหัว ..เฟริน..

       ศีรษะเงินๆเหลียวมองรอบๆตัว พลันนึกน้อยใจเมื่อไม่เห็นคนรักที่อยู่ข้างกาย หันกลับมาจะสำรวจบาดแผลตัวเอง ก็พบว่าบาดแผลนั้นหายสนิท แต่สิ่งที่น่าแปลกใจนั้น คือร่างกายที่แอบซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มของเขานั้นเปลือยเปล่า ความงุนงงแล่นเข้ามาในใจ หากแต่สายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างบนเตียง ที่กระตุ้นความทรงจำในคืนเมื่อวานที่แสนหวานและเป็นสุขสำหรับเขาให้กลับคืนสู่สมอง ภาพต่างๆที่ชัดเจนแล่นเข้ามา เรียกรอยยิ้มที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นให้มาปรากฎบนหน้าของเจ้าชาย กลิ่นหอมหวานจากร่างหญิงคนรักยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกเมื่อเขานึกถึง ความคิดแรกในใจที่เกิดขึ้นทันทีที่เข้าใจถึงเหตุผลของคนรัก ชั้นจะไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นที่นายทำเพื่อชั้น..เฟริน...


    ร่างสูงลุกจากเตียงไปอาบน้ำและในขณะที่แต่งตัว ก็มองเลื่อนไปยังบานหน้าต่างทางขวาจากเตียง สายตานั้นทอดยาวเลยหน้าต่างนั้นออกไป คิดคำนึงถึงคนที่ตนรัก และความรักล้ำค่าที่นางมอบให้
    "รอชั้นนะ...เฟริน..แล้วชั้นจะไปรับนายกลับมา.......


    ..


    ..


    ..


    .


    .


    .


    "พร้อมแล้ว คาโล" ร่างสูงของนักฆ่าก้าวเข้ามาในห้องอีกครั้ง ปลุกให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์ตื่นขึ้น ก่อนร่างสูงของเจ้าชายจะเดินผ่านและนำนักฆ่าลงไปชั้นล่างสุด ที่ซึ่งขอทานได้รออยู่ก่อนแล้ว คาโลเดินเลยขอทานไป เพียงแต่ตอนที่เดินสวนนั้นได้ปรายตาเป็นเชิงให้รู้ว่า ออกเดินทางได้  เพียงชั่วแวบเดียวก่อนจะนำออกไปยังคอกม้า

    "แล้วคนอื่นๆล่ะ โร"  คิลเอ่ยปากถามขณะที่ผูกข้าวของบนหลังม้า ก่อนจะตวัดตัวขึ้นคร่อม


    "แยกย้ายกันแล้ว ไปสมทบกับกองทัพขององค์บาโร" ก่อนจะตวัดตัวเองขึ้นคร่อมบ้าง ทั้งสองจึงบังคับม้าให้เดินตามอีกคนที่เริ่มออกเดินไปแล้ว


    "นายอยากรู้ใช่มั้ยว่า เฟรินไปไหน" โรเอ่ยปากถามคิลเป็นครั้งแรกหลังจากที่ทั้งกลุ่มเดินทางมาด้วยความเงียบงันถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ


    "คาโล มันบอกว่ากลับ เดมอส แต่......" หากแต่ยังไม่ทันที่นักฆ่าจะพูดจบ โร ก็แทรกขึ้นมาอีกครั้ง


    "ใช่ กลับเดมอส ก่อนที่เธอจะไปได้มาออกคำสั่งชั้นไว้ก่อน"


    "แล้วคาโลรู้ได้ไงว่า เฟรินไปไหน ก็มันบอกว่า......" คำพูดชะงักไปเมื่อเห็นรอยยิ้มของโร ที่ออกจะเจือเศร้าๆอยู่ในที แต่กลบเกลื่อนได้รวดเร็ว


    "สองคนนั่น............สัญชาตญาณเป็นตัวบอก เฟรินเองก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงรู้ว่า ตัวเธอเองไม่ควรมามีเอี่ยวในสงครามภายในครั้งนี้ คงจะไม่ดีถ้าธิดาของจ้าวปีศาจมาร่วมรบ ต่อให้เป็นคู่หมั้นกัน แต่ในทางนิตินัยเธอก็ยังไม่เป็นคนของคาโนวาลมากพอที่จะมาร่วมรบด้วยได้  คาโลเองคงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี ที่แน่ๆ คงไม่อยากให้ใครใช้เฟริน เป็นเครื่องเรียกพลังปีศาจอีกครั้ง ที่ๆควรอยู่และปลอดภัยที่สุดสำหรับเฟริน ย่อมไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่งในเอเดน แต่หากคือ เดมอส..............เฟรินก็คงรอให้คาโลไปรับที่เดมอสนั่นแหละ ถ้านายยังไม่เข้าใจว่าตกลงทำไมคาโลถึงรู้ละก็นะ ไปถามเจ้าตัวเองก็แล้วกัน"

    ..


    ..


    .


    "ไอ้เจ้าพวกบ้า ประสาทที่สุด"
    เสียงที่เอาแต่ดังขึ้นในใจเมื่อดวงตาสีม่วงทอดมองไปยังสองบุรุษเบื้องหน้า คนหนึ่งก็ขี่ม้านำลิ่ว อีกคนถึงจะทิ้งท้ายไม่ห่างเค้าเท่าไหร่ แต่ไอ้อาการเงียบจนหน้าปวดหัวนี่มัน..น่านัก

    พวกเขาเดินทางมาครึ่งค่อนวันแล้วผ่ายชายแดน เดมอสและสโนว์แลนด์ คงต้องบอกว่าไอ้เจ้าชายสองคนข้างหน้ามันบ้าจริงๆ หลังจากจบบทสนทนาที่ไม่ช่วยอะไรเลยของโร สองคนนั่น ก็ควบตะบึงม้าออกพร้อมกันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ราวกับนัดกันไว้ ทำให้เค้าต้องเร่งตาม ทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่ สโนว์แลนด์ดูเหมือนปีศาจลูกครึ่งภูติหิมะเพื่อนเค้า จะหายบ้า และชะลอม้าลง แต่อย่างจนป่านนี้พวกมันยัง...


    "ไอ้คาโล...ไอ้โร แกสองคนจะเงียบกันอีกนานมั้ย" หลังจากที่เส้นขีดความอดทนสุดท้ายขาดผึง นักฆ่าจึงได้ตระโกนด่า อย่างหงุดหงิดเป็นที่สุด


    "เราจะพักที่ถ้ำข้างหน้า วันนี้หยุดพักแค่นี้ก่อน" เสียงตอบจากเจ้าชายน้ำแข็งได้ทวีความโกรธของนักฆ่า พร้อมๆกับที่เจ้าชายขอทานนั่นหันมาทางเขา


    "คิล นายใจเย็นหน่อยก็ได้ เข้าที่พักก่อนเถอะ"


    เสียงสบถดังขึ้นในลำคอ ก่อนนักฆ่าจะควบม้าตามไปแล้วมาหยุดลงที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำที่ค่อนข้างดูอับชื้น แต่ก็กว้างขวางพอควร พวกเขาลงจากม้าแล้วจูงมันเข้าไปในถ้ำ พร้อมๆกับที่โร จุดไฟเพื่อไล่ความหนาว

    "คงต้องพักที่นี่สักคืน ถ้าพายุนั่นจะสงบลงได้" ถ้อยคำจากปากเจ้าชายน้ำแข็งเรียกคิ้วให้ฉงนขึ้นตามลำดับ
    พายุ??

    "นายคงเป็นนักพยากรณ์อากาศที่ไม่ได้ความ คาโล ตอนนี้ไม่ได้มีพายุสักหน่อย" หากแต่คนฟังก็เพียงหันมาสบตาด้วย แล้วน้ำเสียงเรียบๆก็ดังขึ้น

    "สายเลือดจอมภูติ คงไม่ยากที่จะรู้เรื่องการเกิดพายุหิมะ" คนพูดที่แย้มรอยยิ้มออกเล็กน้อย พลันก็ทิ้งตัวลงข้างนักฆ่า ดวงตาสีเขียวแสนรอบรู้นั่น กำลังพราวระริก ให้คนเห็นต้องถอนใจ

    "คืนนี้จะมีพายุหิมะ ไม่รู้นานเท่าไหร่ คงต้องภาวนาอย่าให้นานเกิน2-3 วัน ไม่งั้นเราคงเดินทางต่อไม่ได้"คนฟังทั้งสอง พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนคิลจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นในที่สุด


    "ทำไมนายต้องมาสโนว์แลนด์..คาโล"


    "เวทย์ทรายหิมะ วัตถุดิบสำคัญ ก็คือทรายหิมะเวทย์ ที่แห่งเดียวที่มี ก็คือที่นี่ ฉันจะใช้มันล้างอาคมของที่ฆ่าไม่ตายของยมทูต พวกนั้น"

    "คาถาที่ใช้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ และหนึ่งในนั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ราชินี แห่งสโนว์แลนด์ และถ้าฉันเดาไม่ผิด ทรายนั่น คงจะเก็บอยู่ที่วัง" ขอทานกิตติมศักดิ์เอ่ยเสริม


    "แล้วนายคิดว่าจะเข้าไปเอามาง่ายๆงั้นสิ" คนตาสีม่วงหันมาสบด้วยความนึกสนุกขึ้นมาครัน


    "บุกวังสโนว์แลนด์ คงสนุกพิลึก"


    "เราอาจไม่ลำบากขนาดนั้น จริงมั้ยคาโล"  เสียงยียวนนิดๆ ดังมาจากขอทานคนเดิม


    "......................." มีแต่ความเงียบเป็นคำตอบ




    __________________________________________________________________

    อิอิ มาอัพตอนใหม่ให้แล้วนะเจ้าคะ คาดว่าจะไม่มีฉากหวานๆ ไปอีก 2-3ตอนเลยล่ะค่ะ เหอๆๆ แหม รอจบศึกก่อนนะเจ้าคะ แล้วจะเอาให้ละลายทั้งคนเขียนและตัวละครเลย คริคริ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×