ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เกิดเหตุ
Chapter 3 เกิดเหตุ
เรากำลังกังวลว่าไม่คนอ่านอ่ะนะ ไงถ้ามีใครอ่าน ก็โพสมาก็ดีนะคะ จะชมจะด่าแล้วแต่ค่ะ แต่ขอร้อง โพสๆกานมาบ้างน๊า...
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
โชคดี ไอ้เพื่อนยาก  ขอให้นายชนะ!!!
ถ้านายชนะแล้ว รับรองฉันเลี้ยงเหล้าไม่อั้น!!!
ฉันวางเดิมพันข้างแก เอาให้ชนะ นะเว้ย!!!
คำอวยพร (หรือเปล่า??) มากมายดังมาจากเพื่อนๆ อดีตป้อมอัศวิน ที่กู่ร้องตะโกนก้องไปพร้อมๆ
ชาวเมืองทั้งหลาย บนอัฒจรรย์ ซึ่งล้นหลามไปด้วยผู้คนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาดูการประลอง
นัดสุดท้าย นัดที่ชี้ชะตาชีวิตและความเป็นไปของคาโนวาล
ร่างสูงในอาภรณ์สีขาวสง่า ของเจ้าชาย ผู้สืบสายเลือดโดยตรงจากกษัตริย์นักรบแห่ง
คาโนวาล ก้าวขึ้นมาบนลานประลอง ผมสีเงินสะบัดพลิ้วไหว ใบหน้าราวรูปสลัก ไม่บ่งบอกสิ่งใด
สีหน้าที่ปกติเรียบเฉย จนสุดแสนจะเย็นชา ในวันนี้แทบไม่ต่างอะไรกับรูปปั้น ดวงตาสีฟ้าสวยมี
แววสงบนิ่ง และเยือกเย็น ก่อนจะหันไปเคารพประธานในพิธี
   
ด้านปะรำพิธี ครั้นองค์บาโร เห็นโอรสของตน ยามแววตาสีฟ้าสวยทั้งสองประสานกันนิ่ง
แววตาของกษัตริย์ในเวลานี้ ไม่ต่างอะไรกับพ่อธรรมดาๆ ที่มองลูกชายคนเดียวของตน ราวกับ
ความคิดของทั้งสองจะไหลผ่านโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ราวกับเหมือนรู้ได้เองว่า พระบิดา กำลัง
อวยพร แววตาทอประกายกล้าและมั่นใจเพียงชั่ววูบก่อนจะกลับมาราบเรียบดังเดิม
พลันเหลือบสายตาไปมองสตรีที่อยู่ด้านข้าง ก่อนรอยยิ้มจะทาทาบอวยพร พร้อมเสียงที่
แว่วลอยตามลมมา สดับเข้าในโสต  “โชคดีนะ คาโล”
ร่างสูงก้าวมายังกลางลานก่อนโฆษกจะเริ่มประกาศอีกครั้ง และอีกหนึ่งบุคคลที่ก้าวขึ้นมา
บุรุษนัยน์ตาสีน้ำตาล ผมยาวสีดำขลับรวบไว้ที่ท้ายทอย อาภรณ์สีดำ ตั้งแต่หัวจรดเท้า หากแต่ใบ
หน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม แตกต่างจากคาโลโดยสิ้นเชิง
“ไง คาโล ชั้นนึกอยู่แล้วว่าต้องได้เจอกับนาย”
“ ..  สวัสดี นิอาร์ล” คำทักเรียบง่ายดังออกจากปากคนพูดน้อย
“นัดนี้จะเป็นศึกนัดสุดท้ายแล้วนะครับ นัดที่ตัดสินแล้วว่าใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริง”
โฆษกยังประกาศต่อไปเรื่อย ก่อนที่กรรมการจะขึ้นมาแนะนำกติกาบนลาน
“ใช่แล้ว นัดสุดท้าย”
“นัดที่เขาจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ร่างสองร่างถอยออกจากกันทันทีที่กรรมการสั่งให้เริ่ม จากนั้นก็ยังไม่มีใครขยับเขยื้อนราวกับจะรอ
ให้อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มต้น อาวุธคู่กายถูกเรียกมาไว้ในมือ หากแต่ผู้เป็นเจ้าของยังคงนิ่งเฉย  แววตา
ประสานกับคนตรงหน้า ไม่มีแววสะทกสะท้านเมื่อคนตรงหน้าพยายามเหยียดยิ้มยั่ว ความรู้สึกนั้น
ถูกกักเก็บไว้ภายใต้หน้ากากฟาโรห์ที่เพียรร่ำเรียนมา
    “ถ้ารอให้นายเริ่ม ฉันคงเมื่อยตายก่อน”  รอยยิ้มที่ยังประดับอยู่บนใบหน้าเบ้ลงเล็กน้อยเมื่อ
คนถูกท้าไม่สนองตอบ “เฮ้อ!!! งั้นข้าคงต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน สินะ”
ร่างตรงหน้าหายวับไปพริบตา ก่อนปรากฎเบื้องหน้า ดาบใหญ่ยาวสีดำ เงื้อขึ้นหมายฟาดฟัน
เคร้ง!!!
ดาบใหญ่ต้องสะท้อนถอยกลับเมื่อปะทะกับ ดาบเรียวยาว ความแปลกใจบังเกิดขึ้น กับคู่ต่อสู้ และในหมู่ผู้คนทั้งหลายที่นั่งดูการประลอง หากแต่ต้องรีบตั้งสติเมื่ออีกฝ่ายเริ่มบุกบ้างแล้ว วิถีแห่งดาบที่แปลกนักบวกกับดาบเล่มบางตรงหน้า ที่ไม่เคยพบเห็น เรียกเลือดให้ไหลซึมออกมาตามบาดแผล ตามแนวผ้าที่ขาดวิ่น
“เจ้าทำให้ข้าแปลกใจนัก คาโล ดาบนั่น .”  คำถามที่ยังไม่จบประโยคหากแต่อีกหนึ่งบุรษกลับตอบเสียก่อน
“เซเชล ดาบแห่งมนตรา” 
ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เสียงดาบกระทบกันดังกังวานสะท้อนไปทั่วอัฒจรรย์ การต่อ
สู้ที่เริ่มดุเดือดขึ้น เมื่ออีกฝ่ายก็ไม่น้อยหน้าสามารถเรียกเลือด ออกมาจากคู่ต่อสู้ได้เช่นกัน แม้ว่า
คาโลจะสามารถใช้ดาบได้เก่งขึ้นมาก หากแต่คนตรงหน้าฝีมือก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย เมื่อสติถูกเรียก
คืน ความมั่นใจเริ่มกลับมา เพลงดาบที่แม้จะยังคาดการณ์ไม่ได้ แต่ความรวดเร็วนั้น ทำให้สามารถหลบหลีก และโจมตีกลับได้เช่นกัน
เคร้ง!!  ฉัวะ!!!
หลังจากที่ผลัดกันรุกไล่อยู่นาน เสียงที่ทำให้คนดูแทบลืมหายใจ เมื่อราวกับเสียงคมดาบตัดผ่าน
เฉือนเนื้อ ราวกับเวลาไม่คิดที่จะรอ เมื่อคาโลเป็นฝ่ายทรุด มือใหญ่กุมสีข้างที่บัดนี้ เป็นรอยแผล
แม้จะแค่เฉียดๆ แต่ก็เรียกเลือดออกมาได้เหมือนกัน ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง
แล้วคาโลก็เอามือสอดเข้าไปในเสื้อของตน ตรงบริเวณบาดแผล ก่อนจะนำเลือดที่ติดอยู่ปลายนิ้ว
วาดอักขระ จารึกไปบนปลายดาบ เมื่อพึมพำบางอย่าง เซเชลก็เปล่งแสงทอประกายสีฟ้าใส สว่าง
หากแต่นวลตา ก่อนจะอ่อนลงจนหมดไปในที่สุด
“เซเชล  ดาบอาคมหนึ่งในของวิเศษสองชิ้น ที่อดีตจอมราชินีแห่งสโนว์แลนด์สร้างขึ้น อาบแสง
จันทร์มานานถึงสามพันราตรี หลอมไว้ด้วยเวทย์มนตร์ศักดิ์สิทธิ์ราวห้าร้อยบท”  คำอธิบายนี้
จะมาจากใครเป็นไม่ได้นอกจากขอทานผู้รอบรู้ “โร เซวาเรส”  ที่ไม่รู้ว่ามันขึ้นมายืนข้างหลังเธอ
ตอนไหน “สร้างขึ้นจากมนตร์พิเศษเฉพาะภูติ ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งก็ว่าได้” โรเอ่ยยิ้มๆ
“การจะตรามนตร์เลือดลงไปบนดาบแบบนั้นได้ จะช่วยเรียกพลังที่แท้จริงของดาบออกมา และการ
ที่คาโลใช้เลือดตัวเองเป็นกุญแจในการเรียกพลัง แสดงว่าคาโลกับดาบต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกัน  ”
ขอทานเอ่ยเสริม เมื่อเห็นสองคนตรงหน้า ยังคงทำสีหน้าไม่เข้าใจนัก
“แล้วคาโลมันได้มาได้ไงวะ ไม่เคยเห็นมันจะใช้มาก่อนเลย” เฟรินกล่าว พร้อมๆกับที่นักฆ่าพนักหน้าเป็นเชิงว่าตนก็อยากรู้
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ไง แกไม่ไปถามคาโลเองล่ะ”  พร้อมยิ้วยั่วใส่คนตรงหน้าที่แยกเขี้ยวรับและ
พร้อมจะจู่โจมได้ทุกเมื่อ หากแต่เสียงจากการประลองด้านล่างนั้น ดึงดูดความสนใจมากกว่า
การประลองยิ่งรุนแรงมากขึ้น เมื่อเสียงเชียร์และโห่ร้องจากอัฒจรรย์ดังกระหึ่ม ละอองและไอแห่ง
การเข่นฆ่าแผ่กระจายไปทั่ว เมื่อคาโลและนิอาร์ลผลัดกันรุกและรับ บาดแผลตามตัวเกิดขึ้นมากมาย
เลือดเริ่มไหลพอๆกับเหงื่อที่เริ่มท่วมกายของทั้งสอง และดูเหมือนคาโลจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเล็ก
น้อย จากความหนักหน่วงและรุนแรงของดาบที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อของเจ้าชายน้ำแข็ง
เมื่อนิอาร์ลกระโดดโจมตีจากด้านบน พร้อมวาดดาบลงมา คาโลก็ยกเซเชลกันขึ้นในระยะประชิด แล้ววาดเท้าเตะไปที่สีข้างของอีกฝ่าย หากแต่คู่ต่อสู้หลบได้ทัน ก่อนจะถอยไปตั้งหลักอีกครั้ง
พลางถีบเท้าพุ่งสุดตัว ลมรอบกายเริ่มหมุนวนเข้ามาที่ปลายดาบก่อนจะจ้วงทะลวงไปยังเจ้าชาย
น้ำแข็ง ที่ตัดสินใจวาดเพลงดาบเข้ามาตัดสินเช่นกัน เพลงดาบสุดท้ายของเจ้าชายน้ำแข็ง นุ่มนวล
คมดาบร่อนรวดเร็ว เงียบกริบ พลิ้วไหวราวสายนที ก่อนภาพสุดท้ายที่ทุกคนได้เห็นเมื่อทั้งสองเข้า
ปะทะกัน เสียงราวกับระเบิดดังขึ้น ตามมาด้วยหมอกควันหนากรุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว  ทุกคนราวกับ
หยุดลม หายใจเมื่อ ลุ้นสิ่งที่จะปรากฏออกมาเบื้องหน้า ฝุ่นควันยังคงหนาทึบ เกินกว่าจะมองเห็นสิ่ง
ใด มือของหลายๆคนกำแน่นจนขึ้นข้อขาว ใจเต้นระทึก ระรัวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง
เมื่อฝุ่นเริ่มจางลง เงาลางๆของใครบางกำลังขยับ ก่อนสิ่งที่บดบังจะจางหายไปจนหมด ภาพที่สะท้อนเข้ามาในจักษุ ภาพแรก
ภาพของหนึ่งชายกำลังจ่อไปปลายดาบไปยังคอของอีกฝ่าย ก่อนเสียงเชียร์จะดังกระหึ่มเมื่อคนที่ตก
เป็นเบี้ยล่างกล่าวยอมแพ้
“เสียใจด้วยนะ คาโล วาเนบลี” 
.
.
..
..
..
“ที่นายไม่ฆ่าฉันตอนนี้”  คำกล่าวที่ทำให้คนที่เดินจากไปต้องฉงน เมื่อตัดสินใจถอนปลายดาบออก
จากคอของคู่ต่อสู้ หลังจากกำชัยเป็นที่เรียบร้อย
“ฉันไม่ชอบฆ่าคน”  เสียงเรียบๆดังออกมา พร้อมๆกับที่เตรียมจะเดินจากไปอีกครั้ง
“เพราะงั้น ถึงได้บอกว่านาย จะต้องเสียใจ คาโล วาเนบลี”
เพล้ง!!! 
..
.
..
เสียงของบางอย่างกระทบพื้น พร้อมๆฝุ่นผงสีดำกระจายเต็มพื้น พลันบังเกิดวงล้อมนตราขนาดใหญ่
บนพื้น  ใหญ่เสียจนไม่รู้ว่าที่ใดเป็นส่วนปลาย หากแต่ดูเหมือนว่า จุดศุนย์กลางของมันจะเป็นที่นี่
ก่อนจะส่งประกายแสงดีดำทมิฬขึ้นมา พร้อมๆกับคำบริกรรมคาถาที่เกิดขึ้น
“ข้าแต่จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ดูดซับวิญญาณและความตาย จงกลืนกินความริษยา อาฆาต และความมืด
ในจิตใจมนุษย์เพื่อเป็นพลังในการเปิดประตู ให้เหล่าผู้หิวกระหายความตายกลับคืนชีพ ขอจงให้ความมืดบดบัง
แสงสว่าง ให้อนธกาลเข้าครอบคลุมดินแดน เปลวไฟโลกันตร์จงแผดเผาศัตรู กระจ้อยร่อยผู้อาจหาญ
มาลองฤทธิ์ พร้อมทั้งเปิดผนึกแห่งวิญญาณ ให้เหล่าผู้คุมทั้งหลาย อยู่ใต้ข้าบัญชา  ด้วยกุญแจหล่อเลี้ยงความตาย
ซึ่งข้ามอบให้ท่าน”
เพล้ง!!!  ขวดแก้วบรรจุของเหลวสีสด ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดแตกกระจายลงบนพื้น
“รีซูเล็คชั่น เดท”
เสียงกรีดร้องแหลมราวถูกเชือด พร้อมๆกับที่วงล้อมนตราเปล่งแสงขึ้นมา ไอมนตร์สีดำ ลอยคละคลุ้ง ราวกับจะ
ประกาศศึกให้ได้รู้โดยทั่วถ้วน ร่างบางบนอัฒจรรย์กำลังกระตุกอย่างประหลาด เลือดสูบฉีดพล่านอย่างคุมไม่อยู่
ความร้อนพุ่งขึ้นถึงขีดสุด พลันบังเกิดการบีบรัดอย่างรุนแรง ราวกับร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ  ภาพสุดท้ายที่
นักฆ่าข้างกายเห็น คือ เพื่อนรัก ร่วงหล่นลงไปจากอัฒจรรย์
“เฟริน” เสียงร้องตะโกนกึกก้อง ทำให้ใจใครบางคนต้องไหววูบ เมื่อมองไปทางด้านหลัง ภาพที่เห็นแทบจะทำให้ขาดใจตายไปเดี๋ยวนั้น ภาพหญิงสาวคนรักฟุบลงไปกับพื้น พร้อมกับกระตุกขึ้นมาอย่างแรง เสียงกรีดร้องราวกับหัวใจถูกฉีกกระชาก เลือดข้นกระอักออกมาจากปาก เสื้อผ้าชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของตนเอง เมื่อร่างสูงคิดที่จะขยับตัวดาบสีดำเล่มใหญ่ก็มาวางพาดไว้บนลำคอ
“ต้องขอบใจ เจ้าหญิงนั่นและแกด้วย เพราะถ้าไม่ใช่เพราะแก ธิดาแห่งความมืดก็คงไม่โผล่ออกมาที่นี่” คำพูดกลั้ว
เสียงหัวเราะอย่างมีชัยดังขึ้น  “สิ่งสุดท้ายในการทำพิธี ปลุกเหล่ายมฑูตแห่งความตาย ก็คือนาง”  แววตาของคนที่
เคยยั่ว บัดนี้ฉายแววโหดเหี้ ย ม อำมหิตอย่างปิดไม่มิด รอยยิ้มชั่วร้ายกระตุกขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะรีบถอยแทบไม่
ทันเมื่อหอกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาขวางดาบและแทงใส่ไม่ยั้ง ไอเวทย์จำนวนมหาศาลแผ่กระจายไป
ทั่ว ขนที่คอลุกซู่โดยอัตโนมัติ พร้อมกับอาการเกร็งที่เกิดขึ้นยามเมื่อมองสบไปยังคนตรงหน้า ที่บัดนี้ แววตาสีฟ้า
สวยหม่นจนกลายเป็นสีเทา ความเย็นยะเยียบแผ่กระจายพร้อมพายุหิมะที่พัดโหม กระหน่ำ ดวงหน้าไม่แสดงถึง
อารมณ์ใดๆทั้งสิ้น รอยยิ้มเครียดๆปรากฏขึ้นบนดวงหน้าเคร่งของอีกฝ่าย เมื่อเจอกับสถานการณ์ตรงหน้าที่เขาลืม
ไปเสียสนิท เมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเก็บอารมณ์ได้แนบเนียนสุดสติแตก เผยธาตุแท้ที่น้อยคนนักจะเจอ  และต้องขวัญ
ผวา เมื่อรู้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า “พ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล กลับคืนชีพ”
“แย่ แย่ที่สุด” คำบริภาษในใจของนักฆ่า ดังขึ้นเป็นชุด เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าเสี่ยงที่สุด ไอ้พ่อมด
ปีศาจนั่นมันดันคลั่ง แถมคนเดียวที่น่าจะเรียกสติได้ กลับนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนี้ ที่น่าแปลกคือ เหมือนกับว่า
เลือดจะค่อยซึมลงไปในดิน ราวกับถูกอะไรบางอย่างดูดไป แต่ต้องทิ้งความสงสัยไว้เมื่อ ชีวิต คนตรงหน้าสำคัญ
กว่า บรรยากาศที่ตอนนี้ทั้งมืดมน และหนาวเหน็บตีกันจนมั่ว  พลันดวงตาต้องเบิกกว้างขึ้น เมื่อเสื้อคลุมสีดำนับ
ร้อย ไม่สิ!! นับพันเลยต่างหาก โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน กลายเป็นร่างสูงขนาด 2 ฟุต เต็มไปหมด พร้อมเคียวเกี่ยว
วิญญาณยาวราว 3 ฟุตที่ปรากฏขึ้นในมือ ก่อนเหล่าผู้กระหายความตายจะบินว่อนไปทั่ว ปะทะกับทหารรักษา
การณ์ เพียงแค่ตวัดปลายเคียวเล็กน้อยทหาร ราวห้าถึงสิบนายก็มีอันคอขาดกระเด็น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว
เหล่าผู้คนทั้งหลานบนอัฒจรรย์กรีดร้องระงม ดังก้องไปทั่ว สร้างความหฤหรรษ์ให้แก่ภูติจากนรก พร้อมเกม
สนุกๆในความคิดของพวกมัน “เกมไล่ฆ่ามนุษย์”
“คะ คิล กะ เกิด อะไรขึ้น” ร่างบางในอ้อมแขนเริ่มขยับตัว พร้อมกับไอเป็นเลือด กลิ่นคาวเลือดลอยออกมาจาก
ปาก ดวงหน้าซีดขาวไร้สี ไรผมสีน้ำตาลเปียกชื้น เสียงปนหอบดังขึ้นอีกครั้ง
“ตอบสิคิล เกิดอะไรขึ้น”  แววตาสีม่วงที่บัดนี้ดูว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัด หากแต่เสียงที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้รู้สึกตัว
“ถ้าเป็นยมฑูตพวกนั้น แกกับเฟรินได้เป็นซากศพแน่ๆ” เสียงกวนๆจากขอทานกิตติมศักดิ์ดังขึ้น ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ตลอดเวลาบัดนี้ไม่เหลือเค้าของคนรักสนุกอีกต่อไป ความเครียดฉายขึ้นมาเด่นชัด พร้อมๆกับเดินมาคุกเข่าข้างๆ
คนเจ็บ พร้อมทั้งตรวจดูอาการ
“คิล แกอุ้มเฟรินขึ้นมา ไม่งั้นมันคงโดนดูดพลังจนแห้งหมดตัว” พลางมองสบไปยังนักฆ่าที่ทำตามแต่โดยดี
ก่อนจะหันมองไปรอบๆตัว พร้อมทั้งสบถออกมาอย่างที่คนอย่างเจ้าขอทานไม่มีวันทำถ้าไม่เหลืออดจริงๆ
“เจ้าบ้านั่นใช้พลังความมืดในตัวเฟริน ปลุกไอ้เจ้าพวกนั้นขึ้นมา ก่อนจะมองไปยังเหล่าคนในผ้าคลุมสีดำ ที่ยังคง
ไล่ล่า มนุษย์อยู่รอบๆอัฒจรรย์”
“อะไร ตัวอะไร” เฟรินถามเสียงค่อยเพราะแทบจะไม่มีแรงเหลือ หากแต่ขอทานตัวดีไม่ตอบ
“คิล นี่ถือว่าฉันขอร้องเลย นายรีบพาเฟรินหนีไป เจ้าพวกนี้ดูดซับพลังของเฟริน ขืนอยู่ต่อนอกจากเฟรินจะแย่
แล้ว พวกมันจะยังเข้มแข็งขึ้นด้วย ทางที่ดี ออกไปจากเขตคาโนวาลเลย ไม่ต้องถาม พอจบแล้วฉันจะอธิบายให้
ฟัง ถ้ารอดออกไปได้นะ”  สองประโยคหลังไม่ได้สร้างความกระจ่างขึ้นมาเลย แถมประโยคสุดท้ายยังทิ้งไว้ให้
ต้องคิดหนักเสียอีก พลันร่างของคนจากทริสทอร์ ก็ปล่อยไอดำทมึนออกมา อากาศเริ่มแยกออกเป็นช่องว่างสีดำ
พอมันเปิดได้กว้างพอสมควร โรก็ดันทั้งสองคนเข้าไปในนั้น ก่อนเสียงสุดท้ายจะตามมาเมื่อรอยแยกนั้นเริ่มกลับ
มาสมานดังเดิม
“ชั้นไปช่วยคนอื่นๆก่อน  เสร็จแล้วจะตามไป”  หลังจากส่งสองคนนั้นออกไปนอกเมืองด้วยช่องว่างแห่งมิติ
โร เซวาเรส ก็พุ่งตัวขึ้นไปยังอัฒจรรย์ บริเวณเดียวกับที่ตอนนี้ อดีตเหล่าคนในป้อมอัศวินกำลังรับมืออยู่กับไอ้ตัว
ประหลาดตรงหน้า เหล่านักบวชดูท่าจะรับมือได้ดีกว่าพวกอื่นเมื่อใช้เวทย์แห่งแสง แต่กับอีกหลายๆคนที่ต้องต่อสู้
ในระยะประชิด ก็แทบจะไม่ไหวเหมือนกัน เสียงบริกรรมคาถาดังมาจากแม่มดสาว ก่อนร่างของยมฑูตจะระเบิด
สลายกลายเป็นเถ้าสีดำ ปลิวว่อน ทางด้านเจ้าหญิงนักรบก็ดูท่าจะไม่ไหว
“ฟู่!! ร่างตรงหน้าสลายไป พร้อมกับที่เจ้าขอทานโผล่ขึ้นมา “ขอบใจ โร” เสียงห้าวสั่นเล็กน้อยจากความเหนื่อย
เมื่อต้องปะทะกับเหล่าปีศาจที่ดูเหมือนจะไม่ลดจำนวนลงไปเลย แม้ว่าจะจัดการไปเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที
พลันขอทานเหมือนจะคิดอะไรได้ แต่ก็ส่ายหน้าในที่สุดเมื่อรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้
“เฮ้ย โร แกมีวิธีกำจัดไอ้พวกนี้ไม่วะ ตายยากชิบ” เสียงตะโกนดังมาจากครี๊ด บุรุษนัยน์ตาเดียวที่ตอนนี้รับเคียว
เล่มใหญ่ที่วาดเข้ามาอย่างสุดกำลัง พร้อมๆกับที่เจคกระโจนไปตัดคอของปีศาจตนนั้นกระเด็น แล้วกลายเป็นธุลี
เช่นกัน ขอทานมากเล่ห์ไม่ตอบพลางมองไปยังฝุ่นผงสีดำ ที่ปลิวลอยไปเมื่อสักครู่ พร้อมทั้งเบิกตากว้างเมื่อฝุ่นผงนั้น กลับกลายมาเป็นเหล่ายมฑูตอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับมาสองตัว ซึ่งหมายความว่ายิ่งฆ่าก็ยิ่งเพิ่มจำนวนพวก
มันเท่านั้น “บัดซบที่สุด” เสียงสบถดังออกมาจากปากคนใจเย็นอย่างลืมตัว พลางทบทวนสิ่งที่อยู่ในหัวทั้งหมด
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ครั้นมองไปยังเหล่านักบวชของป้อม ที่บัดนี้ดูเหนื่อยอ่อน หากแต่เมื่อใช้เวทย์แห่งแสง เจ้า
พวกปีศาจพวกนั้นไม่ยักจะคืนชีพ ความคิดบางอย่างเริ่มไหลผ่านพร้อมทั้งออกคำสั่งชี้ขาด
“เจ้าพวกนี้มันคืนชีพได้ พวกเราไม่มีทางชนะ” เรียกให้สายตาทุกคู่ของเพื่อนๆหันมามอง
“แล้วจะให้ทำไงล่ะ” เจ้าชายอาชูร่าถามขึ้นบ้าง
“พวกนาย” พลางมองสบไปทางเหล่านักบวชของป้อม “คิดว่าจะใช้เวทย์แห่งแสงได้นานแค่ไหน”
“นายจะให้พวกเรากางวงเวทย์” ซีบิลถามขึ้น พร้อมๆ กับที่ โร พยักหน้า “เยอะขนาดนี้ น่าจะราวๆ 10 นาที”
“15 ได้ไหม ไม่งั้นชั้นอาจเปิดช่องว่างไม่ทัน”
“นี่ นายหมายความว่า .จะหนีอย่างนั้นหรอ” เสียงของหญิงเหล็กแห่งอเมซอนดังขึ้น
“นี่เป็นทางเดียว ชั้นจะส่งพวกนายไปสมทบกับ คิล และ เฟริน ไม่งั้นเราอาจจะไม่รอด ถอยไปตั้งหลักก่อน เรา
ต้องหาวิธีมากำจัดพวกมัน ชั้นทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว” คำพูดจนหนทางดังออกมาจากปากคนที่เหล่า
เพื่อนพ้องไม่คิดว่าคนอย่างมันจะเอ่ยออกมา สีหน้าและแววตาที่ยังคงเด็ดเดี่ยวต้องอ่อนลงเมื่อรับรู้ได้ว่าหนทาง
ข้างหน้าอับจนเพียงใด หากแต่ดวงตาก็กลับแข็งกร้าวขึ้นมาทันใดเมื่อรู้ว่า ยังไงซะมันต้องมีทางออก
“ส่วนคาโล พวกนายไม่ต้องเป็นห่วง ชั้นจะไปพาตามไปทีหลัง” โรเอ่ยขึ้น แต่แววตาที่สบกลับมาของเพื่อนๆนั้น
ดูไม่แน่ใจเท่าไหร่นักเมื่อ อดีตหัวหน้าป้อมตอนนี้กลายเป็นพ่อมดปีศาจไปแล้ว
“เชื่อฉัน ไงซะหมอนั่นมันไม่ตายง่ายๆหรอก”  แกนั่นแหละจะตายก่อน ความคิดในใจของหลายคนเกิดผุดขึ้นพร้อมกันโดย
ไม่ได้นัดหมาย
“ไปซะ อย่ามัวเสียเวลา กัส ซีบิล เอ็ดเวิร์ดเริ่มได้เลย” คำสั่งสุดท้ายไปยังเพื่อนพ้องนักบวชที่บัดนี้ยืนล้อมเหล่า
พวกคนในป้อมเรียบร้อย บทสวดกำลังหลั่งไหลออกมาจากปาก แสงสีขาวสว่างใสบริสุทธิ์กำลังโอบล้อมเหล่า
เพื่อนพ้องพร้อมๆกับโรที่เริ่มเปิดช่องว่างแห่งมิติ
อีกนิดเดียว!!  อีกนิดเดียว!!  ไปได้!!  เสียงดังมาจากปากขอทานก่อนเหล่าพวกป้อมอัศวินที่รีบวิ่งเข้าไปยังช่องว่าง
นั้นทีละคนๆ จนเหลือแต่พวกนักบวช “พวกนายก็ด้วย”
“แต่ว่า..” เสียงขัดมาจาก กัส
“ไม่มีแต่ รีบไป ไม่ต้องห่วง บอกแล้วไง” ร่างสามร่างก็หายไปพร้อมๆกับที่วงล้อเวทย์ศักดิ์สิทธิ์จางลงในที่สุด
เหลือเพียงบุรุษนัยน์ตาสีมรกตเพียงผู้เดียว ร่างสูงแน่นิ่งไม่ไหวติง ราวกับยอมรับเหตุการณ์ที่จะเกิดเบื้องหน้า
กรี๊ด!!!
ตูม!!
เสียงกรีดร้องจากนางสนองโอษฐ์ทั้งหลายบนปะรำพิธี ที่ต่างพากันหนีเอาชีวิตรอด หากแต่ไม่สามารถไปได้ไกล
สักเท่าไหร่ เมื่อเคียวปลิดวิญญาณวาดฉับ ร่างทั้งร่างก็แยกออกเป็นสองส่วน
เคร้ง!!  ฉัวะ!!
ภาพที่ปรากฎแก่สายตาเวลานี้คือดวงหน้าเคร่งขรึมของผู้เป็นใหญ่แห่งคาโนวาล ดวงหน้าที่เคยสงบราบเรียบ
บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเครียดจัด แววตาสีฟ้าสวยแม้จะไร้ซึ่งความขลาดกลัว แต่ก็กลับแฝงรอยกังวลไว้ลึกๆ
ภาพว่าที่พระสุนิสาร่วงหล่นลงไป กับลูกชายตนเองกลายเป็น พ่อมดปีศาจทำให้ใจของคนที่ได้ชื่อว่าพ่อแทบ
คลั่ง แม้องค์บาโรจะเก่งกาจสักเพียงใด หากแต่คู้ต่อสู้ที่ไม่มีวันตายแล้วนั้น ก็คงยากที่จะต่อกร เพลงดาบปราบมาร
วาดลวดลายได้อย่างงดงาม เข้มแข็งประดุจเดียวกับเจ้าของวิชา หากแต่ศัตรูตรงหน้า กลับฟื้นคืนมาอย่างไม่รู้จบ
ร่างกายเริ่มอ่อนล้า โลหิตไหลท่วมจากบาดแผล เมื่อต้องรับมือเพียงคนเดียว ด้วยเหตุที่ว่า ทหารรักษาพระองค์ทั้ง
หลาย นอนสิ้นใจอยู่แทบเท้าหากแต่ยังไม่คิดที่จะได้ตัดสินใจอะไร ร่างของบุรุษผมสีชา นัยน์ตาสีเขียวกลับมา
ปรากฏอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับสายตา ที่เรียกได้ว่าไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดมา ช่างคล้ายกับใครบางคนที่เขารู้จักดียิ่งนัก
“ฝ่าบาท เรารับมือไม่ไหวแน่ๆ ยังไงตอนนี้ต้องถอยก่อน” คำเรียกร้องถูกส่งมาเป็นประโยคแรก
“ไม่มีทาง ข้าไม่มีวันทิ้งคาโนวาลไปเด็ดขาด” สุรเสียงกร้าวขัดขึ้น
“แต่เราไม่สามารถจัดการพวกมันได้ท่านก็รู้” เป็นครั้งแรกที่ขอทานมากเล่ห์เอ่ยคำพูดที่เหมือนกับสิ้นหวัง
“ถึงกระนั้นข้าก็ไม่ไป ข้าจะไม่มีวันหนีเด็ดขาด”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น .หม่อมฉันขออภัย” ราวกับแสงวิ่งตัดผ่าน กายของขอทานตรงหน้าหายวับ พร้อมๆกับดาบที่
จู่โจมเข้าฟาดฟัน แรงดาบที่หนักหน่วงและการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ต่อให้เป็นองค์บาโร ก็เสียหลักเช่นกัน
โร เซวาเรสใช้โอกาสนี้ เปิดประตูมิติเล็กๆสำหรับหนึ่งคน ก่อนวาดเท้าถีบองค์บาโรกระเด็นเข้าไปยังช่องว่างนั้น
“เหลือ อีกหนึ่ง ให้ตายสิ”
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เอาไปเท่านี้ละกันนะเจ้าคะ ขออภัยที่มาอัพช้า อิอิ เราทำงานด้วยน่ค่ะ
เลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไรนัก ขอตัดตอนเอาแค่นี้เลยละกัน คือ ไว้เด๋วขึ้นตอนใหม่ให้
ไงก็ติชมมาได้นะคะ ไปละคร่า
________________________________________________________
เรากำลังกังวลว่าไม่คนอ่านอ่ะนะ ไงถ้ามีใครอ่าน ก็โพสมาก็ดีนะคะ จะชมจะด่าแล้วแต่ค่ะ แต่ขอร้อง โพสๆกานมาบ้างน๊า...
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
โชคดี ไอ้เพื่อนยาก  ขอให้นายชนะ!!!
ถ้านายชนะแล้ว รับรองฉันเลี้ยงเหล้าไม่อั้น!!!
ฉันวางเดิมพันข้างแก เอาให้ชนะ นะเว้ย!!!
คำอวยพร (หรือเปล่า??) มากมายดังมาจากเพื่อนๆ อดีตป้อมอัศวิน ที่กู่ร้องตะโกนก้องไปพร้อมๆ
ชาวเมืองทั้งหลาย บนอัฒจรรย์ ซึ่งล้นหลามไปด้วยผู้คนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาดูการประลอง
นัดสุดท้าย นัดที่ชี้ชะตาชีวิตและความเป็นไปของคาโนวาล
ร่างสูงในอาภรณ์สีขาวสง่า ของเจ้าชาย ผู้สืบสายเลือดโดยตรงจากกษัตริย์นักรบแห่ง
คาโนวาล ก้าวขึ้นมาบนลานประลอง ผมสีเงินสะบัดพลิ้วไหว ใบหน้าราวรูปสลัก ไม่บ่งบอกสิ่งใด
สีหน้าที่ปกติเรียบเฉย จนสุดแสนจะเย็นชา ในวันนี้แทบไม่ต่างอะไรกับรูปปั้น ดวงตาสีฟ้าสวยมี
แววสงบนิ่ง และเยือกเย็น ก่อนจะหันไปเคารพประธานในพิธี
   
ด้านปะรำพิธี ครั้นองค์บาโร เห็นโอรสของตน ยามแววตาสีฟ้าสวยทั้งสองประสานกันนิ่ง
แววตาของกษัตริย์ในเวลานี้ ไม่ต่างอะไรกับพ่อธรรมดาๆ ที่มองลูกชายคนเดียวของตน ราวกับ
ความคิดของทั้งสองจะไหลผ่านโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ราวกับเหมือนรู้ได้เองว่า พระบิดา กำลัง
อวยพร แววตาทอประกายกล้าและมั่นใจเพียงชั่ววูบก่อนจะกลับมาราบเรียบดังเดิม
พลันเหลือบสายตาไปมองสตรีที่อยู่ด้านข้าง ก่อนรอยยิ้มจะทาทาบอวยพร พร้อมเสียงที่
แว่วลอยตามลมมา สดับเข้าในโสต  “โชคดีนะ คาโล”
ร่างสูงก้าวมายังกลางลานก่อนโฆษกจะเริ่มประกาศอีกครั้ง และอีกหนึ่งบุคคลที่ก้าวขึ้นมา
บุรุษนัยน์ตาสีน้ำตาล ผมยาวสีดำขลับรวบไว้ที่ท้ายทอย อาภรณ์สีดำ ตั้งแต่หัวจรดเท้า หากแต่ใบ
หน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม แตกต่างจากคาโลโดยสิ้นเชิง
“ไง คาโล ชั้นนึกอยู่แล้วว่าต้องได้เจอกับนาย”
“ ..  สวัสดี นิอาร์ล” คำทักเรียบง่ายดังออกจากปากคนพูดน้อย
“นัดนี้จะเป็นศึกนัดสุดท้ายแล้วนะครับ นัดที่ตัดสินแล้วว่าใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริง”
โฆษกยังประกาศต่อไปเรื่อย ก่อนที่กรรมการจะขึ้นมาแนะนำกติกาบนลาน
“ใช่แล้ว นัดสุดท้าย”
“นัดที่เขาจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ร่างสองร่างถอยออกจากกันทันทีที่กรรมการสั่งให้เริ่ม จากนั้นก็ยังไม่มีใครขยับเขยื้อนราวกับจะรอ
ให้อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มต้น อาวุธคู่กายถูกเรียกมาไว้ในมือ หากแต่ผู้เป็นเจ้าของยังคงนิ่งเฉย  แววตา
ประสานกับคนตรงหน้า ไม่มีแววสะทกสะท้านเมื่อคนตรงหน้าพยายามเหยียดยิ้มยั่ว ความรู้สึกนั้น
ถูกกักเก็บไว้ภายใต้หน้ากากฟาโรห์ที่เพียรร่ำเรียนมา
    “ถ้ารอให้นายเริ่ม ฉันคงเมื่อยตายก่อน”  รอยยิ้มที่ยังประดับอยู่บนใบหน้าเบ้ลงเล็กน้อยเมื่อ
คนถูกท้าไม่สนองตอบ “เฮ้อ!!! งั้นข้าคงต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน สินะ”
ร่างตรงหน้าหายวับไปพริบตา ก่อนปรากฎเบื้องหน้า ดาบใหญ่ยาวสีดำ เงื้อขึ้นหมายฟาดฟัน
เคร้ง!!!
ดาบใหญ่ต้องสะท้อนถอยกลับเมื่อปะทะกับ ดาบเรียวยาว ความแปลกใจบังเกิดขึ้น กับคู่ต่อสู้ และในหมู่ผู้คนทั้งหลายที่นั่งดูการประลอง หากแต่ต้องรีบตั้งสติเมื่ออีกฝ่ายเริ่มบุกบ้างแล้ว วิถีแห่งดาบที่แปลกนักบวกกับดาบเล่มบางตรงหน้า ที่ไม่เคยพบเห็น เรียกเลือดให้ไหลซึมออกมาตามบาดแผล ตามแนวผ้าที่ขาดวิ่น
“เจ้าทำให้ข้าแปลกใจนัก คาโล ดาบนั่น .”  คำถามที่ยังไม่จบประโยคหากแต่อีกหนึ่งบุรษกลับตอบเสียก่อน
“เซเชล ดาบแห่งมนตรา” 
ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เสียงดาบกระทบกันดังกังวานสะท้อนไปทั่วอัฒจรรย์ การต่อ
สู้ที่เริ่มดุเดือดขึ้น เมื่ออีกฝ่ายก็ไม่น้อยหน้าสามารถเรียกเลือด ออกมาจากคู่ต่อสู้ได้เช่นกัน แม้ว่า
คาโลจะสามารถใช้ดาบได้เก่งขึ้นมาก หากแต่คนตรงหน้าฝีมือก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย เมื่อสติถูกเรียก
คืน ความมั่นใจเริ่มกลับมา เพลงดาบที่แม้จะยังคาดการณ์ไม่ได้ แต่ความรวดเร็วนั้น ทำให้สามารถหลบหลีก และโจมตีกลับได้เช่นกัน
เคร้ง!!  ฉัวะ!!!
หลังจากที่ผลัดกันรุกไล่อยู่นาน เสียงที่ทำให้คนดูแทบลืมหายใจ เมื่อราวกับเสียงคมดาบตัดผ่าน
เฉือนเนื้อ ราวกับเวลาไม่คิดที่จะรอ เมื่อคาโลเป็นฝ่ายทรุด มือใหญ่กุมสีข้างที่บัดนี้ เป็นรอยแผล
แม้จะแค่เฉียดๆ แต่ก็เรียกเลือดออกมาได้เหมือนกัน ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง
แล้วคาโลก็เอามือสอดเข้าไปในเสื้อของตน ตรงบริเวณบาดแผล ก่อนจะนำเลือดที่ติดอยู่ปลายนิ้ว
วาดอักขระ จารึกไปบนปลายดาบ เมื่อพึมพำบางอย่าง เซเชลก็เปล่งแสงทอประกายสีฟ้าใส สว่าง
หากแต่นวลตา ก่อนจะอ่อนลงจนหมดไปในที่สุด
“เซเชล  ดาบอาคมหนึ่งในของวิเศษสองชิ้น ที่อดีตจอมราชินีแห่งสโนว์แลนด์สร้างขึ้น อาบแสง
จันทร์มานานถึงสามพันราตรี หลอมไว้ด้วยเวทย์มนตร์ศักดิ์สิทธิ์ราวห้าร้อยบท”  คำอธิบายนี้
จะมาจากใครเป็นไม่ได้นอกจากขอทานผู้รอบรู้ “โร เซวาเรส”  ที่ไม่รู้ว่ามันขึ้นมายืนข้างหลังเธอ
ตอนไหน “สร้างขึ้นจากมนตร์พิเศษเฉพาะภูติ ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งก็ว่าได้” โรเอ่ยยิ้มๆ
“การจะตรามนตร์เลือดลงไปบนดาบแบบนั้นได้ จะช่วยเรียกพลังที่แท้จริงของดาบออกมา และการ
ที่คาโลใช้เลือดตัวเองเป็นกุญแจในการเรียกพลัง แสดงว่าคาโลกับดาบต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกัน  ”
ขอทานเอ่ยเสริม เมื่อเห็นสองคนตรงหน้า ยังคงทำสีหน้าไม่เข้าใจนัก
“แล้วคาโลมันได้มาได้ไงวะ ไม่เคยเห็นมันจะใช้มาก่อนเลย” เฟรินกล่าว พร้อมๆกับที่นักฆ่าพนักหน้าเป็นเชิงว่าตนก็อยากรู้
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ไง แกไม่ไปถามคาโลเองล่ะ”  พร้อมยิ้วยั่วใส่คนตรงหน้าที่แยกเขี้ยวรับและ
พร้อมจะจู่โจมได้ทุกเมื่อ หากแต่เสียงจากการประลองด้านล่างนั้น ดึงดูดความสนใจมากกว่า
การประลองยิ่งรุนแรงมากขึ้น เมื่อเสียงเชียร์และโห่ร้องจากอัฒจรรย์ดังกระหึ่ม ละอองและไอแห่ง
การเข่นฆ่าแผ่กระจายไปทั่ว เมื่อคาโลและนิอาร์ลผลัดกันรุกและรับ บาดแผลตามตัวเกิดขึ้นมากมาย
เลือดเริ่มไหลพอๆกับเหงื่อที่เริ่มท่วมกายของทั้งสอง และดูเหมือนคาโลจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเล็ก
น้อย จากความหนักหน่วงและรุนแรงของดาบที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อของเจ้าชายน้ำแข็ง
เมื่อนิอาร์ลกระโดดโจมตีจากด้านบน พร้อมวาดดาบลงมา คาโลก็ยกเซเชลกันขึ้นในระยะประชิด แล้ววาดเท้าเตะไปที่สีข้างของอีกฝ่าย หากแต่คู่ต่อสู้หลบได้ทัน ก่อนจะถอยไปตั้งหลักอีกครั้ง
พลางถีบเท้าพุ่งสุดตัว ลมรอบกายเริ่มหมุนวนเข้ามาที่ปลายดาบก่อนจะจ้วงทะลวงไปยังเจ้าชาย
น้ำแข็ง ที่ตัดสินใจวาดเพลงดาบเข้ามาตัดสินเช่นกัน เพลงดาบสุดท้ายของเจ้าชายน้ำแข็ง นุ่มนวล
คมดาบร่อนรวดเร็ว เงียบกริบ พลิ้วไหวราวสายนที ก่อนภาพสุดท้ายที่ทุกคนได้เห็นเมื่อทั้งสองเข้า
ปะทะกัน เสียงราวกับระเบิดดังขึ้น ตามมาด้วยหมอกควันหนากรุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว  ทุกคนราวกับ
หยุดลม หายใจเมื่อ ลุ้นสิ่งที่จะปรากฏออกมาเบื้องหน้า ฝุ่นควันยังคงหนาทึบ เกินกว่าจะมองเห็นสิ่ง
ใด มือของหลายๆคนกำแน่นจนขึ้นข้อขาว ใจเต้นระทึก ระรัวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง
เมื่อฝุ่นเริ่มจางลง เงาลางๆของใครบางกำลังขยับ ก่อนสิ่งที่บดบังจะจางหายไปจนหมด ภาพที่สะท้อนเข้ามาในจักษุ ภาพแรก
ภาพของหนึ่งชายกำลังจ่อไปปลายดาบไปยังคอของอีกฝ่าย ก่อนเสียงเชียร์จะดังกระหึ่มเมื่อคนที่ตก
เป็นเบี้ยล่างกล่าวยอมแพ้
“เสียใจด้วยนะ คาโล วาเนบลี” 
.
.
..
..
..
“ที่นายไม่ฆ่าฉันตอนนี้”  คำกล่าวที่ทำให้คนที่เดินจากไปต้องฉงน เมื่อตัดสินใจถอนปลายดาบออก
จากคอของคู่ต่อสู้ หลังจากกำชัยเป็นที่เรียบร้อย
“ฉันไม่ชอบฆ่าคน”  เสียงเรียบๆดังออกมา พร้อมๆกับที่เตรียมจะเดินจากไปอีกครั้ง
“เพราะงั้น ถึงได้บอกว่านาย จะต้องเสียใจ คาโล วาเนบลี”
เพล้ง!!! 
..
.
..
เสียงของบางอย่างกระทบพื้น พร้อมๆฝุ่นผงสีดำกระจายเต็มพื้น พลันบังเกิดวงล้อมนตราขนาดใหญ่
บนพื้น  ใหญ่เสียจนไม่รู้ว่าที่ใดเป็นส่วนปลาย หากแต่ดูเหมือนว่า จุดศุนย์กลางของมันจะเป็นที่นี่
ก่อนจะส่งประกายแสงดีดำทมิฬขึ้นมา พร้อมๆกับคำบริกรรมคาถาที่เกิดขึ้น
“ข้าแต่จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ดูดซับวิญญาณและความตาย จงกลืนกินความริษยา อาฆาต และความมืด
ในจิตใจมนุษย์เพื่อเป็นพลังในการเปิดประตู ให้เหล่าผู้หิวกระหายความตายกลับคืนชีพ ขอจงให้ความมืดบดบัง
แสงสว่าง ให้อนธกาลเข้าครอบคลุมดินแดน เปลวไฟโลกันตร์จงแผดเผาศัตรู กระจ้อยร่อยผู้อาจหาญ
มาลองฤทธิ์ พร้อมทั้งเปิดผนึกแห่งวิญญาณ ให้เหล่าผู้คุมทั้งหลาย อยู่ใต้ข้าบัญชา  ด้วยกุญแจหล่อเลี้ยงความตาย
ซึ่งข้ามอบให้ท่าน”
เพล้ง!!!  ขวดแก้วบรรจุของเหลวสีสด ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดแตกกระจายลงบนพื้น
“รีซูเล็คชั่น เดท”
เสียงกรีดร้องแหลมราวถูกเชือด พร้อมๆกับที่วงล้อมนตราเปล่งแสงขึ้นมา ไอมนตร์สีดำ ลอยคละคลุ้ง ราวกับจะ
ประกาศศึกให้ได้รู้โดยทั่วถ้วน ร่างบางบนอัฒจรรย์กำลังกระตุกอย่างประหลาด เลือดสูบฉีดพล่านอย่างคุมไม่อยู่
ความร้อนพุ่งขึ้นถึงขีดสุด พลันบังเกิดการบีบรัดอย่างรุนแรง ราวกับร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ  ภาพสุดท้ายที่
นักฆ่าข้างกายเห็น คือ เพื่อนรัก ร่วงหล่นลงไปจากอัฒจรรย์
“เฟริน” เสียงร้องตะโกนกึกก้อง ทำให้ใจใครบางคนต้องไหววูบ เมื่อมองไปทางด้านหลัง ภาพที่เห็นแทบจะทำให้ขาดใจตายไปเดี๋ยวนั้น ภาพหญิงสาวคนรักฟุบลงไปกับพื้น พร้อมกับกระตุกขึ้นมาอย่างแรง เสียงกรีดร้องราวกับหัวใจถูกฉีกกระชาก เลือดข้นกระอักออกมาจากปาก เสื้อผ้าชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของตนเอง เมื่อร่างสูงคิดที่จะขยับตัวดาบสีดำเล่มใหญ่ก็มาวางพาดไว้บนลำคอ
“ต้องขอบใจ เจ้าหญิงนั่นและแกด้วย เพราะถ้าไม่ใช่เพราะแก ธิดาแห่งความมืดก็คงไม่โผล่ออกมาที่นี่” คำพูดกลั้ว
เสียงหัวเราะอย่างมีชัยดังขึ้น  “สิ่งสุดท้ายในการทำพิธี ปลุกเหล่ายมฑูตแห่งความตาย ก็คือนาง”  แววตาของคนที่
เคยยั่ว บัดนี้ฉายแววโหดเหี้ ย ม อำมหิตอย่างปิดไม่มิด รอยยิ้มชั่วร้ายกระตุกขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะรีบถอยแทบไม่
ทันเมื่อหอกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาขวางดาบและแทงใส่ไม่ยั้ง ไอเวทย์จำนวนมหาศาลแผ่กระจายไป
ทั่ว ขนที่คอลุกซู่โดยอัตโนมัติ พร้อมกับอาการเกร็งที่เกิดขึ้นยามเมื่อมองสบไปยังคนตรงหน้า ที่บัดนี้ แววตาสีฟ้า
สวยหม่นจนกลายเป็นสีเทา ความเย็นยะเยียบแผ่กระจายพร้อมพายุหิมะที่พัดโหม กระหน่ำ ดวงหน้าไม่แสดงถึง
อารมณ์ใดๆทั้งสิ้น รอยยิ้มเครียดๆปรากฏขึ้นบนดวงหน้าเคร่งของอีกฝ่าย เมื่อเจอกับสถานการณ์ตรงหน้าที่เขาลืม
ไปเสียสนิท เมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเก็บอารมณ์ได้แนบเนียนสุดสติแตก เผยธาตุแท้ที่น้อยคนนักจะเจอ  และต้องขวัญ
ผวา เมื่อรู้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า “พ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล กลับคืนชีพ”
“แย่ แย่ที่สุด” คำบริภาษในใจของนักฆ่า ดังขึ้นเป็นชุด เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าเสี่ยงที่สุด ไอ้พ่อมด
ปีศาจนั่นมันดันคลั่ง แถมคนเดียวที่น่าจะเรียกสติได้ กลับนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนี้ ที่น่าแปลกคือ เหมือนกับว่า
เลือดจะค่อยซึมลงไปในดิน ราวกับถูกอะไรบางอย่างดูดไป แต่ต้องทิ้งความสงสัยไว้เมื่อ ชีวิต คนตรงหน้าสำคัญ
กว่า บรรยากาศที่ตอนนี้ทั้งมืดมน และหนาวเหน็บตีกันจนมั่ว  พลันดวงตาต้องเบิกกว้างขึ้น เมื่อเสื้อคลุมสีดำนับ
ร้อย ไม่สิ!! นับพันเลยต่างหาก โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน กลายเป็นร่างสูงขนาด 2 ฟุต เต็มไปหมด พร้อมเคียวเกี่ยว
วิญญาณยาวราว 3 ฟุตที่ปรากฏขึ้นในมือ ก่อนเหล่าผู้กระหายความตายจะบินว่อนไปทั่ว ปะทะกับทหารรักษา
การณ์ เพียงแค่ตวัดปลายเคียวเล็กน้อยทหาร ราวห้าถึงสิบนายก็มีอันคอขาดกระเด็น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว
เหล่าผู้คนทั้งหลานบนอัฒจรรย์กรีดร้องระงม ดังก้องไปทั่ว สร้างความหฤหรรษ์ให้แก่ภูติจากนรก พร้อมเกม
สนุกๆในความคิดของพวกมัน “เกมไล่ฆ่ามนุษย์”
“คะ คิล กะ เกิด อะไรขึ้น” ร่างบางในอ้อมแขนเริ่มขยับตัว พร้อมกับไอเป็นเลือด กลิ่นคาวเลือดลอยออกมาจาก
ปาก ดวงหน้าซีดขาวไร้สี ไรผมสีน้ำตาลเปียกชื้น เสียงปนหอบดังขึ้นอีกครั้ง
“ตอบสิคิล เกิดอะไรขึ้น”  แววตาสีม่วงที่บัดนี้ดูว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัด หากแต่เสียงที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้รู้สึกตัว
“ถ้าเป็นยมฑูตพวกนั้น แกกับเฟรินได้เป็นซากศพแน่ๆ” เสียงกวนๆจากขอทานกิตติมศักดิ์ดังขึ้น ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ตลอดเวลาบัดนี้ไม่เหลือเค้าของคนรักสนุกอีกต่อไป ความเครียดฉายขึ้นมาเด่นชัด พร้อมๆกับเดินมาคุกเข่าข้างๆ
คนเจ็บ พร้อมทั้งตรวจดูอาการ
“คิล แกอุ้มเฟรินขึ้นมา ไม่งั้นมันคงโดนดูดพลังจนแห้งหมดตัว” พลางมองสบไปยังนักฆ่าที่ทำตามแต่โดยดี
ก่อนจะหันมองไปรอบๆตัว พร้อมทั้งสบถออกมาอย่างที่คนอย่างเจ้าขอทานไม่มีวันทำถ้าไม่เหลืออดจริงๆ
“เจ้าบ้านั่นใช้พลังความมืดในตัวเฟริน ปลุกไอ้เจ้าพวกนั้นขึ้นมา ก่อนจะมองไปยังเหล่าคนในผ้าคลุมสีดำ ที่ยังคง
ไล่ล่า มนุษย์อยู่รอบๆอัฒจรรย์”
“อะไร ตัวอะไร” เฟรินถามเสียงค่อยเพราะแทบจะไม่มีแรงเหลือ หากแต่ขอทานตัวดีไม่ตอบ
“คิล นี่ถือว่าฉันขอร้องเลย นายรีบพาเฟรินหนีไป เจ้าพวกนี้ดูดซับพลังของเฟริน ขืนอยู่ต่อนอกจากเฟรินจะแย่
แล้ว พวกมันจะยังเข้มแข็งขึ้นด้วย ทางที่ดี ออกไปจากเขตคาโนวาลเลย ไม่ต้องถาม พอจบแล้วฉันจะอธิบายให้
ฟัง ถ้ารอดออกไปได้นะ”  สองประโยคหลังไม่ได้สร้างความกระจ่างขึ้นมาเลย แถมประโยคสุดท้ายยังทิ้งไว้ให้
ต้องคิดหนักเสียอีก พลันร่างของคนจากทริสทอร์ ก็ปล่อยไอดำทมึนออกมา อากาศเริ่มแยกออกเป็นช่องว่างสีดำ
พอมันเปิดได้กว้างพอสมควร โรก็ดันทั้งสองคนเข้าไปในนั้น ก่อนเสียงสุดท้ายจะตามมาเมื่อรอยแยกนั้นเริ่มกลับ
มาสมานดังเดิม
“ชั้นไปช่วยคนอื่นๆก่อน  เสร็จแล้วจะตามไป”  หลังจากส่งสองคนนั้นออกไปนอกเมืองด้วยช่องว่างแห่งมิติ
โร เซวาเรส ก็พุ่งตัวขึ้นไปยังอัฒจรรย์ บริเวณเดียวกับที่ตอนนี้ อดีตเหล่าคนในป้อมอัศวินกำลังรับมืออยู่กับไอ้ตัว
ประหลาดตรงหน้า เหล่านักบวชดูท่าจะรับมือได้ดีกว่าพวกอื่นเมื่อใช้เวทย์แห่งแสง แต่กับอีกหลายๆคนที่ต้องต่อสู้
ในระยะประชิด ก็แทบจะไม่ไหวเหมือนกัน เสียงบริกรรมคาถาดังมาจากแม่มดสาว ก่อนร่างของยมฑูตจะระเบิด
สลายกลายเป็นเถ้าสีดำ ปลิวว่อน ทางด้านเจ้าหญิงนักรบก็ดูท่าจะไม่ไหว
“ฟู่!! ร่างตรงหน้าสลายไป พร้อมกับที่เจ้าขอทานโผล่ขึ้นมา “ขอบใจ โร” เสียงห้าวสั่นเล็กน้อยจากความเหนื่อย
เมื่อต้องปะทะกับเหล่าปีศาจที่ดูเหมือนจะไม่ลดจำนวนลงไปเลย แม้ว่าจะจัดการไปเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที
พลันขอทานเหมือนจะคิดอะไรได้ แต่ก็ส่ายหน้าในที่สุดเมื่อรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้
“เฮ้ย โร แกมีวิธีกำจัดไอ้พวกนี้ไม่วะ ตายยากชิบ” เสียงตะโกนดังมาจากครี๊ด บุรุษนัยน์ตาเดียวที่ตอนนี้รับเคียว
เล่มใหญ่ที่วาดเข้ามาอย่างสุดกำลัง พร้อมๆกับที่เจคกระโจนไปตัดคอของปีศาจตนนั้นกระเด็น แล้วกลายเป็นธุลี
เช่นกัน ขอทานมากเล่ห์ไม่ตอบพลางมองไปยังฝุ่นผงสีดำ ที่ปลิวลอยไปเมื่อสักครู่ พร้อมทั้งเบิกตากว้างเมื่อฝุ่นผงนั้น กลับกลายมาเป็นเหล่ายมฑูตอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับมาสองตัว ซึ่งหมายความว่ายิ่งฆ่าก็ยิ่งเพิ่มจำนวนพวก
มันเท่านั้น “บัดซบที่สุด” เสียงสบถดังออกมาจากปากคนใจเย็นอย่างลืมตัว พลางทบทวนสิ่งที่อยู่ในหัวทั้งหมด
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ครั้นมองไปยังเหล่านักบวชของป้อม ที่บัดนี้ดูเหนื่อยอ่อน หากแต่เมื่อใช้เวทย์แห่งแสง เจ้า
พวกปีศาจพวกนั้นไม่ยักจะคืนชีพ ความคิดบางอย่างเริ่มไหลผ่านพร้อมทั้งออกคำสั่งชี้ขาด
“เจ้าพวกนี้มันคืนชีพได้ พวกเราไม่มีทางชนะ” เรียกให้สายตาทุกคู่ของเพื่อนๆหันมามอง
“แล้วจะให้ทำไงล่ะ” เจ้าชายอาชูร่าถามขึ้นบ้าง
“พวกนาย” พลางมองสบไปทางเหล่านักบวชของป้อม “คิดว่าจะใช้เวทย์แห่งแสงได้นานแค่ไหน”
“นายจะให้พวกเรากางวงเวทย์” ซีบิลถามขึ้น พร้อมๆ กับที่ โร พยักหน้า “เยอะขนาดนี้ น่าจะราวๆ 10 นาที”
“15 ได้ไหม ไม่งั้นชั้นอาจเปิดช่องว่างไม่ทัน”
“นี่ นายหมายความว่า .จะหนีอย่างนั้นหรอ” เสียงของหญิงเหล็กแห่งอเมซอนดังขึ้น
“นี่เป็นทางเดียว ชั้นจะส่งพวกนายไปสมทบกับ คิล และ เฟริน ไม่งั้นเราอาจจะไม่รอด ถอยไปตั้งหลักก่อน เรา
ต้องหาวิธีมากำจัดพวกมัน ชั้นทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว” คำพูดจนหนทางดังออกมาจากปากคนที่เหล่า
เพื่อนพ้องไม่คิดว่าคนอย่างมันจะเอ่ยออกมา สีหน้าและแววตาที่ยังคงเด็ดเดี่ยวต้องอ่อนลงเมื่อรับรู้ได้ว่าหนทาง
ข้างหน้าอับจนเพียงใด หากแต่ดวงตาก็กลับแข็งกร้าวขึ้นมาทันใดเมื่อรู้ว่า ยังไงซะมันต้องมีทางออก
“ส่วนคาโล พวกนายไม่ต้องเป็นห่วง ชั้นจะไปพาตามไปทีหลัง” โรเอ่ยขึ้น แต่แววตาที่สบกลับมาของเพื่อนๆนั้น
ดูไม่แน่ใจเท่าไหร่นักเมื่อ อดีตหัวหน้าป้อมตอนนี้กลายเป็นพ่อมดปีศาจไปแล้ว
“เชื่อฉัน ไงซะหมอนั่นมันไม่ตายง่ายๆหรอก”  แกนั่นแหละจะตายก่อน ความคิดในใจของหลายคนเกิดผุดขึ้นพร้อมกันโดย
ไม่ได้นัดหมาย
“ไปซะ อย่ามัวเสียเวลา กัส ซีบิล เอ็ดเวิร์ดเริ่มได้เลย” คำสั่งสุดท้ายไปยังเพื่อนพ้องนักบวชที่บัดนี้ยืนล้อมเหล่า
พวกคนในป้อมเรียบร้อย บทสวดกำลังหลั่งไหลออกมาจากปาก แสงสีขาวสว่างใสบริสุทธิ์กำลังโอบล้อมเหล่า
เพื่อนพ้องพร้อมๆกับโรที่เริ่มเปิดช่องว่างแห่งมิติ
อีกนิดเดียว!!  อีกนิดเดียว!!  ไปได้!!  เสียงดังมาจากปากขอทานก่อนเหล่าพวกป้อมอัศวินที่รีบวิ่งเข้าไปยังช่องว่าง
นั้นทีละคนๆ จนเหลือแต่พวกนักบวช “พวกนายก็ด้วย”
“แต่ว่า..” เสียงขัดมาจาก กัส
“ไม่มีแต่ รีบไป ไม่ต้องห่วง บอกแล้วไง” ร่างสามร่างก็หายไปพร้อมๆกับที่วงล้อเวทย์ศักดิ์สิทธิ์จางลงในที่สุด
เหลือเพียงบุรุษนัยน์ตาสีมรกตเพียงผู้เดียว ร่างสูงแน่นิ่งไม่ไหวติง ราวกับยอมรับเหตุการณ์ที่จะเกิดเบื้องหน้า
กรี๊ด!!!
ตูม!!
เสียงกรีดร้องจากนางสนองโอษฐ์ทั้งหลายบนปะรำพิธี ที่ต่างพากันหนีเอาชีวิตรอด หากแต่ไม่สามารถไปได้ไกล
สักเท่าไหร่ เมื่อเคียวปลิดวิญญาณวาดฉับ ร่างทั้งร่างก็แยกออกเป็นสองส่วน
เคร้ง!!  ฉัวะ!!
ภาพที่ปรากฎแก่สายตาเวลานี้คือดวงหน้าเคร่งขรึมของผู้เป็นใหญ่แห่งคาโนวาล ดวงหน้าที่เคยสงบราบเรียบ
บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเครียดจัด แววตาสีฟ้าสวยแม้จะไร้ซึ่งความขลาดกลัว แต่ก็กลับแฝงรอยกังวลไว้ลึกๆ
ภาพว่าที่พระสุนิสาร่วงหล่นลงไป กับลูกชายตนเองกลายเป็น พ่อมดปีศาจทำให้ใจของคนที่ได้ชื่อว่าพ่อแทบ
คลั่ง แม้องค์บาโรจะเก่งกาจสักเพียงใด หากแต่คู้ต่อสู้ที่ไม่มีวันตายแล้วนั้น ก็คงยากที่จะต่อกร เพลงดาบปราบมาร
วาดลวดลายได้อย่างงดงาม เข้มแข็งประดุจเดียวกับเจ้าของวิชา หากแต่ศัตรูตรงหน้า กลับฟื้นคืนมาอย่างไม่รู้จบ
ร่างกายเริ่มอ่อนล้า โลหิตไหลท่วมจากบาดแผล เมื่อต้องรับมือเพียงคนเดียว ด้วยเหตุที่ว่า ทหารรักษาพระองค์ทั้ง
หลาย นอนสิ้นใจอยู่แทบเท้าหากแต่ยังไม่คิดที่จะได้ตัดสินใจอะไร ร่างของบุรุษผมสีชา นัยน์ตาสีเขียวกลับมา
ปรากฏอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับสายตา ที่เรียกได้ว่าไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดมา ช่างคล้ายกับใครบางคนที่เขารู้จักดียิ่งนัก
“ฝ่าบาท เรารับมือไม่ไหวแน่ๆ ยังไงตอนนี้ต้องถอยก่อน” คำเรียกร้องถูกส่งมาเป็นประโยคแรก
“ไม่มีทาง ข้าไม่มีวันทิ้งคาโนวาลไปเด็ดขาด” สุรเสียงกร้าวขัดขึ้น
“แต่เราไม่สามารถจัดการพวกมันได้ท่านก็รู้” เป็นครั้งแรกที่ขอทานมากเล่ห์เอ่ยคำพูดที่เหมือนกับสิ้นหวัง
“ถึงกระนั้นข้าก็ไม่ไป ข้าจะไม่มีวันหนีเด็ดขาด”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น .หม่อมฉันขออภัย” ราวกับแสงวิ่งตัดผ่าน กายของขอทานตรงหน้าหายวับ พร้อมๆกับดาบที่
จู่โจมเข้าฟาดฟัน แรงดาบที่หนักหน่วงและการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ต่อให้เป็นองค์บาโร ก็เสียหลักเช่นกัน
โร เซวาเรสใช้โอกาสนี้ เปิดประตูมิติเล็กๆสำหรับหนึ่งคน ก่อนวาดเท้าถีบองค์บาโรกระเด็นเข้าไปยังช่องว่างนั้น
“เหลือ อีกหนึ่ง ให้ตายสิ”
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เอาไปเท่านี้ละกันนะเจ้าคะ ขออภัยที่มาอัพช้า อิอิ เราทำงานด้วยน่ค่ะ
เลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไรนัก ขอตัดตอนเอาแค่นี้เลยละกัน คือ ไว้เด๋วขึ้นตอนใหม่ให้
ไงก็ติชมมาได้นะคะ ไปละคร่า
________________________________________________________
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น