คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ลี้ภัย*Rewrite*
“เฮ้อ ขอให้อย่าเป็นอะไรมากก็พอ จะกระเทือนถึงเด็กในท้องหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ตัวเขาเหลือบหันมามองคนที่นอนอยู่ด้านหลังทุกครั้งที่ติดไฟแดงหรือรถชะลอตัว พลขับรถต่อเนื่องโดยไม่ได้พักหรือแวะพักที่ไหนอีกเลยตั้งแต่รับคนแปลกหน้าท้องใหญ่ขึ้นมาบนรถ เป็นการขับพุ่งตรงข้ามจังหวัดอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อนทำให้ถึงบ้านพักที่ดอยอ่างขางเร็วกว่าที่คิดไว้แต่กระนั้นเวลาก็ล่วงเลยเป็นเวลาเทื่ยงคืนแล้ว
พลที่เหลียวมองที่เบาะหลังของเขาตลอดทางจนมาถึงเชียงใหม่ผู้โดยสารของเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาเลยก่อนจะขึ้นดอยเพื่อเข้าบ้านพักด้วยความเป็นกังวล พลเลยได้หยุดรถและลงไปเพื่อเช็ดดูว่าผู้โดยสารยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่อย่างไรพอได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายยังหายใจเข้าออกเป็นปกติเขาก็สบายใจจัดหมอนเฉพาะกิจจากเสื้อสูทให้เข้าที่แล้วเตรียมจะเดินกลับไปขับรถต่อ
ก่อนจะเดินกลับไปขับรถเพื่อเดินทางต่อไปให้ถึงปลายทางเขาก็สังเกตเห็นอีกหนึ่งชีวิตที่เขาเป็นกังวลก็ขยับตัวยืดแข้งขาจนกำแพงบ้านหลังแรกนูนขึ้นมาเป็นรอยเท้าเด่นเห็นได้ชัดทะลุเนื้อผ้าที่แนบไปกับหน้าท้องที่นูนใหญ่ตามขนาดตัวของตัวเอง
“ดีแล้วที่ปลอดภัย อย่าเพิ่งดิ้นแรงให้แม่ของตัวเองได้พักผ่อนก่อนดีไหม? เจ้าหนูจอมซน” ด้วยความลืมตัวพลส่งมือไปสัมผัสที่รอยนูนรูปฝ่าเท้าเล็กๆและอมยิ้มเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กในท้องผ่อนแรงในการยืดแข้งขาลงแล้ว
ใช้เวลาเพียงไม่นานหลังได้ทักทายกับเด็กน้อยในท้องของผู้โดยสารที่ช่วยเหลือมา พลก็มาถึงบ้านพักที่เขาซื้อไว้จากรายรับผลกำไรจากร้านกาแฟที่เขาก่อตั้งและขยายสาขาทั้งใหญ่และเล็กออกไปทั่วประเทศไทยแม้ไม่ใช่ธุรกิจขนาดใหญ่แต่ก็มีผลกำไรที่มากเพียงพอจะดูแลพนักงานร้อยกว่าชีวิตได้ และบ้านหลังคิดว่าพ่อของเขาก็คงไม่รู้หรืออาจจะรู้เพียงแต่ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยก็เท่านั้นเอง
"สวัสดีครับคุณพล เดินทางมาเหนื่อยๆ ลุงเตรียมน้ำกับผลไม้ไว้ให้ในตู้เย็นเผื่อคุณพลจะหิวมื้อดึกขึ้นมา" ลุงเต่ายิ้มจนเห็นฟันปลอมครบทุกซี่อย่างอารมณ์ดี เมื่อเจ้าของบ้านลงจากรถ
ลุงเต่าเป็นคนในพื้นที่ที่เขาจ้างให้มาดูแลบ้านพักแทนเขาเวลาที่เขาไม่อยู่หรือเมื่อจะเดินทางมา นับว่าไว้วางใจได้เพราะหนึ่งในลูกสาวของลุงเต่ามีตำแหน่งเป็นผู้จัดการร้านของเขาที่อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ ลุงเต่ามาเปิดประตูรั้วบ้านให้เขาด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เจอเจ้านายแม้จะดึกดื่นเพียงใดก็ตาม
"ครับ คือว่าลุงเต่าครับถ้าลุงไม่รีบร้อนอะไร ผมจะขอรบกวนลุงให้เปิดห้องนอนอีกห้องได้ไหมครับ?"
"ไม่มีปัญหาหรอก! ตามที่คุณพลต้องการเลยครับ นั้นให้ลุงช่วยไหม?"
ลุงเต่าเป็นคนร่างกายแข็งแรง แม้จะมีอายุเลยเข้าเลขห้าปลายๆแล้วก็ยังสามารถยกกระสอบดินทำสวน กระสอบข้าวสาร ได้อย่างไม่มีปัญหาและแกก็ดูจะภูมิใจในความแข็งแรงของร่างกายจากการออกกำลังกายตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มจนเดี้ยวนี้เลยอาสาจะอุ้มผู้โดยสารอีกคนที่เบาะหลังเมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านไม่ได้เดินทางมาคนเดียว
"ไม่เป็นไรครับลุง ห้องใหญ่พร้อมใช้แล้วใช่ไหมครับเดี้ยวผมอุ้มเธอไปที่ห้องที่เตรียมไว้แล้ว พอเตรียมอีกห้องเสร็จลุงจะกลับบ้านก่อนเลยก็ได้นะครับผมรบกวนหน่อย"
พลจอดรถเรียบร้อยไว้หน้าบ้านพักลักษณะชั้นเดียวแต่ทำพื้นต่างระดับไว้เป็นส่วนๆภายในบ้านและตัวบ้านก็เป็นการขยายกว้างลึกเข้าเป็นทรงสี่เหลี่อมผืนผ้า ส่วนบริเวณรอบๆก็กว้างขว้างพอจนมีไร่สวนดอกไม้นานาชนิดขนาดย่อมๆแบ่งเป็นชนิดของดอกไม้และเห็นว่าจะเอาผลไม้มาลงอีกด้วยผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกก็ไปขายหน้าร้านกาแฟในตัวเมืองแน่นอนว่าพลอนุญาตและเห็นด้วยหรือใช้ประดับร้านและตกแต่งจานขนมและแก้วกาแฟทั้งนี้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ในตัว
รอบชิดรั้วบ้านก็มีร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่เพราะเนื่องจากบ้านสร้างอยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆใต้ดอยอ่างขางทำให้ตอนเช้าหน้าบ้านรับแดดได้เต็มที่แต่พอตกเย็นก็จะค่อนข้างมืดเร็ว แต่ก็ไม่อับลมตลอดทั้งวัน
พลยืนคิดอยู่หน้าประตูเบาะหลังสักพักว่าจัดการอุ้มหรือควรทำอย่างไรดี เพื่ออุ้มผู้โดยสารออกจากรถโดยไม่ให้ตัวเขาล้มหน้าคว่ำที่จะนำมาซึ่งอันตรายต่อเจ้าตัว พลยืนคิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมาอยู่ดี
ส่วนลุงเต่าเดินล่วงหน้าไปเปิดประตูบ้านและเดินเลยไปเปิดประตูห้องของเจ้านายรอไว้ให้ก่อนแล้ว แล้วเดินไปเตรียมอีกห้องไว้ตามคำขอ พอเตรียมห้องเสร็จแล้วก็แวะมาบอกลาพลแล้วรีบกลับบ้านของตนที่อยู่ไม่ไกลมากนักทันที
พลวางผู้โดยสารลงบนที่นอนของเขาจัดและจับผ้าห่มให้เธอ ก่อนจะมายืนมองและพิจารณาผู้โดยสารที่หลับสนิทอยู่บนเตียงเพราะตลอดทางเขาไม่ได้สังเกตให้ละเอียด ชุดคลุมท้องสีฟ้าแขนกุดมีรอยขาดเล็กๆที่ชายกระโปรงท่อนล่างเธอใส่เป็นกางเกงแนบเนื้อไว้ด้านใน ส่วนเสื้อคุลมแขนยาวมีฮูดคลุมศีรษะจากแบรนด์กีฬาชื่อดังของเธอแม้จะเก่าเพราะใส่บ่อยแต่ก็รู้ว่าดูแลเป็นอย่างดี กระเป๋าสะพานข้างใบเล็กของเธอในมือของเขาก็เช่นกัน ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกคือ เครื่องแต่งกายของเธอแต่ละชิ้นล้วนมีราคาและเป็นแบรนด์แนมไม่ใช่เสื้อผ้าตลาดทั่วไปแน่นอนแม้จะเก่าจากการใช้ซ้ำบ่อยครั้ง
"ทำไมผู้หญิงที่ท้องแก่แบบนี้ดูเหมือนหนีอะไรมาสักอย่าง? หือ?"
พลว่าพลางก้มลงจับฮูดของเสื้อเธอลง สิ่งที่ปรากฏกลับทำให้หัวใจของเขากระตุกแปลกๆ ผมสีดำยาวที่ถูกรวบเป็นหางม้าหลุดลุ่ยลงมาปรกใบหน้าของผู้โดยสารของเขา วงหน้าเล็ก หน้าหวาน คิ้วโค้งได้รูป ขนตาที่ยาวพอดิบพอดี ปากเล็กอมชมพู ทุกอย่างดูเข้ากันไปหมด สวย หวาน และดูนุ่มนวลแม้ในยามหลับ เขาละสายตาออกจากเธอที่ยังหลับอยู่แล้วถอยออกไปที่ห้องนอนรับแขกอีกห้องด้วยความรู้สึกแปลกๆที่หน้าอกด้านซ้าย และตลอดทั้งคืนก็หลับไม่สนิทเพราะพลอยกังวลถึงแขกที่นอนอยู่ห้องข้างๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นพลที่นอนไม่หลับจึงมาจัดการสิ่งต่างๆให้พร้อมรับวันใหม่ เช่นโทรไปบอกลุงเต่าให้ลุงเต่าที่ตื่นเช้าเป็นกิจวัตรออกไปที่ตัวเมืองก่อนซื้อชุดคลุมท้องและของใช้แก้ขัดอะไรอีกนิดหน่อยของแขก ก่อนที่เขาจะเดินเข้าครัวชงกาแฟมานั่งดื่มในยามเช้าที่อากาศยังคงหนาวเย็น อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านซึ่งหันเข้าหาสวนดอกไม้และมีบันไดเล็กทอดตัวลงไปยังไร่ดอกไม้ พลอ่านหนังสือและจิบกาแฟด้วยความเพลิดเพลินเขารักบ้านหลังนี้และบรรยากาศยามเช้าแบบนี้
"อ่อ คุณค่ะ"
เสียงผู้หญิงที่ไหนมารบกวนยามเช้าอันแสนสุขแบบนี้นะ เขาคิดในใจ แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้แล้วลุกจากเก้าอี้หวายยาวที่มีเบาะนวมรองไว้แล้วหันหลังไปมองต้นตอของเสียงที่ไม่คุ้นหูทันที
"ครับ?"
พลหันกลับมาเจอหญิงสาวยืนและแสดงออกว่ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ผมหางม้าเมื่อคืนถูกแกะออกและทำให้รู็ผมนั้นยาวมาถึงกลางหลังและความของเธอสูงไม่น่าจะเกินไหล่ ดวงตาสีเข้มสดใส มีแววดื้อรั้น มองมาที่เขาและสบตากันโดยบังเอิญเมื่อเขาหันกลับไปเต็มตัว
"เรื่องเมื่อวานขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าคุณไม่ช่วยฉันไว้ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เอ่อ คุณ..."
หญิงสาวกล่าวขอบคุณที่อีกฝ่ายที่ช่วยเหลือเธอเมื่อวาน หลังจากหลบสายตาที่มองมาที่เธอไม่ได้เป็นสายตาที่ดูแคลนแต่เป็นสายตาที่แสดงถึงความสงบและสงสัยเสียมากกว่า
"ผม เจตผล เรียกพลเฉยๆก็ได้ครับ แล้วผมควรเรียกคุณว่าอะไร?"
"ฉันกันตาค่ะ คือว่าที่นี่คือที่ไหนค่ะ?"
"เชียงใหม่ ดอยอ่างขาง บ้านพักของผมเอง เกิดอะไรขึ้นกับคุณเมื่อวานตอนที่ผมเจอคุณ"
"คือว่า..."
"ถ้าตอนนี้ยังไม่สะดวกใจที่จะเล่าก็ไม่เป็นไร และผมคิดว่าคุณควรพักผ่อนต่ออีกหน่อย รอให้คุณสะดวกใจและได้พักผ่อนมากกว่านี้ก่อนค่อยเล่าให้ผมฟัง และระหว่างนี้คุณก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อน ผมให้ลุงเต่าคนดูแลบ้านไปซื้อเสื้อผ้ามาให้คุณใส่แก้ขัดไปก่อนได้ ใช้ได้หรือเปล่า?"
พลส่งถุงกระดาษบรรจุเสื้อผ้าของผู้หญิงตามที่เขาฝากลุงเต่าซื้อ ซึ่งลุงเต่าเองก็แวะมาส่งให้ก่อนจะย้อนกลับไปที่บ้านของตัวเองอีกครั้ง
"ขอบคุณค่ะ" หญิงสาวรับถุงเสื้อผ้ามาไว้ในมือไม่ได้สนใจว่าจะเป็นเสื้อผ้าแบบไหนและกล่าวขอบคุณที่อีกฝ่ายยังอุตสาห์เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เธอเปลี่ยนอีกด้วย
"กี่เดือนแล้วครับ?"
“ค่ะ? อ้อ! ครบเจ็ดเดือนพอดีค่ะ”
“แล้วรู้เพศหรือยังครับ?”
"ยังค่ะ เพราะตั้งใจว่าจะรอลุ้นตอนคลอด"
พลเห็นว่าอีกฝ่ายตอบอย่างมีความสุขและร่าเริงก็อดแปลกใจไม่ได้จึงยอมเสียมารยาทและถามย้ำกับอีกฝ่ายทันทีแม้ตอนแรกจะบอกว่ารอได้ก็ตาม
"ที่จริงผมก็อยากรู้ตอนนี้เลย ว่าอะไรที่ทำให้คุณหนีมา จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันรุนแรงพอสมควรมากพอจะเป็นอันตรายกับเด็กในท้อง คงไม่มีผู้หญิงที่ท้องคนไหนทำหรือพาตัวเองไปเจอเหตุการณ์แบบนั้นอย่างคุณแน่ๆแต่ถ้าเดาไม่ผิดการที่คุณบอกให้พาหนีก็หมายถึงว่าคุณเป็นคนเอาตัวเองไปเจอเหตุการณ์นั้นแน่นอน ผมพูดถูกหรือเปล่า?"
"..." พลที่พูดและถามได้ถูกจุดทำให้หญิงสาวเงียบไปและเปลี่ยนท่าทีจนพลรู้สึกผิดที่ถามย้ำเข้าไป
"เอาเถอะผมขอโทษที่ถาม เข้าไปพักข้างในบ้านเถอะ"
"ทำไม"
"ทำไมอะไร?"
"ทำไมคุณถึงช่วยเหลือฉันค่ะ? ในเมื่อคุณคิดว่ามันไม่ควร" เธอถามและมองหน้าเขาด้วยแววตาที่จริงจัง เข้มแข็ง และดื้อรั้นแต่ก็ยังอ่อนหวานอยู่นัยที
"เหตุผลก็คงมาจากที่ผมบอกไปแล้วเมื่อกี้นี้ คุณที่หนีจากอะไรมาก็ตามพร้อมมีเด็กในท้องไปด้วยมันไม่ปลอดภัยแน่นอนเมื่อคิดตามเหตุผลที่ผมบอกไปแล้วก็ไม่แปลกที่ผมจะช่วยเหลือคุณและเด็ก"
"ค่ะ...." เธอตอบรับและเงียบไปอีกครั้ง
“เมื่อช่วยเหลือแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ ฉะนั้นคุณก็อยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าจะพร้อมเดินทางหรือจนกว่าน้องจะคลอดก็ได้ผมไม่ว่าและคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ด้วย คุณตกลงไหม?”
"ขอบคุณค่ะ"
พลมองแขกของบ้านเดินกลับเข้าไปทางเดิมเธอดูเธอมีท่าทางที่สบายไม่เกร็งเหมือนตอนแรกที่เดินออกมาเจอเขาเมื่อกี้แล้ว พลไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ให้ได้เธอพักอยู่ที่นี่ถึงแม้เขาจะสามารถไปส่งเธอที่ท่ารถหรือไปสถานีตำรวจก็ยังได้ทันทีที่เธอตื่นก็ได้แต่เขาก็ไม่ทำเพราะอะไรเขาก็ไม่รู้เช่นกัน
"คุณพล เธอเป็นใครเหรอครับ กำลังท้องกำลังไส้อยู่เสียด้วย"
"เพื่อนฉันเองลุงเต่า เธออยากมาสูดอากาศบริสุทธิก่อนคลอดน่ะ"
พลตอบลุงเต่าที่กลับมาจากบ้านตัวเองอีกครั้งพร้อมตะกร้าใส่พืชผลเดินเข้ามาพอดีกับที่หญิงสาวเพิ่งเดินกลับเข้าไปด้านในบ้าน
"ครับๆ ผักกับผลไม้สดลุงเอามาให้จากสวนที่บ้าน ให้ลุงเตรียมทำอาหารเย็นนี้ไหมให้หรือให้หาของสดอะไรมาทิ้งไว้ให้"
"ไม่ต้องครับ เดี้ยวผมจะเข้าไปที่ร้านที่ตัวเมืองแล้วจะแวะซื้อของกินกับของสดกลับมาเอง วันนี้ลุงเต่ากลับบ้านไปพักผ่อนเลยก็ได้ครับ ให้เพื่อนผมเขาพักผ่อนเงียบๆคนเดียวไปก่อน ฝากสวัสดีคุณป้าด้วยนะครับ"
"ได้ครับคุณพล" ลุงเต่าส่งตะกร้าที่บรรจุผักและผลไม้ใบใหญ่ให้เขาก่อนจะยิ้มร่าเริงเดินจากไป พลมองของที่เพิ่งได้รับมาก็ยิ้มอย่างพอใจ
พลเดินเข้าบ้านเคาะประตูห้องนอนของเขาที่ยกให้แขกพัก เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาเขาเลยผลักประตูเข้าไปเอง วางตะกร้าผลไม้ลงที่พื้นและหยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเองที่ค้างอยู่ในตู้เสื้อผ้าออกมาหอบไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างก็ก้มหยิบตะกร้าผักและผลไม้ไปไว้ที่ห้องครัวพลางส่งเสียงบอกความให้แขกที่อยู่ในห้องอาบน้ำได้รับรู้
"คุณ ผมมาเอาเสื้อผ้าตัวเองออกจากตู้เสื้อผ้าให้แล้วนะ คุณใช้ตู้ได้เลยนะ"
"ขอบคุณค่ะ" เสียงของเธอตอบกลับมาแทรกผ่านเสียงสายน้ำจากฟักบัวที่ไหลอย่างต่อเนื่อง
พลออกจากห้องพร้อมกองเสื้อผ้าเล็กๆจับมันโยนลงไปที่เตียงในห้องนอนเล็กที่ใช้อยู่ตอนนี้ และเดินเลยไปเก็บผักกับผลไม้ที่ครัว ก่อนจะกลับเข้าห้องจัดการธุรส่วนตัวจนแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว
พลหยิบเสื้อเชิ้ตออกจากกระเป๋าสะบัดเล็กน้อยก่อนจะนำมาสวมและกางเกงยีนสีเข้มขากระบอกมาสวมใส่แล้วก้าวออกจากห้องโดยไม่ลืมสวมถุงเท้าให้เรียบร้อยเพราะรองเท้าหนังสีดำที่มีรอยนิดหน่อยวางรอเขาอยู่หน้าบ้านแล้ว
เมื่อพลก้าวออกมาจากห้องเขาก็เห็นแขกของเขานั่งอ่านหนังสือเล่มเดียวกับที่เขาอ่านค้างอยู่เมื่อครั้งกลับมาครั้งที่แล้วและวางลงเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเพื่อผ่านออกไปหน้าบ้าน
"ผมจะออกไปข้างนอกทั้งวันคงจะกลับมาตอนเย็น มีของกินในตู้เย็นเป็นผักกับผลไม้ กินได้นะ แล้วก็ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็โทรไปที่เบอร์ติดต่อที่อยู่ที่บอร์ดได้เลย แล้วบอกว่าขอสายผมบอกว่าชื่อกันตา ผมจะบอกพนักงานไว้"
พลบอกเพื่อนร่วมชายคาจำเป็นพร้อมคว้ากุญแจรถที่โต๊ะเล็กหน้าโซฟาและก้าวออกไปเลยตัวรถไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้านเสียก่อน ตอนหันกลับมาเขาเห็นกันตามายืนมองเขาที่ชานพักของบ้านที่เขาออกมานั่งเล่นเมื่อเช้า วูบแรกเขาตกใจเพราะไม่ชินตาแถมยังรู้สึกว่าใจกระตุกเล็กน้อยเพราะแสงส่องเข้าไปที่เธอพอดี แสงยามเช้าทำให้เธอดูสวยเปล่งปลั่งไปหมดและด้วยสายตาที่มองมานั้นมันหวานและสดใสโดยธรรมชาติกว่าตอนที่คุยกันก่อนจะแยกย้ายไปอาบน้ำจริงๆ เป็นสายตาที่เขาไม่เคยเห็นจากผู้หญิงคนไหนมาก่อนยกเว้นแม่ของเขา
เขาตั้งสติและเดินกลับมาที่รถเพื่อออกไปที่ร้านกาแฟในตัวเมือง เขากำลังจะลงจากรถมาปิดประตูรั้วแต่เธอก็เดินมาถึงก่อนเขาและจัดการปิดแทนเขา พร้อมส่งยิ้มจางๆให้เขา เขาจึงได้ขับรถเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ตรงไปที่ร้านกาแฟที่พนักงานทั้งร้านกำลังจะได้ตกใจเพราะเจ้าของร้านไปเปิดร้านด้วยตัวเอง
เธอพยักหน้าให้เจ้าบ้านที่ขับรถออกไปเลยเมื่อเธอเดินมาปิดรั้วตามหลังให้เขา เมื่อเจ้าของบ้านไม่อยู่เธอเดินจึงใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการสำรวจบ้านชั้นเดียวที่เจ้าของบ้านให้เธอใช้เป็นที่หลบภัยจำเป็น
เธอแวะที่ห้องนอนเล็กช่วยพลหรือเจ้าของบ้านพับเสื้อผ้าที่เขาจับมาโยนไว้บนเตียงและเรียงเข้าตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอนพอแล้วเสร็จก็กลับมานั่งที่ห้องนอนที่เจ้าของบ้านยกให้เธอใช้ พลางคิดถึงเรื่องราวที่พาเธอมาอยู่ตรงนี้
.
.
.
.
เธอชื่อ กันตา สานโกศล ลูกสาวของเจ้าสั้วใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนชื่อดังประจำจังหวัด จังหวัดสุโขทัย หากเล่าย้อนกลับไปเรื่องทั้งหมดเริ่มเกือบเมื่อประมาณปีที่แล้ว
เธอได้รับคำสั่งจากมารดาให้หมั้นหมายกับลูกชายของเพื่อนในสมาคมแม่บ้านอะไรสักอย่างซึ่งเพื่อนของคุณแม่เป็นผู้นายผู้ว่าซึ่งแม่ของเธอบอกว่าคู่ควรและจะช่วยส่งเสริมครอบครัวของให้มีหน้ามีตามากขึ้นไปขึ้น
ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอรู้จักและเป็นรุ่นเดียวกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยแต่คนละคณะ ทำให้พวกคุณแม่คิดว่าทั้งสองเหมาะสมกันเป็นที่สุด จึงตกลงกันเองโดยไม่ได้ถามความสมัครใจใดๆจากทั้งเธอและเขา แม้จะตกลงกันไปแล้วแต่เธอก็พยายามหลีกและให้เหตุผลว่าหลังเรียนจบค่อยมาว่ากัน
ทำให้ช่วงสี่ปีอีกฝ่ายแม้จะแวะเวียนมาขายขมนจีบเพื่อนในกลุ่มของเธอแต่ก็ไม่ได้สนใจเธอเป็นพิเศษเลยเพราะทุกครั้งคู่หมายที่แม่จัดการไว้ให้จะลงท้ายด้วยการทิ้งเพื่อนของเธออย่างไม่ใยดีทุกคนมีคนหนึ่งที่เสียใจจนขาดสติและตัดสินใจจะจบชีวิตของตัวเองแต่พวกเพื่อนๆห้ามไว้ได้ก่อน บ้างก็ตบตีแย่งกันเป็นที่รักและครอบครองจนเป็นเรื่องใหญ่โดนการพักเรียนและไล่ออกจากมหาวิทยาลัยไปก็มี
แล้วพอกลุ่มเพื่อนผู้หญิงในคณะของเธอโดนหักอกจนครบเกือบทั้งรุ่น บ้างก็ต่างคณะ ก็เหลือเธอเป็นคนสุดท้ายที่เขาบอกว่าเธอหนีไม่พ้นอยู่แล้วจึงไม่ได้รีบเมื่อถึงเวลายังไงเธอก็ได้ขึ้นเตียงกับเขาอยู่ดี ประโยคที่ว่าทำให้เธอเกลียดเขามากขึ้นเช่นกัน
เมื่อเรียนจบไปแล้ววีรกรรมความอื้อฉาวของเจ้าตัวก็ไม่ได้ลดลงเลย พ่อของเธอที่ได้รู้ว่าคู่หมายของลูกสาวที่ภรรยาหมายตาไว้เป็นอย่างไรก็เข้ามาช่วยดึงเวลาออกไปไม่ยอมให้จัดหมั้นหมายใดๆ และให้เธออยู่ในสายตากับอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา
แต่แล้วเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอก็มา ค่ำวันหนึ่ง ก้อง คนที่แม่พยายามจับคู่ให้มาแจ้งแก่คุณแม่และคุณพ่อของเธอว่าได้รับคำสั่งให้มาเชิญทั้งคู่ไปทานข้าวที่บ้านของครอบครัวจากพ่อเธอของตนเพื่อปรับความเข้าใจและพูดคุยกันเรื่องหมั้นหมายให้เป็นกิจจะ แน่นอนว่าเธอปฏิเสธที่จะตามไปด้วยแต่ก็นั้นล่ะคุณแม่ก็บังคับให้ตามไปด้วยจนได้
การทานอาหารเย็นก็ยืดยาวออกไป ผู้ใหญ่ที่คุยกันถูกคอและคุยลากยาวถึงเรื่องธุรกิจทำให้เธอเบื่อเลยขอตัวออกไปด้านนอกเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าปริญญาโทแต่ก้องที่ดื่มสุราเข้าไปพอสมควรและเฝ้ามองเธอตลอดมื้ออาหารก็เดินตามออกมา
“เลิกเล่นตัวได้แล้ว ก็แค่แต่งงานกับฉันมันไม่ดีตรงไหน?" กลิ่นเหล้าชนิดที่ลอยมาโดนจมูกของเธอเรียกได้ว่าทำให้รู้ได้เลยว่าเจ้าตัวดื่มอะไรมาบ้าง
“จะให้ฉันพูดเรื่องไหนก่อนดีล่ะก้อง? เรื่องเน่าๆตอนเรียน หรือ ช่วงหลังๆมานี้? แต่ทุกเรื่องที่ได้ยินมามักจะเป็นเรื่องที่ใช้หัวล่างคิดแต่ไม่ได้ใช้หัวบนคิดเลยสักนิด น่าเสียดายที่ฉันไม่สนใจหัวล่างของนายและเท่าที่ดูนายหัวบนของนายก็ไม่มีอะไรอยู่ข้างใน พูดง่ายๆเลยนะนายไม่มีอะไรสักอย่างมาดึงดูดฉันเลยสักนิด”
เธอเก็บหนังสือเตรียมสอบที่พกมาด้วยเข้ากระเป๋าและลุกเดินกลับเข้าไปที่ห้องอาหารแต่อีกฝ่ายที่โดนฤทธิ์สุราขับเคลื่อนก็คว้าจับแขนของเธอไว้และออกแรงบีบเต็มแรงจนขึ้นเป็นรอยนิ้วรอบแขนเธอแทบจะทันที
“ก้อง! ปล่อย!”
"เล่นตัวแบบนี้… ปากคอแบบนี้… หวังว่าบนเตียงจะใช้ ปาก เก่งแล้วก็ เล่น ตัวเหมือนที่พูดนะ” ก้องกระชากตัวเธอเข้าไปชิดแล้วใช้มือปิดปากพร้อมล็อกตัวเธอด้วยแขนทั้งสองขา ก่อนจะออกแรงฉุดกระชากลากเธอไปที่ห้องนอนของเขา เพราะคืนนั้นทำให้ตอนนี้เธอกำลังจะได้เป็นแม่คน
หลังจากคืนนั้นเมื่อทุกอย่างผ่านไปช่วงสามถึงสี่เดือนยังไม่มีปัญหาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่เพราะกันตาเก็บตัวอยู่กับบ้านเป็นหลักและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งยังยืนยันที่จะไม่เกี่ยวดองกับก้องอยู่ดีผู้ใหญ่อีกฝ่ายจึงจะเปลี่ยนใจจนแม่ของเธอเองก็เริ่มจะยอมแพ้ไม่บังคับและเพราะท้องสาวท้องแรกก็ไม่นูนใหญ่กว่าเธอจะมารู้ว่าตั้งท้องก็ตอนที่ลูกในท้องดิ้นครั้งแรกที่เธอไม่รู้ตัวเพราะโดยปกติของร่างกายของเธอที่ผ่านมามักมีช่วงที่ประจำเดือนขาดไปหลายเดือนและตอนเกิดเหตุอีกฝ่ายก็ใช้อุปกรณ์ป้องกันขั้นพื้นฐาน
เท่านั้นล่ะแม่ของเธอยิ้มอย่างยินดีโทรจัดการนัดหมายต่างๆเพราะรู้ว่าใครเป็นพ่อของหลานแต่ก็ได้อารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้งเพราะลูกสาวไม่ยอมแต่งงานกับพ่อของหลานและค้านหัวชนฝาบ้าน เธอไม่สนใจสายตาของใครที่จะกล่าวหาและนินทาว่าเธอท้องไม่มีพ่อและต้องการจะให้สังคมได้รู้ว่าไม่ใช่เพราะเธอทำตัวไม่ดีแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ให้เกียรติและกระทำย่ำยีกับเธอมากกว่า โดยที่คุณพ่อของเธอที่ไม่เห็นด้วยกับภรรยาตั้งแต่แรกและโกรธเคืองที่อีกฝ่ายกระทำกับลูกสาวจึงช่วยดำเนินการทำให้สังคมรับรู้ตามที่ลูกสาวต้องการและกันตาจึงได้รอดพ้นจากการบีบบังคับให้แต่งงานโดยสาเหตุที่ว่าท้องมาจนอายุครรภ์ล่วงเข้าเดือนที่เจ็ดเข้าไปแล้ว
ระหว่างนั้นทางฝั่งครอบครัวของก้องก็ได้รับกระแสวิจารณ์ทางลบไปมากพอสมควรแต่ก็แค่วงสังคมภายในของแม่เธอที่ทำให้เรื่องบานปลาย มาถึงเหตุการณ์เมื่อวานเพราะเป็นช่วงที่พ่อกับน้องสาวของเธอไม่อยู่พอดี
เมื่อวานตอนบ่าย อยู่ๆแม่ของโทรบอกว่าให้เธอไปหาที่โรงพยาบาลในตัวเมืองแล้วก็วางสายไปโดยไม่ได้อธิบายอะไร ด้วยความกังวลและเป็นห่วงเพราะอยู่ๆแม่ก็โทรมาบอกให้ไปหาที่โรงพยาบาลในตัวเมืองว่าแม่ของเธออาจจะป่วยเข้าโรงพยาบาลกะทันหันเพราะความเครียดที่สะสมมาจากการโดนกดดันเรื่องของเธอ เธอจึงลุกไปแต่งตัวออกจากบ้าน หยิบโทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และกุญแจรถเพื่อเข้าไปที่โรงพยาบาลที่แม่ของเธอบอกมา แต่พอไปถึงหน้าบ้านที่รั้วก็มีคนที่เธอเกลียดที่สุดในชีวิตตอนนี้รออยู่พร้อมรถ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ยินดีที่มาอยู่ตรงนี้
"เร็วๆ! แม่เธอให้มารับ อย่าคิดเถียงทำเรื่องให้ชักช้า เย็นนี้ฉันมีนัดไปกับเพื่อนต่อ" เขาตะโกนด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นเธอออกมาพร้อมกุญแจรถและเดินช้ากว่าปกติ
เธอที่มีจิตใจเป็นห่วงแม่ที่บอกว่าตอนนี้อยู่โรงพยาบาลจึงคร้านจะต่อเถียงกับอีกฝ่ายและส่งกุญแจรถให้แม่บ้านไปเก็บที่ห้องแทนเธอและเดินประคองครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นตามอายุครรภ์เข้าไปนั่งบนรถของฝ่าย
“….”
“หึ…”
อีกฝ่ายต้องการยั่วโมโหและให้เธอพูดคุยกับเขาจึงแกล้งออกรถด้วยความเร็วสูงแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนั่งนิ่งมองออกไปด้านนอกเหมือนความเร็วที่เขาเร่งอยู่ตอนนี้เป็นความเร็วปกติทั่วไป
“…..” กันตาลอบคลายมือที่กำไว้แน่นข้างตัวออกเพราะหวาดกลัวกับความเร็วรถที่ประสบเมื่อครู่ไปและลอบถอนหายใจออกมาไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
เมื่อเบื่อที่เห็นว่าแกล้งยั่วโทสะของอีกฝ่ายไม่ได้ความเร็วรถก็ลดลงเป็นปกติและเปลี่ยนวิธีไปเป็นส่งมือมาลูบขาของเธอแทน
"แต่งตัวซะมิดชิดเลยะ ไม่น่าเชื่อนะว่าท้องใหญ่ขนาดนี้เธอก็ยังทำให้ฉันมีอารมณ์ขึ้นมาได้ นี่ไม่คิดจะคุยกับพ่อของลูกหน่อยเหรอ?"
"……"
กันตาเพียงแค่หันมามองกลับด้วยสายตาที่ไม่ปิดความเกลียดชังไปให้แทน พร้อมปัดมือของเขาออกไปจากขาของเธอ
"อย่ามองฉันแบบนั้นสิ กัน พวกเรากำลังจะเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายนะปฏิเสธไปก็เท่านั้นถ้าเป็นเมียฉันอยากจะทำอะไรก็ทำและฉันก็จะทำให้เธอบ่อยๆด้วย ถ้าจำไม่ผิดทางการแพทย์บอกว่าสามารถ ทำ ได้ด้วย" เขายกมือมาจับคางของเธอไว้และยึดตรึงเน้นย้ำกับคำว่า ทำ เป็นพิเศษทั้งมองหน้าเธอและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"พูดอะไร? ถูกต้องตามกฏหมายอะไรกัน?"
"หึ ตอนขึ้นรถมาไม่เห็นพูดอะไรจะมาพูดตอนนี้ไม่ทันแล้วล่ะ ตอนนี้พ่อแม่ฉันกับแม่เธอกำลังรออยู่ที่อำเภอแล้ว "
"ไม่จริง!?"
"เล่นตัวแบบนี้ก็ดี ฉันจะได้ไม่เบื่อง่ายๆ เพราะฉันจะเรียกจากเธอให้คุ้ม" ก้องปล่อยมือออกจากคางของเธอและเร่งความเร็วของรถเพื่อความสะใจที่เอาชนะกันตาได้
กันตาทำสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตเมื่อเธอเอื้อมมือไปจับพวงมาลัยและดึงมันเต็มกำลังจนก้องที่เป็นคนขับตกใจและควบคุมรถไม่อยู่พุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้า เขาหัวกระแทกกับกระจกอย่างแรงจนกระจกและหัวของเขาแตกพร้อมกันเและสลบไป ส่วนเธอแม้หัวกระแทกกับกระจกรถแต่โชคดีที่หัวไม่แตก แต่ก็มึนงงไปพอดูแต่เธอที่ยังพอมีสติอยู่เลยเปิดประตูและหนีลงจากรถ
มาเจอพลที่ยื่นอยู่ข้างรถยนต์ป้านทะเบียนกรุงเทพจึงเลือกเดินด้วยความเร็วเท่าที่ทำได้เข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขาแล้วเธอก็จำอะไรไม่ได้เลยจนตื่นขึ้นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของพลนี่เอง
โทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาด้วยเธอเลือกปิดทิ้งไปเลยตั้งแต่ตื่นมาโชคดีที่เธอปิดเสียงไว้ตั้งแต่แรกตลอดทั้งคืนจึงไม่ได้รับการรบกวนจากสายที่ไม่ได้รับที่มากเยอะจนน่ากลัว ไหนจะในข้อความทุกแอปพลิเคชั่นที่มีช่องทางการสื่อสารให้แต่ก่อนจะปิดเครื่องไปเธอก็เลือกที่จะส่งข้อความไปบอกแม่กับพ่อและน้องสาวว่าเธอปลอดภัยและลูกในท้องก็เช่นกันเพียงแค่นั้น แล้วปิดเครื่องพร้อมดึงซิมการ์ดออกมา
“เฮ้อ”
เธอวางเครื่องมือสื่อสารที่จึงใจปิดไปหลังนั่งมามองสักพัก กันตาที่เริ่มรู้สึกหิวจึงเดินเข้าไปที่ครัวที่สะอาดเรียบร้อยเปิดตู้เย็น เอาผลไม้ที่มีอยู่ข้างในออกมาเปลือกรับประทานอย่างละนิดละหน่อย พร้อมอ่านหนังสือไปด้วยหลังจากทานเสร็จเธอลุกทำความสะอาดบ้าน ปัดกวาดเช็ดถู เท่าที่ทำได้เพราะลุงเต่าที่คุณพลกล่าวคงเพิ่งทำไปเพราะเธอไม่รู้จะทำอะไรดี ยืนนิ่งอยู่สักพักก็เดินไปเอาเสื้อผ้าตัวเองที่ใส่เมื่อวานมาซักรวมถึงชุดที่คุณพลซื้อให้ใหม่ด้วย
แล้วเธอก็เอาผลไม้ออกทานเล่นอีกครั้งและอ่านหนังสือที่มีอยู่มากมายในบ้านที่ผนังข้างหนึ่งอุทิศให้เป็นชั้นหนังสือที่เกี่ยวกับกาแฟ การบริหาร การเงิน การลงทุน ช่วงบ่ายจึงเลือกอ่านหนังสือเด็กที่มีอยู่สี่เล่มในชั้นให้ลูกในท้องฟังเหมือนปกติตอนอยู่ที่บ้านของเธอซึ่งจะมีหนังสือเด็กเยอะกว่านี้และหนังสือสำหรับเตรียมต่อปริญญาโทของเธอสักพักพอแดดร่มจึงเดินไปที่ไร่ดอกไม้ขนาดย่อมๆข้างบ้านตัดดอกไม้จำนวนมากมาจัดใส่แจกันดอกไม้ที่คุณพลมีอยู่ในตู้เป็นการแก้เบื่อ
ในด้านของพลที่เข้าไปที่ร้านกาแฟของเขาในตัวเมืองเชียงใหม่ก็ช่างคุยกว่าปกติเล็กน้อย แถมเลือกคุยเฉพาะกับพนักงานหญิงที่มีลูก หรือพนักงานชายที่เป็นคุณพ่อแล้วเท่านั้น เขาจัดการตรวจรายได้ของสาขานี่ด้วยความร่าเริง ทดสอบรสชาติกาแฟที่ขายดีที่สุดและขายไม่ค่อยได้ก่อนจะสั่งปรับปรุงและเข้าไปทำงานที่เคาน์เตอร์รับออเดอร์อีกนิดหน่อย พอตกบ่ายเขาก็ออกจากร้านแวะไปห้างสรรพสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดเพื่อซื้อของใช้จำเป็นสำหรับตัวเองและผู้ลี้ภัยอย่างกันตา และซื้ออาหารสดที่แน้นไปทางเนื้อสัตว์ทั้งสัตว์บก สัตว์ปีก และอาหารทะเลติดไปด้วย
“กลับเร็วกว่าที่คิดนะเนี่ย”
กันตาพึมพำเล็กน้อยพร้อมดันตัวเองขึ้นจากโซฟาเมื่อได้ยินเสียงรถดังมาจากหน้าบ้านและวางหนังสือเด็กลงข้างแจกันดอกไม้ที่เธอจัดเองกับมือ กว่าเธอจะออกไปถึงประตูก็ทันเห็นพลกำลังจะกลับขึ้นรถอีกครั้งเพื่อขับรถเข้ารั้วบ้าน เธอจึงเลือกเดินเลยไปปิดประตูรั้วให้แทน
"ให้ฉันช่วยถือได้ไหมค่ะคุณพล?" กันตาเดินกลับมาหาพลที่รถ และเสนอความช่วยเหลือต่อพลที่กำลังหยิบถุงข้าวของสัมภาระที่มองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งซื้อมาวันนี้มาถือไว้ด้วยมือข้างเดียว อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ยื่นถุงอีกใบมาให้แทน
"ผมซื้อมาให้ ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าพวกผู้หญิงใช้ของอะไรแบบไหนกัน มีแป้ง สบู่ ยาสระผม แปรงสีฟันกับยาสีฟัน โลชั่นก็ยี่ห้อเดียวกับผมแต่เป็นของผู้หญิง โฟมล้างหน้า ใช้ได้ไหม?"
กันตารับถุงของที่พลยื่นมาให้เธอยังไม่ทันได้ถามว่ามันคืออะไร พลก็ชิงถามเธอขึ้นมาก่อน เธอเลยยิ้มบางๆและตอบคำถามของพลแทน
"ฉันใช้ได้ทุกอย่างค่ะ ไม่มีปัญหา ขอบคุณคุณพลมากนะคะ" กันตาพนมมือไหว้ขอบคุณพลไม่ได้เคอะเขินอะไร คนรับไหว้น่ะสิที่เก้งๆก้างๆรับไหว้แทบไม่ทันจะว่าเขินก็คงเขินมั้งหรือว่าไม่ชินก็คงไม่ใช่เพราะเขาเองก็มีน้องสาวและพนักงานส่วนใหญ่ในร้านกาแฟก็เป็นผู้หญิง สรุปคือเขาเลยไม่รู้จะทำอะไรต่อเลยยื่นของเพิ่มให้เธออีกถุงแทนแก้เขินให้ตัวเอง
"คือผมผ่านร้านที่ขายของเกี่ยวกับแม่และเด็ก เลยซื้อของสำหรับบำรุงครรภ์มาให้ คนขายบอกว่าหลังคลอดก็ยังทานได้ คุณต้องรับนะเพราะถ้าคุณไม่เอาผมคงกินเองไม่ได้ แล้วผมก็ไม่รู้จะเอาไปให้ใคร พวกพนักงานที่มีเคยลูก ลูกก็โตกันหมดแล้วด้วย" พลขัดกันตาขึ้นมาเองเลยเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางที่แสดงออกว่าตนจะไม่รับด้วยความเกรงใจ
"ถ้างั้นก็ขอบคุณค่ะ" กันตาส่งยิ้มพลางกล่าวขอบคุณพลอีกครั้ง เป็นยิ้มที่ทำให้ใจของชายหนุ่มสั่นอย่างบอกไม่ถูก
กันตาสังเกตเห็นถุงอาหารสดจึงออกปากอาสาทำอาหารเย็นเองขณะที่พลจัดการปิดท้ายรถ
"คุณพล กันขอทำอาหารเย็นให้ได้ไหมค่ะ?"
"เดี้ยวผมทำเอง เอ่อ คุณท้องอยู่ผมเกรง"
"กันทำได้ค่ะ ทำอาหารไม่เหนี่อยเลยค่ะ กันอยากขอบคุณที่คุณพลช่วยเหลือไว้ แล้วคนที่ควรจะเกรงใจคือกันไม่ใช่คุณพลค่ะ ตอนนี้ให้กันได้ตอบแทนเล็กน้อยๆก็ยังดีค่ะ"
กันมองพลอย่างจริงจัง สายตาก็พลันเป็นเด็กดื้อจนพลเองก็ต้องยอมตามใจในที่สุดแต่ขอมีข้อต่อรองมาจนเธอก็ยิ้มตอบรับ
"ผมจะช่วยยกของเข้าไปในครัว แต่เรื่องเก็บล้างเดี้ยวผมจัดการเองกับทำความสะอาดของสดต้องให้ผมทำให้ ตกลงไหม?"
"ก็ได้ค่ะ" พลหิ้วถุงของสดเดินเข้าบ้าน ของสดถูกลำเรียงขึ้นมาบนโต๊ะทำอาหารในห้องครัวทีละอย่างให้แม่ครัวได้เห็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร
"ได้เมนูแล้วค่ะ" กันตายิ้มอย่างพอใจในวัตถุดิบที่พลซื้อ เมื่อพลได้ยินดังนั้นเขาก็ยิ้มออกมาและหยิบของสดทุกชนิดไปล้างทำความสะอาดทีละอย่าง กันตาเลยเดินมาเลือกเนื้อหมูกับเนื้อไก่ออกมาอย่างละนิดส่วนที่เหลือพลจึงนำไปเก็บเข้าตู้เย็น เธอจึงหันไปไล่พลให้ออกจากห้องครัวอย่างรวดเร็วแต่ก่อนจะออกไปพลก็หยิบผ้ากันเปื้อนของเขามาส่งให้กันตาแต่ก็ไม่วายต่อรองอีกครั้ง
"คุณไม่ให้ผมช่วยจริงๆเหรอ?"
"ไม่ต้องค่ะ" กันตาตอบชัดถ้อยชัดคำขนาดที่รับผ้ากันเปื้อนจากพลมาใส่ ซึ่งมันมีขนาดพอดีตัวแม้ครรภ์ของเธอจะดันผ้ากันเปื้อนออกมาเล็กน้อยก็ตาม
กันตาออกแรงผลักพลออกจากห้องครัวจนสำเร็จ เธอจึงเริ่มลงมือทำอาหารอย่างรวดเร็ว ส่วนพลเพราะเนื่องจากโดนไล่ไม่ให้ช่วยทำครัวเขาจึงเดินเข้าห้องไปอาบน้ำล้างตัวและแต่งชุดนอนออกมานั่งรอที่ห้องรับแขก ปกติเขาจะใส่กางเกงขายาวตัวเดียวนอนไม่ใส่เสื้อเพราะเขาอยู่คนเดียวแต่เขาไม่ได้หน้าด้านหน้าทนนักและเขามีจิตสำนึกอยู่บ้างจึงหยิบเสื้อยืดสีขาวตัวเก่าๆมาใส่เพราะเกรงใจกันตา
พลนั่งลงที่โซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นผ้าขนหนูคล้องคอซับน้ำจากเส้นผมที่เขาเพิ่งสระ มาเปิดทีวีดูข่าวตามช่องต่างๆไปสักพักเพื่อดูว่ามีข่าวเรื่องอุบัติเหตุของคนในครัวหรือไม่ ก่อนจะเห็นข่าวที่กำลังตามหาก็ได้กลิ่นหอมของแกงจืดกับพัดกะเพราลอยออกมาพร้อมกันตาเดินออกมาตาม
"กับข้าวเสร็จแล้วคุณพลจะทานข้าวเลยไหมค่ะ?"
"ครับ ว่าแต่ คุณจัดดอกไม้ไว้ทั่วบ้าน ในห้องนอนผมก็มี" พลลุกเดินตามแม่ครัวไปที่โต๊ะกินข้าวในครัวแล้วก็เพิ่งนึกได้จึงถามถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กภายในบ้าน
"อ้อค่ะ วันนี้ไม่รู้จะทำอะไรดีเห็นดอกไม้ในสวนกำลังบานก็เลยเอามาจัดใส่แจกัน"
กันตาส่งแก้วน้ำให้พลขณะที่พลกำลังนั่งลงที่โต๊ะอาหารที่มีแกงจืดหมูสับกับกะเพราไก่วางรออยู่แล้ว กันตาเดินเลี่ยงออกไปตักข้าวสวยมาสองจานพร้อมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน ระหว่างมื้ออาหารทั้งสองพูดคุยกันเรื่องของตัวเองทำความรู้จักกันและกันทำให้อาหารเย็นยืดเวลาออกไปจนค่ำ
"พี่พลค่ะ พี่กลับไปใช้ห้องใหญ่ดีไหม?"
เนื่องจากทั้งสองพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนมในระดับหนึ่งเลยมีการเปลี่อนสรรพนามที่ใช้เรียกขานกันและกันนิดหน่อย และระหว่างมื้ออาหารกันตาก็ได้รู้ว่าพลแก่กว่าเธอสามปี เพราะเธอเพิ่งอายุยี่สิบห้าในปีนี้ส่วนพลก็อายุยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้าแล้วทั้งสองห่างกันเกือบสี่ปีเธอจึงใช้สรรพนามที่แสดงความเคารพนับถืออีกฝ่ายเป็นพี่ชาย
"กัน ใช้ห้องพี่ไปตามเดิมน่ะดีแล้วพี่ไม่มีปัญหากับห้องเล็กเพราะยังไงทั้งสองห้องก็มีห้องน้ำในตัว ส่วนตอนนี้พี่ว่ากันไปพักได้แล้วที่เหลือพี่จัดการเก็บเอง"
พลลุกจากเก้าอี้เก็บจานชามทั้งหมดลงอ่างล้างจานและเริ่มต้นล้าง แต่กันตายังนั่งรออยู่ในครัวและดึงผลไม้ที่ตัดแต่งไว้แล้วในตู้เย็นออกมาทานรอระหว่างที่พลล้างจาน
"พี่ทะเลาะเรื่องอะไรกับคุณพ่อพี่ค่ะ" กันตาถามพลที่ยืนล้างจานอยู่ ระหว่างที่ทานข้าวกันกันตาได้รู้ว่าอีกฝ่ายซื้อบ้านหลังนี้หลังจากเรียนจบและทะเลาะกับคุณพ่อที่เพิ่งเสียไป
"พ่อของพี่มีอีกบ้าน พี่กับคุณแม่รู้และไม่กดดันให้เลิกหรือไปโวยวายเพราะบ้านเล็กก็มีลูกสาวสองคนน้องสาวพี่ คุณแม่พี่บอกว่าสงสารเด็ก ส่วนพี่ก็โตมากพอที่จะไม่สนใจ แต่ที่ทำให้พี่ไม่พอใจก็พอดีว่าตอนนั้นคุณแม่ของพี่เริ่มไม่สบายก่อนจะเสียไปกะทันหัน คุณพ่อพี่มาที่งานศพตอนสวดวันแรก หลังจากนั้นได้สองปีคุณพ่อพี่ก็แต่งงานใหม่กับคุณนภาพรที่เป็นอีกบ้าน พี่อายุสิบแปดตอนนั้นกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ส่วนน้องสาวสองคนก็สิบหกกับสิบสาม แรกๆไม่มีปัญหาอะไรพ่อเองก็ขอให้พี่สนิทและดูแลน้องทั้งสองคนให้ดีพวกเราสามคนก็เลยสนิทกัน ได้ปีกว่าๆ เธอเอาสวนของแม่พี่ไปทำสระว่ายน้ำกับแอบเอาของที่ตู้นิรภัยในห้องไปคุณแม่ทิ้งแหวนทองคำขาวประดับเพชรรูปไข่ที่เป็นแหวนแต่งงานของคุณแม่ไป พี่เข้าไปเห็นพอดีเลยกลายเรื่อง พี่เอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อแต่คุณพ่อไม่สนใจบอกว่าเก็บไว้พี่ก็ไม่ได้ใช้"
"แล้วพี่พลทำยังไง" ตอนนี้พลล้างจานเสร็จแล้ว และหันมายืนพิงขอบอ่างล้างจานพร้อมเล่าให้กันตาฟังอย่างตั้งใจ
"พี่ก็โมโหมากแน่นอนล่ะ ก็แหวนของคุณแม่พี่นี่นะ เรื่องสวนพี่ยอมได้เพราะพี่เองก็คงไม่ได้ดูแลต่อ คนสวนของแม่พี่ก็ลาออกไปนานแล้ว พี่แย่งแหวนคืนมาได้กับของบางส่วนที่เป็นของคุณแม่พี่แต่เดิมคิดว่าพี่อาจจะโมโหไปหน่อยหรือเปล่าไม่รู้แต่พี่ค่อนข้างมั่นใจว่าพี่ไม่ผลักเธอแต่คุณนภาพรก็ลงไปกับนั่งพื้นเสียอย่างงั้น คุณพ่อพี่เลยไม่พอใจที่พี่ทำแบบนั้นตบหน้าพี่แล้วด่าพี่ว่าไม่รักษาหน้าเขา ไม่มีน้ำใจ เป็นลูกที่เขาไม่ต้องการเหมือนแม่ที่เขาไม่ต้องการเพราะโดนบังคับตบแต่งกัน เขาบอกว่าไม่เคยรักแม่ของพี่เลย....."
พลเงียบไปเล็กน้อยเหตุในความทรงจำกลับอีกครั้ง เขาซึมลงไปเล็กน้อยด้วยวันและเวลาในเหตุการณ์ตอนนั้นสมควรถูกลืมไปนานแล้วแต่ไม่ใช่กับเขา เขาโกรธและแค้นเคืองพ่อตัวเองมาตลอดจนกระทั่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ทำให้ความโกรธหายไป
"กันขอโทษที่ถามถึงค่ะ"
"ไม่หรอกไม่เป็นไร ได้พูดให้ใครสักคนมันก็ดีเหมือนกัน แล้วก็พี่หอบผ้ากับเงินที่คุณแม่ทิ้งให้พี่ไว้ไปอยู่หอคนเดียวไม่กลับบ้านเลยจนจบตรีกับโท โชคดีที่เงินที่พี่แม่ทิ้งไว้ให้มากพอที่พี่สามารถใช้เรียนต่อได้พอกลับมาทำงานก็ค่อยๆเปิดร้านกาแฟไปเรื่อยๆ กลับไปอีกครั้งก็ตอนวันที่คุณพ่อพี่เสียเมื่อต้นอาทิตย์ จะว่าไปพี่ก็ลี้ภัยมาเหมือนกับกันนะ"
แม้จะหัวเราะออกมาแต่เขาเงียบลงเพราะได้ระลึกว่าเขาได้ทิ้งครอบครัวของตัวเองไป จงใจทิ้งไปและไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้นด้วยเหตุผลแบบเด็กวัยรุ่น ตอนนี้เขาเองเลยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำไปเป็นเวลาเกือบสิบปีที่เขาทำตัวเหมือนไม่มีพ่อ ไม่มีครอบครัวทั้งยังไม่ได้ดูแลท่านตอนป่วยก่อนเสียอีก
กันตาเห็นอาการของพลก็เข้าใจว่าพลรู้สึกอย่างไร จริงอยู่ที่ว่าได้คุย ได้เล่าให้ใครสักคนฟังมันคือการระบายความรู้สึกแต่มันกลับเป็นดาบสองคมที่ไปสะกิดความทรงจำ ไปสะกิดต่อมความรู้สึกนึกคิดให้ได้ทบทวน กันตาจึงลุกจากเก้าอี้ของตัวเองเดินเข้าไปหาพลและเอามือประคองใบหน้าของพี่พลขึ้นมาให้สบตากับเธอ
"คุณพ่อกับคุณแม่พี่จะต้องดีใจมากค่ะถ้าท่านรู้ว่าตอนนี้พี่รู้สึกยังไง แต่กันคิดว่าพวกท่านทั้งสองคนคงไม่อยากให้คนที่รักมากที่สุดต้องมารู้สึกเสียใจขนาดนี้นะคะ ร่าเริงเถอะค่ะยิ่งถ้าพี่เป็นแบบนี้ท่านทั้งสองคนจะยิ่งเป็นห่วงพี่นะ"
พลตกใจกับสัมผัสของมือที่แก้มทั้งสองข้างของเขาเล็กน้อย พลรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่ส่งผ่านมารวมถึงสายตาที่จ้องมองเข้ามาในตาของเขาด้วยความจริงใจ ทำให้เขารู้สึกได้ว่าใจของเขาสั่นไหวอีกครั้ง เขายกมือของตัวเองขึ้นมาจับมือบางของคนตรงหน้าที่ตอนนี้วางอยู่ที่แก้มของเขาพลางพูดและยิ้มตอบไป
"ขอบคุณนะที่ปลอบพี่ กันตา"
ความคิดเห็น