ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rainbow's Tale ห้าเฉดรัก ระบายหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #3 : [★] Passionate Red 02 ; Coincidence

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 56


    2

    Coincidence

     

    ฉันจอดรถที่หน้าผับแห่งหนึ่ง นักท่องราตรีหลายคนกำลังเดินโซซัดโซเซออกมาจากร้าน บ้างก็อ้วกแตกจะเป็นจะตาย บ้างก็เมาจนหลับคาทางเท้าก็มี นี่คือเหตุผลที่ฉันไม่ค่อยเที่ยวที่นี่เท่าไหร่ ผับนี้ไม่ใช่ที่ๆ คัดเฉพาะคนมีตังค์เท่านั้นแต่ใครๆ ก็มาได้ ค่าเครื่องดื่มก็ราคากันเอง เลขาก็ไม่ได้บอกด้วยสิว่าที่บ้านเขาทำธุรกิจอะไรถึงได้ชอบมาที่นี่เนี่ย -*-
     

    ฉันเข้ามานั่งรอที่โต๊ะวีไอพี จากตรงนี้ฉันสามารถมองเห็นได้เกือบจะทั่วทั้งผับเลยก็ว่าได้ บรรยากาศถือว่าไม่ค่อยคึกครื้นเท่าไหร่นักถ้าเทียบกับที่ประจำของฉัน เครื่องดื่มที่ฉันเพิ่งสั่งไปยังไม่ทันจะมาเสิร์ฟ เป้าหมายของฉันในคืนนี้ก็ก้าวผ่านประตูเข้ามาข้างใน จากที่เขายืนสามารถมองเห็นฉันได้อย่างชัดเจน บวกกับเดรสเข้ารูปสีแดงที่ฉันใส่อยู่ ไม่มีทางที่จะไม่เป็นที่สะดุดตาแน่นอน
     

    “คุณ?” เขาเดินตรงจากหน้าประตูมาที่โต๊ะของฉัน อ่าห้า~ บอกแล้วว่าเขาต้องจำฉันได้ สวยสะดุดตาขนาดนี้ ฉันไม่ได้หลงตัวเองหรอกนะ ฉันรู้ต่างหากเพราะคลินิคศัลยกรรมที่ฉันไปเขาคอนเฟิร์มว่าสวยแน่นอน เอาเป็นว่ากลับมาบ้านปะป๊าจำไม่ได้เลยทีเดียว
     

    “อ้าว! คุณ... หลุยส์?” ฉันแสร้งทำเป็นจำชื่อเขาไม่ได้ แน่หละ ถ้าจำได้ก็ไม่สนุกสิ ;)
     

    “ลูอิสครับ ไม่ใช่หลุยส์ -_-” เขายิ้มแห้งๆ คงคาดหวังว่าฉันจะจำชื่อเขาได้สินะ หลงตัวเองจริงๆ
     

    “อ่อ ขอโทษค่ะ เชิญนั่งก่อนสิคะ ^^” ฉันส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง พร้อมกับเชิญให้เขานั่ง เขาไม่รีรอ รีบนั่งลงทันที


    “คุณมาที่นี่บ่อยหรือเปล่าครับ?” เขาถามขณะที่เครื่องดื่มของฉันมาเสิร์ฟพอดี เสื้อที่เขาใส่อยู่ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่แพทริคพาฉันไปไนต์คลับครั้งแรก เสื้อยืดสีเทารัดรูปกับกางเกงสามส่วนสบายๆ แพรทริคเคยบอกฉันว่าเวลามาเที่ยว ไม่ต้องแต่งตัวดีมากก็ได้เพราะคนเขามาเพื่อเมา ไม่ได้มาเดินแบบ ฉันเชื่อเขามาตลอดจนกระทั่งตอนนี้ ไม่ได้หรอกแพท ฉันต้องเป็นจุดสนใจสิ ให้แต่งตัวสบายๆ ได้ยังไงกัน ;)


    “คุณครับ" แพท... เอ้ย ลูอิสเรียกฉันอีกรอบ นี่ฉันคิดอะไรเพลินจนลืมตอบเขาเลยหรอเนี่ย แย่จัง :(


    “อ๋อออ ไม่บ่อยหรอกค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเที่ยวน่ะค่ะ" สตอเบอร์รี่ทั้งไล่ก็ยังไม่เท่าที่ฉันทำอยู่ตอนนี้นะบอกเลย = = ฉันเที่ยวแทบทุกคืน การเรียนไม่ต้องถาม ฉันโยนงานทั้งหมดให้พี่ตุลา (ญาติสุดหล่อของฉันที่ตอนนี้อยู่ปีสี่) กับยัยเชลโล่ทำหมดแล้วหละ บางวิชาฉันไม่เคยเข้าสักคาบเพราะอาจารย์ดันเปิดแค่คาบเช้า ใครมันจะไปตื่นไหวหละเก้าโมง -_-


    “ถึงว่า ผมไม่เคยเห็นคุณที่นี่เลย" เขายกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ กริยาท่าทางของเขาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับแพททริคจนฉันไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีกับผู้ชายตรงหน้าและแผนการในหัวตอนนี้ดี


    “แล้วคุณหละ มาที่นี่บ่อยหรอคะ?”


    “ก็ค่อนข้างบ่อยน่ะครับ ผมเพิ่งย้ายมาที่เมืองนี้เลยไม่ค่อยรู้จักที่เที่ยวที่อื่นเท่าไหร่ พอดีเพื่อนที่คณะแนะนำมาเลยมาที่นี่น่ะครับ" เขายิ้ม ยิ่งยิ้มยิ่งเหมือนแพทริคจนฉันอยากจะข้ามขั้นตอนทำความรู้จักแล้วบอกให้เขาไปเปลี่ยนชื่อซะเดี๋ยวนี้ :<


    “หืม? คุณเรียนที่ไอคอนหรอ?” อีกครั้งกับการเสแสร้ง ฉันรู้น่าว่าเขาเป็นเด็กดินแดนพระราชา คณะที่ฉันไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่เพราะคนที่นู่นจอดรถกันราวกับซื้อใบขับขี่มา สาบานได้ฉันเคยเห็นเด็กคณะนั้นถอยจอดเข้าซองธรรมดาถึงสิบครั้ง สุดท้ายก็ถอยไม่ได้เลยจอดมันกลางถนนนั่นแหละ = =


    “ครับ คณะบริหารธุรกิจน่ะครับ" ฉันหลุดขำเล็กน้อย เด็กที่นี่ไม่มีใครเขาเรียกเป็นคณะๆ แบบทั่วไปกันหรอก เขาเรียกเป็นดินแดนน่ะ แสดงว่าเขาต้องมาใหม่มากๆ จริงๆ สินะ ;)


    “ผมพูดอะไรผิดหรอครับ?” เขาทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกที่เห็นฉันพยายามกลั้นหัวเราะ xD


    “ป่าวหรอก ปกติคนที่ไอคอนเขาไม่เรียกเป็นคณะๆ แบบนั้นน่ะ"


    “แล้วเค้าแนะนำตัวกันแบบไหนหรอครับ?”


    “แบบนี้... สวัสดีค่ะ เดไลล่าจากดินแดนกุหลาบ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ^^” ฉันยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อเชคแฮนด์


    “แบบนี้นี่เอง งั้น... สวัสดีครับ ลูอิสจากดินแดนพระราชาครับ" เขาเชคแฮนด์กับฉัน ฉันยิ้มมุมปากให้เขาก่อนที่จะยกเครื่องดื่มขึ้นจิบเล็กน้อย เขาก็เช่นกัน


    “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ แต่ฉันคงต้องขอตัวก่อน มีงานที่ต้องทำน่ะค่ะ ^^” ฉันยิ้มก่อนที่จะลุกขึ้น เขาลุกตามทันที


    “เดี๋ยวสิคุณเดไลล่า ให้ผมไปส่งมั้ยครับ?”


    “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเอารถมา"


    “งั้นเอาเป็นว่าผมเลี้ยงเครื่องดื่มคุณแทนแล้วกันนะครับ" เขาควักเงินวางไว้ที่โต๊ะก่อนที่จะผายมือเป็นสัญญาณให้ฉันเดินนำไปก่อน นี่เขาจะเดินไปส่งฉันที่รถหรอเนี่ย รุกหนักไม่เบาแหะลูอิส ;]


    “ขอบคุณค่ะ"


    แพทริคนัมเบอร์ทูติดกับที่ฉันวางไว้อย่างจัง อีกไม่นานเราคงจะได้เจอกันอีกสินะ แต่คราวนี้คงไม่ใช่ฉันแล้วหละที่สร้างความบังเอิญ ผู้ชายแบบเขานี่อ่านเกมง่ายจังเลยแหะ ส่งสายตาพราวเสน่ห์หน่อยเดียวก็ติดกับซะละ อ่านง่ายจริงๆ


    ... นี่สินะ สิ่งที่แตกต่างระหว่างสองคนนี้ ...



    สองสามวันให้หลัง ฉันกับเชลโล่ไปเรียนปกติ จะให้ถูกคือฉันขับรถพาเชลโล่ไปเรียนต่างหาก ฉันน่ะหรอ? ไปทำเล็บสิถามได้ -_- อะไรคือการเข้าเรียนแล้วทำไมเราต้องเข้าเรียนคาบภาษาอังกฤษด้วยทั้งๆ ที่มหาลัยนี้เป็นมหาลัยอินเตอร์ สอบทีไรฉันก็ได้ร้อยเปอร์เซ็นเต็มทุกครั้ง (แค่วิชานี้น่ะนะ วิชาอื่นก็พอไปได้ เด็กแฟชั่นดีไซน์อย่างฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้อยู่แล้ว)


    “นั่นเด็กใหม่หรอ? มายืนเก๊กอะไรหน้าตึกแฟชั่นแบบนี้เนี่ย หรือว่านายแบบของใครสักคน?” เชลโล่ทักขณะที่ฉันขับรถเข้าไปจอดหน้าตึกแฟชั่นดีไซน์ ไม่ใช่นะ ยัยเชลโล่ไม่ได้เรียนแฟชั่นดีไซน์หรอก ยัยนี่เรียนเอกภาษาฝรั่งเศษซึ่งตึกภาษาอยู่ติดกับตึกแฟชั่นดีไซน์น่ะ ตึกภาษาจะเน้นความโมเดิร์นในขณะที่ตึกแฟชั่นดีไซน์ถูกออกแบบให้เหมือนพระราชวังในฝรั่งเศษ ด้านหน้าของตึกถูกตกแต่งด้วยหน้าต่างทรงสูงบวกกับบันไดสูงจากทางเดินขึ้นไปประตูทางเข้าตึก ดูไปดูมาเหมือนตึกศาลแพ่งยังไงก็ไม่รู้แหะ


    “คงงะ...เห้ย!” ฉันชะงัก ชายหนุ่มหุ่นนายแบบในชุดกึ่งทางการกับแว่นเรย์แบนด์ฉาบปรอทที่ยืนกอดอกพิงรถอยู่หน้าตึกไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือความบังเอิญของฉันนี่เอง!


    “เห้ยด้วย แพทริคมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย?!” ... ยัยเชลโล่นี่มีแต่ไอคิว ไม่มีอีคิวหรือไงนะ -_-


    “แกก็รู้ว่าแพทไม่ได้ว่างขนาดมายืนทำเท่แบบนี้ โดยเฉพาะที่นี่ -_-” ฉันรีบลงจากรถเพื่อไปทักลูอิสที่ดูเหมือนจะมายืนรอฉัน แน่นอนสิ ไม่มารอฉันแล้วจะมารอใครหละ


    “เห้~” เขาหันมายิ้มให้ฉันทันทีที่ฉันเดินเข้าไปหาเขา


    “สวัสดีครับคุณเดไลล่า"


    “ไม่ต้องมีคงมีคุณหรอก เดไลล่าก็พอ เราอยู่ปีสองเหมือนกันไม่ใช่หรอ?” เขาย้มมุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะพูดสิ่งที่ทำให้ฉันดูออกว่าเขาเป็นคนหลงตัวเองและตามฉันไม่ทันขนาดไหน


    “คุณก็ไปสืบข้อมูลของผมมาเหมือนกันหละสิ" คำว่า 'เหมือนกัน' มันบ่งบอกได้หลายอย่างนะ หนึ่งเลยคือเขาไปสืบข้อมูลฉัน สองคือเขาต้องสนใจฉัน และสามคือเขาติดกับฉันอย่างเต็มเปาเลยหละ ได้มาง่ายๆ แบบนี้ชักจะเริ่มไม่สนุกแล้วสิ นายแพทริคนัมเบอร์ทู~


    “อันที่จริง คนที่นี่เขารู้จักคุณกันหมดนั่นแหละ ไม่ค่อยมีเด็กใหม่ย้ายเข้ามากลางเทอมน่ะ" หรือจะให้พูดอีกอย่างคือ ไม่มีใครเส้นใหญ่ขนาดย้ายเข่้ามากลางเทอมได้ เดาว่าครอบครัวเขาต้องมีอิธิพลมากขนาดผู้อำนวยการยอมเซ็นเอกสารย้ายเข้ามาหลังจากที่ทุกคนเปิดเทอมไปแล้วเดือนกว่าๆ


    “อ่า~ แย่จัง ผมนึกว่าคุณแอบไปสืบประวัติของผมซะอีก" เขาเกาท้ายทอยแก้เก้อ หน้าแตกไปสิ ปะโธ่ -_- ถ้าเป็นแพททริค เขาจะไม่พูดอะไรก่อนคิดแน่ๆ มันทำให้เขาดูไม่ฉลาดเอาซะเลย ให้ตายสิ


    “ว่าแต่ คุณมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ดินแดนพระราชาไปทางนู้นต่างหากหละ เข้าผิดรั้วแล้วคุณ"


    “ผมไปคณะผมถูกน่า ผมมาหาคุณต่างหาก =_=”


    “อ่อ~ อ๋อ~ อ่า~ โอเค~” ฉันหันไปส่งสัญญาณให้เชลโล่เข้าไปก่อนเลย เธอดูงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี่อะไรมาก เธอยอมเดินเข้าตึกเรียนของเธอไปอย่างโดยดี ถ้าฉันเดาไม่ผิด (และฉันไม่เคยเดายัยเพื่อนคนนี้ผิด) กลับไปถึงห้องยัยนี่ต้องมีคำถามร้อยล้านแปดมาให้ฉันตอบไม่ทันแน่นอน แค่คิดก็ไม่อยากกลับห้องแล้วแหะ T_T


    “นั่นเพื่อนคุณหรอ?” เขาถามพร้อมกับมองไปยังเชลโล่ที่วันนี้ใส่กระโปรงยาวถึงตาตุ่มกับเสื้อยืดโง่ๆ สีขาวที่ฉันบอกยัยนั่นกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเสื้อตัวนี้มันเห่ยมากและไม่ควรจะเอามาใส่ไม่ว่าจะกับอะไรก็ตาม ยัยนั่นเคยฟังฉันเรื่องการแต่งตัวที่ไหนหละ =____=


    “เชลโล่น่ะ เอกฝรั่งเศษ อย่าถามเรื่องเสื้อผ้า สาบานได้ว่าฉันพยายามเตือนยัยนั่นรอบที่ร้อยแล้ว นี่แค่เรื่องเสื้อตัวนั้นนะ ยังไม่รวมกระโปรงกับรองเท้า" เราทั้งคู่หัวเราะกับคอมเม้นเรื่องแฟชั่นของฉัน เชื่อฉันสิ ฉันคือแฟชั่นนะ!


    “เห็นได้ชัดว่าการมีเพื่อนเป็นแฟชั่นนิสต้าไม่ได้ทำให้การแต่งตัวของคนรอบข้างดีขึ้นเลย" เขาเสริม ฉันแสร้งยิ้มเพราะว่ามันไม่ตลก เชลโล่เป็นเพื่อนสนิทฉัน ฉันสามารถด่าทอเธอยังไงก็ได้ แต่เขาเป็นใครมาดูถูกเพื่อนฉันเพื่อที่จะชมฉันแบบนี้ นี่เป็นอีกอย่างที่เขากับแพทริคต่างกันอย่างสิ้นเชิง


    “คงงั้นหละมั้งคะ แล้วคุณมาหาฉัน มีธุระอะไรหรอคะ?” ฉันตัดบทเพราะไม่อยากได้ยินเขาดูถูกเพื่อนฉันอีก ถึงเพื่อนฉันจะเห่ยยังไง แต่เธอก็เป็นเพื่อนของฉันนะ -_-!


    “ผมเพิ่งย้ายมาที่นี่น่ะ เลยอยากหาคนพาทัวร์รอบๆ แคมปัสซะหน่อย นอกจากคณะตัวเองแล้วก็ที่นี่ ผมยังไม่เคยไปที่ไหนเลย" ฉันนิ่งไปสักพัก ถ้าฉันพาเขาทัวร์ มีความเป็นไปได้สูงที่ฉันจะต้องเจอแพทเพราะเราต้องไปที่ดินแดนอัศวิน ไม่อยากไปเลยให้ตายสิ :<


    “อันที่จริงฉันก็ไม่เคยไปอีกสองดินแดนที่เหลือหรอก ดินแดนพระราชานานๆ ทีฉันถึงจะไปที นายมาหาผิดคนแล้วหละ" ฉันโกหก ทุกคนรู้ว่าฉันกับแพทสนิทกัน ฉันไปรับเขาที่คณะเพื่อที่จะไปทานข้าวกันบ่อยจะตาย ถึงเมื่อปีที่แล้วฉันจะใช้แค่อีโค่คาร์เล็กๆ ธรรมดาก็เถอะ


    “ว้า น่าเสียดายจัง งั้นมีร้านอาหารไหนแนะนำบ้างไหมครับ ผมหิ้ววว หิว~” เขาทำเสียงออดอ้อน ฉันยิ้มให้ก่อนที่จะเชิญเขาไปที่รถ


    “ฉันก็หิวเหมือนฉัน ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลยเนี่ย ^^” ฉันพูดก่อนจะซิ่งเฟอร์รารี่ของฉันไปยังร้านอาหารสุดหรูแถวมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะทดสอบว่าเขารวยและสปอร์ทแค่ไหน


    “มีร้านแบบนี้แถวมหาลัยด้วยแหะ สงสัยมีหนุ่มๆ พาคุณมาบ่อยแน่เลย ใช่มั้ยหละครับ?” เขายิ้มจนตาตี่ จมูกทรงเดียวกับแพทริค ใบหน้าเอเซียที่ถ้าไม่ยิ้มจะดูหยิ่งในทันทีของทั้งคู่ช่างเหมือนกันอย่างกับพี่น้องคลานตามกันออกมาจากท้องแม่


    “ไม่หรอกค่ะ พี่ชายฉันชอบพามาทานที่นี่น่ะค่ะ" ฉันโกหกอีกครั้ง นี่คือร้านโปรดของแพททริคต่างหากหละ!


    เราทั้งคู่สั่งอาหารมาทานกันอย่างสนุกสนาน... หรอ? เขาสนุกอยู่ฝ่ายเดียวหละมั้ง นอกจากเรื่องของตัวเองแล้วฉันยังไม่เห็นเขาพูดเรื่องของคนอื่นหรือถามเรื่องของฉันเลย -_- ตกลงคือเขาไปสืบมาหมดแล้วหรือว่าเขาเป็นพวกหลงตัวเอง Self-Obsessed กันนะ -O-


    “อาหารที่นี่อร่อยจัง สงสัยต้องมาทานบ่อยๆ แล้วหละ" เขาพูดทันทีที่เรียกพนักงานมาเก็บตังค์หลังจากที่พวกเราทานกันเสร็จ เขาควักบัตรเครดิทสีดำออกมาเพื่อจงใจจะอวดฉัน เอิ่ม... ฉันมีเป็นชาติละย่ะแหม =_=


    “หวังว่าที่นี่จะเป็นร้านโปรดของคุณด้วยนะคะ ^^” ฉันมองข้ามความหมั่นไส้เรื่องบัครไป เขาคงคิดว่าร้านนี้เป็นร้านโปรดของฉันหละมั้ง ก็ดีแล้วหละที่เข้าใจแบบนั้น เบอร์สองยังไงก็เป็นเบอร์สอง ไม่มีวันดีเท่าเบอร์หนึ่งได้หรอก จากที่เห็นแล้ว นอจากหน้าตา เขาก็ไม่มีอะไรดีเท่าแพทเลย :<


    “ต้องขอบคุณเดไลล่าที่พาผมมาทานที่นี่นะเนี่ย บรรยากาศก็ดี อาหารก็อร่อย แถมคนมาด้วยก็สวยอีกต่างหาก" เขาชมขณะที่เรากำลังขับรถกลับคณะ


    ในใจ: เป็นวิธีจีบหญิงที่เสี่ยวที่สุดในสามโลก นี่ฉันกำลังเสียเวลากับนายนี่หรือเปล่าเนี่ย =_=

    สิ่งที่ฉันแสดงออก: ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งนะคะ ^^” พร้อมกับหัวเราะแหะๆ


    “นี่... ผมรู้นะ ว่าคุณอยากได้เบอร์ผม" ฉันอึ้งไปสักพักกับประโยคนี้ ฉันไม่เคยเจอผู้ชายที่ไหนหลงตัวเอง คิดว่าทุกคนสนใจตัวเองเท่านายลูอิสมาก่อนในชีวิตเลยนะจะบอกให้ =[]=


    “คะ? ฉันเนี่ยนะอยากได้เบอร์คุณ?”


    “เอามือถือคุณมาสิ" ก่อนที่ฉันจะได้ตอบหรือเถียงอะไร เขาก็ถือวิสาสะคว้ามือถือของฉันไปกดเบอร์ตัวเองแล้วโทรออก...... นี่! โทรศัพท์ฉันไม่ใช่โทรศัพท์สาธารณะนะ คิดจะหยิบก็หยิบ มารยาทเป็นสมบัติของผู้ดีนะบอกเลย -_-!


    “อ่ะ ขอบคุณสำหรับอาหารกลางวันสุดพิเศษมื้อนี้นะครับ แล้วเจอกัน~" เขาลงจากรถก่อนที่ฉันจะได้ตอบอะไรเพิ่มเติม เขากลัวฉันจะบอกว่า 'ไม่ต้องเจอแล้วค่ะแหม' หละมั้ง ปะโธ่ ฉันก็ไม่ได้คิดสั้นตัดความสัมพันธ์ขนาดนั้น (-_-);

     


    หลังจากที่แยกกับลูอิส ฉันก็ขับรถตรงมาที่โรงละครของคณะซึ่งตั้งอยู่หลังตึกแฟชั่นดีไซน์ โรงละครของดินแดนกุหลาบเป็นที่รู้จักกันดีในความอลังการงานสร้างของที่นี่ นับได้ว่าเป็นโรงละครที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในเมืองเลยก็ว่าได้เพราะโรงละครของดินแดนกุหลาบแห่งนี้รองรับการแสดงทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นโอเปร่า ละครเวที รวมไปถึงพวกโชว์ต่างๆ อีกด้วย เหตุผลที่โรงละครนี้สามารถทำได้มากมายหลากหลายขนาดนี้ก็เพราะเครื่องเสียงที่ทางคณบดีได้สั่งตรงมาจากอเมริกา รวมไปถึงระบบไฟที่ชาวดินแดนอัศวินร่วมกันคิดค้นและพัฒนามาตั้งแต่รุ่นแรกๆ ทำให้โรงละครของเราถือว่าเป็นโรงละครที่ดีที่สุดและยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (ถึงกับตั้งชมรมขึ้นมาเพื่อจัดการกับระบบต่างๆ ในโรงละครนี้โดยเฉพาะ ชื่อว่า 'ชมรมพัฒนาและซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้าโรงละคร' หรือที่พี่ตุลาเรียกว่า 'พวกเบ๊เครื่องเสียง' กับ 'พวกช่างซ่อมไฟ' นั่นเอง -_-) ที่อวยโรงละครนี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอก ญาติสนิทของฉันเป็นคนเดียวที่มีกุญแจเปิดโรงละครนี้และยังมีอำนาจจัดการทุกอย่างในที่นี้อกต่างหาก เรียกได้ว่ามีพาวเวอร์พอๆ กับเจ้าของที่นี่เลยก็ว่าได้


    “ไฟ B2 สว่างไป จะฉายให้ทะลุปอดนักแสดงเลยมั้ย" เสียงเรียบๆ ของพี่ตุลาดังขึ้นมาจากที่นั่งคนดูชั้นสอง ฉันมองตามเสียงขึ้นไปแทบจะไม่เห็นญาติตัวเอง ไม่รู้ว่าที่นั่งมันเยอะหรือว่าเขาเลือกที่จะไปนั่งเกือบหลังสุดก็ไม่รู้ =_=


    “ใครเอาหินขึ้นมาวางบนเวทีเนี่ย เอาออกไปหน่อย" ฉันหันกลับมาที่เวที ไม่เห็นมีหินสั้กก้อนนี่นา (' ')?


    “หิน?” หนึ่งในนักแสดงบนเวทีถามขึ้น


    “โอ๊ะ หินพูดได้ด้วย อ่าว ไม่ใช่หินหรอ? จากการแสดงของพวกคุณเมื่อกี้ผมนึกว่าใครเอาก้อนหินมาตั้งโง่ๆ อยู่บนเวทีซะอีก แย่จัง" ถ้าฉันเป็นนักแสดง ฉันจะเดินไปตบหมอนี่ -_-


    “พี่ตุลา" ฉันเรียกขณะที่กำลังเร่งฝีเท้าเดินจากข้างล่าง ผ่านเก้ากี้ประมานเกือบห้าสิบแถวเพื่อที่จะขึ้นลิฟท์ไปชั้นสอง ชั้นที่พี่ตุลานั่งอยู่ (นี่คือผลของการจอดรถผิดที่ แทนที่จะเลือกจอดที่อาคารจอดรถจะได้เข้ามาชั้นสองเลย :<)


    “อือ" ฉันเบื่อความเย็นชาจอมปลอมของพี่ตุลาจริงๆ ทั้งๆ ที่มันก็แค่ฉากหน้า จริงๆ แล้วเขาเป็นคนอบอุ่นนะ แต่ชอบสร้างกำแพงน้ำแข็งมากั้นตัวเองไว้ เพื่ออะไรฉันก็ไม่รู้ -_-


    “แลกรถหน่อยนะ" ฉันวางกุญแจเฟอร์รารี่ของฉันที่โต๊ะเล็กๆ ข้างที่วางแขน เขาชายหางตามามองสักพักก่อนที่จะยื่นกุญแจรถอีโค่คาร์คันเล็กน่ารักแถมประหยัดน้ำมันของเขามาให้ ฉันบอกหรือยังว่าญาติของฉันเป็นคนแปลก ถ้ายัง... คุณคงไม่ต้องให้ฉันบอกแล้วสินะ -_-;


    “พวกถ้ำมอง" ยังไม่วายจิกกัดฉันก่อนที่ฉันจะเข้าลิฟท์ ให้ตายสิให้ตายยยย รอบตัวฉํนมีคนปกติบ้างมั้ยเนี่ย ญาติคนโต (พี่ธันวา) ก็บอกว่าฉันเป็นคนตลก... ฉันไม่ใช่คนตลกแต่คนทั่วไปไม่ฉลาดพอที่จะจับได้ว่าฉันกำลังพูดประชดแดกดันอยู่น่ะสิ ส่วนญาติคนรอง (พี่ตุลา) ก็เป็นพวกโดนขี้เถ้ายัดปากมาตั้งแต่เด็ก ปกติไม่ค่อยพูดแต่พอพูดทีนี่แทบจะก่อสงคราม -_________-!


    โอเคตอนนี้ทุกคนคงสงสัยว่าฉันมาทำอะไรที่นี่และทำไมต้องไปแลกรถกับพี่ตุลา เหตุผลก็คือฉันเป็นพวกถ้ำมอง (ก็ได้ฟะ -_-) ฉันจะชอบเนียนเข้ามาในดินแดนอัศวินตอนเย็นๆ เพราะรู้ว่าเขาคงยังทำงานอยู่ที่แลป เด็กที่นี่กลับบ้านดึกจะตาย บางคนนอนในแลปเลยก็มี ฉันว่างานพี่ตุลาโหดแล้ว งานที่นี่โหดกว่าเยอะ


    “เห้ นายนั่งส่องกล้องนั่นมาจะชั่วโมงแล้วนะแพท!” เสียงแจ๋วๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังผ่านกระจกออกมาจากห้องแลป ไม่ใช่แค่ห้องแลปธรรมดาแต่เป็นห้องเบอร์ V45 ห้องประจำของแพทริคกับกลุ่มเพื่อนของเขา


    “เรื่องสำคัญน่ะ ถ้าเธอเบื่อ เธอกลับก่อนเลยก็ได้นะ" เสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์ของเขาทำให้ฉันคิดถึงตอนที่เรายังสนิทกัน ฉันชอบฟังเสียงของเขา ไม่รู้เพราะสำเนียงผู้ดีอังกฤษหรือเพราะเสียงที่ต่ำจากในคอของเชา อาจจะทั้งสองอย่างก็ได้มั้ง เขาไม่ชอบเสียงตัวเองทั้งๆ ที่ฉันไม่อยากให้เขาหยุดพูดเลยหละ น่าเสียดายที่เขาเป็นคนหน้าตาย เงียบขรึม ไม่ค่อยแสดงออกกับคนหมู่มากที่ไม่สนิทเท่าไหร่ฉันเลยไม่ค่อยได้ยินเขาพูดมากนัก (._.)


    “ไม่เป็นไรดีกว่า เราอยู่กับแพทนั่นแหละ > <” ฉันแอบดูอยู่อย่างเงียบๆ ตรงนี้เป็นมุมบอด ข้างในไม่สามารถมองเห็นแต่ฉันสามารถเห็นพวกเขาได้ชัดเจน ฉันบอกแล้วว่าฉันมาที่นี่ประจำ ยัยคนนี้เป็นใคร ไม่เคยเห็นมาก่อน มาเกาะแกะวอแวอะไรกับแพทเนี่ย!?


    “อือ ฉันจะพยายามรีบนะ จะได้ไปทานข้าวก่อนกลับ ^^” แพทหันไปยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้น...

    ยิ้ม...

    รอยยิ้มนั่น...


    ไม่ว่าฉันจะชอบรอยยิ้มของเขาแค่ไหน การที่เห็นเขายิ้มให้คนอื่นแบบนี้ก็เหมือนกับเอามีดมากรีดข้อมือฉันอย่างช้าๆ แผลที่มองไม่เห็นช่างบีบหัวใจเหลือเกิน ฉันยืมมองทั้งคู่นิ่งๆ พร้อมกับหยดน้ำตาที่ค่อยๆ ไหนรินออกมา เขาเคยบอกฉันว่านอกจากฉันแล้วก็คงเป็นแฟนเขานั่นแหละที่เขาจะยิ้มให้ ผู้หญิงคนนี้สินะที่เขาว่ากันว่าเป็นแฟนของแพทริค


    ...ผู้หญิงคนที่หน้าคล้ายฉันตอนก่อนศัลยกรรมเนี่ยนะ!!


    ฉันหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเธอเพื่อที่จะส่งให้เลขาสืบประวัติ ฉันต้องรู้ให้แน่ใจว่าเธอคนนี้มีดีอะไรเขาถึงได้เลือกเธอ เธอซึ่งเป็นเวอร์ชั่นไม่สวยของฉัน! รักกันให้พอนะ ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าหละ !




    [Coincidence: เหตุการณ์ควมบังเอิญ]
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×