คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 บทลงโทษ
กินจนท้องจะแตก กว่าไอ้เพื่อนรักอีกคนที่เราสองคนกำลังเฝ้ารอก็วิ่งมาถึง
“อูยอง ชานซองกินเสร็จแล้วเหรอ โทษทีว่ะ ชมรมงานเยอะชิบ หิวจะแย่”
ผมกำลังวางตะเกียบพอดีขณะที่จุนโฮวิ่งเข้ามาร่วมวงด้วยท่าทีที่เหน็ดเหนื่อยจนเห็นได้ชัด
ผมกับจุนโฮอยู่ห้องเดียวกัน เรียกว่าเป็นเพื่อนซี้กันเลย แต่ช่วงนี้จุนโฮเหมือนจะยุ่งมาก ก็งานที่ชมรมดนตรีมันนั่นแหละ ได้ยินว่าฟอร์มวงใหม่ แถมงานแรกที่จะโชว์ก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย
“อืม เพิ่งกินอิ่มพอดี โทษทีนะที่ไม่ได้รอ นายกินพร้อมชานซองก็ได้ดูท่ามันจะยังไม่อิ่ม ใช่มั้ยไอ้ชาน”
“อืมๆ กินได้อีก” ช่างไม่สะทกสะท้านจริงๆ พ่อมันมีทีท่าจะล้มละลายบ้างป่ะวะ เป็นผมถ้ากินขนาดมัน พ่อแม่คงได้ขายที่นา
สรุปก็เลยต้องนั่งมองชานซองที่มันเอาแต่นั่งมองจุนโฮกินข้าวอีกที ประหนึ่งแม่ที่คอยให้กำลังใจลูกน้อยตอนหม่ำข้าวด้วยตัวเองครั้งแรกในชีวิต โดยที่ตัวเองก็จ้วงอาหารตรงหน้าเข้าปากด้วยจังหวะเนิบนาบตามปกติ ส่วนไอ้นั่นก็ไม่ได้รู้ตัวเล้ยยย นั่งแดกไปบ้าง อ้าปากเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ หัวเราะข้าวพุ่งใส่หน้าไอ้หมีมันก็ดันไม่หลบ แปลกคน
“งานอะไรน่ะ ที่พวกนายพูดถึงอยู่”
“งานสถาปนาโรงเรียนเอเอ็มไง อาทิตย์หน้าน่ะ เออ! ลืมไป นายมันเด็กใหม่นี่หว่า”
ผมกับจุนโฮเลยต้องนั่งอธิบายเรื่องที่เพิ่งคุยกันไปอีกครั้งให้ไอ้น้องใหม่ชานซองฟัง ก็เรื่องงานประจำปีของโรงเรียนเรานี่แหละ
โรงเรียนเอเอ็มอยู่ตรงข้ามโรงเรียนเราแค่ฝั่งถนน ภาพลักษณ์โรงเรียนอาจจะดูดีกว่าตรงที่แพงกว่า นักเรียนเลยล้วนจะติดไฮโซ ส่วนโรงเรียนของผม พีเอ็ม เป็นโรงเรียนสหศึกษา มีดีด้านกิจกรรมเด่น เป็นโรงเรียนขนาดกลาง ๆ เด็กที่นี่มักจะเป็นเด็กที่อกหักจากการสอบเข้าโรงเรียนโน่นซะเกินครึ่ง เป็นเพราะสองโรงเรียนที่อยู่ใกล้กันคนละฟากถนน โรงเรียนก็สถาปนาใกล้ๆ กัน เจ้าของโรงเรียนทั้งคู่ก็คงชะตาถูกกันล่ะมั้ง เลยร่างสนธิสัญญาให้เป็นโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องกันซะเลย เวลามีงานโรงเรียนก็มักจัดด้วยกันโดยเฉพาะงานสถาปนาโรงเรียน ของเอเอ็มจัดอาทิตย์หน้า แล้วก็ถัดไปอีกเดือนเป็นของโรงเรียนเรา โดยให้นักเรียนทั้งคู่เข้าร่วม เป็นเหมือนกันกระชับความสัมพันธ์ ส่งเสริมความรักใคร่สามัคคีทำนองนั้น ทั้ง ๆ ที่ดูๆ มันก็ไม่ช่วยอะไร กลับกลายเป็นว่าเด็กทั้งสองโรงเรียนต่างเขม่นกันแบบเงียบ ๆ ซะมากกว่า ส่วนในงานวันสถาปนาก็มีซุ้มกิจกรรม มีวงดนตรี หารายได้เข้าชมรมอะไรเทือก ๆ นั้นแหละ
ผมกะจุนโฮเล่าไป ชานซองที่นั่งฟังอยู่ก็ผงกหัวตามเป็นระยะเหมือนเด็กๆ
“เพราะงานนี้แหละ ฉันถึงยุ่งมาก เด็กใหม่ทั้งนั้น พี่มินจุนที่บอกว่าจะวางมือเพราะเรียนปีสุดท้ายแล้ว กลายเป็นแทบไม่เข้าชมรมด้วยซ้ำ”
“แต่ของโรงเรียนเราตั้งเดือนหน้านะ มีเวลาอีกเยอะนี่”
“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้นแหละ แต่พี่มินจุนดันมาบอกว่าพี่ชางมินประธานชมรมดนตรีของเอเอ็มเชิญวงเราไปแจมด้วย แล้วพี่เขาก็ตอบตกลงไปแล้ว”
“อ้าว! ซะงั้น”
“อืม แต่ฉันก็อยากนะ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จะได้ร้องเองด้วย พี่มินจุนก็อย่างที่บอก ทั้งวางมือและวางไมค์เรียบร้อย”
“แล้วปกติในวงนายอยู่ตำแหน่งไรเหรอ” ชานซองที่นั่งฟังอย่างเดียวมานานถามขึ้นบ้าง
“ก็เล่นทุกอย่าง แล้วแต่ กลองบ้าง คีย์บอร์ดบ้าง กีต้าร์บ้าง”
“โห! เล่นเป็นทุกอย่างเลยเหรอ เก่งจัง”
“อืม! ขอบคุณที่ชม ก็ไม่ได้เก่งอะไรนักหรอก”
โดนไอ้หมีชมซึ่งๆ หน้าตอนนี้จุนโฮมันเลยหน้าแดงเถือกได้แต่กัดตะเกือบระบายความเขิน ผมนั่งมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีจนเริ่มเบื่อ จะหลับคาวงข้าวไปแล้วหากว่าจุนโฮไม่ทักขึ้น
“เอ่ออูยอง นายบอกว่าวันนี้มีอะไรให้ช่วยนี่น่า”
“ออ! เกือบลืมแล้วนะเนี๊ยะ ขอบใจที่เตือนความจำ วันนี้จะให้ไปเป็นเพื่อนหน่อยอ่ะ เหมือนเดิม”
“อ่า!! วันนี้เหรอ....คือว่า..วันนี้”
“ทำหน้าอย่างนั้นอย่าบอกนะว่าไปไม่ได้ ก็ทุกทีนายไปกับฉันได้นี่น่าจุนโฮอ่า..” ผมเริ่มทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่ จุนโฮน่ะมันพวกใจอ่อน อ้อนนิดอ้อนหน่อยเดี๋ยวก็คงตอบตกลงแหละ เชื่อสิ
“แต่วันนี้ไม่ได้จริง ๆ น๊าอูยอง ขอโทษด้วย เดี๋ยวฉันต้องเข้าชมรมต่อ นัดรุ่นน้องไว้อ่ะ” หมอนั่นพูดพร้อมทำสีหน้าลำบากใจขึ้นมาซะงั้น แล้วดูดิ นายมาทำหน้าตาให้น่าสงสารมากกว่าฉันแบบนั้นได้ไงอ่ะ ไม่ใช่นายที่ใจอ่อนนะ ฉันก็ใจอ่อนไม่แพ้กันแหละ
“จุนโฮใจร้ายยยยยย”
“ฉันไปแทนก็ได้ ว่าแต่ไปไหนอ่ะอูด้ง” สงสัยจะทนดูสีหน้าผมไม่ไหวหรือไม่ก็สงสารจุนโฮที่ทำหน้าตาจะร้องไห้ที่โดนผมกล่าวร้าย มันเลยขันอาสาซะเอง
หึหึหึ ก็ดี อย่างน้อยก็มีเหยื่อ
“วันนี้มีแข่ง K Star รอบคัดเลือกอ่ะ ฉันอยากไปดู”
“แล้วไอ้ K Star นี่มันคือไรอ่ะ” ไอ้หมีนี่มันไปอยู่มุมไหนมาหว่า เรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้
“การแข่งขันเต้นน่ะ อูยองเค้าชอบเต้น ไปดูแทบทุกรอบเลย ฉันก็ไปเป็นเพื่อนอยู่บ่อย ๆ แต่วันนี้ไม่ว่างจริง ๆ รบกวนนายไปเป็นเพื่อนอูยองหน่อยน๊า” ดีมากจุนโฮ ดีมากกก อ้อนแทนฉันเข้าไปแบบนั้นแหละฉันจะได้ไม่เหนื่อย
“นายยังชอบเต้นเหมือนตอนเด็ก ๆ อยู่เหรออูด้ง” พอจุนโฮพูดเสร็จ ไอ้หมีก็หันขวับมามองหน้าผมด้วยสีหน้ามึนๆ ตามแบบฉบับ
ถามแบบนั้นทำไมฟระ ฉันมันเป็นยังไง
“อืม! ก็ชอบดิ ไม่งั้นจะไปดูเหรอ อย่างน้อยก็ชอบที่สุดในตอนนี้” อาจดูเหมือนว่าผมเป็นคนไม่เอาไหน แต่ผมน่ะเต้นเป็นหลายจังหวะเชียวน๊า บีบอย แจ๊สซ์แด้นซ์ วอลซ์ รุมบ้า ชะชะช่า กระทั่งซานติ
“งั้นไว้เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะไปบอกพี่แทคก่อน”
“ไม่ได้หรอก นายบอกพี่แทคไม่ได้แน่”
“ทำไมอ่ะ”
“เพราะเราต้องไปกันตอนนี้เลย หลังจากกินข้าวเสร็จนี่แหละ งานมันเริ่มบ่ายสองซึ่งมันก็อีกแค่ไม่ถึงชั่วโมงแล้ว”
“หมายความว่า นายจะ...”
“ถูกแล้ว เราจะโดดเรียนไง... หึหึหึ”
ตอนนี้ทั้งผมและชานซองยืนมองกำแพงสูงตรงหน้า กำลังคิดว่าจะปีนออกไปยังไงดี ปกติผมจะออกทางกำแพงด้านหลังเพราะมันมีอุปกรณ์ในการช่วยเหลืออยู่ พวกเก้าอี้หัก ๆ หรือโต๊ะเก่าๆ แต่วันนี้หลังโรงเรียนดันมีเรื่องกันอยู่ อาจารย์ฝ่ายปกครองก็อยู่ที่นั่น ไอ้พวกนี้ทำเอาผมต้องลำบากในการหาทำเลใหม่เลย
ไม่เคยลองกำแพงด้านข้างแบบนี้เลยแหะ เพราะนอกกำแพงมันก็ติดกับซอยเล็ก ๆ ปีนไปประชาชนทั่วไปก็เห็นกันหมด
แต่เพื่อ K Star ถึงอายผมก็ยอมแหละ
ชานซองคิ้วขมวดมุ่นมองผมเหมือนต้องการปรึกษา ว่าเมิงจะเอาจริงเหรอ หึหึหึ สงสัยมันจะไม่เคย ผมน่ะ ชินแล้ว
“นายไปก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปรอรับฉันฝั่งโน้น”
“นายขึ้นไปก่อนไม่ดีเหรอ ฉันจะได้ดันท้ายให้” ไอ้หมีทำหน้าจนใจ แต่ก็ยังยอมตามผมแต่โดยดี
“ไม่เอาอ่ะ ตอนขึ้นมันน่ากลัวน้อยกว่าตอนโดดลง เอาน่า ฉันประสบการณ์สูง ไปดิ”
สั่งเสียเรียบร้อยชานซองก็จัดการโหนตัวขึ้นกำแพงสูงนั้นอย่างง่ายดาย ผมงี้มองตาค้างเลย กะจะช่วยส่งร่างหมีๆ มันให้ขึ้นไปเหยียบกำแพงที่ไหนได้ ปีนเองได้ไม่ต้องเสียแรงช่วย
เอ๊ะ! หรือมันโกหกว่าไม่เคยฟระ ทำไมดูชำนาญเชียว
เห็นมันกระโดดข้ามไปฝั่งโน้นได้ ผมก็เอาบ้าง ยึดกำแพงไว้แน่นแล้วก็โหนตัวขึ้นไปด้วยท่าเดียวกับที่เห็นชานซองทำเด๊ะๆ
ยืนบนกำแพงได้ก็ชะโงกหน้าไปดูไอ้หมีที่ยืนรออยู่กับที่พร้อมจะรับร่างผมไว้ แต่หน้าเน่อนี่มองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครจะมาเห็น
แหม! ขนาดนี้แล้ว จะอายอีกเรอะ
“ฉันจะกระโดดแล้วนะ รับด้วย”
“อืม!!” ว่าแล้วก็หลับตาปี๋พุ่งตัวลงไปข้างล่าง เป็นเพราะเห็นว่าคราวนี้คนที่รอรับเป็นชานซองไม่ใช่จุนโฮเหมือนเคย หมอนี่รูปร่างใหญ่เลยไม่ได้กังวล
แต่แล้วปลายรองเท้ามันกับสะดุดกำแพงโรงเรียนทำให้เสียการทรงตัวไปนิด ผมเลยร่วงลงมาด้านล่างอย่างไม่เป็นท่าทับเข้ากับตัวชานซองเต็มๆ
โชคดีแหะ นึกว่าจะเจ็บตัวซะและ
ลุกขึ้นได้ก็สำรวจเนื้อตัวว่าบาดเจ็บรึเปล่า ปรากฏว่าไม่เจ็บแหะ แต่ไอ้หมีตัวยักษ์มันยังนั่งแช่อยู่กับที่
“อ้าว! ลุกดิ จะนั่งรอให้อาจารย์ฝ่ายปกครองมาเจอเหรอ”
“อูด้ง ฉันเจ็บว่ะ”
“เจ็บอะไรของนาย ไหน ๆ” สำออยไม่อยากไปเลยโกหกผมรึเปล่า
“เข่านายน่ะ มันกระแทกข้อเท้าฉัน”
“ห่ะ! ไรนะ นายว่าไงนะ”
“เดินไม่ไหว”
เวรแล้วไง
เย็นแล้ว หลังกลับจากโรงพยาบาล สรุปว่าผมก็อดไปดู K Star แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าเรื่องข้อเท้าของชานซองนี่สิ อืม! ว่าไปตอนนี้เรื่องข้อเท้าของชานซองก็ดูเป็นเรื่องเล็กไปเลยแหละ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมกับชานซองกำลังเผชิญกันอยู่ในตอนนี้
ผมยืนมองชานซองที่ก้มหน้างุดอยู่ตรงหน้าพี่แทคที่กำลังยืนนิ่งเพ่งสายตาเย็นๆ มองพวกผมคนอยู่ จริง ๆแล้วผมไม่เคยเห็นชานซองกลัวใคร ไม่ใช่เพราะพ่อใหญ่ แต่ด้วยเนื้อแท้นิสัยเป็นคนที่ไม่ได้เกะกะระรานใคร แม้หน้าตาจะดุก็เหอะ แต่ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ใครมารังแกอยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็นะ ด้วยเทควันโด้ เคนโด้ รวมถึงมวยไทยสารพันกีฬาที่มันเล่าเรียนมา ยังกะใครจะกล้าต่อกรด้วย
แต่เห็นมันยืนก้มหน้าคางติดอกแบบนี้ ชานซองคงคิดว่าเขาผิดจริง และเขาก็ยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแต่โดยดี ผมซึ่งเป็นคนผิดแท้ๆ เห็นเพื่อนทำแบบนั้นก็อดละลายใจไม่ได้
“พี่แทคยอนครับ จริง ๆแล้ว เรื่องนี้ชานซองไม่ใช่คนผิด ผมต่างหากที่ชวนเขา แล้วก็เป็นผมอีกนั่นแหละที่เป็นคนทำเขาเจ็บ ถ้าพี่จะลงโทษก็ลงโทษผมเถอะครับ”
ประโยคแมนๆ ของผมทำเอาทั้งพี่แทคยอนและชานซองหันมามองหน้า
ทำไม ซึ้งในความแมนของผมกันใช่มั้ยล่ะ
“ก็ดี ถ้านายออกโรงอยากรับโทษแทนชานซอง ก็ตามนั้น”
ผมตีสีหน้านิ่งไว้ทั้งที่ในใจนึกหวาด ๆ เคยเห็นบทลงโทษโหดของที่แทคผ่านสายตามาบ้างในช่วงเวลาที่มานั่งเฝ้าชานซองซ้อม
แต่เอาเหอะ ลูกผู้ชาย แค่นี้สบายมาก อย่างน้อยพี่แทคคงไม่สั่งผมสก๊อตจั้มจนกว่าจะลุกไม่ขึ้นแล้วเป็นลมตายไปหรอกนะ
เขาคงไม่ทำอย่างนั้นใช่มั้ย
“นายยังจำข้อเสนอที่ฉันเคยคุยกับนายได้รึเปล่าอูยอง”
“ข้อเสนอ??!!”
“อืม! ใช่ วันนั้นฉันบอกให้นายกลับไปคิดดู แต่ในเมื่อเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้แล้ว ถือว่าข้อเสนอนั่นเป็นอันโมฆะ”
อ่า! นึกว่าจะแย่ ที่ไหนได้กลับเป็นเรื่องดีซะอีก พี่แทคคงเล็งเห็นใช่มั้ย ว่าเอาอูยองมาไว้ก็เกะกะ ยังแต่จะสร้างความเดือดร้อนน่ารำคาญให้กับพี่อีก แหม! พระเจ้าช่างเข้าข้าง
มันก็ถือเป็นความโชคดีบนความซวยของไอ้หมีมันไปและกัน ช่วยไม่ได้นี่เนอะ
“แต่นี่คือบทลงโทษ ในระหว่างที่ชานซองเจ็บขา นายต้องมาเป็นผู้จัดการชมรมให้ทีมเราจนกว่าชานซองจะหาย”
“พี่แทคยอนว่าไงนะครับ” กำลังกระยิ่มยิ้มย่องในใจขอบคุณพระเจ้าซะยกใหญ่ อะไรกันฟร้า
“นายต้องเข้ามาช่วยงานในชมรมกว่าชานซองจะหาย ได้ยินชัดรึยัง”
“เอ่อ..แต่ว่า”
“ส่วนชานซอง รักษาตัวให้หายแล้วกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนานมั้ยกว่าขานายจะหายดี อาจจะไม่ทันแข่งนัดแรก แต่ไม่ต้องกังวลหรอกนะ แค่ให้หายดีก็พอ” แหม! ที่พูดกับไอ่หมีล่ะน้ำเสียงนิ๊ม นิ่มนะ ทีกะผมล่ะเสียงดุ๊ดุ
เออ! ก็เพิ่งนึกได้ว่าอย่างน้อยชานซองก็เจ็บอยู่ พี่แทคคงไม่ลงโทษอะไรมันนัก นอกจากด่า คิดได้เมื่อสาย ไม่น่าเสนอตัวเข้าไปรับผิดเลย
“ครับ ขอบคุณครับพี่แทค”
แล้วประธานชมรมก็ตบบ่าชานซองเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปยังสนามต่อ แต่เพียงไม่ถึงสองก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง ทำเอาผมที่กำลังปากกะโวยวายให้สุดชีวิตต้องปิดฉับแทบไม่ทัน
“เริ่มงานของนายพรุ่งนี้นะอูยอง เจอกันตอนเย็น แล้วฉันจะบอกว่านายว่าต้องทำอะไรบ้าง”
ซวยจริง ๆ
“ฉันนึกว่านายต้องโดนวิ่งรอบสนามร้อยรอบซะแล้ว ที่ไหนได้ งี้ถือว่าโชคยังดีนะอูยอง” ไอ้หมีทำหน้าดีใจแทนซะเต็มที่ ยิ้มงี้ปากฉีกไปถึงรูหูแล้ว
ก่อนจะพูดอะไรช่วยสังเกตหน้าเพื่อนเมิงหน่อยได้มั้ย ว่าอารมณ์ดีใจเหมือนกันรึเปล่า
“แต่ฉันอยากวิ่งรอบสนามมากกว่าว่ะ” ผมถอนหายใจในโชคชะตาเบาๆ ทำเอาไอ่หมีตีหน้ามึนใส่ มันคงคิดล่ะสิ ว่าวิ่งรอบสนามจะดีกว่าเป็นผู้จัดการทีมได้งัย
“เอาเหอะ ๆ มันไม่เห็นจะแย่ซักหน่อย อย่าเพิ่งคิดมากไปน่า พี่แทคน่ะเห็นดุๆ แบบนี้ จริง ๆ ก็ไม่ได้ใจร้ายซักหน่อย นายคิดมากไปเอง”
“นายก็พูดได้ดิ ไม่มาเป็นฉันนี่.. นี่ชานซอง ฉันขอสั่งให้นายหายเร็วๆ เข้าใจมั้ย”
เฮ้อ..นอกจากจะอดดู K Star ยังจะมาเจอเรื่องบ้าๆ นี่อีก แถมเพื่อนรักก็เจ็บตัว พระเจ้าไม่รักลูกเลยรึไงน๊า
ความคิดเห็น