คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ซีเรีย จากแดนบะรอกะฮฺสู่แผ่นดินมิคสัญญี
ซีเรีย จากแดนบะรอกะฮฺสู่แผ่นดินมิคสัญญี
1.
ซีเรีย (เมืองชามในอดีตที่ครอบคลุมซีเรีย จอร์แดน ฟิลัสฏีนในปัจจุบัน) เมืองโบราณที่มีอดีตอันยาวนานถึง 8,000 ปีก่อน ค.ศ. นักโบราณคดีประเมินกันว่าทั่วประเทศซีเรียมีโบราณสถานที่มีคุณค่าในยุคต่างๆ มากกว่า 4,500 แห่ง ในยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซีเรียเคยอยู่ใต้ปกครองของโรมนานถึง 700 ปี ในขณะที่กรีกเคยปกครองซีเรีย นาน 369 ปี ตลอดระยะเวลาที่อยู่ภายใต้อำนาจของกรีกโรมัน ประชาชนซีเรียไม่ต่างอะไรจากฝูงแกะ ที่นอกจากถูกกล้อนขนจนเกลี้ยงแล้ว ยังถูกรีดน้ำนมจนเหลือแต่กระดูก หนำซ้ำในบางครั้งกลับถูกฆ่าทิ้งอย่างไม่ใยดี
ซีเรียเป็นถิ่นเกิดของบรรดานบี เป็นสุสานของบรรดาเศาะฮาบะฮฺและชาวศอลิฮีน เป็นดินแดนที่อัลลอฮฺประทานความบะเราะกะฮฺ ก่อนวันกิยามะฮฺ มนุษย์จะถูกรวมพล ณ ดินแดนแห่งนี้ และนบีอีซาจะลงจากฟากฟ้าเพื่อฆ่าดัจญาล ณ แผ่นดินนามซีเรียเช่นกัน เราสามารถสัมผัสความประเสริฐของซีเรียได้ในทุกครั้งที่อ่านอัลกุรอานและอัลหะดีษที่พูดถึงดินแดนแห่งนี้
กองทัพของอุซามะฮฺ บินซัยด์ในยุคเคาะลีฟะฮฺอะบูบักร์ ใบบุกเบิกกำชัยชนะเหนือโรมัน หลังจากนั้นจอมทัพคอลิด บิน วาลิดพร้อมทหารจำนวน 40,000 คนยกทัพขับไล่ทหารโรมันออกจากแผ่นดินซีเรีย และกองทัพอิสลามสามารถมีชัยเหนือซีเรียทั้งหมดในยุคเคาะลีฟะฮฺอุมัร บินค็อฏฏอบ ภายใต้การนำทัพของอบูอุบัยดะฮฺที่สามารถขับไล่จอมทัพโรมัน ชื่อ เฮราคลีอุส ออกจากแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์แห่งซีเรียในปี ฮ.ศ.15 พร้อมกับได้ทิ้งวลีอมตะที่ท่านอบูอุบัยดะฮฺกล่าวว่า “สันติภาพจงมีแด่ซีเรีย สันติภาพที่มิอาจพบเจอได้อีกแล้วหลังจากนี้”
จากนั้นซีเรียได้รับการบูรณะพัฒนาด้วยน้ำมือของมหาบัณฑิต – หลังจากเตาฟิกจากอัลลอฮฺ – ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันแห่งนบีผู้ปรานี พวกเขาเป็นทั้งผู้นำที่มีความยุติธรรม หัวหน้ากองคลังผู้ซื่อสัตย์ ผู้พิพากษาที่เที่ยงตรง แม่ทัพผู้มีความยำเกรง ผู้ปกครองที่ถ่อมตน และพลทหารที่นอบน้อมภักดี ซีเรียจึงเปิดศักราชแห่งความสันติสุขและการพัฒนา และเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยังคงเป็นประวัติศาสตร์แห่งความภูมิใจจวบจนทุกวันนี้
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชาวซีเรียได้ประสบกับมรสุมชีวิตมากมาย แต่ไม่มียุคไหนที่มีความโหดเหี้ยมและสร้างความสะพรึงกลัวเหมือนในยุคผู้นำลัทธิชีอะฮฺนุศ็อยรีย์ อะละวีย์อีกแล้ว เพราะมันเป็นการโหมโรงไฟแค้นของลัทธิมาญูซีย์ ความอาฆาตของคริสเตียนยุคโรมัน และความเจ้าเล่ห์ของยิวมาผสมผสานในตัวคนเดียวกัน
ฝันร้ายของชาวซีเรียเริ่มตั้งแต่ สงคราม 6 วันระหว่างรัฐยิวกับชาวอาหรับในปี 1967 สงครามนี้ถือเป็นละครสงครามที่แสดงโดยรัฐอันธพาลยิวกับประเทศอาหรับที่มีทั้งอียิปต์ ซีเรียและจอร์แดนรวมตัวกัน ซึ่งภายในระยะเวลาเพียงแค่ 6 วัน รัฐอันธพาลยิวที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่ถึง 20 ปีและมีประชากรไม่ถึง 3 ล้านคนในสมัยนั้น สามารถมีชัยเหนือประเทศอาหรับทั้งสาม ที่มีประชากรรวมกันกว่า 100 ล้านคน (ยังไม่นับรวมประเทศเพื่อนบ้านอีกมากมาย) กล่าวได้ว่า ยิวใช้เวลาเพียงแค่นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ แต่สามารถยึดดินแดนมากมายทั้งฉนวนกาซ่า(ติดพรมแดนอียิปต์) เวสต์แบงค์ของจอร์แดน และที่ราบสูงโกลานของซีเรีย ทำให้ดินแดนของอิสราเอลขยายตัวออกไปถึง 4 เท่า นี่คือการแสดงปาหี่ที่น่าทึ่งระดับโลกที่สะท้อนความอ่อนแอของประชาชาติมุสลิมโดยเฉพาะอาหรับ และน่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกอิสลาม
2.
นับแต่นั้นมา ทั้งซีเรียและจอร์แดนก็ไม่เคยทวงคืนดินแดนที่เสียไป อาวุธยุทโธปกรณ์หรือแม้แต่กระสุนนัดเดียวของทั้งสองประเทศนี้ ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้แก่รัฐยิวแม้แต่น้อย และกองทหารประเทศมุสลิมเหล่านี้ไม่เคยสร้างสิ่งระคายเคืองให้กับจอมอันธพาลโลกนี้เลย ในขณะที่รัฐบาลอียิปต์ก็แสดงตนเป็นสหายผู้ภักดีกับศัตรูในการทรยศเพื่อนบ้านและพี่น้องร่วมอิสลามอย่างเสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด
แต่ฝ่ายที่ได้รับอันตรายสุดๆ จากกองทหารของประเทศมุสลิมเหล่านี้คือประชาชนของตนเอง โดยเฉพาะชาวซีเรีย หลังจากที่ฮาฟิส อะสัด ก่อรัฐประหารในปี 1970 เพื่อเป็นการให้รางวัลจากผลงานอันอัปยศที่เขาได้มอบที่ราบสูงโกลานสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นรมว.กลาโหมในปี 1967 (ช่วงสงคราม 6 วัน) เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรมต.ในปี 1971 เขาจึงเป็นผู้นำซีเรียที่มาจากชนกลุ่มน้อยชีอะฮฺนุศ็อยรีย์อะละวีย์ซึ่งมีเพียง 6 % ของประชากรในประเทศ
ตั้งแต่นั้นมา ผู้นำจอมกระหายเลือดผู้นี้ได้ประกาศทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์กับประชาชนของตนเองโดยเฉพาะสมาชิกในองค์กรอิควานุลมุสลิมูน สมาชิกกลุ่มนี้ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้คุกคามต่อความมั่นคงของประเทศที่อันตรายที่สุด ผู้ใดก็ตามที่เป็นสมาชิกองค์กรนี้ จะได้รับโทษประหารชีวิตสถานเดียว เล่ากันว่ามีชายไว้เคราคนหนึ่งถูกจับเข้าคุกนานถึง 12 ปี เพียงเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นสมาชิกอิควานุลมุสลิมูน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคริสเตียน
ช่วงที่อยู่ในอำนาจ นายฮาฟิส อะสัด ได้ฝากผลงานอัปยศอย่างน้อย 4 ประการคือ
1. มอบที่ราบสูงโกลานให้เป็นของยิวตามที่ได้กล่าวข้างต้น
2. ในวันที่ 2 กพ. 1982 อะสัดได้กวาดล้างประชาชนที่จังหวัด Hamah โดยมีนายริฟอัต อะสัด (น้องชายฮาฟิส อะสัด) เป็นหัวหน้าปฏิบัติการ ซึ่งมีประชากรในขณะนั้นประมาณ 700,000 คน ถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เหี้ยมโหดที่้สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กองทัพซีเรียโอบล้อมเมืองนี้และถล่มด้วยอาวุธหนัก พร้อมรถถังและเครื่องบินรบนานถึง 27 วัน มีการตรวจค้นทุกบ้านเรือน ทุกซอกทุกมุม ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างสยดสยองประมาณ 30,000-40,000 คน มัสยิดถูกทำลายย่อยยับ 88 แห่ง ย่านการค้าจำนวน 21 แห่งราบเป็นหน้ากลอง กุโบร์จำนวน 7 แห่งถูกทำลาย 27 ตระกูลถูกจองล้างจองผลาญชนิดไม่เหลือแม้กระทั่งลูกเล็กเด็กแดง ผู้สูญหายไร้ร่องรอย 90,000 คน ถูกจับเข้าคุก 40,000 ราย และอพยพละทิ้งบ้านเรือนเป็นแสนๆ คน โบราณสถานอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เสียหายอย่างหนัก บางแห่งถูกบดขยี้ไม่เหลือซาก หลังจากทำลายเมืองนี้อย่างหนำใจแล้ว พวกมันได้เขียนโปสเตอร์ขนาดใหญ่ติดทั่วเมืองว่า يسقط الله ويحيى الأسد หมายถึง อัลลอฮฺล่มสลาย อะสัดจงเจริญ
3. สถาปนาซีเรียเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ไม่มีฝ่ายค้าน มีการแสดงปาหี่ให้ประชาชนเลือกตั้งเป็นครั้งคราว แต่เขาได้รับชัยชนะท่วมท้นทุกครั้ง บางครั้งชนะด้วยคะแนน 99.99% ด้วยซ้ำ เพื่อประกาศศักดาความเป็นพระเจ้าเหนือดินแดนซีเรีย มีการกราบไหว้รูปปั้นและรูปภาพของเขา สถาปนารัฐแห่งความหวาดกลัว ความตายสามารถเข้าไปเยือนทุกคนและทุกเมื่อแม้กระทั่งอยู่ในห้องนอนภายในบ้านของตนเอง ทุกคนไม่มีสิทธิตั้งคำถามต่อการกระทำของพวกเขา การทรมานประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดมีหนุ่มคนหนึ่งถูกฆ่าต่อหน้าลูกเมียและพ่อแม่ แต่หลังจากฆ่าเสร็จ พวกทหารได้บังคับให้สมาชิกครอบครัวร้องรำทำเพลงหน้าศพเสมือนพวกเขากำลังได้รับข่าวดีในชีวิต ซุบฮานัลลอฮฺ เสียงกรีดร้องโหยหวนดังทั่วซีเรีย เลือดผู้บริสุทธิ์ถูกสังเวยไม่รู้เท่าไหร่ ความเดือดร้อนเกินบรรยาย ความยากจนค้นแค้นในชีวิต ในขณะที่การเข่นฆ่า ปล้นสะดม ถือเป็นเหตุการณ์รายวัน ปัญหาคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงถือเป็นเรื่องปกติ
4. อะสัดได้ประกาศรัฐธรรมนูญที่ไม่ต่างไปจากใบอนุญาตฆ่าประชาชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีอยู่ข้อหนึ่งที่ระบุว่า ไม่สามารถฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมก็ตาม ทั้งนี้เพราะผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนโดยตรงก็คือมันนั่นเอง
โศกนาฏกรรมแห่งมนุษยชาติที่อะสัดผู้พ่อที่ได้ฝากผลงานไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว บัดนี้อะสัดผู้ลูก(บัชชาร์ อะสัด) กำลังเจริญรอยตามทุกย่างก้าว ท่ามกลางความบอดใบ้ในสามัญสำนึกของประชาคมโลก แม้กระทั่งประชาชาติมุสลิม ใช่ เราเป็นเพียงมนุษย์ฝาผนังที่ไร้ความรู้สึก ถึงแม้อวัยวะบนร่างกายของเราถูกเฉือนทีละชิ้นทีละอันก็ตาม อัลลอฮุลมุสตะอาน
3.
ซีเรียหรือสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย (Syrian Arab Republic) เป็นประเทศในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดกับประเทศจอร์แดนทางตอนใต้ อิรักทางตะวันออก ตุรกีทางตอนเหนือ เลบานอนทางตะวันตกและรัฐอันธพาลยิวทางตะวันตกเฉียงใต้ที่ราบสูงโกลาน (Golan Heights) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีเรียที่ถูกอิสราเอลปล้นสมัยสงคราม 6 วันเมื่อปีค.ศ.1967
ซีเรียเคยอยู่ภายใต้ปกครองของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชเมื่อ ค.ศ.1946 ต่อมาในปีค.ศ.1970 พันเอกฮาฟิส อัลอะสัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจปกครองประเทศ และในปี 1971 ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจนกระทั่งเสียชีวิตปี 2000 ต่อมา บุตรชายของเขาดร.บัชชาร์ อะสัด ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้นำคนใหม่จนกระทั่งปัจจุบัน
ซีเรียมีประชากรทั้งสิ้น 23,695,000 คน ประมาณ 84% เป็นมุสลิมสายสุหนี่ 6% นับถือชีอะฮฺนุศ็อยรีย์อะละวีย์ ซึ่งเป็นลัทธิของตระกูลอะสัดและชนชั้นปกครอง ส่วนอีก10% เป็นคริสเตียน
ลัทธิชีอะฮฺนุศ็อยรีย์อะละวีย์ เกลียดชังมุสลิมสุหนี่อย่างเข้ากระดูกดำ รัฐบาลซีเรียโดยการสนับสนุนจากรัฐบาล อิหร่านและพรรคฮิสบุลลอฮฺจากเลบานอน ได้กวาดล้างปราบปรามประชาชนชาวซีเรียอย่างหนักหน่วงและโหดเหี้ยม โดยเฉพาะกรณีทุ่งสังหารฮามา เมื่อปี 1982 (ดูบทความก่อนหน้านี้)
หลังจากนั้น มุสลิมสุหนี่ชาวซีเรียซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศถูกโดดเดี่ยวในประเทศของตนเองและหันหลังกับการเมืองภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลชีอะฮฺนุศ็อยรีย์อะละวีย์ 40 ปีกว่าที่ประชาชนชาวซีเรียไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง ตลอดระยะเวลาดังกล่าวประชาชนแทบไม่ได้มีส่วนร่วมพัฒนาประเทศเลย สิ่งที่พวกเขาได้รับคือการกดขี่ด้านศาสนาอันเลวร้าย เผด็จการทางการเมืองอย่างไร้ความปรานี และทุกข์ทรมานในวันวนแห่งความเลวร้ายที่เหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กล่าวได้ว่าไฟแค้นลัทธิบูชาไฟยุคเปอร์เซียในอดีต ความอาฆาตของชาวคริสเตียนยุคสงครามครูเสด และความปลิ้นปล้อนตลบตะแลงที่แฝงด้วยความโหดร้ายของยิว ได้หลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียวกันในยุคตระกูลอัลอะสัดปกครองซีเรีย
การประท้วงของชาวซีเรียเริ่มปะทุขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2011 เมื่อเด็กนักเรียนประมาณ 28 คนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้เขียนข้อความประท้วงรัฐบาลว่า “ประชาชนต้องการโค่นล้มรัฐบาล” ซึ่งเป็นข้อความที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ในประเทศอาหรับที่มีการปฏิวัติดอกมะลิก่อนหน้านี้ ผลปรากฏว่า เด็กนักเรียนกลุ่มนั้นถูกจับและทรมานด้วยการถอดเล็บมือเล็บเท้า หลังจากนั้น บรรดาผู้ปกครองไปติดต่อขอรับลูกคืน แต่พวกเขาได้รับคำตอบว่า “กลับบ้านเถอะ และขอให้ลืมว่าเคยมีลูกชายมาก่อน ถ้าลืมไม่ลงก็ขอให้มีลูกใหม่เสีย หากท่านแก่เกินที่จะมีลูก ก็ขอให้ส่งภรรยาและลูกสาวของท่านมาให้เรา และเรายินดีเป็นพ่อให้ ” ช่างเป็นคำพูดที่ดูถูกและเฉือนหัวใจของผู้เป็นพ่อเหลือเกิน
หลังจากนั้น ประชาชนเริ่มแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจ เริ่มต้นที่เมืองฮามา ดาร์อา ฮูรอน ฮาลับ และขยายวงอย่างรวดเร็วไปยัง 157 แห่งทั่วซีเรีย ฝันร้ายชาวซีเรียได้หวนกลับมาอีกครั้ง อัลอะสัดผู้พ่อได้เคยทิ้งผลงานอัปยศเช่นใด บัดนี้ อัลอะสัดผู้ลูกได้พยายามปฏิบัติตามทุกกระเบียดนิ้ว
ผลงานอัปยศของอัลอะสัดผู้ลูก (ข้ อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค. 2012)
1. ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปแล้วเกือบ 10,000 คน และจับประชาชนเข้าคุกมากกว่า 200,000 คน
2. มากกว่า 30,000 คน บาดเจ็บสาหัสโดยไม่ได้รับการเหลียวแล และสูญหายกว่า 65,000
3. นายแพทย์จำนวน 19 คนและคนเจ็บจำนวน 40 คนถูกฆ่าตายอย่างสยดสยองที่โรงพยาบาลเมือง Doma
4. มากกว่า 1,000 คน เสียชีวิตในคุก และลี้ภัยยังประเทศเพื่อนบ้านไปแล้วกว่า 20,000 คน
5. ผู้หญิงถูกข่มขืนต่อหน้าต่อตาสามีและลูก
6. มีมุสลิมะฮฺคนหนึ่งในเมือง Hims ได้ขัดขืนและต่อสู้เพื่อปกป้องตนเองจากการกระทำชำเรา นางถูกฆ่าหั่นศพเป็น 4 ท่อน ยัดเข้าไปในถุงพลาสติกแล้วโยนทิ้งหน้าบ้านครอบครัวของนาง
7. การกล่าวตักบีร (อัลลอฮุอักบัร) ถือเป็นความผิดมหันต์
8. มีการบังคับให้กราบไหว้รูปภาพของบัชชาร์ พร้อมขู่เข็ญให้กล่าว لا إله إلا البشار (ไม่มีพระเจ้านอกจากบัชชาร์) ผู้ใดขัดขืนก็จะถูกทรมานอย่างไร้ปรานี
9. ตำแหน่งต่างๆ ทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ จำนวน 84% ถูกครอบงำโดยชาวลัทธิชีอะฮฺนุศ็อยรีย์อะละวีย์ อีก 6% เป็นของชาวต่างชาติ และ 10% เป็นของชนต่างศาสนิก ส่วนมุสลิมสายสุหนี่แทบไม่มีบทบาทใดๆเลย พวกเขาจะเข่นฆ่ามุสลิมสุหนี่ยิ่งกว่าศัตรูคู่อาฆาต แต่ไม่เคยแตะต้องหรือสร้างความระคายเคืองแก่ยิวแม้แต่คนเดียว แม้กระสุนนัดเดียวก็ไม่เคยตกในดินแดนยิว
ก่อนออกจากบ้านไปประท้วงทุกครั้ง ผู้ประท้วงชาวซีเรียจะอาบน้ำละหมาดและละหมาดอำลา 2 ร็อกอัตเสมอเพราะพวกเขามั่นใจว่า นี่คือวาระสุดท้ายของชีวิต และพวกเขาจะไม่มีโอกาสกลับบ้านอีกแล้ว
ปฏิกิริยาประชาคมโลก
จีนและรัสเซียใช้สิทธิคัดค้านหรือวีโต้ร่างมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประขาขาติ (UN) ซึ่งสนับสนุนแผนของสันนิบาตอาหรับที่เรียกร้องให้บัชชาร์ อัลอะสัดของซีเรียสละอำนาจ โดยมี 13 ชาติสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯ ออกเสียงสนับสนุนเพื่อหวังหยุดยั้งการปราบปรามผู้ประท้วงด้วยความรุนแรงในซีเรีย ในขณะที่ผู้รู้ชีอะฮฺอิหร่านได้รณรงค์ผ่านคุตบะฮฺวันศุกร์ให้ชาวอิหร่านลุกขึ้นปกป้องรัฐบาลของบัชชาร์ อะสัด
นี่คือใบอนุญาตสั่งฆ่าประชาชนซีเรียที่ลงนามโดยประเทศมหาอำนาจที่ผสมโรงกับประเทศชีอะฮฺ โดยมีประชาคมโลกเป็นผู้ชมที่สงบนิ่งมาโดยตลอด
หากมีการเข่นฆ่าสุนัขเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ซีเรียในปัจจุบันแล้ว เหล่าองค์กรสิทธิสุนัขชนทั้งหลายจะต้องเรียกร้องให้ยุติการกระทำอันป่าเถื่อนนี้อย่างเร็วที่สุด หรืออาจสร้างแรงกดดันไม่ให้แผนการฆ่าสุนัขได้รับการปฏิบัติด้วยซ้ำ แต่ในกรณีนี้ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือมุสลิม ทั่วโลกจึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เว้นแต่แสดงละครตีบทเศร้าตามเวทีโลกรายวันเท่านั้น
ฟัตวาอุละมาอฺมุสลิม
1) สมาพันธ์อุละมาอฺซีเรียและสมาพันธ์อุละมาอฺโลกได้ออกฟัตวาเรียกร้องให้ชาวซีเรียลุกขึ้นปกป้องตนเองจากสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ ถึงแม้ด้วยมีดในครัวก็ตาม
2) ชีคเกาะเราะฎอวีย์ได้อ่านคุตบะฮฺประณามการกระทำของรัฐบาลบัชชาร์ และดุอาให้อัลลอฮฺทำลายอำนาจของเขา ชีคได้สร้างความมั่นใจว่าสัจธรรมจะต้องได้รับชัยชนะ พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่าท่านจะต้องไปละหมาดที่มัสยิดอุมะวีย์ ณ กรุงดามัสกัสในเร็วๆ นี้
3) สำนักพระราชวังแห่งซาอุดีอาระเบียได้ออกประกาศให้อิมามมัสยิดทั่วราชอาณาจักร อ่านดุอากุนูตในละหมาดเป็นเวลานาน 1 เดือน
4) ชีคมุหัมมัด หัสสาน ชีคมุหัมมัด อัลอะรีฟีย์ ชีคซัลมาน อัลเอาดะฮฺ ชีคอาอิด อัลก็อรนีย์ และอุละมาอฺท่านอื่นๆ ทั่วโลก (ยกเว้นอุละมาอฺสายรัฐบาลบัชชาร์และอุละมาอฺสายชีอะฮฺ) ได้ประณามการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ และดุอาต่ออัลลอฮฺได้โปรดให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องชาวซีเรีย
แนวโน้มและจุดยืน
1) สถานการณ์ในซีเรียยากที่จะคาดเดา เพราะนอกจากเป็นแหล่งความขัดแย้งประเด็นศาสนาสุหนี่-ชีอะฮฺแล้ว ซีเรียคือรัฐกันชนที่สำคัญที่สร้างความปลอดภัยให้แก่รัฐยิวจากภัยคุกคามของมุสลิม
2) มีรายงานเพิ่มว่า นายทหารจำนวนกว่า 30,000 นายได้เข้าสมทบกับกองกำลังประชาชน เพราะทนดูพฤติกรรมอันโหดร้ายของรัฐบาลไม่ได้
3) อย่าหลงกลละครน้ำเน่าที่แสดงโดยชีอะฮฺและยิว ที่ตบตาผู้ชมทั่วโลกว่าทั้งคู่คือศัตรูคู่อาฆาต ทั้งที่ความจริงในประวัติศาสตร์ ลัทธิชีอะฮฺ – ไม่ว่าในระดับประเทศหรือองค์กร- ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนแก่ยิวแม้ด้วยกระสุนนัดเดียว อาจมีบทกร้าวที่ดูเหมือนจะห้ำหั่นใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตายในบางครั้งบางคราว แต่ก็เป็นเพียงละครตบตาที่ไม่มีทางเกิดขึ้นในสนามแห่งความเป็นจริง
4) ในอดีต มุสลิมอาจถูกปิดหูปิดตาจากการรับรู้ข่าวสารไปบ้าง แต่ปัจจุบัน ขอเพียงแต่มีใจและให้ความสำคัญกับพี่น้องมุสลิมทั่วโลก ก็สามารถติดตามข่าวคราวผ่านสื่อต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิดและฉับไว เพราะผู้ใดที่ไม่สนใจกิจการของมุสลิม เขาไม่ใช่มุสลิมที่แท้จริง
5) การดุอาคือเกณฑ์ขั้นต่ำที่สุดที่เป็นตัวชี้วัดว่าเรามีความห่วงใยพี่น้องของเรามากน้อยแค่ไหน ดังนั้นอย่าอ้างว่าไม่มีเวลาแม้แค่ติดตามข่าวสาร ไม่สนใจแม้กระทั่งที่จะดุอา
6) เราต้องเชื่อมั่นว่า สัจธรรมเหนือกว่าความเท็จ ผู้อธรรมย่อมพินาศพนาสูร ความมืดมิดปกคลุมหนาทึบมากเพียงใด ย่อมแสดงว่าแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จะเยือนมาในไม่ช้า อัลลอฮฺผู้ทรงรอบรู้และทรงตัดสินอย่างยุติธรรมที่สุด และฉากสุดท้ายจะต้องเป็นชัยชนะของศรัทธาชนอย่างแน่นอน วัลลอฮุอะลัม
อ้างอิง
ar.wikipedia.org/wiki/سوريا
http://www.youtube.com/watch?v=vqbtqHUTUUI&feature=results_main&playnext=1&list=PLF3D33ED7007149F4
http://www.youtube.com/watch?v=3DGgHD5KDyY&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=4HgOcDiNNlA&feature=fvwrel
http://www.youtube.com/watch?v=0pW-ECO_aI8
ข้อมูล จาก อ.มัสลัน มาหะมะ
ความคิดเห็น