คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ไก่ก็งอนเป็นนะ
ขออภัยที่หายไปนานนะคะ ^^ ช่วงนี้หัวไม่ค่อยมีจินตนาการเท่าไร่ค่ะ
มาอ่านต่อดีกว่าค่ะ
================ O_O ===============
"เฮ้อ อะไรมันจะเซ็งปานนี้เนี่ย" มือซ้ายแกว่งตะกร้าจ่ายตลาดไปมา มือขวาเกาหัวด้วยความหงุดหงิด เรียกจุดสนใจจากคนที่กำลังจูงสุนัขเดินเล่นมายังตัวเองได้ไม่ยาก
"อะไร ไก่แจ้เบื่อโลกปานนั้นเชียวหรือ" เจ้าของสุนัขขนสีแดงจัดจ้านแซวเล่นมาจากด้านหลัง
"โธ่ เจ๊ไม่ต้องมายุ่งเลย วันนี้อารมณ์เสียสุด ๆ ไม่มีอารมณ์เล่นด้วย" หน้าขาว ๆ ใส่แว่นกลมบ๊อกหันมาทำตาเขียวใส่
แม้นจะทำตัวเหมือนเด็กแต่ก็เป็นเป้าหมายสำหรับสาว ๆ แถวนั้นที่จ้องกันตาเป็นมัน ความหล่อใช่ย่อยที่ไหนล่ะ หน้าขาวเรียวเข้ากับคิ้วหนาบนดวงตาสีน้ำตาลเข้มใส ปากสีสวยเป็นเอกลักษณ์
"ฮ่ะ ฮ่ะ ไก่ตัวน้อยเอ้ย ไม่กี่ปีก่อนยังติดฉันแจ แถมร้องตามอีกว่า "พี่มะลิ ไปด้วยเราตัวติดกันนะ" ตอนนี้เราตัวไม่ติดกันแล้วเหรอจ้า" มือสวยข้างซ้ายเอื่อมมาจับหัวเจ้าเด็กตัวน้อยเมื่อหลายปีที่แล้วโยกไปมา
มือข้างนี้ที่สวมแหวนแวววาวสีชมพูอันเป็นแผลใจของไก่แจ้เป็นตัวย้ำให้อารมณ์เสียมากขึ้น
แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ เป็นพี่สาวแสนสวยที่เคยรักยิ่งกว่าใคร คนอารมณ์เสียจะกล้าทำอะไรเล่าได้แต่มองด้วยสายตาประชดแกมเศร้าเท่านั้น
“หือ งอนอะไรเนี่ย” ความที่เคยคุ้นกันมานานจึงไม่ยากเลยที่จะสังเกตอาการออก
“เปล่านี่ แค่เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ น่ะ งานก็ไม่คืบหน้าเท่าไหร่ เพิ่งจะเรียนจบมาแท้ ๆ ทำไมความจำสั้นก็ไม่รู้คิดอะไรไม่ออกเลย ทฤษฎีทั้งหลายก็ลืม ๆ ไปแล้ว จะทำไรทีต้องเปิดหนังสือที น่าเบื่อมาก ๆ” จากการเถียงกันแก้เซ็งนิดหน่อยอันเป็นตัวชูรสให้หายอารมณ์เสียได้ไม่ยาก
“อืม น่านะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ พี่เรียนจบมากว่าจะปรับตัวเข้ากับงานได้ก็แทบตายเหมือนกัน”
อาชีพนักพัฒนาเทคโนโลยีฟื้นฟูธรรมชาตินั้น ต้องใช้เวลาเรียนรู้นานพอดูที่จะเข้าในใจสิ่งที่ถูกสร้างมาเพื่ออำนวยความสะดวยให้มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวอย่างเหลือร้าย ทำลายธรรมชาติทุกอย่าง เป็นการยากที่จะทำให้สภาพแวดล้อมกลับไปสมบูรณ์อย่างที่คนสมัยก่อนได้บันทึกไว้ในสมุดเล่มเหลืองอันเป็นมรดกชิ้นสำคัญ
“แต่มันไม่เหมือนกันนะ ของพี่น่ะมันฟื้นฟูธรรมชาติ ต้นไม้ ลำธาร สภาพแวดล้อมต่าง ๆ นานา แต่ของผมมันต้องหมั่นฝึกจิตเพื่อเอาไปรักษามนุษย์นะครับ” หน้ามุ่ยบ่นไปพร้อมหยิบรายการในตะกร้าที่ต้องซื้อมาอ่านอีกรอบ
“ก็ขยันมาก ๆ สิ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนที่สุดนะ..”
“โธ่ มันไม่ได้ขยันได้ง่าย ๆ นะ” ไก่แจ้เถียงแบบไม่ยอมใคร
“การเข้าถึงจิดใจแต่ล่ะคนก็ยาก แถมไม่มีใครเหมือนกันอีกต่างหาก ในหนังสือทั้งหลายน่ะ ใช้ไม่ได้หรอกต้องหมั่นเข้าไปนั่งคุยนั่งถามผู้มาให้รักษามาก ๆ ไง” พูดมาไม่มีใครเถียงสร้างความแปลกใจให้คนพูดต้องหันไปมอง
ดวงตาสีน้ำตาลหันมาจ้องแบบไม่อายใครทำให้คนพูดต้องคิดทวนก่อนพูดต่อ
“ไก่แจ้จะได้พัฒนาด้านมนุษยสัมพันธ์ให้มากขื้นด้วยไงจ๊ะ” คำส่งเสริมทั้งหลายเหมือนพี่สอนน้องยั้งให้ความหงุดหงิดที่เกือบจะหายไปกลับมาอีกรอบ
“ผมรู้น่า ก็เพราะงี้แหละ ผมถึงเกลียดการเข้าไปมีปฎิสัมพันธ์กับมนุษย์ที่เข้าใจยากทั้งหลาย ผมไม่น่าคิดผิดเลยรู้ยังงี้เลือกเรียนที่มันเกี่ยวกับการรักษาสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์เสียก็ดีหรอก” คำบ่นสุดท้ายก่อนเดินเลี้ยวเข้าร้านขายขนมขึ้นชื่อของเมืองนี้ไปไว้กินเวลาหิวตอนทำงานดึกดื่น
ปล่อยให้สาวสวยจูงสุนัขมาเดินเล่นต้องยืนเก้ ๆ กัง ๆ คิดอยู่นานว่าจะรอหรือจะเดินจากไปซื้อของร้านอื่นเลย
“ให้มันได้อย่างนี้สินะ ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเราดูแลน้องผิดวิธีหรือไง ถึงได้คิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองอย่างนี้เนี่ย แต่เอาเถอะซักวันหนึ่งเมื่อเผชิญกับโลกกว้างมากหน่อยก็คงจะเข้าใจเองว่ามนุษย์น่ะ ต่างจากสัตว์ชนิดอื่นตรงไหน ไม่ว่าอะไรในโลกก็มีทั้งดีและชั่วทั้งนั้นแหละนะ น้อยเอ๋ย” เสียงกระซิบเบาอยู่หน้าร้านก่อนจะเดินตรงไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรก
หลังจากเดินวนไปวนมาหยิบนู่นหยิบนี่จนพอใจแล้ว
ก่อนที่จะถึงจุดจ่ายเงินไก่แจ้ต้องหยุดยืนอ่านป้ายโฆษณาขายขนมแปลกจากแบบอื่นหลายรอบ
“เป็นไปได้ไงเนี่ย” อันไม่น่าเชื่อว่าอัฉริยะอย่างแมวม่วงที่เป็นชื่อเลื่องลือกันในหมู่เด็กเรียนรุ่นเดียวกันกล่าวขวัญกันมานาน จะทำขนมยี่ห้อชื่อตัวเองขายซะนี่
กล่องขนมใสมองเห็นลูกกลม ๆ สีสรรต่างกันออกไปอยู่มากมายในกล่อง บนกล่องแปะตรายี่ห้อเป็นแมวน้อยสีม่วงน่ารัก
รุ่นของไก่แจ้เป็นเด็กพิเศษทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกมาจากทั่วประเทศมีสมาชิกแค่ไม่ถึงยี่สิบคน เพื่อนกันย่อมจำได้อยู่แล้ว คนนี้จบก่อนคนอื่นเป็นปีแถมยังเป็นระดับคะแนนสูงสุดในวิชาเอกคอมพิวเตอร์ที่เลือกได้อิสระ
ไหงมาทำขนมขายแทนเป็นอาจารย์สอบพิเศษไปแล้วหรือ
“จะรับกล่องขนมไทยตราแมวม่วงไหมคะ” เสียงถามดึงให้ไก่แจ้ตื่นจากการคิดทวนใบหน้าเพื่อน ๆ ทั้งหลาย
“ครับ เอากล่องหนึ่งครับ”
“อันนี้เป็นขนมแบบใหม่ค่ะ ข้างในเป็นขนมไทยชนิดต่าง ๆ นำมาทำเป็นก้อนกลมแล้วเคลือบด้วยเปลือกชนิดพิเศษกินได้ค่ะ ช่วยให้ไม่เสียในเวลาสองปีโดยไม่ต้องใช้สารกันเสียค่ะ” พนักงานโฆษณาสินค้าไปตามที่ท่อง
“หือ สองปีโดยไม่ใส่สารกันเสียเหรอ ทำได้ไงเนี่ย” สีหน้าพิศวงแสดงออกอย่างแจ่มชัด
“เป็นฝืมืออาจารย์บรรจงค่ะ ท่านคิดให้หลานสาวเก็บขนมไว้ทานได้นาน ๆ” คนสวมชุดสีน้ำเงินเข้มป้ายที่หน้าอกบอกให้รู้ว่าเป็นผู้จัดการร้าน
“แล้วทำไมเป็นตราแมวม่วงล่ะครับ” หลังจากหยิบกล่องขนมมาดูใกล้ ๆ จึงได้เอ่ยถาม
“คุณแมวม่วงเป็นคนทำกล่องบรรจุน่ะค่ะ เป็นการร่วมมือกันเพื่อลองนำขนมแบบใหม่มาขายให้คนไทยเรารักที่จะทานขนมไทยมาขึ้น” การผสมโฆษณาลงไปในบทสนทนาด้วยนี่ช่างเป็นเอกลักษณ์ของคนขายของจริง ๆ
“อืม แล้วที่เป็นสี ๆ ต่างกันนี่ คืออะไรครับ” ไก่แจ้ตั้งคำถามอย่างคนอยากรู้
“สีของขนมภายในค่ะ อย่างสีทองเป็นเส้นๆ นั่นคือ ฝอยทอง สีเขียวเป็นชั้นสลับกับสีขาว คือ ขนมชั้น”
“ครับ ขอบคุณที่แนะนำนะครับ”
เสียงโฆษณาที่ฟังจนเบื่อแบบนี้ใครจะอยากคุยด้วยกัน เดี๋ยวไปถามอาจารย์ก็ได้
รอยยิ้มเผยขึ้นเมื่อหาเหตุไปพบคนที่ตนคิดถึงที่มหาวิทยาลัย และชวนให้ทบทวนการทะเลาะกันอย่างไร้สาระเมื่อไม่กี่วันมานี้
ตัวเค้าเองสิควรจะไปเอ่ยขอโทษเรื่องในวันนั้น ความเป็นสุภาพบุรุษมีมากพอที่จะไม่ถือเรื่องไร้สาระมาให้มองหน้ากันไม่ติด
ไม่รู้ว่าแต่งมานี่เป็นยังไงบ้าง ถ้าอ่านแล้วกรุณาแสดงความคิดเห็นหน่อยนะคะ
ความคิดเห็น