คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ออกเดินทางอีกครั้ง
‘นี่เรามาที่นี่ได้ยังไงกัน’
หญิงสาวผมสีทองพึมพำเบาๆเมื่อพบว่าตนเองเดินอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคย ที่แห่งนี้มีดอกไม้สีขาวนับพันดอกพลิ้วไหวตามสายลม ส่วนในอากาศก็มีผีเสื้อสีขาวนับร้อยตัวบินไปมาอย่างร่าเริง มันเป็นสถานที่ที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอเสมอมา.....ป่าดรายสโตน
วาลเลเรียก้าวไปในทุ่งดอกไม้สีขาว ความประหลาดใจถูกฉายออกมาผ่านทางสีหน้า เธอไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันทั้งๆที่ล่าสุดเธอจำได้ว่าเพิ่งล้มตัวนอนบนเตียงนอนที่บ้าน
ถ้าอย่างนั้น...นี่คือความฝันสินะ?
หญิงสาวคิดอย่างสับสน แต่ก็ยังคงก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะหยุดเดินเมื่อไร วาลเลเรียพยายามบังคับเท้าของตนไม่ให้เดินแต่ก็ทำไม่ได้เหมือนกับว่าร่างกายของเธอโดนควบคุมให้เดินต่อไป
แต่ซักพักวาลเลเรียก็หยุดฝีเท้าลงตรงหน้าไม้กางเขนขนาดกลางที่ถูกปักไว้กับพื้นดิน ส่วนบนพื้นดินมีช่อดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งจนเป็นสีน้ำตาลวางอยู่ ดูเหมือนว่าตรงนี้จะเป็นหลุมศพของใครบางคน
เธอจำได้ว่าเมื่อ6ปีก่อนเคยมีไม้กางเขนปักอยู่เต็มไปหมดมันคือหลุมศพของเพื่อนพ้องมนุษย์หมาป่าที่เสียชีวิตเพราะถูกล่า แต่หลังจากนั้นสวนสวรรค์แห่งนี้ก็ถูกทำลายลงอย่างน่าเสียดายด้วยน้ำมือของชาวบ้านจนไม่เหลืออะไรเลย.....แล้วดอกไม้นับพันดอกนี่มันคืออะไรกัน? แล้วหลุมศพนี่เป็นหลุมศพของใครกัน? บางที...หลุมศพนี่อาจถูกทำหลังจากเกิดไฟไหม้เมื่อ6ปีที่แล้ว เพราะสภาพของไม้ดูไม่มีรอยไหม้อะไรเลย มีแต่รอยฝุ่นเกาะ
วาลเลเรียเหลือบไปเห็นอักขระบางอย่างตรงแนวขวางของไม้กางเขนหญิงสาวจึงเอื้อมมือไปปัดฝุ่นเพื่อให้เห็นได้ชัดเจน
มันเขียนว่า........แฟงก์
เป็นไปได้ยังไงกัน? วาลเลเรียคิดสายตาอ่านชื่อที่ไม้กางเขนซ้ำแล้วซ้ำเล่าภาวนาให้ตนเองอ่านผิด ถึงแม้มันจะเป็นความฝันแต่เธอก็กลัวว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริง
‘ทะ...ท่านแฟงก์?’
ท่านแฟงก์ตายแล้วอย่างนั้นเหรอ?...เขาตายไปตั้งแต่เมื่อไรกัน...ทำไม...เธอไม่เห็นรู้เรื่อง
‘...วาลเลเรีย’
เสียงเรียกที่คุ้นหูของใครบางคนดังมาจากด้านหลัง ทำให้หญิงสาวเจ้าของชื่อหันไปทางต้นเสียง และภาพตรงหน้าทำให้วาลเลเรียเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนดีใจ
ภาพที่เธอเห็นคือบุรุษร่างสูง มีผมยาวสีเงิน ใส่กางเกงขายาวและเสื้อกล้ามสีดำ เขายืนหันหลังให้วาลเลเรีย แต่แค่มองแวบเดียวหญิงสาวก็รู้ว่าเขาคนนั้นคือใคร ดวงตาสีเขียวของเธอสั่นระริกด้วยความดีใจและประหลาดใจปนเปกันไป
‘ท่านแฟงก์!!!!’
แฟงก์หันซีกหน้าของเขามาทางวาลเลเรียเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่มุมปาก แต่เขาก็ไม่หันมาคุยกับวาลเลเรียตรงๆ
‘นึกว่าเจ้าจะลืมข้าไปแล้วเสียอีก’แฟงก์พูดแล้วหัวเราะเบาๆ
‘ข้าไม่ลืมท่านหรอกค่ะ! เขี้ยวของท่านข้าก็ยังใส่ไว้อยู่เลยนะคะ’วาลเลเรียพูดพลางหยิบสร้อยคอที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อ ชูเขี้ยวที่ถูกทำเป็นสร้อยคอให้อีกฝ่ายเห็น เขี้ยวสีขาวเป็นเงาไม่มีสภาพชำรุดหรือรอยขีดข่วนใดๆ บ่งบอกว่าผู้ใส่เก็บรักษามันอย่างดีขนาดไหน นั่นทำให้ชายหนุ่มผมสีเงินยิ้มกว้างกว่าเดิม
‘ถ้าท่านยังไม่ตาย...แล้ว...หลุมศพนั่น...ทำไมถึงเป็นชื่อของท่านได้?’วาลเลเรียถามด้วยความสงสัย ในเมื่อแฟงก์ยังยืนอยู่ตรงหน้าของเธอก็แสดงว่าเขายังไม่ตายแล้วหลุมศพนั่นเป็นของใคร?
‘...มันเป็นหลุมศพของข้าเอง’ แฟงก์บอกด้วยน้ำเสียงเรียบ
หญิงสาวผมทองเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ความรู้สึกเศร้าสร้อยแทรกซึมเข้ามาในจิตใจของเธออย่างรวดเร็ว จนเธอรู้สึกถึงความชื้นที่ขอบตาและหยาดน้ำตาไหลรินออกมา งั้นก็แสดงว่า....
‘ทะ..ท่านแฟงก์...ไม่ได้อยู่บนโลกนี้...แล้วสินะคะ’
วาลเลเรียหวังว่าจะได้เห็นคำตอบจากปากของคนตรงหน้าว่า...ไม่ใช่....หรือไม่ก็การส่ายหน้าปฏิเสธว่าสิ่งที่เธอพูดเมื่อกี้ไม่เป็นความจริงแต่ว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นความเงียบ นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่เธอพูดเมื่อกี้...เป็นความจริง
‘ข้าต้องไปแล้ว....ลาก่อน’ ชายหนุ่มผมสีเงินพูดขึ้นก่อนจะเดินห่างจากวาลเลเรียไปเรื่อยๆแล้วร่างของเขาก็เลือนหายไป
‘ทะ...ท่านแฟงก์’ วาลเลเรียแทบจะไม่มีแรงยืนอยู่ หญิงสาวขาพับล้มลงกับพื้น แววตาเหม่อลอย ปล่อยให้น้ำตาร่วงรินจนเปรอะหน้า นี่มันก็แค่ความฝัน มันไม่ใช่ความจริง มันอาจเป็นสิ่งที่เธอคิดขึ้นมาเอง
ตราบใดที่เธอยังไม่เห็นกับตาเธอก็จะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดหน้าต่างมากระทบใบหน้าของวาลเลเรีย ทำให้เปลือกตาของหญิงสาวขยับเล็กน้อยก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เธอรู้สึกว่าเปลือกตาของเธอหนักอึ้งจนลืมแทบไม่ขึ้น คงเพราะเมื่อคืนฝันแปลกๆ
แต่เมื่อคิดถึงความฝันนั่นก็ทำให้วาลเลเรียรู้สึกใจโหวงๆ....ไม่รู้ว่าทำไมถึงฝันอะไรได้น่าหดหู่แบบนี้ หญิงสาวคิดพลางลุกขึ้นจากเตียง นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้นอนในเกวียนแคบๆเหมือนเมื่อก่อน
เธอและแม่ทำตามความฝันได้สำเร็จเมื่อได้เดินทางมาเจอสถานที่แห่งนี้...เนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ ข้างๆเป็นทุ่งหญ้า ส่วนด้านล่างเป็นลำธารที่ใสสะอาด และยังไม่มีผู้ใดจับจองเสียด้วย นั่นทำให้สองแม่ลูกตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่ ตอนแรกก็อยู่กันในเกวียนก่อน เมื่อทำงานปลูกข้าวสาลีและพืชพันธ์ต่างๆในพื้นที่รอบๆก็ช่วยให้ทำเงินได้อย่างมากมาย จนมีเงินมากพอที่จะจ้างคนมาสร้างบ้าน....จนมาเป็นบ้านที่อยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นบ้านที่เธอและแม่ภูมิใจที่สุด
วาลเลเรียเดินออกมาจากห้องของตนโดยไม่ลืมที่จะใส่ผ้าคลุมสีแดง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหญิงสาวก็ยังคงใส่ชุดคลุมสีแดงเสมอ จนชาวบ้านละแวกนั้นชอบเรียกเธอว่าสาวหมวกแดงมากกว่าที่จะเรียกเป็นชื่อของเธอ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านแม่”วาลเลเรียกล่าวทักทายเมื่อเห็นผู้เป็นมารดากำลังทำอาหารเช้าอยู่ในห้องครัว
“เช่นกันจ้ะลูกรัก”ฮันนาตอบรับ“ดูสิวันนี้มีอาหารโปรดของลูกด้วยล่ะ” วาลเลเรียรีบเดินมาใกล้ๆฮันนาก่อนจะพูดว่า
“ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องทำให้ข้าเลยนี่เดี๋ยวข้าทำเองดีกว่า…ท่านแม่ไปรอข้าที่โต๊ะเถอะค่ะ”
เมื่อวาลเลเรียทำอาหารเสร็จเธอก็นั่งที่โต๊ะกับแม่พร้อมกับอาหารสำหรับ2ที่วางไว้ตรงหน้าของพวกเธอ ไม่ว่าจะยังไงวาลเลเรียก็ยังรู้สึกอึดอัดใจในเรื่องความฝันเมื่อคืน เธอไม่ใช่คนที่คิดมาก แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกเป็นห่วงแฟงก์ เธออยากไปดูให้เห็นกับตาเลยจริงๆว่าชายหนุ่มยังสบายดีอยู่หรือไม่
นั่นสินะ...ต้องไปดูให้เห็นกับตา
วาลเลเรียรีบกินอาหารให้เร็วที่สุดที่จะกินได้ สร้างความประหลาดใจให้แก่ฮันนามาก ปกติลูกสาวของตนจะไม่ทำแบบนี้แน่ถ้าไม่รีบจริงๆ แล้วถ้ารีบ วาลเลเรียจะรีบไปที่ไหนล่ะ?
“วาลเลเรีย ลูกจะรีบไปไหนหรือเปล่า?” ฮันนาเอ่ยถามเมื่อเห็นผู้เป็นลูกของตนลุกจากโต๊ะอาหารโดยกำลังจะไปล้างจานของตนเอง
“ข้าคิดว่า...”วาลเลเรียพูด “ข้าจะไปหาท่านแฟงก์”
ฮันนาหน้าซีด ไม่รู้ว่าลูกสาวของตนคิดอะไรถึงคิดจะกลับไปที่นั่นอีก ฮันนาไม่ได้รังเกียจที่นั่นแต่เป็นเพราะว่า...
“ลูกจะไปที่นั่นได้ยังไง....ในเมื่อแฟงก์เค้า...”ฮันนาพูดเสียงสั่นแต่ว่าก็หยุดคำพูดที่ไม่ควรจะพูดไว้ได้ทัน แต่ดูเหมือนว่าวาลเลเรียจะไม่ติดใจกับคำพูดของเธอ ฮันนาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เมื่อคืน...ข้าฝัน”วาลเลเรียพูด“ฝันว่าท่านแฟงก์มาบอกว่า....เขาตายแล้ว...ข้าไม่เชื่อ...ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตาค่ะท่านแม่ว่า‘ท่านแฟงก์ยังไม่ตายจริงๆ’”
ฮันนาพูดไม่ออกเธอไม่รู้จะทำยังไง ถ้าบอกไปตามตรงก็กลัวว่าลูกสาวของตนจะเสียใจ แต่ถ้าปล่อยให้รู้เอง...ก็คงเสียใจเหมือนกัน
แต่ ถ้าปล่อยให้รู้เอง...อาจจะดีกว่า
“วาลเลเรีย...สัญญากับแม่นะ ว่าจะรีบกลับมาอย่าเถรไถลเป็นอันขาด”ฮันนาเตือน วาลเลเรียจึงแอบหัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า “แหม...ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะคะท่านแม่...ได้ค่ะ ข้าสัญญาว่าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่...
ฮันนาเหม่อมองร่างในชุดคลุมสีแดงที่กำลังควบม้าออกจากบ้านด้วยแววตานิ่งงัน ร่างนั้นหันมาโบกมือให้เธอเป็นระยะๆ จนกระทั่งลับตาไป หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆขอพรกับพระผู้เป็นเจ้าให้ลูกสาวของตนกลับมาอย่างปลอดภัย
…แต่บางทีพระเจ้าก็ไม่อาจตอบรับคำขอของฮันนาได้
ความคิดเห็น