คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : bondage
Ep.1 พันธนาการ
...
“มาลี ฉันไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ....”
ในบ้านพักครูหลังเล็กๆ ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบทที่ห่างไกล ‘มาลี’ หญิงสาวผู้สง่างามยืนมองพระจันทร์เต็มดวงด้วยใบหน้านิ่งเฉยค่อยๆหันกลับมายิ้มให้กับคนในห้อง “องค์หญิง เพคะ มันก็เหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ^^ ข้าพระองค์จะขออยู่เคียงข้างท่านนิจนิรันดร์” เฟย์ยา องค์หญิงแห่งนครบังบด นั่งก้มหน้าร้องไห้น้ำตาอาบแก้มไหลผสมกับเลือดที่มุมปาก สะท้อนแสงจันทร์ หยาดน้ำตานั้นแดงใสดูราวกับอัญมณีมีค่า ....มาลีมองดูองค์หญิงด้วยสายตาเลื่อนลอยและหันกลับไปมองพระจันทร์ดวงโตดังเดิม
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมใหม่ เด็กนักเรียนประถมตัวเล็กๆพากันคึกคักเป็นพิเศษ เด็กน้อยแย่งกันเล่าประสบการณ์สุดสนุก “โม้ป่าว ไม่เชื่อหรอกเจ้าแว่น” เด็กที่อ้วนที่สุดในกลุ่มพูดเยาะเย้ยเด็กนักเรียนหน้าตาเหรอหราคนหนึ่ง ... “จริงๆนะ พี่เค้าบอกว่าโรงเรียนนี้มีเด็กจมน้ำตาย ที่แปลงผักข้างห้องสมุดหลายปีก่อนเคยเป็นสระน้ำ พอมีเด็กจมน้ำตาย ครูใหญ่เลยสั่งให้ถมแล้วทำเป็นแปลงผัก”
... “ในคืนเดือนมืดที่ไม่มีแสงจันทร์ แปลงผักจะกลับกลายเป็นบ่อน้ำใหญ่ และจะมีเด็กหญิงคนนึงมาว่ายน้ำเล่น” .... “ใช่ๆ ภารโรงคนเก่านอนตายอยู่ข้างแปลงผักเมื่อสามปีที่แล้ว ตำรวจบอกจมน้ำตาย แต่คิดดูสิเอ็ง มันเป็นแปลงผักนะไม่ใช่สระน้ำจะไปจมน้ำที่ไหน” ... “น่ากลัว ว่ะ” ... “พี่ยังบอกอีกว่า ตอนนั้นครูยังกลัวกันเลย โรงเรียนเลิกตั้งแต่บ่ายโมง บ้านพักครูก็ร้างมาตั้งแต่ตอนนั้น พ่อแม่ห้ามเด็กออกจากบ้าน ขนาดบ้านติดกันยังไม่ให้ไปเล่นด้วยกันเลย” .... “เห้ย!! ใช่บ้านที่คุณครู มาลี อยู่ป่าววะ? พวกเราไปบอกครูกันเหอะ”
..... “เหลวไหล !!! ไม่ต้องบอกหรอก แปลงผักจะกลายเป็นสระน้ำได้ไง คืนนี้พวกเรามาพิสูจน์กัน ถ้าเป็นจริงค่อยไปบอกครู” ... “เห้ย!! ผีนะเว้ย ไม่กลัวตายหรอ ตายแล้วเอ็งจะไปบอกยังไง” ... “โด่วว ไอ่ขิง ป๊อดนี่หว่า คืนนี้เจอกันหน้าโรงเรียนใครไม่มา เลิกคบ โอเคม๊ะ” ...
ยามเย็นของโรงเรียนบรรยากาศสงัดเงียบ ด้านหน้าของโรงเรียนมีเด็กประถมสามคน ปั่นจักรยานคุยกันอยู่ น๊อตอ้วนเปิดประเด็น “โหยมากันแค่สามคน เออจะได้รู้ไว้มีแต่พวกปอดแหก ไม่ใช่เพื่อนแท้!!” ... “ใครเค้าอยากจะมา นี่ถ้าเอ็งไม่ไปตามข้าที่บ้าน จ้างให้ข้าก็ไม่มาหรอก” เด็กแว่นพูดอย่างอารมเสีย .... “นี่เอ็งเป็นต้นเรื่องนะ เอ็งก็ต้องมาน่ะสิ ถ้าข้ากะเจ้าน๊อตมาดูแล้วไม่มีอะไร เดี๋ยวเอ็งจะหาว่าไม่ได้มาจริง” เด็กชายอาร์ตออกความคิดเห็น...
จากนั้นเด็กทั้งสามก็ปั่นจักรยานมาถึงห้องสมุด พวกเขาเดินเลาะมาถึงที่หมาย จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนวิ่งไล่กวดกันเสียงเอะอะ จึงรีบวิ่งกลับมาแอบข้างมุมตึกห้องสมุด
“เพราะแกๆ เพราะแก!!” ภาพที่ปรากฏคือชายรูปร่างสูงใหญ่ไว้หนวดเครา มือถือขวานขนาดใหญ่ไล่ล่าเด็กหญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง เด็กหญิงวิ่งมาถึงแปลงผักและทันใดนั้นเองแปลงผักก็กลายเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ทันที เด็กหญิงกระโดดลงน้ำหนีการตามล่าได้สำเร็จ ส่วนเด็กชายทั้งสามตกใจร้อง “เห้ย!!!” ขึ้นพร้อมกัน ชายถือขวานหันมองมายังแหล่งต้นเสียง ดวงตาแดงก่ำแสยะยิ้มเดินเข้าหากลุ่มเด็กๆ น็อตกับอาร์ตตั้งท่าวิ่งหนีแต่เพื่อนแว่นหน้าซีดเป็นลมล้มไปแล้ว มือขวานไม่รอช้ากระโจนเข้าใส่กลุ่มเด็กๆ จับน็อตและอาร์มไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
ที่บ้านพักครู องค์หญิงแห่งนครบังบดถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนแน่นหนานอนขดเอามือกุมท้อง ทรมานเพราะความหิวกระหาย “.....ยัง ๆ ยัง หรอก ข้า ยัง ทน ได้.....” มาลี มองผู้เป็นนายที่นอนกองอยู่กับพื้นโดยไม่มีทีท่าเป็นกังวลเลยสักนิด “พระองค์ โปรดยอมแพ้ต่อคำสาปเถอะเพคะ นี่ก็เลยกำหนดมาสองวันแล้ว ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่นานข้าจะกลับมา ...หวังว่าเวลานั้นท่านจะยินยอมปลดปล่อยปีศาจร้ายออกมา”
มาลี ใส่ชุดดำปกปิดใบหน้าออกจากบ้านพัก
ทุกๆสิบสามวันนางจะต้องหาเหยื่อมาสังเวยนายของตนเอง ต้นกำเนิดคำสาปนรกมาจาก เมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อน ในขณะที่โลกยังคงรุ่งเรืองด้วยเวทย์มนต์คาถา ผู้แสวงบุญ ผู้วิเศษมากมายอวดอำนาจอิทธิฤทธิ์
ประลองวิชาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ณ นครดาราระยับ เจ้าผู้ครองนครราดิสและราชินีอัมรา มีธิดาองค์หนึ่งนามว่า ‘เฟรยา’
วันหนึ่งขณะที่พระราชากำลังว่าราชการที่ท้องพระโรง หัวข้อการสนทนาคือการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งดวงดาว ‘ลูต’ ปุโรหิตหนุ่มผู้เป็นใหญ่แกร่งกล้าวิชามนต์ดำแห่งสำนักอาศรมเวทย์ ทูลต่อองค์ราชาว่า “ตำแหน่งผู้วิเศษผู้รักษาเส้นทางแห่งดวงดาวนั้น ไม่จำเป็นต้องมีถึงสองคน”
“ท่านปุโรหิต!! ท่านพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร!! นับตั้งแต่แรกเริ่มสร้างมหานคร ผู้รักษาเส้นทางล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำจากอาศรมเวทย์และตำหนักเทพร่วมกัน” ‘โรสแมรี่’ ตำแหน่งธิดาเทพผู้นำของตำหนักเทพกล่าวขึ้นอย่างข้องใจ
สำนักอาศรมเวทย์และตำหนักเทพนั้น เป็นสถานที่ที่ผู้แสวงหาวิชาความรู้ วิชาอาคม และทักษะการใช้อาวุธ ทั้งจากเมืองดาราระยับเองและเมืองใกล้เคียงต่างมีลูกศิษย์มากกว่าสองหมื่นคน แตกต่างกันที่สำนักอาศรมเวทย์นิยมรับศิษย์ผู้ชายมุ่งเน้นฝึกสอนการรบ วิชาแขนงต่างๆจึงแข็งกร้าวดุดัน สัญลักษณ์เป็นยักษ์ราหูอมดวงอาทิตย์ครึ่งดวงสีดำ
ตำหนักเทพรับเฉพาะศิษย์ผู้หญิง มุ่งฝึกสอนวิชาแพทย์ การพยากรณ์ และการใช้อาวุธลับ สัญลักษณ์เป็นดวงจันทร์ทรงกลดโอบล้อมด้วยโล่มีปีกสีทอง
ตามตำนานของอาณาจักรดาราระยับกล่าวไว้ว่า ในอดีตนับอสงไขยโลกมนุษย์ถึงคราวจุดจบด้วยอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชน อุกกาบาตลูกนั้นนำมาด้วยสารพิษมรณะ หลังจากการพุ่งชนได้เกิดพายุขนาดใหญ่แปดแสนลูก และก่อนที่จะพัดกระหน่ำนำสารพิษมรณะกระจายปกคลุมทั่วโลก นักสิทธิ์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ผู้หนึ่งได้ค้นพบเส้นทางไปสู่อีกมิติด้วยความบังเอิญ ในขณะที่ท่านได้บำเพ็ญพรตอยู่ในถ้ำขุนเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แรงสั่นสะเทือนทำให้ผนังถล่มปิดทางเข้าออกแต่ทางด้านในถ้ำกับปรากฏแสงหลากสี ด้วยความสงสัยท่านจึงเดินเข้าหาแสงสีนั้น เมื่อเดินผ่านกลุ่มแสงตัวท่านพลันปรากฏร่างกลางลานพิธีของชนเผ่าหนึ่งมีปีกบางใส ผิวสีเขียวอ่อนมีลวดลายสีเขียวเข้มแปลกตา หูแหลมเล็กตั้งชัน สวมใส่เสื้อผ้าแบบกรีกโบราณสีขาว ท่ามกลางความตกตะลึงของตัวประหลาดนับหมื่นแสน ผู้นำเผ่าพันธุ์ประหลาดกล่าวขึ้นว่า“ท่านผู้เจริญ ท่านมาจากที่ใด”
นักสิทธิ์ผู้หลงทางไม่มีคำใดเอ่ยเอื้อนออกมาเพียงแต่จ้องตาสีเงินคู่นั้นเขม็ง เดินเข้าไปหาผู้นำตนนั้นราวกับต้องมนต์สะกด ท่านรับรู้ได้ทันทีว่าในขณะนี้ได้อยู่คนละโลกที่เคยอยู่อย่างสิ้นเชิง “โลกของข้า กำลังจะล่มสลายด้วยความพิโรธแห่งดวงดาว เรามาที่โลกของท่านด้วยความบังเอิญ”
“งั้นท่านก็ มาอยู่กับพวกข้าที่นี่เถอะ ท่านคงมีดีอยู่สินะ จึงสามารถผ่านกะจกแห่งพฤกษาออกมาได้”
ผู้นำเผ่าพันธุ์ประหลาดเอ่ยขึ้นด้วยแววดาชื่นชม และนำตัวว่า “เราคือราชาฟอเรส ราชาแห่งเผ่าแอลป์ผู้ปกครองอาณาจักรโซเฟีย และนี่ ‘ฟอล่า’ราชินีแห่งข้า โลกของข้าอยู่อย่างสงบสุขไร้เภทภัยใดๆ ท่านสามารถอยู่ที่นี่ได้ตราบที่ท่านปรารถนา”
“เราคือมนุษย์ผู้แสวงหาความสงบ แต่เรามิอาจอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียวได้ หากท่านไม่รังเกียจข้าขอให้เผ่าพันธุ์ของข้าได้มาหลบภัยที่นี่ได้รึไม่” นักสิทธิ์ตอบกลับไปด้วยความกังวล
ราชาฟอเรสมองด้วยสายตาอ่อนโยน “หากท่านมีความสามารถนำพวกเขามาได้ ข้าก็ไม่รังเกียจ แต่ประตูแห่งพฤกษา สามารถเข้าออกได้เพียงครั้งเดียว หากท่านไปรับพวกเขาคงไม่ได้กลับมาอีก”
“ขอคุณท่านมาก ข้าขอลาก่อน” ความหวังจะให้เผ่าพันธุ์ของตนรอดมีแล้ว จะรอช้าไม่ได้ นักสิทธิ์หันกายเดินมุ่งตรงไปยังกระจก
“เดี๋ยว!! ท่านจงนำเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตนี้กลับไปที่โลกของท่านด้วย มันจะช่วยฟื้นฟูให้โลกของท่านกลับมาแข็งแรงโดยเร็ว หากวันใดที่ลูกหลานของท่านอยากกลับบ้านเกิดที่เรียกว่าโลกมนุษย์นั่น”
“ข้าขอขอบคุณท่านมาก ข้าซาบซึ้งใจจริงๆ แม้เราจะเพิ่งเคยพบกันแต่ก็นับว่าเป็นสหายที่ประเสริฐที่สุด”
นักสิทธิ์เดินทะลุกระจกกลับมายังโลกมนุษย์ พลันโปรยเมล็ดพันธุ์ไปรอบๆแสงหลากสีซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหายไป เมื่อเมล็ดตกลงสู่ดินก็เกิดการงอกงามครั้งใหญ่ทะลุถ้ำออกไปสู่ภายนอก ต้นไม้ไม่หยุดเติบโตกลายเป็นกลุ่มต้นไม้ยักษ์ นักสิทธิ์ใช้เวทย์มนต์กระจายเสียงไปทั่วโลก แจ้งให้หนีภัยมายังต้นไม้ใหญ่ และหลังจากตะโกนออกไปท่านได้เนรมิตตนเป็นประตูไม้สักทองแกะสลักลวดลายวิจิตรตระกานตา ตั้งอยู่ท่ามกลางดงต้นไม้ใหญ่ เปิดอ้าต้อนรับผู้คนที่กำลังเร่งรุดเดินทางมา
ผู้ที่มาถึงก่อนล้วนเป็นผู้วิเศษจากดินแดนต่างๆ บ้างขี่พรม บ้างขี่ไม้กวาด ขี่เมฆสีทอง ขี่สัตว์อสูรแปลกประหลาด บ้างแปลงกายเป็นมังกร เป็นวิหกเพลิง ฯลฯ เมื่อมาถึงก็สำรวจพื้นที่ทันที
ศิลาจารึกขนาดใหญ่ใกล้กับประตู จารึกความว่า
“จารึกของนักสิทธิ์ ราชาผู้รังสรรค์ที่ ๑
เราผู้เชื่อมต่อทั้งสองโลก เรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุดคือ อยากให้พวกท่านที่เดินทางมาถึงโปรดอย่าได้สงสัย
ผู้ใดมีอิทธิฤทธิ์ให้ช่วยผู้คนมายังประตูแห่งนี้ให้มากที่สุด เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์มนุษยชาติไว้ ที่อีกฟากของประตู
เราได้ฝากฝังพวกท่านไว้กับสหายของเรา ราชาฟอเรสและราชินีฟอล่า ผู้ปกครองอาณาจักรโซเฟีย
ดินแดนสุขาวดีแห่งความสงบ ขอให้พวกท่านจงเกรงใจอย่าได้ไปสร้างความเดือดร้อนแก่สหายเรา
สุดท้าย ตัวเราผู้ซึ่งกลายเป็นประตูเชื่อมสองภพ ในนามของราชาผู้รังสรรค์ที่ ๑
หากเมื่อใดที่เกิดกลียุคขึ้นที่อาณาจักรสหายข้า โดยเกิดจากชาวมนุษย์
ข้าขอผูกพันคำสาปยกร่างข้าฟื้นคืนอำนาจ
จากประตูพันธนาการ
”
จากนั้นมนุษยชาติจึงรอดพ้นจากการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน โลกที่บอบช้ำได้รับการเยียวยาจากต้นไม้แห่งชีวิต สารพิษมรณะถูกดูดกลืนไปจนหมดสิ้น สัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่อาศัยรอบๆกลุ่มต้นไม้ยักษ์ ได้เดินทางกระจายออกไปสร้างถิ่นฐานของตัวเองใหม่ มนุษย์บางส่วนที่อาศัยอยู่รอบๆล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดาไม่มีวิชาเวทย์มนต์ใดๆ หากแต่โชคดีที่รอดมาถึงต้นไม้โลกและดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ มนุษย์ผู้ชาญฉลาดได้กลับมายิ่งใหญ่เหนือสัตว์ทั้งปวง ประกาศชื่อโลกใบนี้ว่าโลกมนุษย์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทว่าในเวลาไม่นานนักสงครามแย่งชิงทรัพยากรก็ได้เริ่มวนเวียนเป็นวัฏจักรครั้งแล้วครั้งเล่า มนุษย์ผู้ป่าเถื่อน
ลูกหลานจากแดนสุขาวดีกลุ่มแรกเดินทางผ่านกระจกพฤกษากลับมายังดาวบ้านเกิด พวกเขาพบเจอกับการกระทำที่รับไม่ได้จากพวกอนารยะ พวกเขาสร้างเมืองขึ้นขนานนามว่า “นครดาราระยับ” รวบรวมมนุษย์ผู้มีศีลธรรมที่อ่อนแอทั้งหลายและสร้างกองทัพผู้วิเศษต่อกรกับอาณาจักรป่าเถื่อนจนได้รับชัยชนะ ต่อมาข่าวลือเรื่องแดนสุขาวดีที่อาณาจักรดาราระยับรักษาเส้นทางไว้ ได้แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรน้อยใหญ่ คนทั้งโลกต่างเดินทางมาเพื่อจะขอเข้าไปยังดินแดนแห่งนั้น
ความกังวลของราชาผู้ปกครองนครดาราระยับเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “หากเราอนุญาตให้เดินทางผ่านประตูพันธนาการทุกผู้ทุกคนแล้วไซร้ ไม่นานนักดินแดนสุขาวดีคงพังพินาศด้วยกิเลสชั่วช้าของมนุษย์เป็นแน่”
จึงกำหนดให้จัดงานเทศการแห่งดวงดาวขึ้นเพื่อคัดสรรมนุษย์ผู้ที่จะเดินทางไปยังดินแดนสุขาวดี
ได้เพียงปีละหนึ่งคนเท่านั้น พร้อมจัดตั้งสำนักอาศรมเวทย์และตำหนักเทพ มีปุโรหิตและธิดาเทพเป็นผู้นำ รักษาเส้นทางแห่งดวงดาวจากนั้นสืบมา
ที่ท้องพระโรง นครดาราระยับ เมื่อสามพันปีก่อน
“ข้าขอ ลาออกจากตำแหน่งปุโรหิต ” เพื่อจะให้ได้รับสิทธิ์ในการคัดเลือกผู้ที่จะเข้าไปดินแดนสุขาวดี ลูต เอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ
เสียงอื้ออึงดังขึ้นทันทีบรรดาผู้ร่วมประชุมต่างพากันซุบซิบ
ราชาได้ฟังก็สีหน้าถอดสีทันที ถึงว่าแม้ท่านจะยอมรับน้ำใจของ ลูต ที่ยอมสละตำแหน่งเพียงเพื่อจะไปยังดินแดนสงบสุขนั้น หากแต่ผู้ที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดของจอมเวทย์มนต์ดำลงแข่งเองแล้ว ผู้สมัครคนอื่นๆจะคิดยังไง อาจเกิดจลาจลขึ้นก็ได้ “ลูต ข้าอยากให้ท่านคิดให้รอบคอบก่อนนะ”
“เพียงแค่ข้าเกิดมามีพลังเวทย์สูงส่ง ได้รับตำแหน่งปุโรหิตตั้งแต่ยังเด็ก และก็ข้าทำหน้าที่นี้มาถึงยี่สิบปี ข้าอยากพักผ่อนบ้างไม่ได้รึไง ความใฝ่ฝันของข้าคืออยากไปอาณาจักรโซเฟียให้เห็นกับตาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ภาพนิรมิตที่ข้าเฝ้าดูอยู่ทุกวัน” ลูต ระบายความในใจอย่างระล่ำระลัก
“ท่านปุโรหิต ผู้รักษาเส้นทางนั้นเป็นภารกิจที่ต้องทำจนสิ้นชีวิต ไม่สามารถยกเลิกได้นะ” โรสแมรี่ ท้วงขึ้นอีกคน
ผู้ประชุมคนอื่นๆต่างพยักหน้าเห็นด้วย พากันมอง ลูต ด้วยสายตาตำหนิและเยาะเย้ยกับความคิดที่ไม่สมควรของเขา
‘ทำไมนะ คนมีความสามารถอย่างเขาจะฝันถึงชีวิตที่สงบสุขไม่ได้ ทำไมคนชั่ว คนอ่อนแอไร้ความสามารถ จึงสมควรได้รับการปกป้อง ผู้แข็งแกร่งสิถึงสมควรได้รับเกียรติ หากข้ามีอำนาจสูงสุดพวกเจ้าคงไม่ดูถูกข้าเช่นนี้แน่ ข้าจะสร้างโลกของข้า จะไม่มีใครมองข้าด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นนี้ได้อีก
เจ้าพวกไร้ความสามารถทั้งหลาย พวกเจ้าพลาดแล้วที่ทำให้ข้าเจ็บใจขนาดนี้’
“เอาเป็นว่า ข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน” ลูต พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฮ่าฮ่า ดีๆ เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เอาเป็นว่าการเตรียมงานในปีนี้ขอให้ทุกฝ่ายตั้งใจให้ดี ข้าอยากให้ประชาชนทุกคนได้สนุกรื่นเริงอย่างเต็มที่ เลิกประชุมได้”
ยามเย็นที่ห้องพักส่วนตัวของปุโรหิต เขามักจะใช้ช่วงเวลานี้เพ่งมองดูภาพเนรมิต ที่ผนังห้องด้านหนึ่งปรากฏภาพหญิงงามไร้อาภรณ์ปิดบังร่างกาย ลงเล่นน้ำด้วยกิริยาสดใสร่าเริง หญิงสาวไม่อาจล่วงรู้เลยว่าได้ถูกเฝ้าจับตามองมานานนับปีด้วยสายตาหลงใหล แม้ในยามที่ต้องการความเป็นส่วนตัวก็ถูกมองดูส่วนสงวนนั้นซ้ำไปซ้ำมา ลูต ยิ้มอย่าพึงพอใจ เขาตกหลุมรักหล่อนทันทีที่แรกพบ เขาเริ่มใช้ญาณพิเศษท่องเที่ยวในแดนสุขาวดีตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน แรงบันดาลใจที่สำคัญที่เขาอยากข้ามไปที่อีกฝากของประตูนั่นก็คือเธอคนนี้ เขาจะรอช้าไม่ได้เพราะอีกไม่นานเธอคนนี้จะต้องเข้าพิธีอภิเษก งานเทศกาลแห่งดวงดาวในเดือนหน้าคือโอกาสสุดท้ายของเขาที่จะไปชิงเจ้าสาวมาครอบครอง ไฟแห่งความปรารถนาช่างร้อนแรงและน่ากลัว
ที่ตำหนักเทพ ‘โรสแมรี่’นั่งพักผ่อนอยู่ที่ศาลาริมลำธารจำลองพร้อมกับบรรดาลูกน้องคนสนิท เสียงน้ำพุดังเซ็งแซ่ เสียงน้ำในลำธารไหลรินเรื่อยๆเอื่อยๆ ธิดาเทพรู้สึกใจคอไม่ดีชอบกล
“‘หว่าหวา’ เจ้าช่วยตรวจดูดวงชะตาของข้าที่เถอะ” (แม้ว่าโรสแมรี่จะสามรถทำนายเหตุการณ์ และตรวจดูดวงชะตาของคนอื่นได้ แต่มีข้อห้ามว่า นักพยากรณ์ห้ามทำนายให้ตัวเองเด็ดขาด)
“เชิญท่านพี่หยิบไพ่ จะทำนายเรื่องความรักหรือคะ อิอิ” หว่าหวา ตำแหน่งรองผู้นำ สวมชุดสีฟ้าอ่อนมีผ้าบางใสปิดบังใบหน้า เชื้อเชิญพี่สาวด้วยท่าทีสนิทสนม
“ =,,= เอ่อ ขอเป็นเหตุการณ์ในอนาคตดีกว่านะ” เพื่อเพิ่มให้การทำนายมีความน่าเชื่อถือร้อยเปอร์เซ็นต์ โรสแมรี่ ใช้เวลารวบรวมสมาธิกว่าหนึ่งชั่วโมงในการหยิบไพ่มาสามใบ ท่ามกลางความสงบเงียบของบรรดาสาวก
....“กองทัพแมงมุม กงล้อแห่งโชคชะตา และนักเดินทางแห่งความมืด”.....
“หว่าหวา เจ้าเห็นอะไรบ้างจากไพ่ทั้งสาม!!” โรสแมรี่ถามอย่างร้อนรนเพราะไพ่ที่เลือกส่อเค้าความชั่วร้ายอย่างชัดเจน
บัดนี้ร่างการของหว่าหวาแปล่งแสงสีขาวนวล ที่ด้านหลังปรากฏปีกนางฟ้ากางสยายออก หว่าหวาหลับตาลอยอยู่บนอากาศ แต่แล้วบรรยากาศกลับเริ่มอึดอัด ปีกนางฟ้าเริ่มเน่าเปื่อย ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว มีเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากตาทั้งสองข้าง ร่างกายของหล่อนเริ่มปรากฏแผลพุพอง น้ำเลือดน้ำหนองเปื้อนเปรอะเสื้อผ้า พลันเมื่อลืมตาขึ้นก็กรีดร้องลั่นไปทั่วทั้งอุทยาน “กรี๊ดดดด!!!........................ด” หว่าหวาร่วงจากอากาศ โรสแมรี่ถลันตัวฉวยร่างของเธอไว้ได้ทันก่อนจะตกพื้น
ณ สำนักอาศรมเวทย์ ในเวลาดึกสงัดพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ที่ลานอวดวิชาของสำนักเต็มไปด้วยด้วยบรรดาผู้อาวุโส ครูอาจารย์ และเหล่าบรรดาลูกศิษย์ รวมประมาณสองหมื่นคน ในฐานะผู้นำสูงสุด ลูต นั่งสงบนิ่งอยู่บนบรรลังก์ เสียงเงียบเชียบวังเวงราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่เลย แม้แต่เสียงหายใจ ทุกคนต่างอดใจรอฟังเรื่องสำคัญที่ท่านผู้นำเรียกประชุมด่วนในค่ำคืนนี้ รอบๆ ลานพลันปรากฏสาวกผู้คุมกฏสวมผ้าคลุมสี่ดำที่ด้านหลังปักตราสัญลักษณ์ของสำนักในลักษณะกลับหัว พวกเขาเริ่มร่ายเวทย์สร้างโดมขนาดใหญ่ตัดขาดโลกภายนอก
เสียงอื้ออึงดังไปทั่วบริเวณ คณะผู้อาวุโสจับจ้องไปที่ผู้นำด้วยความสงสัย ก่อนที่ความโกลาหลจะเกิดขึ้น ลูต ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเนิบนาบพร้อมเปล่งวาจาว่า
“พวกเจ้าคิดบ้างรึไม่ว่า?... กฎที่ว่าผู้ที่สามารถไปแดนสุขาวดีนั้น ไปได้แค่เพียงปีละหนึ่งคน ช่างน่าขันเสียจริง พวกเจ้าทุกคนล้วนมีความสามารถ!! หากผู้ใดต้องการไปยังแดนสุขาวดีพร้อมกับข้าจงทำพันธะสัญญามอบวิญญาณมาเสีย เมื่อข้ามไปอีกฝั่งเมื่อใดข้าจะสร้างร่างไสยเวทย์ที่ทรงพลังให้”
“ข้าเสียใจจริงๆ ที่สั่งสอนเจ้าไม่ดี เจ้าจะต้องเสียใจในสิ่งที่ทำวันนี้” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดด้วยความเสียใจ
“พวกท่านก็รู้ว่าอาคมของข้าแกร่งกล้าเกินกว่าท่านทุกคนจะต่อกรได้ ขอให้บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลาย ร่วมมือกับข้าแต่โดยดี”
“น่าเศร้าใจจริงๆ เพื่อเป็นการรับผิดชอบ แม้ต้องตายพวกข้าก็จะต้องหยุดเจ้าให้ได้”
บรรดาผู้อาวุโสล้อม ลูต ไว้ เสียงร่ายมนต์พร้อมกับอาวุธหลากหลายถูกหยิบขึ้นมา ลูต มิได้สนใจและประกาศขึ้นอีกครั้งว่า “ผู้ติดตามของข้ามีได้จำนวนจำกัด จงเข่นฆ่าผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือให้หมด เพื่อสังเวยแด่พิธีกรรมแลกเลือดเฉือนวิญญาณ”
สิ้นเสียงประกาศความโกลาหลก็บังเกิด “โอม....ม พยุหแมงมุมหมื่นพิษละเลงเลือด” แมงมุมขนาดเท่าลูกมะนาวหมื่นตัวทะลักออกมาจากร่างกายของลูต เมื่อออกมาภายนอกพวกมันพากันพ่นใยใส่เหล่าผู้อาวุโสทันที ผู้อาวุโสเคราะร้ายท่านหนึ่งหลบการโจมตีไม่พ้นโดนใยมรณะพันรอบกาย ยิ่งดิ้นรนยิ่งรัดพันแน่น ผู้อาวุโสท่านนั้นตั้งจิตเตโชกสินคิดเผาร่างกายให้มอดไหม้ไปพร้อมกับเหล่าแมงมุม ไฟลุกรามไหม้ใยแมงมุมอย่างง่ายดายแต่ก็แลกไปกับชีวิตของท่าน ผู้อาวุโสท่านอื่นเห็นว่าไฟได้ผลได้พากันระดมเตโชกสินปล่อยไฟออกมาหลากหลายรูปแบบหวังจะเผด็จศึกอย่างรวดเร็ว ลูตสั่งให้แมงมุมรวมตัวกันสร้างเป็นเกราะรอบตัวเขา ขณะนั้นเองไฟก็ไก้มอดไหม้ทั้งคนทั้งเกราะแมงมุม ผู้อาวุโสสิ้นพลังทรุดลงกับพื้น บางท่านถึงกลับพลีชีพ ไฟยังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ครู่ต่อมาเปลวไฟเริ่มผิดแปลกไปเสียงระเบิดดังสนั่น สะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่วบริเวณลานอวดวิชา พลันปรากฏร่างของลูตในลักษณะสะบักสบอมเสื้อผ้าขาดวิ่น สะเก็ดไฟนั่นแท้จริงคือร่างของแมงมุมนั่นเอง
“ฮ่าๆๆ ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสมากที่ส่งเสริมข้า บัดนี้แมงมุมของข้าใช้อาคมสายเพลิงได้แล้ว เหล่าสาวกแห่งอาศรมเวทย์ทั้งหลายจงฟัง ผู้ติดตามข้ามีได้เท่ากับจำนวนแมงมุมที่สิงร่างข้า หากผู้ใดคิดทำสัญญาขายวิญญาณ จงให้แมงมุมของข้าควบคุมร่างเจ้าซะ”
หลังจากนั้นก็เป็นการต่อสู้ระหว่างคนหนึ่งหมื่นคนกันคนที่มีแมงมุมปีศาจควบคุมหนึ่งหมื่นตัว การต่อสู้จบลงในเวลาเช้าโดยที่คนธรรมดาตายเรียบ ฝ่ายของลูตไม่มีการสูญเสียแม้แต่คนเดียว เมื่อแสงตะวันสาดส่อง แมงมุมปีศาจก็เริ่มดูดพลังชีวิตและวิญญาณของคนที่มันควบคุม กลายเป็นซากหนังหุ้มกระดูก เสร็จแล้วเหล่าแมงมุมก็กลับเข้าร่างของลูต บรรยากาศกลับมาสงบเงียบ ลูตประกาศจบพิธีแลกเลือดเฉือนวิญญาณ เขามองดูเหล่าซากศพด้วยแววตาปราศจากความรู้สึกผิดใดๆ และใช้พลังที่เหลืออยู่เผาทำลายสำนักอาศรมเวทย์ ก่อนจะเร้นกายหายไป
หว่าหวาได้สติลืมตาตื่นขึ้น ร่างกายของเธอเริ่มเน่าขึ้นเรื่อยๆ ชิ้นเนื้อหลุดติดเต็มที่นอน หล่อนมองดูโรสแมรี่ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงด้วยแววตารื่นน้ำตา ราวกับว่าดวงตาจะหลุดออกจากเบ้า “ท่านพี่..โปรดสังหารข้าซะ ข้าทรมานเหลือเกิน”
โรสแมรี่ตื่นขึ้นมามองดูน้องสาว อย่างรู้สึกผิด ก่อนที่หล่อนจะกล่าวอะไรออกไปก็มีเสียงองครักษ์ขออนุญาตเข้าห้อง “ท่านธิดาเทพ มีเรื่องด่วนจะรายงานค่ะ”
“เข้ามาได้” สิ้นเสียงอนุญาต องครักษ์สาวสามคนก็เปิดประตูเข้ามา เมื่อพวกหล่อนเห็นสภาพหว่าหวาก็แทบจะอาเจียนออกมา แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ฝึกฝนจิตใจจนแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปก็อดไม่ได้ที่จะเอามือมาปิดจมูก หว่าหวาเห็นอาการนั้นก็หลั่งน้ำตาออกมามากมาย ถึงเธออยากจะตายๆไปซะแต่เธอก็อดหวังไม่ได้ว่าพี่สาวของเธอซึ่งเป็นถึงธิดาเทพ จะรักษาอาการของเธอได้ เธอก็เป็นเพียงคนๆหนึ่งที่อยากมีชีวิตที่ยืนยาว
โรสแมรี่เห็นน้องสาวก็สงสารจับใจ เธอร่ายมนต์กล่อมนิทราให้หว่าหวาหลับไปอีกครั้ง จะได้คลายความเจ็บปวดลงไปบ้าง และร่ายมนต์น้ำแข็งปกคุมทั่วร่างเพื่อลดเวลาการย่อยสลายของร่างกายน้องสาว
“เราออกไปคุยกันข้างนอกเถอะนะ อย่างที่พวกเจ้าได้เห็น หว่าหวาโดนคำสาปที่ร้ายแรงมาก เธอคงต้องตายเป็นแน่แต่ข้าก็ยังตัดใจไม่ลง”
“รีบไปที่ท้องพระโรงเถอะค่ะ ท่านปุโรหิตก่อกบฏแล้ว สำนักอาศรมเวทย์โดนไฟเผาทำลายจนหมดสิ้น ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”
ที่ท้องพระโรงราชาราดิส และเหล่าขุนนางมารอกันครบหมดแล้ว เมื่อโรสแมรี่มาถึงการประชุมที่เคร่งเครียดก็เริ่มขึ้น
ที่ห้องนอนของหว่าหวา
เศษเนื้อของเธอเริ่มขยับมารวมกันกลายเป็นแมงมุมสีทอง แมงมุมตัวนั้นทักทอเส้นใยสีทองเป็นรูปตาข่ายหกเหลี่ยมสัญลักษณ์อาคมของลูต เมื่อสัญลักษณ์สมบูรณ์ ลูตก็ปรากฏตัวออกมาจากสัญลักษณ์นั้น
เขามองดูหล่อนด้วยแววตาสงสาร เพราะถึงยังไงเขาและเธอก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาโบกมือเพียงครั้งเดียว ร่างกายที่เน่าเปื่อยก็กลับมามีชีวิตชีวา น้ำแข็งก็เริ่มละลาย เขาใช้เตโชกสินขับไล่ไอน้ำออกไปจนหมด ร่างกายของหว่าหวาสะอาดสะอ้านแต่ยังหลับใหลด้วยมนต์ของโรสแมรี่ เขาจึงร่ายมนต์แก้ให้เธอ
“พี่ลูต ข้าเห็นอนาคตของท่าน ตอนนี้ข้ากำลังจะตาย ฮื่อๆๆ ” หว่าหวาร้องไห้อย่างหนักถลันตัวมากอดเขา
“ยัยเด็กขี้แยเอ๊ย ทำใจดีๆแล้วดูสภาพของตัวเองก่อน”
หล่อนสำรวจตัวเอง น้ำตาแห่งความดีใจก็ไหลออกมาอีก “ท่านช่วยข้าใช่มั๊ย?”
“ใช่พี่ช่วยเจ้าเอง และคำสาปที่เจ้าโดนก็เป็นพี่เองที่สาปเจ้า แต่ร่างกายนี้คงอยู่ได้อีกไม่เกินสามวัน เจ้าโชคร้ายเองที่ทำนายโชคชะตาของข้า”
“ทำไมพี่ต้องทำอย่างนี้ด้วย แล้วหลังจากสามวันข้าก็ต้องตายใช่รึไม่”
“เพราะพี่ไม่ยอมให้ใครมากำหนดชะตาชีวิตของพี่ ชีวิตของใครก็ควรเป็นคนที่จะลิขิตเอง ส่วนร่างกายของเจ้าพี่มีวิธีช่วยเหลือได้ แต่เจ้าต้องทำงานให้ข้า”
“ได้สิ ข้าเชื่อท่านเพราะข้าเห็นอนาคตของท่าน ต่อไปพี่จะ”ลูตรีบเอามือปิดปากเธอ หว่าหวาถึงกับหน้าแดง ก่อนพยักหน้าเข้าใจว่าเขาไม่ต้องการรู้อนาคต แม้ว่าจะเป็นเวลาอีกยาวนานมาก กว่าวันนั้นจะมาถึง
“ตอนนี้พี่เป็นกบฏ เจ้ายังจะช่วยพี่มั๊ย?”
“ได้ทุกเรื่อง ขอเพียงแค่พี่สั่งมา ข้าเชื่อใจพี่เสมอ” แมงมุมตัวสีทองตัวเดิมก็เดินไปหาหว่าหวาและกลายเป็นรอยสักสีทองอยู่กลางหลังของเธอ เขาและเธอซักซ้อมแผนการกันอยู่สักพัก ลูตก็ขอตัวจากไป
“ทำไมแผนของพี่ถึงหลีกเลี่ยงการปะทะมากขนาดนี้คะ ทั้งๆที่พี่ก็แข็งแกร่งมาก”
“เพราะว่าพี่ติดคำสาปของคนหนึ่งหมื่นคนที่ได้สังหารไปน่ะสิ หากถ้าเจ้าถูกโจมตี แล้วความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นถึงหมื่นเท่า เจ้าคงไม่อยากแม้แต่จะโดนมดกัด”
“หึๆ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ข้าก็ชนะพีได้น่ะสิ คิกๆ”
“-,,- เฮ้อ..ไปดีกว่า จนกว่าจะถึงเวลาก่อการ พี่ต้องรีบลบล้างสถานะบ้าๆนี่ก่อน” เมื่อพูดจบเขาก็สลายร่างหายไป
“ธิดาเทพ ข้าอยากให้ท่านรับปากข้า ไม่ว่าจะยังไงขอให้ช่วยคุ้มครองเจ้าหญิงเฟย่าอย่าให้ได้รับอันตราย” ราชินีอัมราบอกโรสแมรี่หลังจากการประชุมเตรียมการป้องกันจบลง
“ข้าจะปกป้ององค์หญิงด้วยชีวิตเพคะ” โรสแมรี่รับปากก่อนรีบกลับไปยังห้องของหว่าหวาอย่างร้อนรน
“ท่านพี่ กลับมาแล้วหรอคะ”
“หว่าหวา นี่เป็นเจ้าจริงๆหรอ? ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม!!” โรสแมรี่ปรี่เข้าไปสวมกอดน้องสาวสุดที่รักทันที
“อ๋อยยย... เบาๆพี่ เบาๆ จะหายใจไม่ออกตายจริงๆก็เพราะพี่นี่แหละ” โรสแมรี่ยังคงกอดน้องสาวไว้ไม่ยอมปล่อย ผ่านไปหลายสิบนาที่หว่าหวาได้แต่ทำใจเป็นตุ๊กตา เพราะพี่สาวเธอบอกว่าถ้าไม่ครบชั่วโมงจะไม่ยอมปล่อย --.
“ลูต ก่อกบฏแล้ว สำนักอาศรมเวทย์จบสิ้นแล้ว ความสงบสุขแบบที่ผ่านมาคงไม่มีอีกแล้ว” ดวงหน้าของโรสแมรี่เศร้าจับใจ
“แล้วท่านพี่คิดจะทำยังไงหรอคะ”
“เฮ้อ นครดาราระยับคงใกล้จะจบสิ้นแล้ว ไหนจะต้องรับมือกับจอมขมังเวทย์อันดับหนึ่ง และต้องรับมือกับประเทศเพื่อนบ้านอีก เพราะว่ามีเจ้าชายและเชื้อพระวงศ์จำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตไป”
“อย่างนี้ก็แย่สิคะ แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นนครดาราระยับต้องล่มสลายนี่นา ท่านลูตต้องการแค่กุญแจเปิดประตูพันธนาการ ส่วนประเทศเพื่อนบ้านน่าจะพุ่งเป้าไปที่ท่านลูตคนเดียวเพราะเป็นต้นเหตุของการสังหารหมู่” หว่าหวาวิเคราะห์ตามความเข้าใจของตน
“แค่เจ้าลูตแย่งชิงกุญแจไปได้ก็หายนะแล้ว เพราะกุญแจประตูพันธนาการหลอมรวมกับวิญญาณองค์หญิงเฟร์ย่า หากจะเปิดประตูก็ต้องทำพิธีกรรมให้ถูกต้อง ส่วนเรื่องประเทศเพื่อนบ้านนั้นการหลีกเลี่ยงสงครามคงเป็นไปได้ยาก เพราะเจ้าพวกนั้นหาเหตุผลที่จะโจมตีพวกเราอยู่แล้ว ในอดีตกาลก็เป็นศัตรูกันเพิ่งจะสงบมาได้ไม่กี่ร้อยปีนี่เอง” โรสแมรี่ยิ่งพูดก็ยิ่งจนปัญญา แม้ว่านครดาราระยับจะเป็นสถาบันศึกษาวิชาต่างๆ แต่ว่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมามีลูกศิษย์จบไปมากมาย วิชาการต่อสู้ เวทย์มนต์อาคมต่างๆล้วนถูกพัฒนาไปมาก โดยเหล่าลูกศิษย์ที่จบไปนั้นเดินทางกลับไปเผยแพร่ที่เมืองของตน
“ถ้ามีวิธีที่จะช่วยยับยั้งสงคราม และช่วยชีวิตองค์หญิงไว้ได้พี่จะยอมทำมั๊ยคะ?”
“เจ้าพูดอะไร นี่เจ้ารู้อะไรมาหรอ?” โรสแมรี่ถามด้วยความสงสัย
“ปะ เปล่าหรอกพี่ ข้าจะไปรู้อะไรได้ไง เพิ่งจะรอดจากคำสาปนรกมา ยังไม่ได้ออกไปไหนเลยนะ จะรู้อะไรได้ไง” หว่าหวาตอบด้วยอาการละล้ำละลัก
“นั่นสินะ แต่ถ้ามีวิธีที่เจ้าว่าอยู่จริงข้าคงทำโดยไม่ลังเล เฮ้อ..”
ปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๕๙
“พี่ๆไอ้วิชายากๆที่ผมได้เอฟนี่เรียนไปทำไมหรอครับ ผมว่ามันไม่ค่อยมีประโยชน์เลยนะพี่ ใช้ในชีวิตจริงก็ไม่ได้?”
“จริงๆแล้ว เอาไว้ใช้คัดคนโง่ๆออกจากคณะเราอ่ะจร่ะ”
ที่ห้องธุรการของคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มภุมมะ ยืนทำหน้าเอ๋อเมื่อได้ยินคำตอบจากสาวสวยที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์ ‘เออเนาะ...ปกติก็ไม่ค่อยได้ถาม พอถามไปก็ได้เรื่อง เป็นคำถามโง่ๆจริงๆ --.’ ด้วยผลการเรียนที่ตกต่ำ เงินค่าเทอมที่เกือบจะไม่พอ มีแฟนก็โดนเค้าทิ้ง เล่นเกมส์ก็โดนด่าเล่นควายๆเด็กน้อยยังเล่นโหดกว่ามุงอีก วันนี้ที่ยังมาโดนว่าเป็นคนโง่ๆ ถ้าวันสอบมีคนให้ลอกคงไม่เอฟหรอกมั้ง ภุมมะตัดสินใจรักษาสภาพนิสิตสักปี กลับบ้านไปบวชดีกว่า
ที่หอพัก ภุมมะนั่งเล่นโน้ตบุ๊คอยู่คนเดียว ในมือมีมาม่าคัพถ้วยใหญ่ซดน้ำเสียงดังอย่างเมามันส์ สายตาจับจ้องไปที่เฟสบุค “เฮ้อ.. อะไรของยัยนี่ เลิกกะเราไปมีแฟนใหม่ได้ไม่ทันไรก็โดนเค้าทิ้งซะแล้ว เสียใจด้วยจริงๆ ขอให้ไปสู่สุขตินะที่รัก” ภุมมะเลื่อนโพสไปเรื่อยๆก็มาเจอโพสของหญิงสาวคนหนึ่ง ‘..กลับมาแล้วนะ คิดถึงเธอจัง ประเทศไทย..’ ภาพความทรงจำผุดขึ้นมา สมัยเรียนอยู่มอต้น เวลาว่างภุมมะมักจะไปตีปิงปองเป็นประจำ เช้าวันหนึ่งเขาก็ได้พบเธอเด็กหญิงผู้มีความร่าเริงอยู่เป็นนิจ เขาแอบชอบเธอนานนับปีแต่ไม่กล้าบอก “โอ้โห..ก็รู้อยู่นะว่าน่ารัก แต่ไม่นึกว่าโตมาจะสวยมากขนาดนี้ เฮ้อ.. บ่นอะไรอยู่คนเดียว รึว่าเราจะบ้าไปแล้ว ฮ่าๆๆ” ภุมมะหัวเราะเสียงดังราวกับคนเสียสติก่อนจะไปเก็บของเตรียมตัวกลับบ้านนอก
รถปรับอากาศสองชั้นจอดส่งผู้โดยสาร ณ สถานีขนส่งเล็กๆ ภุมมะลงจากรถและเดินที่คิวรถตุ๊กๆ “พี่ครับๆ เข้าหมู่บ้านนี้หน่อยครับ”
“ว่าแต่บ้านเรายังดูเป็นธรรมชาติอยู่เลยนะครับ ผมย้ายไปเป็นสิบปีแล้วต้นไม้ต้นไร่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่เลย”
“ทางการเค้าสั่งห้ามบุกรุกป่าน่ะสิ แต่ก็ดีแล้วแหละ อากาศก็ดี พืชพันธุ์นาไร่สมบูรณ์ น้ำท่าก็เพียงพอ อยู่อย่างพอเพียงตามพ่อสอนนี่แหละเป็นสุขที่สุดแล้ว”
“เออนี่ลุง ผมได้ข่าวว่าที่บนเขาหน้าผาเจ็ดโยชน์พบซากเมืองโบราณอายุมากกว่าสามพันปีหรอครับ”
“ใช่ๆ กรมศิลป์มากันมากมาย ช่วงที่พบใหม่ๆนะ โจรกระจอกสิบกว่าคนพากันไปขโมยวัตถุโบราณหวังจะเอาไปขาย พวกมันพากันตายปริศนาทีละคนๆ มีรอยฟันของคนกัดที่หัวไหล่ทุกศพ ตำรวจยังพากันงงไม่หาย พวกนายทุนที่รับซื้อของไปก็อยู่กันไม่ได้ ฝันแปลกๆ เห็นผู้หญิงมาทวงของอยู่ทุกคืน สุดท้ายทนไม่ได้เลยต้องมอบของให้กรมศิลป์ไปให้หมดเรื่องราว”
“อ๋อ เลยได้สืบจนรู้ว่าของพวกนี้เอามาจากไหน คงต้องขอบคุณพวกโจรแล้วมั้งที่พบเมืองโบราณ”
“ฮ่าๆ จะว่ายังงั้นก็ได้ แต่พูดก็พูดเถอะยังขนลุกไม่หาย ทีแรกนึกว่าเป็นฆาตกรโรคจิต กัดกินเนื้อเหยื่อก่อนตาย พอเรื่องนี้แพร่ออกมาอดนึกไม่ได้ว่าผีมีอยู่จริง”
“ถ้าเป็นคนดีก็ไม่ต้องกลัวผีหรอกลุง ไม่งั้นเค้าจะบอกหรอว่าคนดีผีคุ้ม ถ้ามีจริงก็ดีคนจะได้เกรงกลัวบาปกันมั่ง คนดีก็จะได้มีกำลังใจทำดีต่อไป”
“ฮ่าๆๆ เอ็งนี่หน้าจะไปบวชเนาะ ว่าแต่บ้านเอ็งอยู่ตรงไหนล่ะ?”
“ขับเข้าไปกลางหมู่บ้านเลยลุง บ้านตาก่วนอ่ะครับ ลุงรู้จักมั๊ย”
“ตาก่วนหมอเป่าน่ะหรอ รู้จักสิ ข้าเคยไปเป่าลมพิษเรื้อรังมา หมอสมัยใหม่รักษาเป็นปีไม่หาย พอได้ไปเป่าแค่อาทิตย์เดียวก็หายขาด”
“ใช่ครับบ้านนั้นแหละลุง”
ไม่นานภุมมะก็มาถึงบ้าน บ้านที่เขาจากไปนานนับสิบปี
“ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เรียนมาตั้งหลายปีแล้วยังไม่จบสักที กลับบ้านมาทำนาดีกว่ามั๊ยลูก” เสียงแม่บ่นขึ้นมา ในใจก็อยากให้ลูกชายคนโตกลับมาอยู่ใกล้ชิด
“มันอยากเรียนก็ปล่อยมันไปเถอะ มันหัวดีจะได้เรียนสูงๆ” ป้า เอ่ยสนับสนุนภุมมะ ส่วนภุมมะเองรู้สึกตงิดใจยังไงชอบกล หัวดีนี่นะ แดรกเอฟมาตั้งห้าตัว ถ้าเรียนไหวคงไม่หนีมาพักที่บ้านหรอก
“โหแม่ ทนอีกแค่ไม่นานผมก็จบแล้ว ถ้ากลับมาอีกรอบนะ ผมนี่จะลงสมัครผู้ใหญ่บ้านเลย จะได้ไม่ต้องไปไหน จะอยู่กับแม่ กับป้าๆ กับน้อง กับตา ที่นี่แหละ”
“เอ็งจะบวชหรอ รีบๆเข้านะ ปีนี้ชะตาเอ็งขาดรู้มั๊ย” เสียงแหบแห้งของตาก่วนเอ่ยขึ้น
“จะให้ดีก็ไปอยู่วัดเลยดีกว่านะลูก รอจนได้ฤกษ์บวชสะเดาะเคราะห์ให้จบๆไปก่อนค่อยกลับมาอยู่บ้าน”
“เที่ยวสักวันสองวันก่อนสิแม่ค่อยเข้าวัด ไม่ได้กลับมาตั้งสิบปี จะได้ดูถนนหนทางว่าเปลี่ยนไปยังไง เดี๋ยวออกบิณฑบาตแล้วหาทางกลับวัดไม่ถูก”
วันรุ่งขึ้นภุมมะตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปรอบๆหมู่บ้านแวะบ้านหลังหนึ่ง
“ไอ่มินต์ ไอ่มินต์เว้ย!! อยู่มั๊ย?”
“อะไรๆ ใครมาเรียกลูกสาวข้าแต่เช้านี่” หญิงวัยกลางคนเดินออกมาหน้าบ้าน
“สวัสดีครับน้าสมพร ผมภุมมะเองนะครับ เพิ่งกลับมาเมื่อวานพอดีผ่านบ้านเลยแวะทักทายสักกะหน่อยนึง”
“เห้ย!! ไอ่ภุมมะ มาได้ยังไงวะแก ชวนกลับมาเลี้ยงรุ่นตั้งหลายครั้งไม่ยอมมา ยังไม่ตายอีกหรอวะเอ็ง”
“จะกลับมาบวชน่ะ งั้นก็เลี้ยงวันนี้เลยสิ บ้านแกนี่แหละ ฝากโทรชวนเพื่อนๆด้วย ข้าไม่มีเบอร์ใครเลยว่ะ”
“จะจัดงานเลี้ยงอะไรไม่ขอเจ้าของบ้านเลยรึไง?”
“งั้นก็ขอเชิญน้าสมพร เป็นแขกผู้มีเกียรติวีไอพีด้วนนะขอรับกระครับผม ^^”
“ข้าล่ะปวดหัวกับเอ็งจริงๆ” น้าสมพรบ่นขึ้นมาไปอย่างนั้นเอง ในใจก็เอ็นดูภุมมะอยู่ไม่น้อย
“เอาตามนี้แหละ หกโมงเย็นเจอกัน สั่งเนื้อย่างมาสักหกชุด ส่วนอาหารเสริมอย่างอื่นมินต์ก็เลือกมาแล้วกัน ค่าเสียหายค่อยมาคิดกับข้า” สั่งการเสร็จภุมมะก็ปั่นจักรยานออกไป
“อ่าๆ โอเครเพื่อน มีเรื่องเมาท์เยอะเลย ตอนเย็นเจอกัน”
ภุมมะปั่นจักยานตามทางลูกรังไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งนาเขียวขจีเห็นชาวนากำลังพ่นยาใส่ข้าวนาปลังอย่างสนุกสนาน จนมาถึงทางขึ้นเขา พบป้ายเขียนข้อความว่า “เขาหน้าผาเจ็ดโยชน์ แหล่งอารยะธรรมสมัยก่อนพุทธกาล ทางขึ้นเขามีความลาดชันสูง และเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ควรตรวจสอบยานพาหนะและเดินทางด้วยความระมัดระวัง”
ภุมมะปรับเกียร์จักรยานสำหรับขึ้นเขาและปั่นขึ้นไปด้วยความตื่นเต้น เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆภุมมะก็มาถึงสถานที่พักของนักโบราณคดี
“สวัสดีครับพี่ๆเจ้าหน้าที่ ผมขอดูพี่ๆทำงานได้มั๊ยครับ”
“ได้สิน้อง แต่อยู่ใกล้ๆพี่นะเดียวพี่พาดูเอง อย่าไปรบกวนคนอื่นทำงานก็พอ พี่ชื่อเก่ง เป็นหัวหน้าคณะสำรวจ น้องชื่ออะไรหรอ”
“ผมชื่อภุมมะครับ บ้านอยู่ในหมู่บ้านนี้แหละ พอดีเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพครับ เห็นว่าที่นี่น่าสนใจดีเลยปั่นจักรยานขึ้นมาดูเล่น แต่กว่าจะถึงก็เล่นเอาเกือบตาย ฮ่าๆ”
“มาๆ พักกินน้ำซะก่อน แล้วกินข้าวมารึยังล่ะ มากินพร้อมพวกพี่ก็ได้”
“ขอบคุณครับ แต่ผมบอกก่อนนะครับ ผมเป็นคนค่อนข้างมูมมาม ระวังจะกินไม่ทันผมนะครับ^^”
“ฮ่าๆ เรานี่เป็นคนขี้เล่นจริงๆนะ”
ภุมมะเดินดูเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุโบราณต่างทำงานกันอย่างขันแข็ง วัตถุโบราญประกอบไปด้วย เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับ อาวุธ และโครงกระดูกโบราณ พอภุมมะสนใจมองชิ้นไหนพี่เก่งก็จะบอกเล่าประวัติความเป็นมาราวกับเป็นคนผลิตเอง ภุมมะขลุกอยู่กับคณะสำรวจจนเวลาโพล้เพล้ก็ขอลากลับบ้าน
“อ่าวน้อง จะกลับแล้วหรอ แล้วพรุ่งนี้จะมาอีกมั๊ย” ทีมงานคนหนึ่งถามขึ้น
“นี่ก็เย็นมากแล้วนะครับผมกลัวผี ทางกลับก็แสนจะเปลี่ยว พรุ่งนี้ผมคงไม่มาแล้วครับต้องเตรียมตัวเข้าวัดรอฤกษ์บวช”
“อ่าว จะเป็นพระอยู่แล้วกลัวผีได้ไงวะ Haha”
“--. เอาเป็นว่าผมรีบไปดีกว่า ถึงผมจะไม่เคยเจอผีแต่ผมก็รู้ว่ามันต้องน่ากลัวแน่ๆ”
“โอเคน้อง โชคดีนะถ้ามีโอกาสคงได้พบกันใหม่”
ภุมมะ คว้าจักรยานคู่ใจปั่นลงเขาอย่างเอื่อยๆ ลมเย็นๆประทะร่างทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จิตใจเริ่มสงบนิ่ง แต่แล้วทันใดนั้นเอง หางตาซ้ายพลันกระตุกถี่ยิบ “เฮ้ย..ไรวะ” ภาพทิวทัศน์กลายเป็นสีเทา ข้างถนนทั้งสองมีคนยืนอยู่เป็นทิวแถว ทุกคนต่างจ้องมองมาที่ภุมมะ
“แหะๆ หวัดดีครับ มาทำอะไรกันเยอะแยะครับ พี่ผู้ชายทำไมไม่ใส่เสื้อ อ่าววแล้วพี่ผู้หญิงทำไมไว้ทรงผมเชยสุดๆ ป้าๆทำไมหน้าเปื่อยยังงั้นล่ะ เห้ย!!..ไม่ใช่แระ ลุงทำไมล้วงไส้ออกมาล่ะครับ ว๊ากก ลาล่ะคร้าาาาบ!!!!!” ภุมมะรีบปั่นสุดแรงตีนมุ่งหน้าสู่หมู่บ้าน ท่ามกลางเสียงหัวเราะชวนสยอง
เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านโลกก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม ภุมมะชุ่มไปด้วยเหงื่อมาถึงบ้านของเพื่อนมินต์ ซึ่งมีเพื่อนหลายคนมารออยู่แล้ว
“ไปทำไรมาวะ ปั่นจักรยานข้ามทวีปมาหรอ” เพื่อนชายถามขึ้น
“เออ ปั่นข้ามนรกมาว่ะ จิตตกยังไงไม่รุ๊ อยากเมาว่ะวันนี้ เดี๋ยวข้าไปอาบน้ำก่อนค่อยเจอกัน” ภุมมะพูดจบก็รีบกลับบ้านทันที
งานเลี้ยงเล็กๆประกอบไปด้วยคนเก้าคนดำเนินมาถึงเวลา 22.00 น.
“ไอ่ตั๊ว กุอยากไปต่อว่ะ” ภุมมะเอ่ย
“เพื่อนก็มีแค่แจสเก่าๆจะไปด้วยกันมั๊ย” ตั๊วพูดด้วยอาการเมา
“โอเคเลยเพื่อนเลิฟ ถึงไหนถึงกัน ไหนใครจะไปต่อ มินต์กับน้าเกดตัดออก น้ำค้างพาลูกกลับไปนอน นัดกับเอกเมียโทรมาตาม ไอ่บอมเมาอ้วกแตกสลบคาห้องน้ำ สรุปเหลือสามคนกุ เมิง แล้วไอ่โจ๊กสุดหล่อ”
ภุมมะและเพื่อนเดินทางเข้าเมืองระยะทางกว่าสามสิบกิโลเมตร เมื่อมาถึงผับแห่งหนึ่งทั้งสามก็ระรี้ระริกรีบเข้าไปทันใด ดนตรีสดบรรเลงสลับกับดีเจมิกซ์บรรยากาศชื่นมื่นทั้งหญิงชายแสดงท่าเต้นชักกระตุกๆ เวลาดำเนินมาถึงเที่ยงคืน นักเที่ยวก็เริ่มไหลมาเรื่อยๆและกลมที่สองก็ได้เปิดขึ้น
“เด็ดว่ะ สเปกเลย” ภุมมะเมาเต็มที่มองที่โต๊ะข้างๆที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“โต๊ะไหนวะ ถามกุได้กุรุ๊จักหมดทุกคน” โจ้กพูด มือซ้ายและขวากอดสาวไว้ทั้งสองข้าง
“โต๊ะนั้นไง ที่นั่งอยู่คนเดียวอ่ะ”ภุมมะบอกพลางส่งสายตาไปให้เธอคนนั้น และเธอคนนั้นก็ยิ้มน้อยๆตอบกลับมา
“เพื่อนกุนี่ไปหมดแล้วสมงสมอง เมาแล้วไง ไม่เห็นไม่ใครสักคน” โจ้กส่ายหน้า
“เออดิ แม่มหลอนอะไรวะ” ตั๊วสนับสนุน
ภุมมะหันกลับไปมองเธออีกรอบก็ไม่พบเธอแล้ว ‘อ่าว ไปไหนซะแล้ว เมื่อกี้ยังนั่งอยู่ตรงนั้นเลย’
“เออ กุคงหลอนไปเอง” ภุมมะนั่งดื่มเงียบๆพอเพื่อนเอ่ยถึงตนก็แค่ยิ้มเล็กน้อย เวลาผ่านไปถึงตีหนึ่งครึ่ง ภุมมะนั่งเหม่อมาได้สักพัก ‘น้องกั้งนี่นา’
“ไอ่โจ้ก นั่นมีคนมานั่งแล้วใช่ป่ะ” ภุมมะถามเพื่อความแน่ใจกลัวจะหลอนไปเองอีก
“เออสิวะ สวยจริงๆว่ะ แต่มากับแฟนดูไอ่นั่นดิโอบซะน่าหมั่นไส้” โจ้กมองดูแขกโต๊ะที่มาใหม่ เป็นชายสามหญิงสาม และมีคู่หนึ่งที่ผู้ชายหน้ายิ้มแป้นโอบกอดสาวน้อยที่มีท่าทีหวาดกลัว
“ทำใจเหอะเพื่อน น้องเค้ามีแฟนแล้วอย่าพยายามเลย ไม่ดีหรอกเชื่อกุ กุเคยมาก่อน” ตั๊วเสริม
ภุมมะมองสาวตาโต เธอก็มองมาเช่นกันพลางทำหน้าจะร้องไห้แววตารื่นน้ำตา ภุมมะลอบสังเกตเธอเป็นระยะๆ สักพักก็เห็นเธอน้ำตาไหลส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
“เห้ย!! ไอ่โจ้กๆ มุงดูนั่นดิน้องเค้าร้องไห้แล้ว โดนไอ่นั่นแม่มล้วงขนาดนั้น ถ้าไม่ชอบทำไมไม่ลุกออกไปวะ แฟนกันจริงๆมั๊ยน่ะ”
“อย่าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านเลยดีกว่าว่ะ ไม่ดีหรอกเชื่อกุ กุเคยมาก่อน” ตั๊วแสดงความคิดเห็น
“แต่กุก็เห็นมุงยุ่งทุกครั้งนี่หว่า”
“รู้ใจแบบนี้เค้าเรียกเพื่อนตาย มาๆเดี๋ยวกุจะพาพวกมุงไปตายด้วยกัน 555 คุณน้องคุณนู๋รอพี่แปปนะจ๊ะเดี๋ยวพี่มา” ตั๊วเตรียมตัวจะลุกขึ้นแต่ไม่ทันภุมมะซึ่งไปถึงโต๊ะนั้นแล้ว
“เฮ้อ .. เป็นเรื่องอีกแล้ว”
“ปั้ง!!! ถ้าผู้หญิงไม่ยอมก็อย่าฝืนใจกันสิ เป็นแฟนกันจริงรึป่าว เธอโดนมันขู่บังคับใช่มั๊ย” ภุมมะเดินไปตบโต๊ะแสดงความไม่พอใจ
“มึงเป็นใครวะ หาเรื่องนี่หว่า นี่คู่หมั้นกู ใช่มั๊ยจร้า” ไอ่เลวพูดพลางส่งสายตาให้สาวน้อย มือขวากำลังขยุ้มหน้าอก มือซ้ายพยายามล้วงใต้กระโปรง สาวน้อยขัดขืนแต่ก็ไม่ยอมพูดยอมจา พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับว่าเป็นคู่หมั้นกันจริงๆ
“เห็นแล้วใช่มั๊ย รู้แล้วก็ไสหัวไปซะ วันนี้ลูกพี่ข้าอารมณ์ดีไม่อยากอัดใคร”
ภุมมะกำลังจะเดินกลับไปและมองที่สาวน้อยอีกรอบ เห็นเธอส่ายหน้าเล็กน้อยพลันน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย จังหวะนั่นเองภุมมะตัดสินใจดึงมือที่เกาะกุมเธออยู่กระชากเธอยืนขึ้นมา สาวน้อยเมื่อหลุดพ้นก็รีบเกาะแขนภุมมะและหลบอยู่ข้างหลังด้วยหวังจะให้เขาเป็นที่พึ่ง ชายที่เป็นลูกน้องไอ่เลวทั้งสองต่างลุกขึ้นและคนหนึ่งชกหน้าภุมมะแบบเน้นๆ
พลั๊ก!!! ภุมมะปากแตกทันทีพร้อมๆกับสร่างเมา โจ๊กกับตั๊วเข้าตะลุมบอนช่วยเพื่อนเพราะไอ่เลวทำท่าว่าจะเข้ามาซ้ำ เสียงโวยวายกรีดร้อง โต๊ะล้มระเนระนาด ขวดแก้วแตก ดีเจปิดเพลงทันที เปิดไฟสว่างไปทั่วทั้งผับ การ์ดห้าคนรีบเข้ามาระงับเหตุ
“น้องกั้งเป็นอะไร อ่าวภุมมะ!!!” เสียงชายคนหนึ่งแหวกไทยมุงเข้ามา
พอน้องกั้งเห็นชายคนนั้นก็ผละจากภุมมะไปหาชายคนนั้นทันที ภุมมะหันไปดูเห็นพี่เก่งและทีมงานคณะสำรวจ น้องกั้งกับพี่เก่งซุบซิบคุยกันสักพัก พี่เก่งก็เดินเข้ามาเคลียร์
“ค่าเสียหายผมจัดการเอง การ์ดปล่อยตัวน้องชายผมกับเพื่อนได้แล้ว ส่วนนายไอ่สายธารถึงนายจะเป็นคู่หมั้นน้องสาวข้า แต่ก็ต้องให้เกียรติกันด้วย กลับบ้านนายไปซะส่วนน้องสาวข้า ข้าจะพากลับเอง”
“จำไว้เลยนะไอ่หน้าอ่อน อย่าให้กุเจอที่ไหนนะ ไปพวกเรากลับโว้ย!!” สายธารและพวกจ้องหน้าภุมมะด้วยแววตาอาฆาต
ที่ร้านข้าวต้ม แก๊งของภุมมะและทีมงานคณะสำรวจแวะพักกินอะไรร้อนๆก่อนจะกลับไปนอน
“พี่ขอบใจภุมมะมากนะ ถ้าไม่เกิดเรื่องพี่คงไม่รู้ว่าไอ่เลวนั่นพาน้องสาวพี่มา และหลังจากคืนนี้คงจะเสร็จมันแน่ๆ” พี่เก่งกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมเห็นว่ามันแปลกๆ แล้วเธออ่ะถ้าไม่ชอบทำไมไม่โวยวายรึว่ามีเหตุผลจำเป็นอะไร เห้อ...เอาเป็นว่าผมจะไม่ถามก็แล้วกัน ที่ช่วยก็เพราะว่าเป็นคนเคยรู้จักกันหรอกนะ”
“ขอบคุณที่ไม่ถามเหตุผล แต่เราเคยรู้จักกันด้วยหรอคะ” น้องกั้งถามด้วยความสงสัย
“รู้จักสิตอนมอต้นเรียนโรงเรียนเดียวกันไง ผมอยู่มอสาม คุณอยู่มอหนึ่ง แถมยังเคยคุยกันแค่ประโยคเดียวเอง จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอก”
“คุยกันว่าอะไรหรอคะ”
“ก็น้องกั้งถามว่า ‘พี่คะกี่โมงแล้ว’ ผมก็ตอบไปว่า ‘อีกห้านาทีเข้าแถว’ ”
“โห คุยกันแค่นี้เอ็งยังเสือกจำได้อีกหรอวะ ถ้าเอ็งบอกว่าแอบชอบน้องกั้งตั้งแต่มอต้น ข้านี่เชื่อเลยนะเนี่ยะ” โจ้กแสดงความคิดเห็น
“โห โห โห ไอ่เวงหาที่ตายให้กุแระ เห็นๆอยู่ว่าคู่หมั้นน้องเค้าดุยังกะเสือ”
“ไม่เป็นไรหรอกเพื่อน ชอบเค้าก็บอกเค้าไปไม่ต้องมาทำหน้าแดง เรื่องแบบนี้กุเคยมาก่อน” ตั๊วเชียร์เพื่อนเต็มที่เพราะเห็นพี่เก่งไม่ว่าอะไรก็เลยแซวต่อ
ส่วนน้องกั้งเริ่มทำหน้าซีดเซียวพูดออกมาตะกุกตะกัก “เอ่อ.. พี่ภุมมะคะ ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เดือดร้อน”
“โธ่..น้องไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไอ่ภุมมะมันก็ดวงซวยของมันอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มีเรื่องของน้องยังไงมันก็ไม่ได้แก่ตายหรอกครับ โดนตีนตายชัวว์ๆ”
“ไอ่โจ้ก ถ้ากุจะตายนะกุจะเอามุงไปตายด้วย”
“ก็ดีนะ แต่เพื่อนทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วงพอข้าแก่ ข้าจะเข้าวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เยอะๆ 555” ตั๊วระเบิดเสียงหัวเราะไม่แคร์โต๊ะข้างข้างๆ กลุ่มของพี่เก่งรวมทั้งน้องกั้งก็หัวเราะตามไปด้วย
‘ขอให้คืนนี้เธอหลับฝันดีนะ เด็กหญิงที่ร่าเริงคนนั้นทำไมถึงมีแววตาที่เศร้าขนาดนี้’
สามนาฬิกา
ตั๊วมาส่งภุมมะที่หน้าบ้าน ภุมมะเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปในบ้านพลันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่เจอผับ ที่นั่งอยู่คนเดียว!! เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกที่ระเบียง
“เธอมาได้ไง แล้วเป็นคนรึป่าว” ภุมมะถามด้วยใจเต้นระทึก
“ก็เป็นคนน่ะสิ แต่อาจเป็นคนไม่เหมือนกับนายมั้ง” โฉมงามตอบด้วยท่าทีขบขัน
“ไม่เหมือนยังไง แล้วเธอยังไม่ได้บอกเลยนะว่ามาทำไม”
“อ่าวๆ ก็ไหนนายบอกว่าฉันสเปกนายไงคะ อิอิ ^^”
“ผมพูดกับเพื่อนเธอได้ยินก็แปลกล่ะ เธอเป็นใคร ต้องการอะไร”
“พูดดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องตะคอกเลย ฉันเป็นยมทูต ต้องการชีวิตของนาย เข้าใจรึยังแต่ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะยังไม่ใช่ตอนนี้ นายยังมีเวลาล่ำลาญาติพี่น้องอยู่ เมื่อตอนเย็นนายก็เห็นใช่มั๊ยวิญญาณที่มาต้อนรับนาย พวกเขาดีใจมากๆเลยที่จะได้นายไปอยู่ด้วย นี่เห็นว่านายเป็นคนดีเลยมาเตือนไม่ใช่ว่าฉันมีใจให้นายนะ ถ้าจะจีบฉันจริงๆก็ต้องพยายามมากกว่านี้ อ่อ..แล้วเที่ยงคืนวันนี้ฉันจะมารับชีวิตของนายนะคะ ^^”
“เอ่อ...ถ้าเธอไม่ว่างก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ สาวสวยอย่างคุณผมตำหนิไม่ลงหรอก” ภุมมะกลืนน้ำลาย เขาเชื่อจริงๆว่าเธอคนนี้ไม่ได้โกหก
“ฮ่าๆ นายนี่ตลกจริงๆ ฉันไปล่ะ ขอบอกไว้เลยนะว่าฉันไม่เคยผิดนัด” โฉมงามพอพูดจบประโยคก็สลายร่างหายไป ทิ้งภุมมะยืนเอ๋ออยู่หน้าบ้าน
วันนี้ทั้งวันภุมมะ คิดไม่ตกว่าจะเอายังไงดีกับชีวิตที่เหลือดี ‘เอาวะ ไหนๆจะตายก็ขอให้ตายแบบเท่ๆหน่อย’ ภุมมะเข้าวัดตั้งแต่บ่าย ช่วยหลวงพี่ทำความสะอาดโบสถ์ ตัดแต่งกิ่งไม้ จนมาถึงต้นโพธิ์ต้นหนึ่งมีที่นั่งเป็นรูปวงกลมล้อมรอบ มีพระพุทธรูปแตกๆ และบรรดารูปปั้นสัตว์ วางระเนระนาดอยู่โคนต้นโพธิ์ ภุมมะตัดสินใจว่าจะนั่งสมาธิก่อนตาย ภุมมะจัดแจงที่นั่งของตน ทำความสะอาดอย่างดีเหล่าบรรดารูปปั้นก็จัดเข้าที่เป็นระเบียบ จนมาเจอรูปปั้นนางรำที่แขนหักข้างหนึ่ง และกุมารทองที่มีแต่เอว ภุมมะใช้เวลาไม่นานก็สะสมชิ้นส่วนของสองรูปปั้นได้ครบ เขาถูกใจรูปปั้นทั้งสองมากเลยจัดแจงหากาวตาช้างมาประกอบและถ่ายรูปลงสมาร์ทโฟนไว้เป็นที่ระลึก เวลาล่วงเลยมาถึง ๑๖๐๐ นาฬิกา ภุมมะกลับเข้าไปที่โบสถ์ทำวัตรเย็น จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นเป็นลำดับ ๒๐๐๐ นาฬิกา ภุมมะเขียนจดหมายลาตายถึงแม่, ตาและป้า ขอขมาที่ล่างเกินทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม และขออภัยที่ไม่สามารถบวชทดแทนบุญคุณได้ ขอโทษที่ไม่ได้ล่ำลาด้วยตัวเอง ภุมมะจมอยู่กับความสำนึกผิด สุดท้ายจึงเซลฟี่ตัวเองยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด และเขียนบอกว่าให้ใช้รูปนี้เป็นรูปงานศพของเขา ๒๒๐๐ นาฬิกา ภุมมะมาที่ต้นโพธิ์เขาเริ่มนั่งสมาธิตามที่ตั้งใจไว้ ‘เอาวะ ก่อนตายขอสำเร็จเป็นพระโสดาบันก็ยังดี’ เขาเริ่มปลงตกกับความตาย
ห้านาทีก่อนตาย
ภุมมะเริ่มอยู่ไม่สุข สมาธิที่ทำมาชั่วโมงกว่าๆนั้นไม่มีความหมายซะแล้ว ความกระสับกระส่ายและเหงื่อแตกพลัก แม้จะหลับตาอยู่แต่หูก็ได้ยินเสียง “ไอ่วงมโหรีนี่แม่งเล่นมาเป็นชั่วโมงแล้ว ทำไมไม่จบซะทีวะ เด็กที่ไหนวิ่งไปวิ่งมาเดี๋ยวก็มาเกาะหัวเกาะหลัง แล้วเอาย่ามที่ไหนมาคล้องคอตูฟร๊ะนี่” ภุมมะสุดจะทนแล้วจึงลืมตาขึ้นมาดูให้เห็นกันจะๆไปเลย วงมโหรีตั้งวงเล่นอยู่ข้างๆต้นโพธิ์ บรรดาสิงสาราสัตว์เดินกันขวักไขว่ ถัดไปเป็นแคร่ไม้ไผ่ตัวใหญ่มีพ่อแก่แม่แก่แต่งกายขุดขาว เคี้ยวหมากสีแดง ยิ้มระรื่นกว่ายี่สิบคน รอบแคร่มีผู้คนตั้งแต่เด็กน้อย วัยรุ่น ไปจนถึงวัยกลางคน ยืนดูนางรำนางหนึ่งแต่งกายชุดไทยเข้ารูปสวยงามรำอวยพรอยู่ตรงหน้าภุมมะ ภุมมะหลับตาลงและลืมตากว่าสิบรอบ ภาพก็ยังเหมือนๆเดิม เด็กหัวจุกก็ยังกอดคอเขาอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง พอมองหน้าก็ยิ้มแป้นให้เขาอีก ‘เห้อ ไม่หลับตาก็ได้วะ’
เสียงวงมโหรีจบลง นางรำก็จบด้วยท่าสวัสดีค่ะ
บรรดาผู้ชมก็พลันเป็นแสงสีสันต่างๆพุ่งไปสถิตที่ใบโพธิ์ ในเวลานี้ที่ใต้ต้นโพธิ์สว่างไสว เหลือเด็กหัวจุกกับนางรำเท่านั้นที่ยังอยู่ นางรำเดินตรงมานั่งข้างภุมมะ ยิ้มให้เขาอย่างหยดย้อยและสลายร่างหายไป ภุมมะแกะมือเด็กหัวจุกออก เด็กน้อยมานั่งบนตักของเขา ภุมมะกำลังถอดย่ามเก่าๆออกแต่มือเล็กๆรั้งเขาไว้ “โอเคๆ ไม่ถอดก็ได้ ตามสบายใจเลย” เจ้าเด็กหัวจุกหัวเราะคิกๆแล้ววิ่งหนีไป
ภุมมะเห็นเด็กไปแล้ว ก็ลงมือถอดย่ามวางไว้ข้างๆตัว ทันใดนั้นเองเด็กหัวจุกก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมคล้องย่ามไว้ที่คอของเขา หน้าตาเริ่มมุ่ยทำท่าจะร้องไห้
“จร้าๆๆ ไม่ถอดแล้วจร้า” เด็กน้อยเข้ามากอดภุมมะแล้วก็หายไปอีกครั้ง
“เฮ้อ คนใกล้ตายจะเห็นผีแบบนี้หรอวะ จะวิ่งหนีก็ไม่ได้ ตะคริวกินตรูด ตูล่ะเซงจิต”
๐๐๐๐ นาฬิกา
แสงไฟจากใบโพธิ์ดับลง บรรยากาศกลับมาสงบเงียบ
“สวัสดีค่ะ”
“มาซะทีนะ ตรงเวลาเป๊ะเลย แล้วจะเอาวิญญาณผมไปเลยรึป่าว แปปนึงนะขอจัดท่าตายก่อน”
“คิกๆ ท่านแม่ๆดูหมอนี่ดิตลกเป็นบ้าเลย” เด็กหญิงในขุดสีชมพูฟูฟ่อง กางร่มสีชมพูลายเถาไม้เลื้อยสีดำ ยกมือปิดปากหัวเราะแบบผู้ดี
“เรย์อา อย่าเสียมารยาทกับเหยื่อสิ”
“นายท่านอย่าเสียเวลาเลย ข้าล่ะเบื่อเต็มที รู้สึกอยากไปนอนแล้ว” ชายร่างยักษ์ในชุดสูทสีดำ หนวดเครารุงรัง ชายเสื้อหลุดลุ่ย พูดขึ้นมาแล้วพุ่งตรงเข้าไปอุ้มภุมมะแบกไว้บนบ่า
“เห้ย มารับวิญญาณผมไม่ใช่หรอ พวกคุณเป็นยมทูตจริงๆมั๊ยนี่” ภุมมะตกใจ เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
“ยมทูตในความหมายของฉันก็คือ ผู้ที่มอบความตายไงล่ะ นายเองก็หมดอายุขัยแล้วนี่นา ไปกันเถอะบางทีนายอาจจะดีใจนะที่จะได้ทำตัวประโยชน์ครั้งสุดท้ายก่อนตาย”
ทั้งสี่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงผ่านต้นไม้ บ้านเรือน จนมาถึงบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง ภุมมะถูกเจ้ายักษ์โยนทิ้งก้นกระแทกพื้นเสียงดัง
“โอ๊ย!! อะไรเนี่ยะ จะทำอะไรผม” ภุมมะฉุน เซงจริงๆอุตส่าห์เตรียมตัวตาย
“นายน่ะนะ หมดอายุขัยแล้วจริงๆนะ ก่อนที่นายจะตายอยากจะขอให้นายสละเลือดเนื้อสักหน่อย เพื่อช่วยเหลือสาวน้อยคนนึง เธออยู่ตรงหน้านายแล้วนี่ไง”
“สาบานได้นะ!! ว่านี่เป็นสาวน้อย ไม่ใช่ปีศาจ” ภุมมะมองสภาพตัวอะไรสักอย่างคล้ายคน ถูกตรึงร่างด้วยโซ่เส้นสีดำสนิททั้งคอ แขน และขา ตาแดงก่ำ น้ำลายไหลยืด เสื้อผ้าที่สวมใส่ฉีกขาดรุงรัง มองแล้วรู้สึกสยองสุดๆ
“ใช่แล้วเธอคือเจ้าหญิงแห่งนครบังบด (นครบังบด แต่เดิมคือนครดาราระยับ เมื่อถูกคำสาปของลูตก็กลายเป็นเมืองลับแล จึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นนครบังบด) ถูกคำสาปโบราณที่ต้องดื่มเลือดคนทุกๆสามสิบวัน ฉันเองก็มีคำสาปพันธนาการชั่วชีวิตกับองค์หญิงอยู่ หากนางตายฉันก็ต้องตายด้วย แต่เพื่อการแก้แค้นเจ้าปุโรหิต ฉันจะตายตอนนี้ไม่ได้ และเจ้านั่นก็ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในแดนสุขาวดี ที่พานายมาในคืนนี้ก็เพื่อเป็นเหยื่อสังเวย ขอร้องเถอะนะช่วยต่อชีวิตของฉันด้วยเถิด ยังไงๆนายก็หมดอายุขัยแล้ว”
“ที่พวกคุณพูดมาจะจริงรึป่าวก็ไม่รู้ ถ้าต้องดื่มเลือดทำไมไม่ใช้เลือดบริจาคล่ะ รึว่าดื่มแค่ครึ่งเดียวได้มั๊ยเจอกันคนละครึ่งทาง” ภุมมะต่อรอง เขาเริ่มกลัวตายขึ้นมาทันทีที่เห็นตัวประหลาด ขวัญกระเจิงยิ่งกว่าเจอผีนางรำซะอีก
“หมายความว่าที่เจ้าจะผิดสัญญาใช่มั๊ย” ยมทูตสาวเริ่มโกรธ เจ้ายักษ์ก็เข้ามาล็อกแขนทั้งสองข้าง ภุมมะดิ้นพอเป็นพิธีเพราะเขารู้ว่ายังไงก็สลัดไม่พ้น ส่วนเรย์อาเอาแต่หัวเราะคิกๆ
“ผมไปสัญญาอะไรตอนไหน จะบ้ารึป่าวปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ ผมจะกลับวัด”
“องค์หญิงเพคะ เชิญรับเครื่องเสวยเพคะ”
“ว๊ากก!! อย่าน้าาาา”
องค์หญิงแห่งนครบังบดกัดเข้าที่หัวไหล่ภุมมะเข้าจังๆ เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ ภุมมะหน้าซีดปวดหัวตาลาย ส่วนองค์หญิงเริ่มกลายร่างกลับมาเป็นเด็กสาวแต่ยังมีอักขระสีม่วงปรากฏตามร่างกายอยู่ ภุมมะสั่นสยิวเพราะเสียเลือดมาก
“เดี๋ยวๆ ขอพักแปปนึงได้มั๊ย” ภุมมะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวกับเสียงกระซิบ
องค์หญิงหยุดการดูดเลือด เงยหน้ามองภุมมะ จู่ๆน้ำตาก็ไหลพรากเป็นเผาเต่า
“ขอโทษๆ ขอโทษจริงๆนะคะ ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะตายแล้วแท้ๆ แต่ก็อดใจดื่มเลือดไม่ไหว” องค์หญิงพูดทั้งน้ำตา
ภุมมะมองเธอก็อดสงสารไม่ได้ ต่อมสงสารทำงานเต็มประสิทธิภาพอีกแล้ว เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าลายลูกหมีตกน้ำขึ้นมาเช็ดน้ำตาและคราบเลือดให้เธอ เมื่อหน้าตาของเธอสะอาดหมดจดภุมมะก็อึ้งอีกครั้ง “น้องกั้ง!!”
“ฉันชื่อ เฟย์ยา” เจ้าหญิงตอบ
“โอเคๆ ถ้ายังไงผมก็ต้องตาย ผมขออะไรสักอย่างได้มั๊ยครับ”
“อะไรล่ะ หากฉันทำให้ได้จะรับปากแน่นอน”
เห้อปวดหัวจริงๆเลย แล้วเจ้าพวกนั้นก็ยืนดูอยู่เฉยๆแบบนี้นะ อมหิตผิดมนุษย์จริงๆ ไหนๆก็จะตายแล้ว ขอมอบอำนาจความหื่นที่สะสมมานับยี่สิบปีให้เธอคนนี้ดีกว่า ไม่รู้ว่าจะได้เกิดเป็นคนอีกรึป่าวจะได้ไม่เสียชาติเกิด
“ภุมมะก้มหน้าจูบปากเจ้าหญิงอย่างอ่อนโยนและค่อยๆดูดดื่มโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว” ยมทูตสาวและเจ้ายักษ์ตกตะลึง ส่วนเรย์อากางมือปิดตาหัวเราะคิกๆไม่ยอมหยุด
กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่ง เจ้าหญิงแห่งนครบังบดน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ รสชาติจูบที่เธอไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้รับ ทำให้หัวใจเต้นแรง จูบนี้เพียงจูบเดียวทำให้เธอตกหลุมรักภุมมะอย่างหมดใจทันที
ยมทูตสาวพุ่งตัวเข้ามาหมายจะแยกภุมมะออกจากองค์หญิง ทันใดนั้นเองเกิดม่านพลังประหลาดมาขวางไว้ อักขระสีม่วงใสเปล่งประกายแสงละมุนตา ค่อยๆถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายภุมมะผ่านการจูบ
เมื่อภุมมะถอนจูบ อักขระสีม่วงก็หายไปจากร่างกายองค์หญิง ภุมมะรู้สึกสดชื่นหายปวดหัวทันทีแต่ทว่าไม่นานก็รู้สึกผะอืดผะอมแทน ภุมมะหันหลังให้องค์หญิงและอ้วกออกมาทันทีเป็นของเหลวสีม่วงใสใส่หน้าอกเจ้ายักษ์กองใหญ่
“อี๋!!!!!! เจ้ามนุษย์สกปรก”
“เห้ย!! ตูเป็นโรคอะไรฟร๊ะ”
ของเหลวกองนั้นค่อยๆก่อตัวเป็นรูปร่างแมงมุมตัวเท่าสุนัขขนาดใหญ่ ยมทูตสาวเห็นแมงมุมก็ฟิวส์ขาด เสกปืน M4A1 ออกมาจากช่องว่างมิติเตรียมยิงแมงมุม
“แก!!!! เจ้าลู๊ตตตตตต”
“เห้ย!! อย่าเพิ่งยิง ขอถ่ายรูปก่อน” ภุมมะรีบหยิบสมาร์ทโฟนออกมาถ่ายรูปโดยไว
เเซะ!! เปรี๊ยงๆๆ เปรี๊ยงๆ เสียงปืนดังสนั่น แต่เจ้าแมงมุมกลายเป็นแสงพุ่งเข้าไปยังสมาร์ทโฟนของภุมมะไปแล้ว
แปะๆๆ เสียงปรบมือแว่วดังมาจากผู้มาเยือนรายใหม่ เขาสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินขลิปทองปิดบังใบหน้า
‘เอาว่ะ จะมีอะไรมาอีกคงไม่แปลกแล้วล่ะ จบสิ้นกันทีชีวิตธรรมดาๆของช้านนน’ ภุมมะคิดในใจ
“ผมชื่อเคออส ขออภัยที่มารบกวนยามวิกาล แต่พันธนาการสามพันปีขององค์หญิงจบสิ้นแล้ว ผมล่ะอยากจูบปลดผนึกแทนเจ้าเห่ยนี่จริงๆ เราเคยพบกันมาก่อนในความฝันใช่มั๊ยองค์หญิง ตามสัญญาที่ให้ไว้ผมจะนำทางองค์หญิงไปสู่โลกที่สวยงามเอง”
“เดี๋ยวๆ นายจะทำอะไรจะพาองค์หญิงไปไหน” ยมทูตสาวถามด้วยแววตาเอาเรื่อง ปืนที่มือเล็งไปที่ผู้บุกรุก
“ผมคือผู้สร้าง ทายาทราชาผู้รังสรรค์ ประตูแห่งดวงดาวกำลังจะเปิดอีกครั้งแล้ว ‘มาลี’ ไม่ใช่สินะต้องเรียกเธอว่า โรสเมรี่ธิดาเทพแห่งนครดาราระยับ ผมต้องขอตัวองค์หญิงของคุณไปล่ะนะเพราะเธอมีกุญแจดอกสำคัญอยู่ และคงต้องขอตัวเธอไปตลอดกาลเลยนะ เพราะผมจะพาเธอไปยังอีกฟากของประตู”
“นายคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบหรอ รับนี่ไปกระสุนอาคมแปดแสนนัดต่อเนื่อง”
เปรี๊ยง !! เปรี๊ยง++!!!!
“คุณคิดว่าจะหยุดผมได้หรอ” กระสุนผ่านร่างกายของเคออสจนแหลกเละ แต่แล้วก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
เคอออสปลดพันธนาการให้องค์หญิงและแบกองค์หญิงขึ้นบ่า เสร็จแล้วก็เรียกประตูมิติคล้ายหลุมดำออกมาทันที
“ท่านเคออสข้าไม่อยากไปกับท่านแล้ว ท่านภุมมะช่วยข้าด้วย”
“หึ มนุษย์ธรรมดาที่ยังไม่รู้จักเวทย์มนต์นี่น่ะหรอจะช่วยท่านได้ ภุมมะเจ้าน่ะหมดอายุขัยที่โลกใบนี้แล้ว แต่ที่อีกฟากของประตูแห่งดวงดาวนั้นจะเป็นอย่างไรข้าก็มิอาจรู้ได้ เห็นแก่ที่เจ้าปลดผนึกพันธนาการให้องค์หญิง ทำให้ข้าทำงานได้สะดวกขึ้นข้าขอมอบดัมมี่การ์ดให้เจ้าสองใบเป็นตั๋วเดินทางสู่แดนสุขาวดี ประตูจะเปิดค้างไว้ถึงเวลาตีหนึ่งเท่านั้น ห้ามสายเพราะหากพลาดคงไม่มีโอกาสครั้งที่สอง”
เคออสและองค์หญิงหายไปพร้อมๆกับการสลายตัวของหลุมดำ
“นี่เธอ บอกหน่อยสิว่านี่มันอะไรกัน”
“รีบไปเหอะ ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว จาคอปแบกเจ้าเห่ยนี่ตามมา”
ทั้งสี่เดินทางมาที่โบราณสถานเขาเจ็ดโยชน์ โรสแมรี่ร่ายมนต์ขมุบขมิบสักพัก เมืองโบราณนครดาราระยับก็ปรากฏ แสงระยิบระยับ เสียงเฮฮาของผู้คนดังแว่วมา ที่เมืองกำลังมีงานเทศกาลดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นเต็มท้องฟ้า ภาพที่เห็นทำให้ภุมมะตื้นตันใจแปลกๆ โรสแมรี่พาภุมมะเข้าไปที่ตำหนักแห่งหนึ่ง
จาคอปและเรย์อา จำแลงร่างเป็นเข็มกลัดติดที่เสื้อโรสแมรี่ ทำให้ในตอนนี้โรสแมรี่ต้องฉุดกระชากภุมมะเข้าไปที่ท้องพระโรง ‘อะไรฟร๊ะนี่ ตูอยากจะบ้าตาย’
ที่ท้องพระโรงราชาราดิส และราชินีอัมรา ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ บรรดาข้าราชบริวารต่างๆรายล้อมอยู่ทั้งสองฟาก
“นี่เธอ เรามาแบบนี้ไม่เด่นไปหน่อยหรอ แล้วพวกเค้าทั้งหมดเป็นผีใช่มั๊ย” ภุมมะกระซิบถาม
“พวกเค้าเป็นคนเมื่อสามพันปีก่อน เงียบๆก่อนเหอะพวกเค้าไม่มีอันตราย”
“ฮ่าๆๆ ธิดาเทพ เจ้าพาผู้ชนะการคัดเลือกมาใช่มั๊ย ดีจริงรีบนำพาท่านผู้มีบุญไปยังเส้นทางสู่ดวงดาวซะ เฟย์ยามากับพ่อสิ” พระราชชาราดิสหันหน้าไปทางซ้ายมือของตนทำท่าทางพูดคุยกับความว่างเปล่า โรสแมรี่เห็นภุมมะสงสัย ก็กำชับให้เขาอยู่เงียบๆอีก “เดี๋ยวถ้ามีเวลาข้าจะอธิบายให้นายฟัง”
คณะราชาราดิสเดินทางผ่านประชาชนมากมายที่มอบกราบเปิดทางเป็นแถว ราชาราดิสและราชินีอัมราพูดคุยกับความว่างเปล่าตลอดทางที่ผ่านมาด้วยท่าทีมีความสุข ภุมมะเลิกสนใจหยิบสมาร์ทโฟนออกมาบันทึกภาพบรรยากาศและตึกรามบ้านช่อง เซลฟี่ด้วยท่าทางประหลาดๆ โรสแมรี่มองดูด้วยสายตาเอือมระอาอีกทั้งยังถูกวานให้เป็นคนถ่ายภาพให้จนเธอทนไม่ได้ ต้องอัดภุมมะไปหลายโบก การเดินทางเป็นไปอย่างเรื่อยๆเอื่อยๆผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ทั้งคณะก็มาถึงบริเวณกลุ่มตอไม้ขนาดใหญ่รวมกันกว่าสิบตอ แต่ละตอใหญ่กว่าสิบคนโอบเลยทีเดียว ที่กลางดงตอไม้มีประตูโบราณบานใหญ่แกะสลักลวดลายสวยงาม ตั้งตระง่านมองดูประหลาดตาชอบกล ถัดไปเป็นศิลาจารึกก้อนใหญ่ที่มีภาษาต่างด้าวอ่านไม่ออก
“นี่เธอผมว่าถ้าผมไม่ไปก็คงไม่เป็นไรมั้ง”
“นายจะอยู่ที่นี่หรอ เมืองแห่งนี้ถูกสาปด้วยความปรารถนาขององค์หญิงที่อยากให้ทุกคนที่นางรัก มีความสุขตลอดไป เมื่อดวงตะวันสาดแสงวันเวลาก็จะหวนคืนกลับช่วงเวลาที่องค์หญิงมีความสุขที่สุดวนเวียนอยู่ที่วันนี้เพียงวันเดียว ฉันทนไม่ได้เลยพาองค์หญิงหนีไป”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ!! แต่ผมไม่อยู่ที่นี่หรอกนะ ผมต้องการกลับวัด ดัมมี่การ์ดอะไรนี่ผมให้ทั้งสองใบเลย อ่ะ”
“นายคิดว่าจะใช้ชีวิตปกติได้หรอ ดูนี่นะ” โรแมรี่พูดพลางเสกปืนสั้นออกมาหนึ่งกระบอกจ่อไปที่ขมับซ้ายของภุมมะ
ปัง!!
ภุมมะไม่ทันได้ตกใจก็ล้มไปนอนกางมือกางเท้า เหล่าผู้ติดตามราชาหันกลับมาดูเพียงเล็กน้อยก็หันกลับไปคุยหัวเราะกันตามปกติ ภุมมะตาค้าง ‘เกิดเหตุแบบนี้ยังไม่ตกใจกันอีกหรอวะ’
“โรสแมรี่!!”
“จ๋า ^^”
“เธอฆ่าผมทำไมแค่ผมไม่ไปเป็นเพื่อนคุณนี่นะ ใจร้ายที่สุด ยัยผู้หญิงขี้เหงา”
“นายอย่าสำออยไปหน่อยเลย รีบลุกขึ้นมา”
“จะบ้าหรอโดนยิงหัวกระจุยไปแล้วจะลุกขึ้นมาได้ไง ฮื่อๆ ผมยังไม่อยากตายง่ายๆแบบนี้ มันไม่เท่เลย”
“อ่าว ท่านผู้ชนะ เหตุใดเจ้าจึงไปนอนกองที่พื้นยังงั้นล่ะ นี่ได้เวลาเดินทางแล้วนะ” คนสนิทของราชาราดิสพูดพร้อมรีบมาพยุงภุมมะลุกขึ้น
ภุมมะเริ่มรู้สึกตัว ‘ทำไมถึงไม่รู้สึกเจ็บแล้วนะ แต่เลือดนี่ของจริงชัวว์ๆ เอ๊ะไม่มีบาดแผล เห้ยสีม่วง’
“โรสแมรี่!!!”
“จ๋า ^^”
“ผมเป็นตัวประหลาดไปแล้ว ดูสิแผลหายไปแล้ว เธอใช้เวทย์ภาพลวงตากับผมใช่มั๊ย จริงๆแล้วไม่ได้ยิงจริงๆ”
“ฉันยิงจริงๆ แต่ตัวนายน่ะเปลี่ยนไปแล้วคงไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก ทางเลือกมีแค่อีกฟากของประตูเท่านั้นแหละ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ทำใจซะพ่อหนุ่มน้อย”
“ผมเปลี่ยนไปได้ยังไงนะ”
“คำสาปที่ร้ายแรงขนาดทำให้องค์หญิงเป็นทรมานมากว่าสามพันปี ไม่มีทางสลายไปง่ายๆหรอกเพียงแต่นายดูดกลืนไปอยู่ในรูปแบบอื่นเท่านั้นล่ะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ตั้งแต่นายเอาแต่ถ่ายรูป ฉันก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มแปลกๆไป”
“เซงจิต วันมหาซวย”
คนรอบๆภุมมะเริ่มสลายหายไปที่ละคนสองคนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบ้านเรือนสิ่งก่อสร้างก็หายไปด้วย!!
“ฉันว่า สมาร์โฟนนายมีปัญหาแล้วแหละ”
“ไม่นิ ผมก็ว่ามันปกติดีอยู่ ดูสิ มีขาแปดขางอกออกมาแล้วขยับได้ด้วย” ภุมมะหน้าเหวอ
“โทรศัพท์บ้านนายดิมีขา” โรสแมรี่พูดพร้อมสังเกตไปรอบๆ บัดนี้เหลือเพียงราชาราดิส ราชินีอัมรา องครักษ์คนสนิทสองนาย ภุมมะและเธอเท่านั้น
โทรศัพท์มีขาไต่ตามแขนขึ้นไปนอนแหมะอยู่บนหัวของภุมมะ ภุมมะแงะโทรศัพท์ผีสิงออกจากหัวอย่างเบามือและโยนมันทิ้งไปหลายรอบ มันก็ยังไต่มาอยู่บนหัวเข้าอย่างเดิม
“เอา เอาเข้าไป ตามที่นายสบายใจเลยแล้วกัน ”
“เจ้าชื่อภุมมะ สินะ” จอมราชาเอ่ยพร้อมร้อยยิ้มเล็กน้อย
“อ่า ครับ ท่านราชา”
“พวกเราขอขอบใจท่านมาก ดูเหมือนว่าตัวท่านนั้นทำให้คำสาปต่างๆบิดเบือนได้ เราเองก็เพิ่งคืนสติ”
“เป็นเพราะผมหรอครับ”
“ใช่แล้ว และข้ามีเรื่องต้องรบกวนเจ้ารบกวนเจ้า ที่ซากต้นไม้ทั้งสิบสามต้น มีเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตอยู่เจ้าจงนำมันไปปลูกในที่ๆเหมาะสมในดินแดนสุขาวดีด้วยเถิด”
“ที่ๆเหมาะสมยังไงครับท่าน ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ --.”
“ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก เพราะข้าและชาวเมืองทุกคนจะไปกับเจ้าด้วย 55”
“เป็นไปได้อย่างไรเพคะราชาราดิส เพราะขนาดข้าจะเข้าไปยังต้องใช้ดัมมี่การ์ด ท่านและชาวเมืองจะเข้าไปได้อย่างไร คนทั้งเมืองรวมกันเป็นแสนคน” โรสแมรี่สงสัยเป็นที่สุด เพราะคนที่มีอาคมแกร่งกล้าเป็นอันดับสองของนครดาราระยับ ยังไม่สามารถข้ามผ่านประตูแห่งดวงดาวได้ด้วยตนเอง
“เจ้าลูต ยังพาไปได้ตั้งหมื่นคนเลย ข้าก็แค่เลียนแบบมันก็เท่านั้น”
พระราชาท่องบ่นมนต์สองสามประโยค เมล็ดพันธุ์สีสะท้อนแสงวูบวาบสิบสามก้อนก็ลอยออกมาจากซากต้นไม้ใหญ่ มารวมกันและทันใดนั้นเองก็มีถุงผ้าเล็กๆจากไหนไม่รู้มาห่อเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
ราชาราดิสส่งให้ภุมมะ เมื่อสัมผัสถูกมือถุงผ้านั้นก็หายไปอีก ภุมมะทำหน้าตกใจ ‘อะไรฟร๊ะ นี่ตูจับอะไรก็หายไปหมดหรอ เกิดมาเป็นราชามารจอมทำลายล้างรึไง’
ราชาราดิสและราชินีอัมราหัวเราะกับท่าทีของภุมมะ
“หึๆ รีบๆไปเถอะอีกฟากของประตูมีลูกสาวที่รักยิ่งของข้ารออยู่ และนี่คือของรางวัลที่เจ้าช่วยล้างคำสาปให้ข้า” ราชาราดิสหยิบดาบสีทองจากองครักษ์ส่งให้ภุมมะ ภุมมะก็รับมาแบบงงๆ ‘คราวนี้ไม่หายไปแฮะ’
“จำไว้พวกเราจะอยู่กับท่านเสมอ ขอบใจท่านมาก ท่าน ‘นักเดินทางแห่งความมืด’” ราชินีอัมราเอ่ยขึ้นกับภุมมะเป็นครั้งแรก และเมื่อจบประโยคราชาราดิส ราชินีอัมรา และองครักษ์ทั้งสองก็กลายเป็นแสงพุ่งเข้าไปยังแมงมุมทรานฟอร์มเมอร์บนหัวภุมมะ
“ฉันว่าแล้ว สมาร์ทโฟนนายต้องมีปัญหา เพราะนายไปถ่ายรูปมันไว้ตอนที่ฉันจะยิงมันแน่ๆเลย มันเลยเข้ามาสิงที่สมาร์ทโฟนได้ แล้วก็อธิบายได้ว่าเมืองทั้งเมืองที่นายถ่ายรูปไว้คงกลายเป็นข้อมูลไปหมดแล้ว เอ๊ะ!! ราชินีเรียกนายว่านักเดินทางแห่งความมืด”
“คงเพราะเดินทางไปตายล่ะมั้งอนาคตมืดมน สงสัยไม่น่ารอดชื่อไม่เป็นมงคลเลย ทำไมหรอชื่อนี้มีปัญหารึไง”
“ไพ่ใบที่สาม!! นักเดินทางแห่งความมืด”
“ไพ่สามใบอะไร บอกให้เข้าใจดิ๊”
“เอาเถอะ ไม่มีอะไรหรอก หยิบดัมมี่การ์ดมาให้ฉันแล้วรีบไปกันเถอะ”
“อ่ะนี่ ของเธอ แล้วทำยังไงต่อ” ภุมมะงงสุดๆเพราะประตูไม้สักเก่าๆบานนี้ไม่มีส่วนไหนที่คิดว่าเป็นที่สเกนการ์ดได้เลย
“กินเข้าไปเลย งั่ม” ว่าแล้วโรสแมรรี่ก็เคี้ยวการ์ดใบนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
“นี่เธอจะบ้าก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย เฮ้ย! แน่ใจนะว่ามันใช้แบบนี้จริงๆ --.” โรสแมรี่ค่อยๆกลายเป็นแสงพุ่งเข้าใส่ประตูไม้สักอย่างรวดเร็วหายวับไปเลย
ภุมมะหยิบการ์ดในมือขึ้นมาเคี้ยวแบบเซ็งๆ การผจญภัยสุดคาดเดาได้เริ่มขึ้น ณ บัดนี้
เมื่อแสงจางหายไป ความมืดมิดมาเยือนอีกครั้ง ในความมืดมิดประตูบานหนึ่งปรากฏใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังหลับใหล ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ศิลาจารึกระเบิดออกปรากฏเป็นชุดของชนชั้นสูงโบราณ เครื่องประดับที่เป็นมรกตหลายชิ้น และพัดกระดาษขนาดใหญ่หนึ่งอัน ชายหนุ่มผมยาวร่างกายเปลือยเปล่าเดินออกมาจากบานประตูที่คล้ายเป็นที่สิงสถิตย์ของเขา สวมชุดและเครื่องประดับเรียบร้อย หยิบพัดสะบัดดัง พรึบบบ!! ก่อนจะค่อยๆโบกเบาๆด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาเปล่งประกายซุกซน ค่อยๆก้าวเท้าเปิดประตูไม้สัก เดินเข้าไปแบบชิลๆอารมณ์ และอันตรธานหายไปทั้งคน ทั้งประตู!!
ความคิดเห็น