คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 "บทเรียนแรก"
บทที่ 2
-บทเรียนแรก/First lesson
เสียงของผู้คนที่โหวกเหวกโวยวาย ร้องตะโกนออกมากันอย่างน่าเวทนา เสียงกรี้ดที่เข้ามาบาดแก้วหู ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาดู
“หะ หะ อะไรกัน”สภาพตอนนี้ผมอึ้งกับสิ่งที่ผมเจออยู่ข้างหน้ามาก ภาพเหล่าผู้คนพวกนั้น จากที่ผมจำได้ครั้งสุดท้ายว่าเจอกับอสูรกายข้างหน้าผม ที่มันได้ฆ่าลุงแก่ๆคนหนึ่งไปต่อหน้าต่อหน้าผม แต่นี่มันดงนรกชัดๆ ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ระ ระ เราฝันไปใช่มั้ย”ผมพูดด้วยเสียงที่สั่นคลอนมาก เพราะที่นี่ ที่ๆผมอยู่ตรงนี้ มันช่างเหมือนกับ คุกในนรก ชัดๆ ผู้คนต่างถูกจับมาขังใส่กรงไว้ มองออกไปไกลอีกหน่อยจะเป็นสภาพเหมือนแท่นประหาร บางคนถูกจับมาถลกหนัง ควักสมอง กรีดลูกตาออกมาบ้าง ผู้คนที่โดนจับมาขังอยู่ในกรงเดียวกับผมตอนนี้มีอยู่ประมาน 5-6 คน สภาพผมตอนนี้ดูน่าสมเพชมาก จะทำอะไรก็ไม่ได้ แม้แต่จะช่วยผู้หญิงที่อยู่ข้างๆผมแต่หน้าตาเธอดูคุ้นๆนะหรือว่าคนหน้าตาแบบนั้นจะโหลมากล่ะ ผมไม่สนใจเรื่องผู้หญิงคนนั้นมากนัก ผมคิดแต่ว่าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้อย่างไรดี ใช่สิตอนนี้แค่เอาชีวิตของผมให้รอด มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไหนจะมาฝากชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งไว้อีก เป็นไปไม่ได้
“@!$@#$@%$^&%*^($%^#” ภาษาอะไรไม่รู้ที่พวกอสูรกายมันพูดกันอยู่ข้างหน้ากรงของผม ฟังก็ยังไม่รู้เรื่องพูดก็ไวอย่างกับแร็พ ฟังดูแล้วขำ แต่สภาพผมตอนนี้เป็นอะไรที่ขำกับมันไม่ออก แต่ว่าตอ...
“แอ้ด......” ทุกคนหันไปทางต้นเสียงที่เกิดขึ้นนั้น ประตูกรงค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ
“รึว่าพวกมันจะจับเอาพวกเราในกรงนี้ไปประหารแล้วล่ะ มะ มะ ไม่ ไม่” ผมบ่นรำพึงอยุ่ในใจ ชีวิตผมเมื่อมองย้อนหลังมาจวบจนถึงเวลานี้ มันช่างสั้น นี่ผมจะตายง่ายๆ อยู่ที่นี่เลยหรอ ผมเริ่มคิดหาทาง หาวิธีเพื่อหลบหนีไปจากที่นี่ แต่ความคิดนั้นก็ต้องหยุดและจบลงเมื่อ ผมเดินไปข้างนอกกรง
ท้องฟ้าสีแดงเดือด พื้นดินที่ไร้แม้แต่ต้นหญ้าแห้งๆ สภาพผู้คนที่เดินกันอย่างเป็นแถวมุ่งตรงไปที่หอคอยข้างหน้าด้วยอาการที่ดูหมดเรี่ยวแรง
“เห้ย ปล่อยข้าออกไปนะโว้ย !!!” เสียงตะโกนที่ออกมาสุดแรงจากชายหลังกรงผม หลังจากนั้นก็วิ่งมาหน้ากรงและพยายามเบียดแถวที่ประตูบานทางออกบานเล็กๆเพื่อวิ่งหนีออกไปก่อนใคร เฮ้ยเขาออกไปได้แล้ว ผมรู้สึกแปลกประหลาดใจมาก
“อัคคคคค ปะ ปะ ปล่อยข้า ดะ ดะ เดี๋ยว....” และท้ายที่สุดชายผู้นั้นก็ต้องจบชีวิตลงที่หอกของพวกอสูรกายเหล่านั้น มันช่างไวมาก จังหวะที่หอกของอสูรกายเข้าไปเสียบเข้าที่ท้องของเขา ผมมองด้วยตาเปล่าไม่ทันหรือว่าผมไม่ได้สังเกตมากนัก แต่ผมแน่ใจได้เลยว่า จังหวะเมื่อกี้ มันดูไวราวกับสายฟ้ามาก ร่างของชายผู้นั้นตายอย่างสยดสยอง ไส้ที่ไหลออกมาเพราะรัศมีคมปลายหอกที่กว้างมาก ตับ ไต แต่ที่น่าสยดสยองไปกว่านั้น คือ สภาพหน้าของอสูรกายที่ยืนอยู่ตรงหน้ากรง สัดส่วนเหมือนคนปรกติ แต่ทว่า ใบหน้าและหลังนั้น ไม่เหมือนคนหรือสิ่งมีชีวิตที่ผมเคยเห็นมาก่อนเลย
“ส่วนแก้มของใบหน้าที่เน่าผุจนมองเห็นถึงฟันกราม จมูกที่เหมือนโดนตัดออกไปจนเห็นเป็นรูโหว่บนใบหน้า หนำซ้ำบางตัวลูกตายังถลนออกมา บางตัวก็ตาโบ๋อีกตะหาก สันหลังของมันยืดออกมาเป็นกระดูกแหลมๆ กระดูกที่ดูร้าวๆ แตก จนบางทีก็เห็นถึงกระดูกดำ บางตัวสันหลังก็ไม่ครบ” ตอนนี้สภาพทุกคนต่างผวากับสถานการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้น บางคนถึงกับอ้วกออกมา อาจจะเป็นเพราะไส้ที่ไหลออกมาจากท้องของชายผู้นั้น หรือ สภาพอันสุดแสนน่าเกลียดของอสูรกายตัวนั้นล่ะ ผมสภาพผมยังผวาจากความไวของอสูรกายอยู่เลย ผมไม่มีทางหนีหรือว่าผมอาจต้องตายจริงๆ
“#!$^%*%&*#$^@)*(^” ดูท่าทางว่าเจ้าอสูรกายพวกนั้นจะเรียกให้พวกผมในกรงนี้ออกไปข้างนอกแล้วล่ะ ทกคนต่างเดินไปด้วยอาการหดหู หญิงสาวข้างๆผมก็ร้องให้ออกมา ผมเดินเข้าไปปลอบด้วยความเห็นใจ แต่มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าผู้หญิงคนนั้นจะหันมาคุยกับผมเลย ผมก็เข้าใจอารมณ์ตอนนี้นะ ผมว่าผมควรอยู่เงียบๆ ไว้ก่อนดีกว่า พอผมออกมาจากกรงที่ดูแคบๆแล้ว ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ผมอึ้งมากเพราะว่าคนที่อยู่ในคุกนรกนี้มองไปราวๆได้ประมาณไม่ต่ำกว่า 500 คนแน่ พื้นที่มันดูกว่างใหญ่มาก สภาพอากาศก็ร้อนมาก ลมก็ไม่มีพัดมาสักนิดเหงื่อผมไหลเต็มตัว เต็มเสื้อไปหมดแล้ว สภาพตอนนี้ผมดูหมดเรี่ยวแรงจากอากาศที่ร้อนรุ่มเอามากๆ ผมเริ่มเพลียและอ่อนล้าลงเรื่อยๆ สายตาผมเริ่มหยีลงร่างกายผมเริ่มอ่อนแอลงจาอาการเพลียแดด แต่ก็ใช่ว่าผมจะอ่อนแรงลงไปจนขนาดที่เดินไม่ได้ ด้วยเสียงผู้คนที่โหวกเหวกโวยวาย ตะโกนบ้างร้องออกมาบ้าง สีหน้าดูน่าสงสารเป็นสภาพที่อนาถมาก เมื่อผมได้ยินเสียงเหล่านี้มันกลับทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากสภาพที่ ล้าๆ ง่วงๆ แต่เสียงเหล่านั้นก็กลับทำให้ผมดูหดหู่ลงมากเช่นกัน
“#^&*(%^ !!!!!!!!!” ดูเหมือนเสียงตะโกนจากอสูรกายที่ไม่ใกล้ไม่ใกลจากตรงนี้มากเท่าไร เสียงตะโกนนั้นดังมาก ผู้คนทั่วทั้งบริเวณต่างหันไปมองเสียงนั่น
“#!%&$%&($^&#^&%^&%$*”
“$%^*$(&#%$^&%$^”
“#%^&*%^&($%^&*^%*%&*&*%”
พวกอสูรกายมันพูดอะไรกัน ผมไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสทองแล้ว พวก อสูรกายต่างๆเริ่มวิ่งกรูออกไปแถวประตุหน้าคุก เอาไงดีล่ะ ตอนนี้เหล่าผู้คนมากมายเริ่มวิ่งกันมั่ว นัว ไปหมดซะแล้ว
“อร้ายยย !!!!!”
“โอ้ยย !!!!” อะไรเนี่ย มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาชนผมอย่างเต็มแรง สีหน้าเธอดูกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่งอย่างใจจดใจจ่อ ขณะที่เธอชนเธอไม่มองแม้กระทั่งร่างของผมที่หล่นลงสู่พื้นดิน
“เดี๋ยว จะไปไหน” ผมรีบจับมือของเธอไว้ขณะที่เธอกำลังลุกขึ้นตะเกียกตะกายวิ่งออกไปจากจุดนี้
“ตามฉันมาเร็ว” หลังจากที่เธอพูดคำนั้นผมก็รีบวิ่งตามเธอไปให้เร็วที่สุด
“แต่ แต่ เดี๋ยวก่อน นี่พวกเรากำลังจะมุ่งหน้าไปที่แท่นประหารแล้วนะ” ผมฉุกคิดและพูดออกไปได้ทันทีที่เห็นจุดนั้น
“ตามมาเหอะน่า อย่าบ่นมาก” ผมก็ตามเธอไปสีหน้าเธอดูจริงจังมาก ขณะที่ผมกำลังวิ่งไป มีแต่ผู้คนวิ่งสวนกลับมากันทั้งนั้น แน่นอนสิ จะมีใครบ้าวิ่งไปที่แท่นประหารกันมั่งเล่า แต่ก่อนที่ผมจะได้ออกจากกรงมา ผมก็ลองสังเกตไปที่อื่น รอบๆดูว่าพอจะมีทางหนีไปได้บ้างไหม มันไม่มีเลย ผมแทบไม่เห็นช่องโหว่ของคุกนี้ เอาไงเอากัน ในเมื่อไม่มีทางหนี ผมก็จะลองเชื่อเธอดู ผมวิ่งตามเธอไปอย่างเหน็ดเหนื่อยระยะทางมันช่างไกลนัก แต่เธอก็ยังวิ่งดูเหมือนที่จะสู้สุดชีวิต ในเมื่อเธอสู้ ผมก็ต้องสู้บ้าง ผมฮึดด้วยแรงบัลดาลใจจากตัวเธอ
โอ้วนั่น สวรรค์ช่างเป็นใจ ผมเห็นอาคารที่อยู่ข้างหน้าของผม สูงได้ประมาณ 6 ชั้น แต่อาคารดูยาวมาก
“นี่นาย พวกเราจะลองเข้าไปหาอะไรที่พอใช้ประโยชน์ได้บ้างในนี้”
“นี่เธอจะฆ่าตัวตายรึไง นี่รังของพวกมันเลยนะ”
“เจ้างั่ง นายลองสังเกตดูแถวระเบียงตึกดูซะบ้าง ว่าพวกมันอยู่กันบ้างไหม”
ผมมองไปข้างบน ก็จริงอย่างที่เธอพูด บนตึกนั้นไร้วี่แววของพวกอสูรกาย สักพักเธอลุกขึ้นมาและวิ่งไปต่อ ส่วนตัวผมหรอ ทำอะไรก็ยังทำไม่ถูก ผมคิดซะว่าผมควรตามเธอไปซะดีกว่า
“จะนั่งรออะไรเล่า รีบๆตามฉันมาสิ” นั่นไงผมพูดไม่ทันขาดคำเลย ผมวิ่งตามเธอไปเรื่อยๆ จนถึงชั้น 3 ของตัวอาคาร จนถึงห้องที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคลังอาวุธ ทั้งหอก ดาบ ง้าว ทวน ธนู โล่ ปืนยาว ดินปืน อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด แต่ก็ดูรกๆอยู่บ้าง
“เห้ย นั่น นั่...”
“ชู่ววว” เหมือนว่าเธอสั่งให้ผมเงียบ และทำสัญญาณมือว่าให้ผมลองแหงนหน้าดูสิ่งต่างๆในห้องนั้นอย่างละเอียดอีกรอบ ผมหลบข้างประตูหน้าห้อง แล้วลองสังเกตดูสิ่งต่างๆภายในห้องให้ชัดเจนอีกรอบหนึ่ง อสูรกาย อสูรกายอีกแล้ว แต่คราวนี้เต็มห้องไปหมด ประมาณได้ 4 ตัว
“เราจะค่อยๆย่องไปเก็บอาวุธที่ตัวเองถนัดมาใช้หลบหนีกัน” เธอกระซิบบอกผมอย่างเบาๆ
“งั้นผมจะไปตามเธอละกัน แต่ว่าเธอจะ…” พูดไม่ทันจบ ผมโดนเธอขัดคำซะก่อน
“ชู่ว ตามมาๆ” ผมตามเธอไป ค่อยๆย่องไปเบา หลบหลังหีบบ้าง หมอบไปหลังกองอาวุธบ้างแต่ฝุ่นนี่กองเต็มพื้นไปหมดเลย ผม ผม เริ่มทนไม่ไหวแล้ว
“ฮัดดดด ชะ....” เธอเอามือมาปิดปากผมไว้ แต่เอ้ะ ทำไมมันถึงหยุดนะ หรือว่า ไม่ๆๆๆๆ เป็นไปไม่ได้เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกเอง ผมเริ่มหน้าแดง อะไรกันๆ ไม่ๆตอนนี้เราต้องคิดวิธีหนีเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อนสิ ถึงผมจะพยายามลบเรื่องนั้นออกไปแต่มันก็หยุดที่จะคิดไม่ได้ ผมเห็นเธอนั่งยอง มองอาวุธที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าใบหน้าเธอจะจดจ่อกับสิ่ง สิ่งนั้นเอามากๆ ผมเลยย่องเข้าไปดู
“Grip’s 1472 คาทานาสุดประณีตที่สุดในยุคนั้น พร้อมด้วยจิตวิญญาณของชั่งตีดาบและลวดลายเปลวเพลิงที่จะดึงเอาความพิโรธของบุคคลที่ใช้มาเผาผลาญชีพทุกดวงที่ขวางหน้า ด้วยงานจาก…” หน้าของเธอดูท่าทางจะดีใจมากเลยทีเดียวที่ได้จับดาบเล่มนั้น... แต่เดี๋ยว ดาบเล่มนี้วางอยู่ใหญ่หีบที่ใหญ่ที่สุด และวางอยู่ในหีบนั้นอย่างสวยงาม ทั้งยังมีแค่เล่มเดียวที่วางอยู่ในนั้นด้วย แต่เรื่องที่น่าสนใจมากกว่านี้คือ ดะ ดาบ ดาบเล่มนั้นมัน......
to be continue...
ความคิดเห็น