ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปี 1 : สบายๆ สไตล์ basic science
อย่างที่ได้ทราบไปแล้ว นศพ. รามาฯ ปี 1 (รวมไปถึง นศพ. ศิริราช วชิรพยาบาล พระบรมราชชนก ด้วยนะ) จะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จังหวัดนครปฐม ชีวิตที่นี่ก็เงียบสงบแบบกำลังพอดี ไม่ห่างไกลความเจริญมากนัก แต่ก็ไม่วุ่นวายเหมือนในกรุงเทพ มีความสุขสุดๆ
ในปี 1 ก็จะเรียนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน Basic Science เนื้อหาก็จะแทบไม่เกี่ยวกับหมอเลย จะเหมือนคณะทางวิทยาศาสตร์ทั่วๆ ไป ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะมหาวิทยาลัยมหิดลเขาเน้นเรื่องหัวคิดวิทยาศาสตร์มากๆ หากตั้งใจเรียนให้ดีตั้งแต่ปี 1 ก็จะเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อในระดับสูงขึ้นได้เป็นอย่างดี
วิชาที่เรียนก็เช่นชีววิทยา จะใกล้เคียงกับเนื้อหาใน ม.ปลาย แต่จะรวบรัดกว่ามากๆ และลงลึกกว่า เหมือนกับเอา ม.ปลาย 3 ปี มาให้เรียนใน 1 เทอม นอกเหนือกว่า ม.ปลาย ก็มีไม่น้อย ในเทอมแรกเราก็จะรู้จักพวกสารอาหารต่างๆ พันธุศาสตร์ สิ่งมีชีวิตต่างๆ เราก็จะท่องกันหูดับตับไหม้ ตัวพี่เองก็ไม่ค่อยถนัดวิชาชีววิทยามาตั้งแต่ ม.ปลาย แล้ว ก็พยายามกันเข้าไป เทอมหลังจะเป็นพวก development การพัฒนาของตัวอ่อน กว่ามันจะมีหัวใจ มีแขน เรียนทั้งเม่นทะเล กบ ไก่ รวมทั้งคนด้วย ระบบสืบพันธุ์ก็เรียน เราก็ท่องกันแหลกเหมือนเช่นเคย
ส่วนวิชาเคมีก็จะเรียนกัน 2 เทอม (แหงซิ) เทอมแรกจะเป็น general chemistry เคมีทั่วไป เราก็จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนนึงเรียนตั้งแต่โครงสร้างอะตอมจนมาถึงพันธะเคมี ต่างจาก ม.ปลาย พอสมควร อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็น thermodynamics ก๊าซ ของแข็ง ของเหลว ก็คล้ายๆ ม.ปลาย แต่ก็จะลงลึกกว่าเช่นกัน หลังจากนั้นพอขึ้นเทอม 2 เราก็จะเรียน organic chemistry เคมีอินทรีย์ ซึ่งเป็นพระเอกของวิชาปีหนึ่งเลย ยากมากๆ (พี่ว่านะ) เรียนพวกสารอินทรีย์ (เหมือนที่เรียนสารประกอบคาร์บอนตอน ม.ปลาย) ว่ามันทำปฏิกิริยากันยังไง มันเกิดปฏิกิริยาแบบไหนได้บ้างจะเตรียมสารตัวนี้ทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งจำเป็นต้องมีความสามารถในการจดจำเป็นพื้นฐานและเชื่อมโยงความรู้ทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ได้ ต้องใช้จินตนาการพอสมควร
วิชาต่อไปอย่าง ฟิสิกส์ ก็คงจะเป็นที่สงสัยของน้องๆ หลายๆ คนว่า เรียนหมอจะเรียนฟิสิกส์ไปทำไม พี่ก็จะขอตอบว่าน้องต้องนำไปใช้แน่ๆ อย่างน้อยก็ในระดับ concept และที่สำคัญคือมันจะฝึกให้คิดเป็นระบบให้ได้ เพราะฟิสิกส์เป็นวิชาที่วิทยาศาสตร์มากๆ สำหรับการเรียนในปี 1 วิชานี้ เนื้อหาก็จะคล้ายๆ กับ ม.ปลายมาก แต่วิธีทำความเข้าใจจะต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพราะเราจะพิสูจน์สูตรทุกสูตร ต้องเข้าใจไปถึงแก่น แคลคูลัสจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก อย่างตอนแรกๆ พี่เจออาจารย์สอนสูตร s = vt แล้วยังงงเลยครับ พอเทอม 2 เราก็จะเรียนอะไรที่มันสมัยใหม่หน่อย อย่างทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ถือไม้บรรทัดวิ่งเร็วๆ แล้วมันจะหนักขึ้น แถมสั้นลงอีกต่างหาก หรือกลศาสตร์ควอนตัม ที่เอาอนุภาคใส่ไว้ในกล่อง แล้วดันโผล่ออกมานอกกล่องได้ อะไรทำนองนี้ เราก็จะมองโลกต่างออกไปอีกนิดนึง
คณิตศาสตร์ในเทอม 1 ก็จะเรียนทั้งสถิติและแคลคูลัส วิชาสถิติที่เรียนนี่ก็จะคล้ายกับ ม.ปลาย พวกสถิติและความน่าจะเป็น แต่ก็จะมีสูตรให้จำกันเยอะมาก ถ้าไม่เข้าใจก็มีสิทธิ์ตายกลางทางเลยได้ ส่วนแคลคูลัสแรกๆ ก็จะคล้ายๆ ม.ปลาย พวกเราก็จะยังตายใจกันอยู่ พอนานๆ ไป ได้เรียนการ integrate มากๆ เข้า มันก็จะยากจนรู้สึกว่า diff ง่ายไปเลยนะน้อง T-T พอเทอมสองเราก็จะเรียนแคลคูลัสอย่างเดียวเลย พวกสมการอนุพันธ์ ซึ่งตอนนี้น้องๆ ยังไม่รู้จักหรอก เอาไว้มาเรียนแล้วค่อยสนุกไปกับมันดีกว่านะ
ภาษาอังกฤษก็มีเรียนนะครับ ที่นี่แบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 3 ส่วน ส่วนนึงคือ speaking ก็จะแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ 20 กว่าคน ไปนั่งเรียนกับอาจารย์ฝรั่ง อาจารย์ก็จะชวนคุย หาเรื่อง หาหัวข้อมาให้พวกเราได้ฝึกการพูด บางทีก็มีให้ออกไป present หรือแสดงบทบาทสมมติก็มี ส่วน reading เราก็จะเรียน grammar กันบ้าง เรียนวิธีเขียนประโยคแบบต่างๆ กัน เทคนิคในการอ่านภาษาอังกฤษให้เร็วและตรงตามจุดประสงค์ เป็นประโยชน์ต่อการอ่าน text ต่อไปในอนาคตมาก กับส่วนสุดท้ายคือ listening ก็จะมี CD มาให้เราเอาไปเปิดฟังได้ใน LAB COMPUTER ที่มีในมหาวิทยาลัย หรือจะเอาไปฟังที่บ้านก็ได้ แล้วค่อยมาสอบกันตอนปลายภาค นอกจากนี้ก็จะมี outside reading ให้อ่าน เป็น passage ภาษาอังกฤษ 40 กว่า passages ก็นั่งอ่านกันตลอดเทอม แล้วปลายเทอมก็ไปสอบกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกิจกรรมเสริมการเรียนการสอนอีกมาก ให้เข้าศูนย์การเรียนภาษา (Language Learning Center : LLC) ไปทำกิจกรรมต่างๆ บางทีก็ฟังเพลง อ่านนิยาย แล้วมาตอบคำถาม ก็อย่างที่บอกไปนะครับวิชานี้มีประโยชน์มากในอนาคต อย่างน้อยเราก็ต้องอ่าน text ล่ะ
อีกวิชาก็คือสังคม เทอมแรกเป็นมนุษยศาสตร์ เราก็จะเรียนปรัชญา ให้เข้าใจแนวคิดทางปรัชญาต่างๆ เรียนศาสนา เราก็จะรู้จักแต่ละศาสนามากขึ้นอีกหน่อย ส่วนใหญ่ที่สอนก็จะประยุกต์ให้เกี่ยวกับการแพทย์ อย่างเช่นเพื่อให้เราสามารถปฏิบัติต่อคนไข้ศาสนาต่างๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับความเชื่อของแต่ละศาสนา รวมทั้งมีศิลปวิจักษ์ art appreciate ก็จะเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะนิดหน่อย เป็นการทำให้เราสามารถเสพศิลปะได้อย่างลึกซึ้งขึ้น เทอมสองเป็นสังคมศาสตร์ ก็จะเรียนจิตวิทยา เรียนโครงสร้างสังคม ฯลฯ เป็นวิชาที่สำคัญอีกวิชานึงเพราะหน่วยกิตเยอะ และหลายคนมักไม่เห็นความสำคัญ ไม่ตั้งใจเรียน (สงสัยล่ะสิว่ามนุษยศาสตร์กับสังคมศาสตร์มันต่างกันยังไง อันนี้เขาก็สอนนะครับ ^^)
ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเป็นการเรียนแบบ lecture คือมีอาจารย์สอน พวกเราก็นั่งจดนั่งฟัง แต่การเรียนอีกแบบคือการทำ lab เราก็จะได้ทำเองหลายๆ อย่าง อย่าง lab ฟิสิกส์ในเทอม 1 เราก็จะได้คำนวณค่า g ได้เห็นการแทรกสอดของแสงกันจะๆ ปล่อยวัตถุไหลลงมาตามพื้นเอียง วัดกัมมันตรังสี ฯลฯ สนุกมาก พอเทอม 2 ก็จะมี lab เคมี มาแทน ก็เรียนไปควบคู่กับเคมีอินทรีย์เลย ได้ทำการทดลองเกียวกับสารอินทรีย์ต่างๆ ทดสอบสาร ทำปฏิกิริยา lab นี้จะได้ใส่เสื้อกาวน์เป็นครั้งแรก หลายคนก็จะตื่นเต้นกัน ส่วน lab ชีววิทยา มีให้เรียนทั้งสองเทอม บางอย่างก็เป็นการทดลองให้เราทำ เราก็จะได้เอาวงเวียนจิ้มแขนเพื่อน แล้วถามมันว่ารู้มั้ยว่าโดนจิ้มกี่จุด หรือเจาะเลือดตัวเองไปหากรุ๊ปเลือด หรือจับปลาทองมาแช่น้ำร้อนน้ำเย็น บางอย่างก็เป็น slide เป็นภาพให้เราดูของจริง อย่างตอนที่เรียนพวกการจำแนกสิ่งมีชีวิต เราก็ต้องดูภาพสิ่งมีชีวิตต่างๆ ไล่มาตั้งแต่เป็นแบคทีเรีย พารามีเซียม หนอน แมลง ปลา กบ ฯลฯ หรือตอนที่เรียน development เราก็จะได้ดูไข่เม่นทะเลในระยะต่างๆ ได้ดูโครงสร้างของมดลูก ฯลฯ ก็ใช้ความสามารถส่วนบุคคลในการเรียนนะครับ
ทั้งหมดนั่นก็เป็นการเรียนในปีหนึ่ง แต่การใช้ชีวิตในปีหนึ่งยังมีอะไรมากกว่านั้น ที่ศาลายามีหอพักสำหรับนักศึกษาให้... จะเรียกว่า 2 แบบ ก็คงได้ แบบแรกก็เป็นหอพักธรรมดา ค่าพักเทอมละพันกว่า น้ำไฟฟรี เป็นห้องขนาดไม่ใหญ่มาก อยู่กับ mate คณะอื่นๆ รวม 4 คน อยู่กันไป 1 ปี เราก็จะสนิทกับเมทมาก คุยกันทุกเรื่อง ห้องที่ว่าเล็กๆ (ตอนเห็นครั้งแรกจะรู้สึกว่าเล็กมาก) อยู่ไปนานๆ จะรู้สึกว่ามันใหญ่ขึ้นๆ บางทีลากเพื่อนฝูงมานั่งคุยกัน 7-8 คนสบายเลย กับอีกแบบก็จะเป็นอาคารชุดพักอาศัย หรือ condoฯ ค่าห้องเดือนละหมื่น น้ำไฟต่างหาก ห้องก็จะกว้างมาก มีแอร์ ถ้าเพื่อนคนไหนอยู่คอนโดก็มักจะเป็นเป้าหมายในการสิงสู่ของเพื่อนๆ ชาวหอบางคนที่บางทีก็เบื่อบรรยากาศของหอบ้างเหมือนกัน กับนอกนั้นก็คืออยู่บ้านหรืออยู่หอนอก ซึ่งก็มีอยู่บ้างตามละแวกนั้นนะครับ
อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ มีร้านอาหารมากมาย เอาแค่ใน ม. ก็มี cafet(โรงอาหารกลาง) ทั้งแบบธรรมดาและแบบติดแอร์ (canteen) โรงอาหารคณะสังคมฯ โรงอาหารวิทยาลัยนานาชาติ ร้านเจ๊อร ไหนจะร้านยิบย่อย มีเบเกอรี่ มีคอฟฟีช็อป เซเว่นอีเลฟเว่น 108shop ออกไปนอก ม. ก็มีร้านอาหารเรียงรายทั้งหน้า ม. ข้าง ม. เลือกกินกันไม่หวาดไม่ไหว นอกจากนั้นแล้วในวันศุกร์ (ตอนรุ่นของพวกพี่มีวันพุธด้วย แต่รู้สึกจะยกเลิกไปแล้วมั้ง) ก็จะมีตลาดนัดใน ม. อาหารการกินมากมาย สินค้าอุปโภคบริโภคเยอะแยะเลือกไม่หวาดไม่ไหว จนทำให้เพื่อนพี่หลายๆ คน (รวมทั้งพี่ด้วย) จบปีหนึ่งแล้วน้ำหนักขึ้นไปตามๆ กัน
ชีวิตทั่วๆ ไป วันวันหนึ่งก็ตื่นมาไปเรียนหนังสือ ตกเย็นก็จะเป็นเวลาของเรา ถ้ามีจักรยาน (ส่วนใหญ่จะมี น้องคนไหนขี่ไม่เป็นไม่ต้องกลัว เดี๋ยวมันได้ฝึกจนได้แหละ พี่ก็เพิ่งขี่เป็นที่ศาลายานี่เหมือนกัน) ก็อาจจะพากันขี่ไปเที่ยว วนรอบ ม. เล่นๆ นานๆ ที ก็ปั่นไปพุทธมณฑล ไหว้พระ ชมวิว (พุทธมณฑลสวยมาก) หรือนึกสนุกกว่านั้นก็เลยไปถนนอักษะ ถนนที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในประเทศไทย (พี่ว่าก็สวยจริงๆ แหละ) ได้อีกต่างหาก หรือไม่อยากไปไกลอยากวนอยู่ใน ม. ก็มีสถานที่ที่เหมาะสำหรับพาเพื่อนพาคนรักไปขี่จักรยานหรือซ้อนจักรยานกันได้สะดวกโยธินอย่างสวนสมุนไพรเป็นต้น นอกจากนั้นในศาลายาบางทีก็จะมี event พิเศษ จัดคอนเสิร์ตใหญ่โต เชิญนักร้องชื่อดังมาเล่นให้พวกเราดู มีงานออกร้านของเพื่อนๆ มากมาย ก็จะสนุกมาก
ถ้าอยู่ไปนานๆ เกิดเบื่อบรรยากาศศาลายา ก็สามารถบุกกรุงได้โดยสะดวก เป้าหมายแรกๆ ก็ไม่พ้นเซนทรัลปิ่นเกล้า ที่ไปมาสะดวกด้วยรถตู้นั่งจากใน ม. ไปถึงเซ็นปิ่นด้วยราคา 20 บาท 30 นาที เราก็จะสามารถดูหนังฟังเพลงร้องคาราโอเกะรวมไปถึงช็อปปิ้งได้อย่างสนุกสนาน หรือถ้าจะไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็มีรถเมล์ปรับอากาศสาย 515 นั่งต่อเดียวถึงอนุสาวรีย์เลย แล้วหลังจากนั้นก็สามารถตะลุยได้ทั่วกรุงเทพอย่างที่รู้ๆ
เรียนอยู่ในศาลายาแป๊บเดียว ก็จะจบปีหนึ่ง เราก็ต้องอำลาศาลายา (นี่ก็มีงานใหญ่โตเหมือนกันนะ) จำใจจากเพื่อนๆ คณะอื่นๆ ที่บ้างก็ต้องเรียนที่ศาลายาต่อไป หรือแยกย้ายไปเรียนที่ต่างๆ มาเรียนต่อปี 2 ซึ่งก็ต้องทรหดกว่าเดิมต่อไปนะครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น