ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    STAR WARS : Shadow Empire

    ลำดับตอนที่ #8 : บิกซ์บาริน

    • อัปเดตล่าสุด 15 ต.ค. 46


    เคิร์ธลืมตาตื่นขึ้น เหลือบเห็นนาฬิกาตรงริมผนัง ยังไม่เที่ยงคืนเลยด้วยซ้ำ เขาเพิ่งนอนมาได้แค่สองหรือสามชั่วโมงเองหรือนี่? ทั้ง ๆ ที่เมื่อหัวค่ำเขาก็พยายามข่มตานอนอย่างยากลำบากหลังจากที่เขาใช้เวลาหมดไปกับการตามหาทรูปเปอร์ปริศนาคนนั้นตลอดทั้งวัน



        ออกไปดูเสียตอนดึก ๆ บ้างก็คงจะดี



        คิดได้เช่นนั้นแล้วเคิร์ธจึงปัดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง บิดแขนครั้งหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่หางออกไปแค่เพียงเจ็ดหรือแปดเก้า มือเอื้อมไปแปะตัวจับสัญญาณจ่ายเครดิตเดกซาเรียนเป็นค่าใช้ห้องน้ำ (ที่พักหรู+แพง) พลันประตูห้องน้ำเปิดออก เขาเดินเข้าไป แล้วประตูจึงปิดลง



        ไม่นานหลังจากนั้นหยดน้ำราคาแพงของนาร์ ชาดด้า ก็ไหลพรั่งพรูเป็นสายมาต้องตัวเขา ความงัวเงียเมื่อครู่นี้แทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง เคิร์ธรับหยดน้ำเข้ามาเต็มหน้า แต่ยังไม่ทันจะได้ชื่นใจกับความเย็นชื่นก็หมดเวลาการใช้น้ำเสียก่อน ไม่ทันไรหลังจากนั้นก็มีเสียงฟู่ของเครื่องทำแห้งที่เป่าตัวของเคิร์ธจนปราศจากหยดน้ำ



        แม้แต่จะอาบน้ำก็ยังต้องใช้เงิน!



        นั่นก็เป็นนโยบายอีกอย่างหนึ่งของจักรวรรดิเงา ที่บอกว่าเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่นับวันจะสูญหายไปจากจักรวาลมากขึ้นทุกที น้ำก็โดนหางเลขนี้ไปด้วย จักรวรรดิเงาประกาศว่าการใช้น้ำต้อง “ใช้เท่าที่จำเป็น” เท่านั้น ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นว่า จะใช้น้ำแต่ละครั้งก็ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเป็นอัตราพิเศษ และใช้เป็นเวลาจำกัดเท่าที่จำเป็น



        จักรวรรดิเงาทำถูกแล้วนี่? จะสงสัยอะไรมากมายทำไม?



        เคิร์ธเองก็พยายามคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเขาเห็นภาพการถ่ายทอดงานเลี้ยงฉลองของผู้บริหารระดับสูงบนสถานีอวกาศรูปดาวเคราะห์ที่สาดน้ำกันใส่อย่างสนุกสนานเมื่อต้นปีจักรวรรดิสากลที่แล้วก็ทำให้เขาสงสัยว่า แล้วจะออกกฎอนุรักษ์ทรัพยากรมาทำซากอะไร?



        เสียเวลามากเกินความจำเป็นไปหน่อยแล้ว เคิร์ธหยิบเครื่องแต่งกายขึ้นมาสวม เริ่มด้วยเสื้อและกางเกง ตามด้วยชุดคลุมใน เขาชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบชุดคลุมนอกออกมา ช่วงนี้ก็ใกล้ช่วงอากาศหนาวแล้ว คิดได้เช่นนั้นจึงหยิบชุดคลุมนอกออกมาสวม



        อึดใจต่อมาเคิร์ธก็อยู่ในสภาพเกือบพร้อม ขาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาหันไปมองที่หัวเตียง ดาบแสงยังคงวางอยู่ เคิร์ธยกมือขึ้น พลันดาบแสงก็ลอยข้ามห้องมาอยู่ในมือของเขาทันที



        หลังจากใช้เวลาพินิจดาบแสงที่เขาใช้เวลาตลอดปิดภาคเรียนเมื่อเกือบสิบปีก่อนทำขึ้นมาได้อึดใจหนึ่ง เคิร์ธก็เหน็บดาบแสงนั้นไว้ที่เข็มขัด ใต้ชุดคลุมนอก



        เคิร์ธเดินไปที่ประตูห้อง ปิดไฟ ยืนผ่านตัวจับที่หน้าประตูพลันประตูก็เปิดออก ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าออกจากห้องก็ชะงักเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก เขาหันกลับไปที่ห้องน้ำ และชี้มือไปที่สวิตซ์ไฟ



        พลันไฟห้องน้ำดับวูบลง



        เคิร์ธหัวเราะหึ แล้วเดินออกจากห้องพักนั้นไป โดยมีเสียงฟู่ของประตูที่กำลังปิดดังตามไปเบื้องหลัง



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

        อาลฟานในยามค่ำคืนเช่นนี้นั้นพลุกพล่านยิ่งกว่าเวลากลางวันเสียอีก ทุกสิ่งที่เคยเห็นในยามกลางวันก็จะยังคงได้เห็นในยามค่ำคืนนี้เช่นกัน หากแต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในยามค่ำคืนนี้นั้นต่างหากที่ดึงดูดความสนใจไปจากสิ่งที่เคยเห็นในเวลากลางวันไปเสียสิ้น



        เคิร์ธแหวกขอทางคนที่เดินเบียดเสียดพลุกพล่านอยู่ตามถนนเพื่ออย่างน้อยก็ขอให้พ้นทางหลักนี้ได้เสียก่อน ตั้งแต่สปีดเดอร์ที่ลอยฟ้าได้อย่างอิสระถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อนมนานกาเลมาแล้ว พื้นถนนก็มีไว้ให้คนเดินเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีคนมหาศาลดั่งฝูงแมลงเดินกันขวักไขว่ยั้วเยี้ยเยี่ยงนี้



        ในที่สุดก็หลุดถนนหลักมาได้เสียที เคิร์ธถึงกับต้องคอยตรวจเช็คสิ่งของติดตัวว่ายังอยู่ครบหรือไม่



        คนที่นาร์ ชาดด้า นั้นยากจะไว้ใจได้ อาจจะยกเว้นก็เพียงแวตตาซาห์น    



        เมื่อแน่ใจแล้วว่าสิ่งของยังอยู่กับตัวครบถ้วนสมบูรณ์ เคิร์ธก็เดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย ผ่านวงพนัน วงเหล้า เศษมนุษย์ที่ล้มเผละอยู่กับพื้นเหม็นหึ่งด้วยกลิ่นเมรัย หรือแม้กระทั่งซ่องโสเภณี จนมาถึงถนนอีกเส้นหนึ่งที่มีคนพลุกพล่านไม่แพ้ถนนหลักเส้นเมื่อครู่



        มองทางซ้ายจะเห็นร้านเหล้าบิกซ์บารินและท่าจอดยานแคสเปอร์อยู่ลิบ ๆ



        มองทางขวาจะเห็นมุนถนนที่ทรูปเปอร์ปริศนาคนนั้นหายตัวไป



        ตอนนี้เคิร์ธอยากได้ใครสักคนไปด้วยกันกับเขา ก่อนที่เขาจะเป็นบ้าไปเสียก่อน



        จึงเดินไปยังท่าจอดยานแคสเปอร์



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

        “จะกลับแล้วหรือขอรับ” ดรอยด์คุมท่าร้องทักเคิร์ธ มันจำเคิร์ธได้ แน่นอน มันไม่เคยลืม



        “ยังหรอก” เคิร์ธตอบ “แค่มาเอาของนิดหน่อย”



        ดรอยด์คุมท่าสงบนิ่งแต่โดยดีในขณะที่เคิร์ธเดินผ่านมันไป ยานไอออนสามของเคิร์ธอยู่ห่างไปไม่ถึงสิบเมตร มันจอดสงบนิ่ง เคิร์ธตะโกนร้องเรียก “อาร์ทู!”



        พลันมีเสียงตอบรับดัง ปิ๊บ



        “เป็นยังไงบ้าง อาร์ทู” เขาเห็น R2F4 แล้วตอนนี้ มันกำลังโยกตัวขึ้นลงอย่างดีใจ “อยู่คนเดียวเบื่อหรือเปล่า?”



        R2F4 ส่งเสียงตอบรับ



        “งั้นหรือ” เคิร์ธยิ้ม “งั้นไปเดินเล่นกันหน่อยไหม? เดินคนเดียวคงเหงามากแน่ ๆ”



        มีเสียงดังอย่างดีใจ



        “โอเค งั้นก็ลงมาสิ อาร์ทู”



        มีเสียงปลดสลักดังกึก แล้วตัวของ R2F4 ก็ค่อย ๆ ลดลงจนหายไปจากหลังคายาน แล้วมาปรากฏอยู่ด้านล่าง แขนไฮโดรลิกค่อย ๆ วางมันลงบนพื้นอย่าง(เกือบจะ)นุ่มนวล เมื่อเท้า(ล้อ)ของ R2F4 แตะพื้นแล้ว มันก็รีบวิ่ง(เลื่อน)มาหาเคิร์ธทันที



        “จ้า จ้า เอ้า ไปกัน”



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

        การมีใครสักคนเดินเคียงข้างเช่นนี้ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง R2F4 เป็นเหมือนตาของเคิร์ธอีกคู่หนึ่ง ซึ่งคอยบอกเขาตลอดเวลาว่ามันเห็นอะไรบ้าง



        ตอนนี้เคิร์ธพอจะมองเห็นร้านเหล้าบิกซ์บารินอยู่ในสายตาแล้ว บางทีแวตตาซาห์นอาจจะอยู่ที่นั่น เคิร์ธบอก R2F4 ว่า “มาทางนี้” แล้วเดินไปยังบิกซ์บาริน โดยมี R2F4 เดิน(?)ตามมาอย่างแทบไม่ทิ้งระยะห่างเลยแม้แต่น้อย



        ประตูกระจกอัตโนมัติของบิกซ์บารินเปิดขึ้น R2F4 ทำท่าจะเข้าไปก่อน แต่ยามชาวกามอร์เรียนร้องทักขึ้นทันทีว่า “ห้ามดรอยด์เข้า!”



        ดรอยด์ตัวน้อยส่งเสียงจ๋อย



        “ไม่เป็นไรหรอก อาร์ทู” เคิร์ธพูด เขาฝืนยิ้ม “เดี๋ยวพักเดียวฉันก็ออกมาแล้ว” แล้วหันไปคุยกับยามว่า “ให้เจ้าหนูนี่ยืนรออยู่ข้างหน้าได้ไหม?”



        “ห้ามดรอยด์เข้า!”



        “ไม่ได้เข้า แค่ให้เขายืนอยู่ข้างหน้าเฉย ๆ...”



        “ห้ามดรอยด์เข้า!”



        “บอกว่าไม่ได้เข้า”



        “ห้ามดรอยด์เข้า!”



        เคิร์ธส่ายหน้าด้วยความระอา แล้วยกมือขึ้นโบก ยามนั้นทำหน้ามึนงงไปวูบหนึ่ง ก่อนที่จะพูดอย่างเป็นมิตรว่า “เชิญครับ~”



        เคิร์ธยิ้ม แล้วหันไปบอก R2F4 ว่า “เข้ามาเถอะ อาร์ทู”



        R2F4 ทำเสียงงง ๆ แล้วจึงผ่านประตูมา ยามกามอร์เรียนคนนั้นยิ้มให้มัน



        R2F4 ส่งเสียงร้องถามเคิร์ธ



        เคิร์ธหันกลับมา แล้วตอบว่า “ก็นิดหน่อยน่ะ อาร์ทู ไม่งั้นก็คงต้องยืนอยู่ตรงนั้นยันเช้าแหละ”



        ที่เคิร์ธเพิ่งทำไปนั้นคือการใช้ ‘พลัง’ กับคนอื่น โดยปกติแล้ว เจไดที่ได้รับการฝึกฝนจะสามารถใช้พลังนี้ควบคุมจิตใจคนอื่นได้ ถึงแม้จะไม่สามารถใช้กับผู้ที่มีจิตแข็งได้ก็ตาม



        ‘พลัง’ คือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว คอยเชื่อมโยงทุกสิ่ง คอยจับตาดูความเป็นไปของทุกอย่าง ผู้ที่สามารถเข้าถึง ‘พลัง’ เหล่านี้ได้ จะสามารถร้องขอสิ่งต่าง ๆ จากพลัง มันแตกต่างจากการควบคุม ที่ต้องทำตัวเป็นเจ้านายของ ‘พลัง’ หากจะให้เคิร์ธพูดแล้ว มันคล้ายกับการผูกมิตรกับ ‘พลัง’ มากกว่า



        ที่จริงเขาไม่ควรใช้มันกับคนอื่นพร่ำเพรื่อ



        เขาเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ กะว่าจะถามดรอยด์เสิร์ฟดูว่ามีชาวนิกโต้อยู่ในร้านตอนนี้หรือไม่ แต่แทนที่เขาจะได้พบกับดรอยด์เสิร์ฟ กลับกลายเป็นบาร์เทนเดอร์ชาวทวิเล็กไปแทน



        “มีอะไรให้รับใช้รึครับ” บาร์เทนเดอร์คนนั้นพูดเป็นภาษาถิ่น



        เคิร์ธนิ่งไปพักหนึ่ง เขากำลังเรียกความรู้เกี่ยวกับภาษานั้นออกมา เมื่อคิดว่า พอใช้ได้แล้ว ก็ถามไปว่า “มีนิดหน่อย คือ ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้ในร้านมีชาวนิกโต้อยู่บ้างไหม?”



        “ชาวนิกโต้...” ทวิเล็กคนนั้นยกมือขึ้นจับปลายคาง “เห็นเข้ามาตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่านะครับ ถ้ายังไงลองขึ้นไปดูชั้นสองดีกว่า”



        “ดี ขอบคุณมาก” เคิร์ธยิ้มตอบ แล้วหันหลังเดินไปเรียก R2F4



        “จะไม่สั่งอะไรรึครับ?” ทวิเล็กคนนั้นตะโกนไล่หลังมา



        “ไว้ก่อน” เคิร์ธตอบไล่หลังไป แล้วจึงเดินไปหา R2F4 พูดว่า “ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”



        เทคโนโลยีจะก้าวไกลไปขนาดไหน บันไดก็ยังคงเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีเสน่ห์แปลกประหลาด แต่ละก้าวที่ก้าวขึ้นไป ภาพของชั้นบนที่ค่อย ๆ เผยให้เห็นทีละน้อย และยิ่งมากขึ้นเมื่อก้าวไปใกล้ขึ้น แทนที่จะเป็นแอร์ลิฟท์ที่สะดวกสบาย แต่ในร้านเหล้าเช่นนี้ แอร์ลิฟท์ไม่ได้ช่วยให้การเดินไปชั้นสองรวดเร็วขึ้นเท่าไหร่เลย เพราะฉะนั้นบันไดจึงเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง



        เคิร์ธเดินขึ้นบันไดไปอย่างสบาย ๆ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่มีปัญหากับ R2F4 แน่นอน



        “ขึ้นไหวหรือเปล่า?” เคิร์ธร้องถามเมื่อเห็น R2F4 พยายามยกขาขึ้นบันไดทีละข้าง หากแต่ขั้นบันไดสูงเหลือเกิน มันไม่ได้ออกแบบไว้ให้ดรอยด์ใช้ – แน่นอนอยู่แล้ว ปกติที่นี่ไม่ให้ดรอยด์เข้า



        “งั้น... รออยู่ข้างล่างก่อนก็แล้วกัน” เคิร์ธพูด แล้วจึงเดินขึ้นไปชั้นบน



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

        ร้านเหล้าบิกซ์บารินแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นแรกนั้นเมื่อเข้ามาจะเห็นเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ตรงหน้าสามารถตรงเข้าไปสั่งเครื่องดื่มได้ทันที หรือหากไม่ใจร้อนขนาดนั้น ทางซ้ายและขวาก็มีที่นั่งให้ได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงอยู่เต็ม มีทั้งที่นั่งแบบโต๊ะตั้งกับแบบติดผนังให้เลือกนั่งได้ตามสะดวก หรือใครอยากใกล้ชิดกับบาร์เทนเดอร์ก็สามารถนั่งที่เคาน์เตอร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าบริการเพิ่มแต่อย่างใด



        ด้านหลังเคาน์เตอร์จะเป็นเวทีเล็ก ๆ สำหรับวงดนตรีขนาดไม่ใหญ่มากที่จะวนเวียนมาร้องเพลงสารพัดแนวตามแต่โอกาส ครั้งนู้นที่เคิร์ธมาที่นี่วงไวเก้กำลังเปิดการแสดงอยู่ด้วยสไตล์เพลงแบบหนักหน่วงกระแทกกระทั้นที่แทบจะทำให้เหล้าในถ้วยกระฉอกออกมาได้เลยทีเดียว ข้าง ๆ เวทีทั้งสองข้างก็จะเป็นบันไดสำหรับขึ้นไปชั้นสอง บนชั้นสองนั้นจะเป็นที่นั่งที่ค่อนข้างดีกว่าชั้นล่างเล็กน้อย คนที่จะสั่งอะไรขึ้นมาบนนี้จะเสียเงินแพงกว่าปกติเล็กน้อย คนที่จะอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่จึงมักเป็นคนที่มีเงินสักหน่อย เพราะฉะนั้นบรรยากาศด้านบนและด้านล่างนี้จึงแตกต่างกันอย่าง(เกือบจะ)สิ้นเชิง



        เคิร์ธกำลังเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ปกติเขาไม่ค่อยได้ขึ้นมาชั้นนี้นักนอกจากจะต้องการความเป็นส่วนตัว หรือบางทีเขาก็ไม่อยากขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่มีเหตุจำเป็นให้ต้องขึ้นมาบนนี้ ตัวอย่างชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน



        ที่เขาและแวตตาซาห์นถูกฝูงนักล่าค่าหัวโจมตี



        เคิร์ธไม่อยากนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นอีก สิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้คือ เดินขึ้นไปให้ถึงชั้นสอง แล้วมองหาดูว่าแวตตาซาห์นอยู่ที่นี่หรือเปล่า นั่นสิที่เขาควรทำ



        เท้าขวาของเคิร์ธแตะพื้นพรมหนานุ่ม มันแตกต่างจากพื้นเย็นเรียบที่บันไดอย่างสิ้นเชิง ราวกับจะแบ่งแยกโลกชั้นสองกับโลกชั้นหนึ่งออกจากกัน มองซ้ายมองขวา สังเกตุเห็นว่าเครื่องตกแต่งบางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างมีรอยเสียหาย คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานเป็นแน่แท้



        เคิร์ธเดินไปอีกก้าว กลิ่นหอมหวานของเครื่องดื่มชั้นเลิศลอยมาแตะจมูก มันหอมหวานจนชวนอาเจียน เคิร์ธเบนหน้าหนีไปทางอื่น หันหลังให้กับพวกทวิเล็กเจ้าเนื้อสี่หรือห้าตนที่ดื่มเครื่องดื่มหอมหวานนั้นอย่างเอร็ดอร่อย อีกมือหนึ่งก็ถือยาสูบที่จุดไฟทิ้งไว้ ในขณะใดที่ปากไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มอยู่ ก็จะพูดไม่ยอมหยุด บ้างก็เป็นประเด็นเกี่ยวกับคำร้องเรียนของผู้คน บ้างก็เป็นเรื่องกลวิธีฉ้อฉลให้แยบคาย ภาพและเสียงนั้นทำให้เคิร์ธคิดเอาเองว่าพวกนี้คงเป็นเจ้าหน้าที่บริหารบ้านเมืองที่คงจะโกงกินงบประมาณที่จักรวรรดิเงาไม่ค่อยจะให้มาจากดาวหลายดวงแล้ว



        เคิร์ธไม่สนใจ เขาสนใจสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนหน้านี้มากกว่า ร่างคุ้นตากำลังนั่งหันหลังให้พลางง่วนอยู่กับการคีย์ข้อมูลลงซอฟเทอร์รุ่นใหม่ล่าสุด ทางซ้ายมีเครื่องดื่มที่หมดไปแล้วครึ่งหนึ่งตั้งอยู่ ในขณะที่ข้าง ๆ เครื่องดื่มนั้นก็มีเครื่องติดต่อรุ่นบลูโฮโลแกรม มองเห็นชัดเจนเป็นร่างของชาวนิกโต้ที่สร้างด้วยแสงสีฟ้ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และกำลังใช้งานซอฟเทอร์อยู่เหมือนกัน ท่าทางทั้งคู่คงกำลังคุยกันอยู่



        เคิร์ธยิ้ม เขารู้ว่าผู้ที่กำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่นี่เป็นใครจึงเดินเข้าไปใกล้ ท่าทางว่าเขาจะยังไม่รู้ตัวว่าเคิร์ธยืนอยู่ตรงนี้ อาจารย์เจไดจึงตบมือลงบนบ่าของเจ้าของซอฟเทอร์คนนั้นเบา ๆ



        เขามีทีท่าสะดุ้ง แล้วจึงหันกลับมาด้วยสีหน้ากึ่ง ๆ จะไม่พอใจ โดยปกติ ใบหน้าของชาวนิกโต้ก็ดูน่ากลัวราวกับโกรธอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ยิ่งเขาทำสีหน้าไม่พอใจด้วยเช่นนี้ ทำให้น่ากลัวยิ่งขึ้น หากเคิร์ธไม่รู้จักคนคนนี้ดีเขาคงตกใจถอยฉาก ต้องขอโทษขอโพยกันยกใหญ่แล้ว



        แต่เมื่อชาวนิกโต้คนนี้เห็นหน้าเคิร์ธ ใบหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปากนั้นก็พูดว่า “ว่าไง เคิร์ธ ยังไม่ไปไหนอีกเรอะ?”



        เคิร์ธยิ้ม แล้วตอบไปว่า “ก็ว่าจะไปเหมือนกันแหละ แต่มันคาใจเรื่องเมื่อวานเหลือเกิน”



        แวตตาซาห์นเกือบจะหุบยิ้ม “ฉันก็คาใจเหมือนกัน ก็เลยมานั่งคุยกับแอคคาลาห์นอยู่นี่ไง เอ้อ แอคคาลาห์น คนนี้ไงที่ฉันพูดถึง เคิร์ธ คาธาร์น อาจารย์เจได ตอนนี้อยู่ระหว่างทำภารกิจ แล้วก็ เคิร์ธ นายยังไม่รู้จักแอคคาลาห์นสินะ หมอนี่เป็นเครือข่ายสายข่าวของฉันที่เมรานุส”



        ร่างโฮโลแกรมสีฟ้าที่สั่นไหววูบตามจังหวะของช่วงสัญญาณนั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยิ้มให้เคิร์ธ แล้วพูดว่า \"ยินดีที่ได้รู้จัก!”



        “เช่นกัน” เคิร์ธตอบ “นี่ฉันมารบกวนอะไรหรือเปล่า?”



        “ไม่นี่ เรากำลังพูดถึงนายอยู่นั่นแหละ” แวตตาซาห์นยิ้ม หากแต่แฝงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเราสงสัยกันเหลือเกินว่าทรูปเปอร์ที่นายเห็นนั่นมันคืออะไรกันแน่”



        “ใช่ ใช่” แอคคาลาห์นพูดตาม “เท่าที่ฉันรู้ จักรวรรดิเงาไม่เคยสร้างกองทัพทรูปเปอร์ที่ใช้ดาบเป็นอาวุธ เท่าที่รู้ ก็มีสตอร์มทรูปเปอร์สำหรับปฏิบัติภารกิจทั่วไป แซนด์ทรูปเปอร์สำหรับปฏิบัติภารกิจบนพื้นที่ทะเลทราย สโนว์ทรูปเปอร์สำหรับปฏิบัติภารกิจบนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะ ชาโดว์ทรูปเปอร์สำหรับปฏิบัติภารกิจที่ต้องปกปิดเป็นความลับ ไอ้โน่นทรูปเปอร์ ไอ้นี่ทรูปเปอร์ สารพัดจะสาธยาย ทั้งหมดล้วนใช้ปืนแสงเป็นอาวุธทั้งนั้น ไม่เคยได้ยินว่ามีทรูปเปอร์กองไหนที่ใช้ดาบแสงเป็นอาวุธเลย เพราะงั้นเราเลยคิดว่า”



        “คิดว่ามันอาจจะเป็นกองกำลังก่อการร้ายที่จงใจแอบแฝงในสภาพนั้นเพื่อให้คนอื่นตายใจ” แวตตาซาห์นชิงพูด “แต่...เอ้อ...นั่นก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามันคืออะไร ดีไม่ดีอาจจะเป็นกองกำลังลับ ๆ ของจักรวรรดิเงาก็ได้ ใครจะไปรู้”



        “อืม” เคิร์ธตอบรับ เรื่องนี้เขาก็สนใจเหมือนกัน แต่ที่สำคัญกว่าคือออร์พ เขาแทบจะลืมภารกิจนี้ไปแล้วตั้งแต่การปะทะเมื่อคืนก่อน “เรื่องที่ฉันฝากตามเป็นไงมั่ง?”



        “หา? เรื่องที่ฝากตาม?” แวตตาซาห์นทำหน้าครุ่นคิด อึดใจต่อมาเขาก็ดีดนิ้วดังเปาะ “อ้อ ... เรื่องพาดาวันใจแตกสินะ ฉันฝากเครือข่ายติดตามให้แล้ว แป๊บนึง”



        แวตตาซาห์นหันกลับไปคุยกับแอคคาลาห์น “ไว้ก่อนนะ ขอจัดการเรื่องทางนี้แป๊บนึง”



        แอคคาลาห์นยิ้มพลางชี้นิ้วมาทางแวตตาซาห์น ก่อนที่สัญญาณภาพจะดับไป พริบตาต่อมา แวตตาซาห์นก็กดปุ่มต่าง ๆ บนซอฟเทอร์อีกนิดหนึ่ง พลันภาพสีฟ้าที่สั่นไหวก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แอคคาลาห์น แต่กลับเป็นเด็กชาวสนิฟเวี่ยนตัวเล็ก ๆ หน้าตาเหมือนหมูป่าคนหนึ่ง ภาพที่เห็นสั่นไหวอย่างรุนแรง ทำให้เข้าใจได้ว่าเจ้าของภาพคงจะกำลังวิ่งอยู่ และคงจะถือซอฟเทอร์ขนาดพกพาอยู่บนมือ ทำให้เห็นภาพไม่เต็มตัว หากแต่ชัดเจนเกินพอ



        “ไปถึงไหนแล้ว นูก้า” แวตตาซาห์นถาม



        “เรื่องพาดาวันใจแตกน่ะเหรอครับ?” นูก้าตอบ เสียงของเขาแปร่งเล็กน้อย “ที่แน่ ๆ ก็คือ ไม่มีข่าวคราวอะไรเพิ่มขึ้นกว่าเดิมทั้งนั้นแหละครับ”



        “ทั้งเรื่องคนชุดดำกับเด็กคนนั้นด้วยน่ะเหรอ?”



        “ครับผม ไม่มีอะไรเพิ่มเติมครับ”



        “แอร์แท็กซี่คันนั้นล่ะ?” เคิร์ธรีบถาม



        “ผลระบุออกมาว่าเป็นการทำลายด้วยดาบแสงที่มีช่วงคลื่นเป็นสีแดงครับ”



        เคิร์ธนิ่งไป



        “สีแดงรึ?” แวตตาซาห์นถามแทน



        “ครับผม” นูก้าตอบ



        “ดี ขอบคุณมาก แล้วนั่นจะรีบไปไหนรึ?”



        “หนีสิครับ มีทรูปเปอร์พยายามไล่จับผม แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ก็คงเหมือนทุกทีนั่นแหละ และที่สำคัญ-”



        มีเสียงแชะ เสียงหึ่ง และเสียงดาบแสงฟันถูกสิ่งของ ทั้งเคิร์ธและแวตตาซาห์นพอจะมองเห็นเส้นสีขาวยาววาบเป็นทาง ก่อนที่สัญญาณภาพจะหายไป



        ทั้งเคิร์ธและแวตตาซาห์นนิ่งสนิท



        “เมื่อกี้...นายได้ยินมั้ย?” เคิร์ธถาม



        “ได้ยิน... เสียงดาบแสง”



        “ไหนจะภาพนั่น...”



        “ไม่ผิดแน่... ดาบแสง”



        “เมื่อกี้เจ้าหนูบอกว่าถูกทรูปเปอร์ไล่ตาม”



        “ทรูปเปอร์ใช้ดาบแสงรึ...”



        “จะเกี่ยวอะไรกับการที่แอร์แท็กซี่ถูกทำลายด้วยดาบแสงสีแดงหรือเปล่า?”



        “ไม่รู้สิ แต่ฟังนะ เคิร์ธ ตั้งแต่ผ่านยุคปฏิรูปเจไดมา ปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์อนุญาตให้เหล่าอัศวินใช้ดาบแสงสีอะไรก็ได้ ตามใจชอบ ยกเว้นเพียงสีเดียว”



        “สีแดงสินะ” เคิร์ธพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วนั่งลงข้าง ๆ แวตตาซาห์น



        “ใช่... มันเป็นสัญลักษณ์ของซิธ”



        “ซิธ...” เคิร์ธขมวดคิ้ว “มันควรจะสูญสิ้นไปตั้งแต่ยุคปฏิรูปแล้วนี่”



        “ใช่สิ...” แวตตาซาห์นทำหน้าย่น “แต่นี่...นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว เคิร์ธ เหล่าทรูปเปอร์ใช้ดาบแสง และการปรากฏตัวของผู้ที่ใช้ดาบแสงสีแดง ฉันชักมีลางสังหรณ์ไม่ดี เคิร์ธ ราวกับว่าซิธเริ่มเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การปฏิรูปเริ่มขึ้น”



        “ถ้านี่เป็นเรื่องจริง มันก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหวครั้งแรกหรอก แวตตาซาห์น” เคิร์ธประสานมือกันไว้ใต้จมูก “มันต้องได้รับการวางแผนมาอย่างดี ... โดยคนที่มีอำนาจมากขนาดที่พวกเราคิดไม่ถึง”



        ในพริบตานั้นเคิร์ธหวังเหลือเกินว่าสิ่งที่เขาและแวตตาซาห์นคิดจะไม่ใช่ความจริง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×