ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : อัศวินแห่งคอราซานส์
หลังจากที่หลงทางมาเป็นระยะทางไกลโข R2D2 ก็คงจะเริ่มเห็นใจลิวมัสและลงความเห็นว่าเขาต้องการระบบควบคุมเส้นทางการบินอัตโนมัติจริง ๆ จึงยอมเปิดระบบนั้นให้ (โป๊ะปิปิ๊ป -“-) แล้วยานไอออนสามที่ลิวมัสบังคับ(ก็ไม่เชิงบังคับหรอก)ก็มุ่งหน้าตรงไปยังคอราซานส์
    “กางม่านกันความร้อนให้หน่อยสิ R2” ลิวมัสพูด
    R2D2 ส่งเสียงตอบกลับมาเป็นเชิงรำคาญ แต่ก็จำต้องเปิดม่านกันความร้อนให้ (ลองไม่เปิดสิ ไหม้กันทั้งคู่แน่ ๆ) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มันก็ส่งเสียงตอบให้ลิวมัสรู้
    “ขอบคุณ” ลิวมัสพูด แล้วบังคับยานเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยอากาศเสียของคอราซานส์
    ตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐเรื่อยมาจนถึงยุคจักรวรรดิรุ่งเรืองก่อนจะถูกโค่นล้มครั้งแรก คอราซานส์เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวาลมาเป็นระยะเวลานานนับพันปี เป็นศูนย์กลางทางการปกครอง วัฒนธรรม ความเชื่อ ความบันเทิง แทบจะทุกสิ่งทุกอย่างเลยก็ว่าได้ แม้แต่วิหารเจไดก็ตั้งอยู่บนคอราซานส์แห่งนี้ด้วย
    แต่ในช่วงหลังมานี้ คอราซานส์เข้าสู่ยุคเสื่อมโทรม ตั้งแต่โรงงานแห่งหนึ่งในเขตอุตสาหกรรมของคอราซานส์เกิดเหตุระเบิดขึ้นเป็นเหตุให้มีแก๊สพิษฟุ้งกระจายไปทั่ว จักรวรรดิเองก็ได้ลงมาควบคุมมลพิษนี้อยู่พักหนึ่ง แต่ในระยะต่อมาโครงการนี้ก็ล้มหายตายจากไป ไม่มีคนเหลียวแล ทำให้ชาวคอราซานส์ที่พอจะมีฐานะต่างย้ายถิ่นฐานมาที่เมรานุสที่อยู่ใกล้ ๆ กันเสียหมด เหลือเพียงแต่พวกที่ไม่มีฐานะดีพอเท่านั้น ทำให้ในปัจจุบันคอราซานส์กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมแห่งหนึ่งในจักรวาล
    ก็น่าสงสัยเหมือนกันว่าออร์พมันจะมาทำอะไรที่นี่
    ลิวมัสเข้ามาใกล้จนมองเห็นเขตที่อยู่อาศัยได้อย่างชัดเจนแล้ว เมื่อเขาบังคับยานลดระดับลงไปข้างล่างเขาก็มองเห็นผู้คนแต่งตัวซอมซ่อกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ตามยานไอออนสามของเขามา
    นี่ถ้าไม่หาที่ซ่อนยานให้ดี เผลอ ๆ จะไม่มียานกลับ
    “ยานลำนี้มีระบบพรางตามั้ย? R2” ลิวมัสถามขึ้น ไม่ใช่ยานไอออนสามทุกลำที่มีระบบพรางตาซึ่งเพิ่งคิดค้นได้ไม่นานมานี้ เฉพาะคนที่โชคดีจริง ๆ เท่านั้นจึงจะได้รับยานที่ติดตั้งระบบพรางตาแล้ว
    R2D2 ส่งเสียงตอบมีความหมายว่า ‘ไม่มี(ซวยไปนะไอ้หนู กิ๊บกาดู๊~~)’
    ลิวมัสก้มหน้าซบคันบังคับ พลางรำพึง “ให้ตายสิ”
    เสียงอิเล็กทรอนิกส์ของ R2D2 ดังลั่นยานทำให้ลิวมัสเงยหน้าขึ้น (“ระวัง!! ไอ้หนู เงยหน้าขึ้นมองทางสิ เร็วเข้า”) มองเห็นเสาต้นใหญ่อยู่ข้างหน้า เขาหักคันบังคับไปทางซ้ายในทันที (ไม่หักล่ะตายแน่) ยานเบนหัวไปทางซ้ายมากเกินไปจนเสียหลัก (“ทำอะไรน่ะเจ้าบ้า!!!!” R2D2 ร้องเสียงหลง) ยานไอออนสามตีลังกา ปีกไอออนด้านซ้ายกระแทกเข้ากับเสานั้นจนหัก ลิวมัสไม่สามารถควบคุมยานได้ดั่งใจอีกต่อไป หัวยานดิ่งลงทางด้านซ้ายจมลงไปบนซากอิฐ และในที่สุด ยานไอออนสามที่ลิวมัสนั่งมาก็แน่นิ่งอยู่บนกองซากปรักหักพัง
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    ลิวมัสกระพริบตา รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แลบแปลบมาจากหน้าผาก พอลองจับดูก็ดูเหมือนจะมีเลือดซึมเล็กน้อย ไม่เป็นแผลใหญ่ นี่เขาไม่ตายหรือนี่? อะไรจะโชคดีปานนั้น?
    เขากระพริบตาอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้าจึงค่อยชัดเจนขึ้น เขายันตัวขึ้น และ โป๊ก! หัวกระแทกกับฝาครอบยาน เออนะ ให้ตายสิ สงสัยเขาคงจะเบลอเพราะเพิ่งฟื้นจากอาการสลบละมั้ง แต่เอ๊ะจะว่าไปตอนที่เขาสลบนี่รู้สึกเหมือนฝันอะไรบางอย่าง ตอนนี้นึกไม่ออกแล้ว แต่ช่างเถอะ ออกไปนอกยานให้ได้ก่อนดีกว่า
    “เปิดฝาครอบยานให้หน่อย R2” เขาตะโกน
    ไม่มีเสียงตอบ
    “R2! เฮ้! เฮ้ย! ได้ยินฉันหรือเปล่า?”
    ไม่มีเสียงตอบ   
    “เฮ้ย R2! อย่าบอกนะว่านายพังไปแล้ว เฮ้ย! เฮ้! นายยังไม่ได้เปลี่ยนกลับเป็นระบบควบคุมด้วยมือเลยนะ แล้วนี่ฉันจะออกไปยังไงล่ะ ล้อเล่นแบบนี้ไม่สนุกนะ R2!”   
    มีเสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังแว่วมาจับใจความได้ว่า ‘โถ ๆ ไอ้หนูเอ๊ย นี่ถ้าพี่พังไปจริง ๆ แล้วนายจะทำยังไงละเนี่ย’
    ลิวมัสถอนหายใจอย่างโล่งอก “ให้ตายสิ ทำเอาฉันใจหายวูบ เปิดฝาครอบยานให้หน่อยซิ”
    R2 ส่งเสียงตอบ (“เอ๊ะ ต้องพูดว่ายังไงนะ ขออีกทีซิ”)
    ลิวมัสแค่นลมออกจมูก แล้วพูด “กรุณาเปิดฝาครอบยานให้หน่อยครับ”
    และแล้วฝาครอบยานก็เปิดออก (“น่ารักมาก ไอ้หนู ให้มันได้อย่างนี้ตลอดรอดฝั่งนะ”)
    ลิวมัสก้าวออกมาจากตัวยาน เท้าเหยียบลงบนกองอิฐที่วางซ้อนกันระเกะระกะพลาดจนเกือบเสียหลัก แต่ก็สามารถออกมาจากยานได้โดยสวัสดิภาพ เขาเดินออกมาจากยานสี่ห้าก้าว แล้วจึงมองดูสภาพของยาน โอ้ ไม่นะ ปีกซ้ายเละไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว จะบินได้ยังไง แล้วถ้ายานนี้บินไม่ได้ เขาจะไปจากคอราซานส์ได้ยังไงกัน
    เขาได้ยินเสียง R2 (“เฮ้ย ไอ้หนู มารับพี่ลงไปหน่อยเด๊ะ”) และเมื่อหักกลบลบหนี้แล้ว เขาเลือกที่จะยอมทำตามที่ R2 ขอ ดีกว่าฟังเสียงบ่นให้รำคาญ
    หลังจากปลด R2D2 ลงมาบนพื้นแล้ว มันก็เดินไปเดินมาอย่างมีความสุข (“กิ๊บกาดู๊~~ นี่พี่ไม่ได้ออกมายืดเส้นยืดสายแบบนี้หลายปีแล้วนะเนี่ย ดีใจจริง ๆ เลย ให้ตายสิ”) ในขณะที่ลิวมัสกำลังเดินสำรวจความเสียหายไปรอบ ๆ พลันเขาก็เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนมองเขาและยานอยู่
    มือซ้ายของเขาเอื้อมไปแตะดาบแสงทันที ไอ้พวกนี้มันจะมาขโมยยานหรือเปล่า? ไม่น่าจะผิด แต่ทำไมพวกนี้ถึงไม่เข้ามาเสียทีล่ะ กลัวอะไรรึไง?
    “ออกไปนะ!” ลิวมัสตะโกน “ถ้าเข้ามาอีกก้าวเดียวพ่อเอาดาบฟาดไม่เลี้ยงแน่ บอกไว้ก่อน”
    ช่างเป็นการกระทำที่งี่เง่าเสียจริง แต่น่าแปลกที่มันดูเหมือนจะได้ผล เจ้าพวกนั้นเดินถอยหลังออกไป ท่าทางกลัวกันจริง ๆ นะนั่น ทำไมนะ? ถึงเขาจะพูดออกไปแบบนั้นก็เถอะเขาไม่น่าจะกลัวกันมากขนาดนั้นหรอก
    “นั่นใครน่ะ!?” เสียงแหบ ๆ ฟังดูเหมือนเสียงของผู้สูงอายุที่กำลังตะเบ็งสุดเสียงดังมาจากด้านหลัง ลิวมัสหันกลับไป และเห็นชายชราคนหนีงในชุดคลุมยาวยืนอยู่ตรงหน้า แม้ผมเผ้าและหนวดเคราจะยาวรุงรังจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าของชายชรานั้นแต่ก็มองเห็นแววตาที่เอาจริงเอาจังได้ชัดเจน ทำให้ลิวมัสรู้สึกได้ว่า เขาล้อเล่นกับคนคนนี้ไม่ได้
    เมื่อไม่เห็นว่าลิวมัสจะเอ่ยปากอะไรแม้สักคำ ชายชราคนนั้นจึงเดินเข้ามาหาลิวมัส ตอนนี้ลิวมัสมองเห็นดาบแสงห้อยอยู่ที่เอวของเขาแล้ว แถมมีตั้งสองอันอีกด้วย “ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!?”
    “ผมชื่อลอสการ์ด ผมเป็น...” ลิวมัสพยายามตอบ
    “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใครหรือเป็นอะไร แต่ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ข้าจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แน่ จงออกไปเสีย! ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า!”
    “ไม่ครับ ฟังผมก่อน คือผม...”
    “ออกไป!”
    “ฟังกันบ้างสิครับ!”
    “ไป!” ชายชราพูดไม่พูดเปล่า กลับหยิบดาบแสงออกมาด้วย ลิวมัสเพิ่งเห็นก็ตอนนี้นี่เองว่าดาบแสงทั้งสองอันนั้นตรงส่วนฐานผูกติดกันอยู่ แล้วจะเอาออกมาใช้ยังไงล่ะนั่น
    ไม่ทันที่เขาจะลองคิดดูว่าชายชราจะใช้ดาบแสงคู่นั้นอย่างไร คำตอบก็แสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้าทันที ชายชราคนนั้นจับดาบเล่มหนึ่งและเหวี่ยงราวกับกระบองสองท่อน อาวุธโบราณที่หลงเหลืออยู่ในพิพิธภันฑ์บางแห่ง แตกต่างกันที่ว่าตรงท่อนที่เขาไม่ได้ถืออยู่นั้นมีแสงเปล่งออกมาด้วย
    น่ากลัวแต๊ บ่ได้ขี้จุ๊ ตาลาล้า แสงสีเขียวเป็นลำนั้นพุ่งเข้าตรงมาหาเขาทันที ลิวมัสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปล่งดาบขึ้นรับเกิดเสียงดังเปรี้ยง พลันแสงดาบของชายชรานั้นดับลงและไปปรากฏที่อีกฟากหนึ่งและพุ่งตรงมาหาเขาเช่นกันทำเอาเขาแทบเบนวิถีดาบมารับไม่ทัน
    วิธีการต่อสู้ของชายชรานั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก คงเป็นเพราะอาวุธที่เขาใช้ ชายชราควงดาบแสงด้วยสองมือสลับไปสลับมา เมื่อเขาจับด้ามซ้าย แสงก็เปล่งที่ด้านขวา เมื่อเขาจับด้ามขวา แสงก็เปล่งที่ด้านซ้าย และวิถีดาบนี้มิอาจคาดเดาได้ด้วยการมองการเคลื่อนไหวของชายชรา เพราะเขาเหวี่ยงดาบอยู่ตลอดเวลา
    ผ่าแยกดาบทั้งสองออกจากกัน! นี่สิถึงจะพอมีทางรอด
    แต่ก็นั่นแหละ แค่รับมือมิให้ดาบเข้าถึงตัวก็เป็นเรื่องยากแล้ว ประสาอะไรกับการจ้องหาจังหวะผ่าระหว่างดาบทั้งสองอีกเล่า
    ว่าแล้วก็เอาเข้านั่น ดาบของชายชราสะกิดเอาชายเสื้อเขาขาดแหว่งไปเกือบคืบ หวิดไปแล้วสิ แต่เอ๊ะนั่น! มีช่องว่าง! ลิวมัสไม่รอช้าพุ่งเข้าหาช่องว่างในวิถีดาบนั้นทันทีและตวัดดาบผ่าโซ่ที่เชื่อมดาบทั้งสองขาด
    พลันตอนนี้อาวุธที่ชายชราใช้คือดาบสองมือ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สบายแฮ มาสเตอร์คาธาร์นเคยสอนเขาด้วยดาบสองมือมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน แค่ตวัดซ้ายทีขวาที เขาก็ทำลายดาบไปได้เล่มหนึ่ง พลันใช้จังหวะที่ชายชราตกตะลึงใช้พลังฉวยเอาดาบมาอีกเล่ม และใช้ดาบทั้งสองเล่มที่ถือล้อมหน้าล้อมหลังชายชราไว้ทันที
    “ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันดีกว่านะครับ” ลิวมัสพูด
    “ข้าได้พูดแล้ว” ชายชราไม่มีทีท่าสะทกสะท้านแม้จะตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ “จงออกไปจากที่นี่”
    ชายชราปัดมือทั้งสองของลิวมัสออกแล้วกระโดดสูงโดยที่ยังคงใช้มือทั้งสองจับมือขวาของลิวมัสเอาไว้ ทำเอาลิวมัสเสียหลักหงายหลังไปพร้อมกัน ชายชราฉวยโอกาสคว้าเอาดาบแสงของลิวมัสติดมือมาด้วย และเริ่มใช้มันฟาดฟันลิวมัส ซึ่งเกือบจะยกดาบขึ้นรับไม่ทัน และลำบากอย่างยิ่งในสภาพที่นอนอยู่กับพื้นเช่นนี้
    หลังการปะทะดาบสองหรือสามครั้ง ลิวมัสก็ได้โอกาสพลิกตัวขึ้นยืน และการปะทะดาบก็เริ่มขึ้นอีกหนึ่งระลอก (ไร้เหตุผลสิ้นดี ลิวมัสคิด)
    เชิงดาบของชายชราในยามใช้ดาบเดียวนั้นแคล่วคล่องว่องไวกว่าที่ใช้ดาบสองมือเสียอีก ลิวมัสเริ่มจะมองเห็นลางแห่งความพ่ายแพ้
    ทำไมเขาต้องมาเสี่ยงชีวิตกับชายแก่ท่าทางสติไม่เต็มนี้ด้วย ให้ตายเถอะ พระเจ้า
    เสียงดาบที่กระทบกันดังเปรี้ยง เปรี้ยง คงไปรบกวนการเดินเล่นของ R2D2 และการรบกวนนั้นก็คงไปกระตุ้นวงจรความรำคาญ(มีด้วยเรอะ?)ของ R2D2 เข้าเต็มเปา เพราะฉะนั้นเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่ R2D2 ส่งลอยมากับสายลมจึงจับใจความได้ว่า
    “ทำอะไรอยู่นะไอ้หนูลิวมัส!? พี่จะเดินเล่นสักหน่อยรำคาญแกจริง ๆ เลย ให้ตายสิ”
    พลันเสียงสัญญาณนั้นหยุดลง ชายชราก็หยุดดาบอยู่ตรงหน้าลิวมัสพอดี
    “เจ้าชื่อลิวมัส?” ชายชราเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยแกมตื่นตะลึง
    “ค...ครับ” ลิวมัสตอบ
    ชายชราเก็บดาบลงแล้วพูด “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อลอสการ์ด?”
    “นั่นนามสกุลผม”
    ราวกับว่าชายชราเห็นภูตผีหรืออะไรสักอย่างอยู่ตรงหน้า เขาอ้าปากค้าง และเดินเซไปข้างหลังได้สักสองสามก้าว ปากพูดว่า “เจ้าคือลิวมัส ลอสการ์ด?”
    “ครับ” ลิวมัสตอบรับ
    รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของชายชรา พลันเขาจึงหัวเราะ แล้วเดินเข้ามาหาเขาพลางพูดว่า “ไม่น่าเชื่อเลย! คำทำนายเป็นจริง! เจ้ามาที่นี่จริง ๆ ด้วยหรือนี่?”
    ที่ลิวมัสกำลังคิดอยู่ก็คือ เรื่องที่ชายชรานี่จู่ ๆ ก็จะฆ่าเขาอยู่เมื่อครู่นี้ก็นับว่าแปลกประหลาดและไร้เหตุผลอย่างมากแล้ว ที่ชายชราเพิ่งพูดออกมานี่กลับแปลกประหลาดและไร้เหตุผลมากยิ่งกว่า
    ชายชรามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา แล้วพูด “เจ้าคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด ใช่ไหม ลิวมัส ลอสการ์ด”
    “ไม่...ไม่เข้าใจครับ” ลิวมัสตอบรับ เขาไม่เข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ
    “คงไม่รู้สินะว่าเจ้ามีความสำคัญแค่ไหนกับสถานที่แห่งนี้”
    สถานที่แห่งนี้? จะว่าไปแล้วลิวมัสเองก็ยังไม่รู้เลยว่าไอ้ ‘สถานที่แห่งนี้’ ที่เขาขับยานไอออนสามมาชนเสาหินแล้วตก ที่ที่เต็มไปด้วยกองซากปรักหักพังนี้คือที่ไหน
    ลิวมัสหันมองไปรอบ ๆ ... เสาหินสูงเสียดฟ้าสี่ต้น ตั้งตระหง่านอยู่ตรงสี่มุมของซากปรักหักพัง ที่ครั้งหนึ่งคงจะเคยเป็นอาคารอะไรสักอย่าง มันช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน ลิวมัสบอกตัวเองว่าที่นี่คงไม่ใช่...
    “นี่แหละคือสิ่งที่หลงเหลือ” ชายชราพูด “ภาพความรุ่งเรืองของเจไดที่แท้จริงและสาธารณรัฐ ซึ่งถูกทำลายลงด้วยจักรวรรดิอันชั่วร้าย”
    ลิวมัสไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองและสิ่งที่ได้ยิน
    “ที่นี่...ที่นี่คือวิหารเจไดเก่าหรือครับ?”
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    “กางม่านกันความร้อนให้หน่อยสิ R2” ลิวมัสพูด
    R2D2 ส่งเสียงตอบกลับมาเป็นเชิงรำคาญ แต่ก็จำต้องเปิดม่านกันความร้อนให้ (ลองไม่เปิดสิ ไหม้กันทั้งคู่แน่ ๆ) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มันก็ส่งเสียงตอบให้ลิวมัสรู้
    “ขอบคุณ” ลิวมัสพูด แล้วบังคับยานเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยอากาศเสียของคอราซานส์
    ตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐเรื่อยมาจนถึงยุคจักรวรรดิรุ่งเรืองก่อนจะถูกโค่นล้มครั้งแรก คอราซานส์เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวาลมาเป็นระยะเวลานานนับพันปี เป็นศูนย์กลางทางการปกครอง วัฒนธรรม ความเชื่อ ความบันเทิง แทบจะทุกสิ่งทุกอย่างเลยก็ว่าได้ แม้แต่วิหารเจไดก็ตั้งอยู่บนคอราซานส์แห่งนี้ด้วย
    แต่ในช่วงหลังมานี้ คอราซานส์เข้าสู่ยุคเสื่อมโทรม ตั้งแต่โรงงานแห่งหนึ่งในเขตอุตสาหกรรมของคอราซานส์เกิดเหตุระเบิดขึ้นเป็นเหตุให้มีแก๊สพิษฟุ้งกระจายไปทั่ว จักรวรรดิเองก็ได้ลงมาควบคุมมลพิษนี้อยู่พักหนึ่ง แต่ในระยะต่อมาโครงการนี้ก็ล้มหายตายจากไป ไม่มีคนเหลียวแล ทำให้ชาวคอราซานส์ที่พอจะมีฐานะต่างย้ายถิ่นฐานมาที่เมรานุสที่อยู่ใกล้ ๆ กันเสียหมด เหลือเพียงแต่พวกที่ไม่มีฐานะดีพอเท่านั้น ทำให้ในปัจจุบันคอราซานส์กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมแห่งหนึ่งในจักรวาล
    ก็น่าสงสัยเหมือนกันว่าออร์พมันจะมาทำอะไรที่นี่
    ลิวมัสเข้ามาใกล้จนมองเห็นเขตที่อยู่อาศัยได้อย่างชัดเจนแล้ว เมื่อเขาบังคับยานลดระดับลงไปข้างล่างเขาก็มองเห็นผู้คนแต่งตัวซอมซ่อกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ตามยานไอออนสามของเขามา
    นี่ถ้าไม่หาที่ซ่อนยานให้ดี เผลอ ๆ จะไม่มียานกลับ
    “ยานลำนี้มีระบบพรางตามั้ย? R2” ลิวมัสถามขึ้น ไม่ใช่ยานไอออนสามทุกลำที่มีระบบพรางตาซึ่งเพิ่งคิดค้นได้ไม่นานมานี้ เฉพาะคนที่โชคดีจริง ๆ เท่านั้นจึงจะได้รับยานที่ติดตั้งระบบพรางตาแล้ว
    R2D2 ส่งเสียงตอบมีความหมายว่า ‘ไม่มี(ซวยไปนะไอ้หนู กิ๊บกาดู๊~~)’
    ลิวมัสก้มหน้าซบคันบังคับ พลางรำพึง “ให้ตายสิ”
    เสียงอิเล็กทรอนิกส์ของ R2D2 ดังลั่นยานทำให้ลิวมัสเงยหน้าขึ้น (“ระวัง!! ไอ้หนู เงยหน้าขึ้นมองทางสิ เร็วเข้า”) มองเห็นเสาต้นใหญ่อยู่ข้างหน้า เขาหักคันบังคับไปทางซ้ายในทันที (ไม่หักล่ะตายแน่) ยานเบนหัวไปทางซ้ายมากเกินไปจนเสียหลัก (“ทำอะไรน่ะเจ้าบ้า!!!!” R2D2 ร้องเสียงหลง) ยานไอออนสามตีลังกา ปีกไอออนด้านซ้ายกระแทกเข้ากับเสานั้นจนหัก ลิวมัสไม่สามารถควบคุมยานได้ดั่งใจอีกต่อไป หัวยานดิ่งลงทางด้านซ้ายจมลงไปบนซากอิฐ และในที่สุด ยานไอออนสามที่ลิวมัสนั่งมาก็แน่นิ่งอยู่บนกองซากปรักหักพัง
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    ลิวมัสกระพริบตา รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แลบแปลบมาจากหน้าผาก พอลองจับดูก็ดูเหมือนจะมีเลือดซึมเล็กน้อย ไม่เป็นแผลใหญ่ นี่เขาไม่ตายหรือนี่? อะไรจะโชคดีปานนั้น?
    เขากระพริบตาอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้าจึงค่อยชัดเจนขึ้น เขายันตัวขึ้น และ โป๊ก! หัวกระแทกกับฝาครอบยาน เออนะ ให้ตายสิ สงสัยเขาคงจะเบลอเพราะเพิ่งฟื้นจากอาการสลบละมั้ง แต่เอ๊ะจะว่าไปตอนที่เขาสลบนี่รู้สึกเหมือนฝันอะไรบางอย่าง ตอนนี้นึกไม่ออกแล้ว แต่ช่างเถอะ ออกไปนอกยานให้ได้ก่อนดีกว่า
    “เปิดฝาครอบยานให้หน่อย R2” เขาตะโกน
    ไม่มีเสียงตอบ
    “R2! เฮ้! เฮ้ย! ได้ยินฉันหรือเปล่า?”
    ไม่มีเสียงตอบ   
    “เฮ้ย R2! อย่าบอกนะว่านายพังไปแล้ว เฮ้ย! เฮ้! นายยังไม่ได้เปลี่ยนกลับเป็นระบบควบคุมด้วยมือเลยนะ แล้วนี่ฉันจะออกไปยังไงล่ะ ล้อเล่นแบบนี้ไม่สนุกนะ R2!”   
    มีเสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังแว่วมาจับใจความได้ว่า ‘โถ ๆ ไอ้หนูเอ๊ย นี่ถ้าพี่พังไปจริง ๆ แล้วนายจะทำยังไงละเนี่ย’
    ลิวมัสถอนหายใจอย่างโล่งอก “ให้ตายสิ ทำเอาฉันใจหายวูบ เปิดฝาครอบยานให้หน่อยซิ”
    R2 ส่งเสียงตอบ (“เอ๊ะ ต้องพูดว่ายังไงนะ ขออีกทีซิ”)
    ลิวมัสแค่นลมออกจมูก แล้วพูด “กรุณาเปิดฝาครอบยานให้หน่อยครับ”
    และแล้วฝาครอบยานก็เปิดออก (“น่ารักมาก ไอ้หนู ให้มันได้อย่างนี้ตลอดรอดฝั่งนะ”)
    ลิวมัสก้าวออกมาจากตัวยาน เท้าเหยียบลงบนกองอิฐที่วางซ้อนกันระเกะระกะพลาดจนเกือบเสียหลัก แต่ก็สามารถออกมาจากยานได้โดยสวัสดิภาพ เขาเดินออกมาจากยานสี่ห้าก้าว แล้วจึงมองดูสภาพของยาน โอ้ ไม่นะ ปีกซ้ายเละไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว จะบินได้ยังไง แล้วถ้ายานนี้บินไม่ได้ เขาจะไปจากคอราซานส์ได้ยังไงกัน
    เขาได้ยินเสียง R2 (“เฮ้ย ไอ้หนู มารับพี่ลงไปหน่อยเด๊ะ”) และเมื่อหักกลบลบหนี้แล้ว เขาเลือกที่จะยอมทำตามที่ R2 ขอ ดีกว่าฟังเสียงบ่นให้รำคาญ
    หลังจากปลด R2D2 ลงมาบนพื้นแล้ว มันก็เดินไปเดินมาอย่างมีความสุข (“กิ๊บกาดู๊~~ นี่พี่ไม่ได้ออกมายืดเส้นยืดสายแบบนี้หลายปีแล้วนะเนี่ย ดีใจจริง ๆ เลย ให้ตายสิ”) ในขณะที่ลิวมัสกำลังเดินสำรวจความเสียหายไปรอบ ๆ พลันเขาก็เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนมองเขาและยานอยู่
    มือซ้ายของเขาเอื้อมไปแตะดาบแสงทันที ไอ้พวกนี้มันจะมาขโมยยานหรือเปล่า? ไม่น่าจะผิด แต่ทำไมพวกนี้ถึงไม่เข้ามาเสียทีล่ะ กลัวอะไรรึไง?
    “ออกไปนะ!” ลิวมัสตะโกน “ถ้าเข้ามาอีกก้าวเดียวพ่อเอาดาบฟาดไม่เลี้ยงแน่ บอกไว้ก่อน”
    ช่างเป็นการกระทำที่งี่เง่าเสียจริง แต่น่าแปลกที่มันดูเหมือนจะได้ผล เจ้าพวกนั้นเดินถอยหลังออกไป ท่าทางกลัวกันจริง ๆ นะนั่น ทำไมนะ? ถึงเขาจะพูดออกไปแบบนั้นก็เถอะเขาไม่น่าจะกลัวกันมากขนาดนั้นหรอก
    “นั่นใครน่ะ!?” เสียงแหบ ๆ ฟังดูเหมือนเสียงของผู้สูงอายุที่กำลังตะเบ็งสุดเสียงดังมาจากด้านหลัง ลิวมัสหันกลับไป และเห็นชายชราคนหนีงในชุดคลุมยาวยืนอยู่ตรงหน้า แม้ผมเผ้าและหนวดเคราจะยาวรุงรังจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าของชายชรานั้นแต่ก็มองเห็นแววตาที่เอาจริงเอาจังได้ชัดเจน ทำให้ลิวมัสรู้สึกได้ว่า เขาล้อเล่นกับคนคนนี้ไม่ได้
    เมื่อไม่เห็นว่าลิวมัสจะเอ่ยปากอะไรแม้สักคำ ชายชราคนนั้นจึงเดินเข้ามาหาลิวมัส ตอนนี้ลิวมัสมองเห็นดาบแสงห้อยอยู่ที่เอวของเขาแล้ว แถมมีตั้งสองอันอีกด้วย “ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!?”
    “ผมชื่อลอสการ์ด ผมเป็น...” ลิวมัสพยายามตอบ
    “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใครหรือเป็นอะไร แต่ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ข้าจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แน่ จงออกไปเสีย! ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า!”
    “ไม่ครับ ฟังผมก่อน คือผม...”
    “ออกไป!”
    “ฟังกันบ้างสิครับ!”
    “ไป!” ชายชราพูดไม่พูดเปล่า กลับหยิบดาบแสงออกมาด้วย ลิวมัสเพิ่งเห็นก็ตอนนี้นี่เองว่าดาบแสงทั้งสองอันนั้นตรงส่วนฐานผูกติดกันอยู่ แล้วจะเอาออกมาใช้ยังไงล่ะนั่น
    ไม่ทันที่เขาจะลองคิดดูว่าชายชราจะใช้ดาบแสงคู่นั้นอย่างไร คำตอบก็แสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้าทันที ชายชราคนนั้นจับดาบเล่มหนึ่งและเหวี่ยงราวกับกระบองสองท่อน อาวุธโบราณที่หลงเหลืออยู่ในพิพิธภันฑ์บางแห่ง แตกต่างกันที่ว่าตรงท่อนที่เขาไม่ได้ถืออยู่นั้นมีแสงเปล่งออกมาด้วย
    น่ากลัวแต๊ บ่ได้ขี้จุ๊ ตาลาล้า แสงสีเขียวเป็นลำนั้นพุ่งเข้าตรงมาหาเขาทันที ลิวมัสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปล่งดาบขึ้นรับเกิดเสียงดังเปรี้ยง พลันแสงดาบของชายชรานั้นดับลงและไปปรากฏที่อีกฟากหนึ่งและพุ่งตรงมาหาเขาเช่นกันทำเอาเขาแทบเบนวิถีดาบมารับไม่ทัน
    วิธีการต่อสู้ของชายชรานั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก คงเป็นเพราะอาวุธที่เขาใช้ ชายชราควงดาบแสงด้วยสองมือสลับไปสลับมา เมื่อเขาจับด้ามซ้าย แสงก็เปล่งที่ด้านขวา เมื่อเขาจับด้ามขวา แสงก็เปล่งที่ด้านซ้าย และวิถีดาบนี้มิอาจคาดเดาได้ด้วยการมองการเคลื่อนไหวของชายชรา เพราะเขาเหวี่ยงดาบอยู่ตลอดเวลา
    ผ่าแยกดาบทั้งสองออกจากกัน! นี่สิถึงจะพอมีทางรอด
    แต่ก็นั่นแหละ แค่รับมือมิให้ดาบเข้าถึงตัวก็เป็นเรื่องยากแล้ว ประสาอะไรกับการจ้องหาจังหวะผ่าระหว่างดาบทั้งสองอีกเล่า
    ว่าแล้วก็เอาเข้านั่น ดาบของชายชราสะกิดเอาชายเสื้อเขาขาดแหว่งไปเกือบคืบ หวิดไปแล้วสิ แต่เอ๊ะนั่น! มีช่องว่าง! ลิวมัสไม่รอช้าพุ่งเข้าหาช่องว่างในวิถีดาบนั้นทันทีและตวัดดาบผ่าโซ่ที่เชื่อมดาบทั้งสองขาด
    พลันตอนนี้อาวุธที่ชายชราใช้คือดาบสองมือ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สบายแฮ มาสเตอร์คาธาร์นเคยสอนเขาด้วยดาบสองมือมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน แค่ตวัดซ้ายทีขวาที เขาก็ทำลายดาบไปได้เล่มหนึ่ง พลันใช้จังหวะที่ชายชราตกตะลึงใช้พลังฉวยเอาดาบมาอีกเล่ม และใช้ดาบทั้งสองเล่มที่ถือล้อมหน้าล้อมหลังชายชราไว้ทันที
    “ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันดีกว่านะครับ” ลิวมัสพูด
    “ข้าได้พูดแล้ว” ชายชราไม่มีทีท่าสะทกสะท้านแม้จะตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ “จงออกไปจากที่นี่”
    ชายชราปัดมือทั้งสองของลิวมัสออกแล้วกระโดดสูงโดยที่ยังคงใช้มือทั้งสองจับมือขวาของลิวมัสเอาไว้ ทำเอาลิวมัสเสียหลักหงายหลังไปพร้อมกัน ชายชราฉวยโอกาสคว้าเอาดาบแสงของลิวมัสติดมือมาด้วย และเริ่มใช้มันฟาดฟันลิวมัส ซึ่งเกือบจะยกดาบขึ้นรับไม่ทัน และลำบากอย่างยิ่งในสภาพที่นอนอยู่กับพื้นเช่นนี้
    หลังการปะทะดาบสองหรือสามครั้ง ลิวมัสก็ได้โอกาสพลิกตัวขึ้นยืน และการปะทะดาบก็เริ่มขึ้นอีกหนึ่งระลอก (ไร้เหตุผลสิ้นดี ลิวมัสคิด)
    เชิงดาบของชายชราในยามใช้ดาบเดียวนั้นแคล่วคล่องว่องไวกว่าที่ใช้ดาบสองมือเสียอีก ลิวมัสเริ่มจะมองเห็นลางแห่งความพ่ายแพ้
    ทำไมเขาต้องมาเสี่ยงชีวิตกับชายแก่ท่าทางสติไม่เต็มนี้ด้วย ให้ตายเถอะ พระเจ้า
    เสียงดาบที่กระทบกันดังเปรี้ยง เปรี้ยง คงไปรบกวนการเดินเล่นของ R2D2 และการรบกวนนั้นก็คงไปกระตุ้นวงจรความรำคาญ(มีด้วยเรอะ?)ของ R2D2 เข้าเต็มเปา เพราะฉะนั้นเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่ R2D2 ส่งลอยมากับสายลมจึงจับใจความได้ว่า
    “ทำอะไรอยู่นะไอ้หนูลิวมัส!? พี่จะเดินเล่นสักหน่อยรำคาญแกจริง ๆ เลย ให้ตายสิ”
    พลันเสียงสัญญาณนั้นหยุดลง ชายชราก็หยุดดาบอยู่ตรงหน้าลิวมัสพอดี
    “เจ้าชื่อลิวมัส?” ชายชราเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยแกมตื่นตะลึง
    “ค...ครับ” ลิวมัสตอบ
    ชายชราเก็บดาบลงแล้วพูด “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อลอสการ์ด?”
    “นั่นนามสกุลผม”
    ราวกับว่าชายชราเห็นภูตผีหรืออะไรสักอย่างอยู่ตรงหน้า เขาอ้าปากค้าง และเดินเซไปข้างหลังได้สักสองสามก้าว ปากพูดว่า “เจ้าคือลิวมัส ลอสการ์ด?”
    “ครับ” ลิวมัสตอบรับ
    รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของชายชรา พลันเขาจึงหัวเราะ แล้วเดินเข้ามาหาเขาพลางพูดว่า “ไม่น่าเชื่อเลย! คำทำนายเป็นจริง! เจ้ามาที่นี่จริง ๆ ด้วยหรือนี่?”
    ที่ลิวมัสกำลังคิดอยู่ก็คือ เรื่องที่ชายชรานี่จู่ ๆ ก็จะฆ่าเขาอยู่เมื่อครู่นี้ก็นับว่าแปลกประหลาดและไร้เหตุผลอย่างมากแล้ว ที่ชายชราเพิ่งพูดออกมานี่กลับแปลกประหลาดและไร้เหตุผลมากยิ่งกว่า
    ชายชรามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา แล้วพูด “เจ้าคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด ใช่ไหม ลิวมัส ลอสการ์ด”
    “ไม่...ไม่เข้าใจครับ” ลิวมัสตอบรับ เขาไม่เข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ
    “คงไม่รู้สินะว่าเจ้ามีความสำคัญแค่ไหนกับสถานที่แห่งนี้”
    สถานที่แห่งนี้? จะว่าไปแล้วลิวมัสเองก็ยังไม่รู้เลยว่าไอ้ ‘สถานที่แห่งนี้’ ที่เขาขับยานไอออนสามมาชนเสาหินแล้วตก ที่ที่เต็มไปด้วยกองซากปรักหักพังนี้คือที่ไหน
    ลิวมัสหันมองไปรอบ ๆ ... เสาหินสูงเสียดฟ้าสี่ต้น ตั้งตระหง่านอยู่ตรงสี่มุมของซากปรักหักพัง ที่ครั้งหนึ่งคงจะเคยเป็นอาคารอะไรสักอย่าง มันช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน ลิวมัสบอกตัวเองว่าที่นี่คงไม่ใช่...
    “นี่แหละคือสิ่งที่หลงเหลือ” ชายชราพูด “ภาพความรุ่งเรืองของเจไดที่แท้จริงและสาธารณรัฐ ซึ่งถูกทำลายลงด้วยจักรวรรดิอันชั่วร้าย”
    ลิวมัสไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองและสิ่งที่ได้ยิน
    “ที่นี่...ที่นี่คือวิหารเจไดเก่าหรือครับ?”
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น