ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    STAR WARS : Shadow Empire

    ลำดับตอนที่ #2 : เสียงเพรียกหาของความมืด

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 46


    ภายในห้องที่มืดสลัว เสียงแชะของดาบแสงสองด้ามดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน อึดใจหลังจากนั้นเสียงหึ่งของดาบก็ดังไปทั่วห้องนั้น ลิวมัสเป็นฝ่ายพุ่งเข้าใส่เคิร์ธก่อน พร้อมทั้งเงื้อดาบขึ้น



          พริบตาหลังจากนั้นเคิร์ธถอยหลบไปด้านข้างแล้วพุ่งดาบหมายให้ทะลุกลางลำตัวของลิวมัส โชคดีที่ลิวมัสเดาทางดาบนี้ออกจึงหลบไปได้อย่างทันท่วงที เขาหันหลังกลับมาพร้อมกับตวัดดาบเข้าหาเคิร์ธทางด้านข้าง เคิร์ธยกดาบรับ ประกายดาบวาบขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง เมื่อการปะทะดาบดำเนินต่อไป



          เคิร์ธกันดาบที่ลิวมัสฟาดมาได้ทุกดาบ แต่ในช่วงหลังนี้เขายังหาโอกาสรุกกลับไปไม่ได้ ลิวมัสเป็นฝ่ายรุกเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ลิวมัสฟาดดาบลงมาอีกครั้ง เคิร์ธยกดาบรับ ลิวมัสเบนวิถีดาบ เคิร์ธเบนดาบไปรับดาบนั้น แต่เคิร์ธรู้สึกตัวช้าไป ดาบนั้นเข้ามาถึงตัวเคิร์ธแล้ว และฟันลงตรงไหล่ซ้ายเฉียงไปจนถึงเอวขวา



          ดาบของเคิร์ธหล่นลงกระแทกพื้น แสงของดาบนั้นดับลงไป



          เคิร์ธอ้าปากพูด



          “ทำได้ดีนี่”



          ลิวมัสปิดดาบแล้วส่งให้เคิร์ธ “ขอบคุณครับ อาจารย์”



          เคิร์ธยกมือชี้ไปที่สวิตซ์ไฟริมประตู ไฟสว่างขึ้น แล้วเขาลุกขึ้นยืน พูด “ถ้านี่ไม่ใช่ดาบซ้อมละก็ ข้าคงตายคามือเจ้าไปแล้ว ขออย่าให้มีวันที่เจ้ากับข้าต้องหยิบดาบจริงขึ้นมาต่อกรกันเลยนะ”



          “อย่าพูดเช่นนั้นสิครับ อาจารย์” ลิวมัสยิ้มเจื่อน ๆ “จะมีเหตุผลอันใดที่ข้ากับท่านต้องจับดาบสู้กัน”



          เคิร์ธหยิบดาบที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมา แล้วเอาไปเก็บไว้ที่ช่องเก็บดาบสำหรับฝึกซ้อม



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          “ช่วงท้ายนั้นท่านชะงักอะไรไปหรือครับ อาจารย์?” ลิวมัสเอ่ยปากถามระหว่างทางออกจากห้องซ้อมไปยังโรงอาหาร “ท่านหยุดการเคลื่อนไหวไปเลย”



          “ตอนนั้นน่ะเหรอ” เคิร์ธหัวเราะ “ข้าเผลอคิดเรื่องอื่นนิดหน่อย”



          “ท่านคิดมากเรื่องที่สภาพูดกับท่านหรือ?”



          เคิร์ธไม่ตอบ



          “ไม่ใช่ความผิดท่านหรอกครับ อาจารย์” ลิวมัสยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ยากจะดูให้เป็นการยิ้มอย่างยินดี “ถ้าข้าได้มีโอกาสพูดต่อหน้าที่ประชุมบ้าง สภาต้องเข้าใจแน่”



          “ไม่หรอก” เคิร์ธคงพยายามยิ้ม แต่ก็ดูให้เป็นยิ้มได้ยากเต็มที “ข้ารู้ว่าข้าวู่วามเกินไป ข้าไม่ควรด่วนเปิดฉากการปะทะกับฮัทท์ มิเช่นนั้นอาจมีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้”



          ลิวมัสพูดอะไรไม่ออก เขาอยากพูดออกไปว่าพวกที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นได้แน่นอน แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าเคยพูดเช่นนี้แล้วถูกเคิร์ธเอ็ดใส่มาครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่เขาพลั้งมือฆ่าโจรเมาเดธสติ๊กจับเด็กเป็นตัวประกันบนคอราซานส์ที่พวกเขาบังเอิญไปเจอพอดี จึงเก็บคำพูดนั้นเงียบเอาไว้



          “เจ้าก็จำเหตุการณ์นี้ไว้เป็นบทเรียนด้วยก็แล้วกัน” ในที่สุดเคิร์ธก็ยิ้มออก “ความวู่วามไม่เคยนำสิ่งดีมาให้มากเท่ากับการกระทำการโดยไตร่ตรอง”



          “ครับ อาจารย์”



          ทันทีที่เขาพูดจบ ทั้งเคิร์ธและลิวมัสก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโรงอาหารพอดี



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          ในหลาย ๆ ครั้ง เคิร์ธเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาได้รับทุนจากจักรวรรดิให้เข้าฝึกในระบอบของเจไดอันเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน เขาใช้ความตั้งใจทั้งหมดในการฝึก รับทำภารกิจทุกอย่างไม่ว่าจะเล็กน้อยอย่างไล่จับโจรปล้นร้านขายเอมเพอเรียมที่นาร์ ชาดด้า หรือภารกิจใหญ่อย่างคุ้มกันประธานาธิบดีเมนตูร์แห่งไมซูเรีย หลังจากช่วงเวลาแห่งความพยายามเขาก็ผ่านการทดสอบเป็นเจไดมาสเตอร์ระดับต้น และได้รับความไว้วางใจให้รับพาดาวันมาอยู่ในความคุ้มครองอย่างลิวมัส ลอสการ์ด



          ทางเดินชีวิตของเขาราบรื่น ไม่มีสะดุดแม้แต่น้อย



          แต่ถึงกระนั้นเคิร์ธรู้ดีว่าในใจของเขามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องกำลังดำเนินอยู่ การตัดสินใจที่ไม่ควรจะผิดพลาดของเขาหลาย ๆ ครั้งกลับผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย ที่เห็นได้ชัดก็อย่างภารกิจครั้งล่าสุดอย่างงานปลดแอกชาวทาทูอีนจากฮัทท์ เคิร์ธคิดบทเจรจาไว้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ในเครื่อง JD-525 แล้ว คิดไปถึงแม้แต่ว่าจะตอบกลับเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ที่ฮัทท์ยกขึ้นมาอ้างได้อย่างไรไว้เกือบทุกรูปแบบ ทำให้มั่นใจว่าการเจรจาครั้งนี้ต้องจบลงโดยชัยชนะของเขาแน่นอน



          แต่พอถึงเวลาจริงเขากลับทำพลาดไปมาก การเจรจาเพิ่งเริ่มไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ... ไม่สิ ยังไม่ทันเริ่มต้นจริง ๆ จัง ๆ ด้วยซ้ำไป เขาก็วู่วามเข้าสู่การปะทะเสียแล้ว ถึงแม้การปะทะนั้นพาดาวันของเขาจะพิชิตฮัทท์ลงได้ แต่ก็เป็นทางออกที่ไม่ดีเท่าการขับไล่ฮัทท์ออกจากทาทูอีนไปอยู่ดี



          คำพูดของมาสเตอร์ไซฌอนยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ถึงตอนนี้



          “หากท่านกระทำการวู่วามเยี่ยงนี้อีก ข้อเสนอปลดท่านออกจากระดับขั้นมาสเตอร์จะถูกยื่นเข้าสู่สภาทันที และหากข้อเสนอนั้นผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกสภา ระดับของท่านจะถูกลดเหลือเพียงอัศวิน (Knight) เท่านั้น”



          หากเป็นเช่นนั้น นี่จะเป็นความล้มเหลวในชีวิตครั้งแรกของเขา



          เคิร์ธ คาธาร์น ตัวสั่นด้วยความกลัวในอนาคตของตัวเอง



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          “ท่านออกจะพูดแรงไปหรือเปล่า? มาสเตอร์ไซฌอน” มาสเตอร์นุกเอ่ยถามขึ้นในที่ประชุม สามชั่วโมงหลังจากคาธาร์นและลอสการ์ดเดินออกไปจากห้อง “มาสเตอร์คาธาร์นยังหนุ่ม สถานการณ์ในขณะนั้นอาจกดดันให้เขากระทำการวู่วามลงไปก็เป็นได้”



          “ไม่หรอก” มาสเตอร์ไซฌอนพูดอย่างหนักแน่น “มาสเตอร์คาธาร์นยังหนุ่มนัก และนั่นแหละที่ทำให้เราต้องค่อย ๆ ฝึกฝนเขาอีกมาก หาไม่แล้ว ถ้าเขาเกิดวู่วามในภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่านี้เล่า จะเกิดอะไรขึ้น?”



          “ที่ท่านพูดมาก็ถูก มาสเตอร์ไซฌอน” มาสเตอร์เจเรนพูดขึ้นบ้าง “แต่หากเราบีบคั้นเขามากเกินไป อาจทำให้เกิดความกลัวขึ้นในจิตใจของมาสเตอร์คาธาร์นก็ได้ และหากเกิดความกลัวขึ้นในจิตใจของเขาแล้ว ถ้าทิ้งไว้นาน มันอาจจะสายเกินไป”



          “เราถึงได้มอบลอสการ์ดให้อยู่ในความคุ้มครองของเขามิใช่หรือ?” มาสเตอร์ยัตตะสวนขึ้นทันควัน “ให้เขามีสติอยู่กับพาดาวัน จะได้ระลึกได้ว่าตนเองยังอยู่ในวิถีแห่งเจได และดึงตัวเองกลับมาจากหุบเหวแห่งความกลัวได้”



          “ก็ใช่...” มาสเตอร์ไซฌอนกล่าวเบา ๆ “ถ้าเขายังไม่รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่เรามอบลอสการ์ดให้อยู่ในความดูแลของเขา”



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          สภาเจไดใหม่ถูกก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากเหตุการณ์กบฏเอนดอร์ อวสานของดาวมรณะที่สอง ระบบจักรวรรดิเดิมระส่ำระสายอย่างหนัก ผู้ปกครองชั้นสูงแทบทุกคนถูกล้มล้าง ทั้งจักรพรรดิ และลอร์ดเวเดอร์ หรืออีกนัยหนึ่ง อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ บิดาของปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์ ผู้ได้รับมอบหมายจากจักรวรรดิเงา องค์กรลับที่จักรพรรดิตั้งขึ้นเพื่อรองรับเหตุการณ์เช่นนี้ ปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์ค่อย ๆ ฝึกสอนเด็ก ๆ ที่มีแววและมิดิคลอเรียนเพียงพอให้เป็นเจได ทีละคน ทีละคน และทีละคน จนทุกวันนี้ มีเจไดอยู่ทั่วไปในกาแล็กซี โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่วิหารเจไดบนเมรานุส ดาวเคราะห์ศูนย์กลางกาแล็กซีแห่งใหม่แทนที่คอราซานส์ ที่กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมไปเสียแล้ว หลังจากผู้คนบนนั้นพัฒนาเทคโนโลยีไปมากจนลืมนึกถึงธรรมชาติ เป็นเหตุให้วิหารเจไดเดิมถูกทิ้งร้างไว้โดยไม่มีใครเหลียวแล



          สภาสูงของเจไดที่เมรานุสนั้นประกอบด้วยสมาชิกสภาจำนวนสิบสองคน (ปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์เคยกล่าวไว้ว่าเขาได้เรียนรู้วัฒนธรรมเดิมของเจไดมาจากบันทึกเก่า ๆ ที่พบในบ้านของมาสเตอร์เคโนบิ) ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้ง และมีวาระตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะมีมติไม่ไว้วางใจให้ปลดออกจากตำแหน่ง



          ในปัจจุบัน สมาชิกทั้งสิบสองคนนั้นประกอบด้วย มาสเตอร์ชิรอม เอ ไซฌอน (Shirom A. Sichon), มาสเตอร์ดรากอนิต เจเรน (Dragonit Jeren), มาสเตอร์มุลลิกัส โซนิคัส (Mullicus Sonicus), มาสเตอร์ลินกัส (Lingus), มาสเตอร์ซีร์นัส เอ. ไอ. (Sirnus A. I.), มาสเตอร์โกมอร์ นุก (Gomor Nook), มาสเตอร์ไอซา เบลเลเนีย (Iza Bellenia), มาสเตอร์ซาลลูค เค ยัตตะ (Salluke K. Yatta), มาสเตอร์อากุส เมลคิออร์ (Agus Melchior), มาสเตอร์เบล บัลทาซาร์ (Belle Baltazar), มาสเตอร์คิม มิมิค นากินิม (Kim Mimic Naginim) และ มาสเตอร์มาธูร์ อาร็อก (Mathur Arog) ซึ่งในจำนวนนี้ มีสมาชิกอาวุโสอยู่สี่คน คือมาสเตอร์ไซฌอน เจเรน โซนิคัส และนุก



          หน้าที่ของสภาเจไดมีอยู่ในฐานะอัศวินผู้บัญชาการรบในกรณีที่เกิดสงคราม เจไดแต่ละคนจะได้รับกำลังพลสตอร์ม ทรูปเปอร์ จำนวนหนึ่งเข้าสู่สนามรบ และนอกจากนั้น เจไดยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รวมทั้งทำภารกิจบางอย่างที่ได้รับมอบหมายจากจักรวรรดิ



          จนมีบางคนบอกว่าเจไดก็ไม่ต่างอะไรกับขี้ข้าของจักรวรรดิ



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          “เฮ้ย เป็นไรไป”



          เสียงนี้ปลุกลิวมัสขึ้นจากภวังค์ จะเรียกว่าภวังค์มันก็ฟังดูหรูหราเกินไปสักเล็กน้อย อันที่จริงแล้วควรจะบอกว่าเขาเพียงแค่เหม่อไปชั่วครู่เท่านั้นเอง



          “หา อ้อ” ลิวมัสพูดขึ้นแล้วมองไปทางต้นเสียง พาดาวันหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขานั่งอยู่ตรงนั้น ลิวมัสกระพริบตาอีกครั้ง แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าที่อยู่ตรงหน้านั่นคือเพื่อนของเขาอีกคนหนึ่งนั่นเอง ไอโอรัส แบล็ก คนที่ฝึกทักษะพื้นฐานมาด้วยกันกับเขา



          “ไม่มีอะไร” เขาพูดต่อ



          “ให้มันได้อย่างนี้สิ” ไอโอรัสพูดแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เขา “ขออนุญาตนะครับมาสเตอร์คาธาร์น”



          “ไม่เป็นไร” เคิร์ธตอบแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “ภารกิจที่นาร์ ชาดด้า เป็นยังไงบ้างล่ะแบล็ก”



          “น่าเบื่อมากเลยครับมาสเตอร์” ไอโอรัส “ก็แค่พวกขี้ยาอีกคน จริง ๆ แล้วเรื่องนี้น่าจะยกให้เป็นหน้าที่ของตำรวจด้วยซ้ำไป แต่ไม่รู้อีท่าไหน หรือผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งข่าวไปผิดที่ก็ไม่ทราบ กลายเป็นว่าผมกับมาสเตอร์เบน (มาสเตอร์จิงซ์ เบน ; Jinx Ben) ต้องไปคอยเกลี้ยกล่อมพวกเมาเดธสติ๊กจับเด็กโรเดี้ยนเป็นตัวประกันตั้งนานสองนาน เสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ครับ”



          “ไม่มีอะไรที่ทำแล้วเสียเวลาหรอกน่า” เคิร์ธพูดแต่ไม่มองหน้าไอโอรัส “ข้ากับลิวมัสก็ผ่านภารกิจแบบนี้มาแล้ว แต่เป็นที่คอราซานส์ ใช่ไหมลิวมัส”



          “ครับมาสเตอร์” ลิวมัสพูดทั้ง ๆ ที่ยังมีเบรดัสอยู่ในปาก



          “เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ไหนก็ตาม ถ้าผ่านเข้ามาแล้ว ก็เป็นประสบการณ์ที่ทรงคุณค่าได้ทั้งนั้น” ตอนนี้เคิร์ธมองหน้าไอโอรัส “บางทีสักวันเธออาจจะมองย้อนกลับมา แล้วระลึกขึ้นว่า ถ้าวันนั้นเธอไม่ได้รับภารกิจนี้ เธออาจจะไม่มีชีวิตรอดมาก็ได้”



          “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับมาสเตอร์” ไอโอรัสหน้าแดงนิด ๆ “พูดยังกะผมจะไปตายที่ไหนอย่างนั้นแหละ”



          “อย่างว่าล่ะนะคนเราจะตายเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ บางทีพรุ่งนี้นายอาจจะไปนอนเล่นอยู่ในท้องของไดอาโนก้าก็ได้” เสียงสำเนียงน่ารังเกียจดังขึ้นที่ด้านหลังของลิวมัสและไอโอรัส ไม่ต้องบอกทั้งสองคนก็รู้ว่าใคร แต่ก็ยังต้องหันหลังกลับไปตามสัญชาติญาณอยู่ดี ที่ยืนอยู่ตรงหน้านั่นคือออร์พ (ออร์พ ดี. แอรัล ; Orp D. Airal) ตัวน่ารำคาญประจำวิหาร ซึ่งทั้งสองคนแทบไม่อยากนับเป็นเพื่อนร่วมรุ่น



          แต่ถึงกระนั้นลิวมัสก็ยังคงรักษาความเป็นเด็กดีเอาไว้ โดยพูดแต่เพียงว่า “สวัสดี ออร์พ”



          “ดี ลิวมัส” ออร์พพูดมองหน้าลิวมัส “กินอร่อยมั้ย? ไม่ต้องรีบก็ได้นะ เดี๋ยวติดคอตายกันพอดี”



          “ขอบคุณที่เป็นห่วง” ลิวมัสพูดไปอย่างนั้นเอง ตอนนี้เขาชักอยากจะหยิบเอาดาบแสงขึ้นมาฉะกับออร์พสักป้าบให้หายมันเขี้ยว แต่ – แน่นอน – เขาทำอย่างนั้นไม่ได้



          “แน่นอน ฉันต้องเป็นห่วงนายอยู่แล้ว” ออร์พยิ้มเยาะ “กลัวเหลือเกินว่านายจะตายเข้าสักวันในภารกิจไหนภารกิจหนึ่ง”



          มีเสียงเคิร์ธกระแอม



          “อ้า เอ่อ ... มาสเตอร์คาธาร์น” ดูเหมือนออร์พจะไม่ทันเห็นเคิร์ธก่อนที่จะเข็นคำพูดถากถางเหล่านั้นออกมาจากปาก “อรุณสวัสดิ์ครับ ผม...”



          “ไม่เป็นไรหรอก แอรัล” เคิร์ธพูดไม่มองหน้าออร์พอีกแล้ว และปากก็ยังเคี้ยวเบรดัสสอดใส้เวเจตตุ้ย ๆ “ฉันไม่พาเพื่อนเธอไปตายที่ไหนแน่ รับรอง”



          ไม่รู้ว่าออร์พอับจนคำพูดหรืออย่างไร แต่ที่เคิร์ธ ลิวมัส และไอโอรัสเห็น คือออร์พทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพยายามหาคำพูดออกมาโต้ตอบแบบสุภาพ แต่ลงท้ายแล้วก็ทำไม่ได้ จนต้องหันหลังวิ่งไป แล้วชนเข้ากับเสา ท่าทางออร์พจะยิ่งเสียหน้าเข้าไปใหญ่ จึงรีบวิ่งแจ้นออกโรงอาหารไป



          “เป็นอะไรของเขาอีกล่ะ?” เคิร์ธพูดหลังจากที่กลืนอาหารลงท้องไปเรียบร้อยแล้ว “ยังไม่ทันได้คุยกันเลย”



          แล้วทั้งสามก็กินอาหารต่อไปอย่างสงบ



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          ประตูเปิดออก ออร์พเดินออกมาจากประตูนั้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหัวเสีย อะไรต่อมิอะไรมันไม่ได้ดั่งใจเลย ให้ตายสิ เห็นสีหน้าของพวกลิวมัสกับไอโอรัสมั้ย? มันหัวเราะเยาะอยู่ในใจชัด ๆ



          แปะมือตรงแท่นตรวจพันธุกรรม ประตูเปิดออก แล้วจึงเดินออกไป ออร์พหันหลังมามองดูวิหารเจไดหนึ่งวูบ หันหลังกลับมาดูแค่นั้น ไม่ได้มีความหมายอะไร แล้วจึงหันหน้าไปเดินต่อ ลงบันไดใหญ่หน้าวิหาร เดินตัดผ่านลานกว้างหน้าวิหารมาถึงถนน กดเรียกแอร์แท็กซี่มาหนึ่งคัน เปิดประตู ก้าวเท้าขึ้นไปนั่ง บอกกับแท็กซี่ดรอยด์ว่า “ไปซาลาร์ส” แล้วแอร์แท็กซี่ก็ลอยสูงขึ้น เข้าสู่เส้นทางเดินรถ แล้วจึงบินไปตามทาง



          ไม่นานนักแอร์แท็กซี่ก็ลดระดับลงแตะพื้นพร้อมกับเสียงแท็กซี่ดรอยด์ที่พูดว่า “สามร้อยสี่สิบแปดเดกซ์ขอรับ นายท่าน” ออร์พแปะมือกับแท่นจ่ายเงิน แล้วเปิดประตูลงจากรถไป



          ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือซาลาร์ส แหล่งชุมชนการค้าหนึ่งในนับล้าน ๆ แห่งของเมรานุส



          ออร์พเดินไปตามทางเท้าประมาณห้าสิบเมตร แล้วจึงเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ซึ่งถ้ามองผ่าน ๆ แบบไม่ได้ตั้งใจก็แทบจะมองไม่เห็นเอาเสียเลย เขาเดินลึกเข้าไปพอสมควร ข้างทางมีพวกข้างถนนนอนสลบไสลไม่ได้สติ ในมือหลากหลายขนาดของพวกนั้นมีเดธสติ๊กถือคามืออยู่แทบทุกคน ออร์พเอาเท้าเขี่ยมือของพวกโรเดี้ยนขี้ยาคนหนึ่งออกจากทาง



          เกะกะ



          อีกอึดใจต่อมาออร์พหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูเล็ก ๆ บานหนึ่ง เคาะสามครั้ง ไม่นานหลังจากนั้นมีเสียงคนตะโกนออกมาจากข้างในเป็นภาษาวูกี้ จับความได้ว่า “นั่นใคร”



          ปกติพวกวูกี้ฟังภาษากลางรู้เรื่องอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร แล้วนับประสาอะไรกับวูกี้คนนี้ที่เขารู้จักดี



          “ฉันเอง” ออร์พตอบ “โอ. ดี. เอ.”



          เสียงวูกี้คนนั้นดังขึ้นอีกด้วยทีท่าดีใจ ตามด้วยเสียงคลิก แล้วประตูก็เปิดออก วูกี้เจ้าของเสียงยืนอยู่ตรงหน้า ออร์พตบไหล่ของเขาหนึ่งที แล้วพูดว่า “มีที่ดี ๆ เหลือว่างมั้ย?”



          วูกี้คนนั้นตอบรับ แล้วพาเขาไปหาที่นั่ง พอออร์พนั่งลง ก็พอดีที่เสียงเพลงดังขึ้น ไฟบนเวทีสว่างสลัว ๆ พร้อมกับนักเต้นชาวทวิเล็กสามคนออกมาโยกย้ายส่ายสะโพกอยู่บนเวที และดรอยด์เสิร์ฟอาหารพากันทยอยออกมาจากห้องครัว ออร์พหยิบเครื่องดื่มจากดรอยด์เสิร์ฟแล้วเอาเข้าปากทันที



          ท่ามกลางความสับสนของบาร์เล็ก ๆ ในซอกหลีบหนึ่งของเมรานุสแห่งนี้ ออร์พค้นพบความสบายใจที่หาไม่ได้จากที่อื่น นี่สิชีวิตที่แท้ ต้องมีสุรา นารี ดนตรีการ ในวิหารเจไดไม่มีของพวกนี้หรอก โดยปกติแล้วที่นี่ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 เข้าใช้บริการ แต่คนที่ใส่ใจกับการจำกัดอายุในที่นี้นั่นก็มีคนเดียว คือไลก้า ชาววูกี้ที่เป็นคนเฝ้าประตู และออร์พก็รู้จักกับไลก้าเป็นการส่วนตัวเสียด้วยสิ



          “ขอนั่งด้วยคนได้ไหม?”



          เสียงนั้นเป็นเสียงแหบ ฟังออกยาก ออร์พคิดในพริบตาว่าเจ้าของเสียงต้องไม่ใช่คนที่ถนัดภาษากลางอย่างแน่นอน แต่เขาก็หันไปทางต้นเสียง แล้วบอกออกไปว่า “อยากนั่งเหรอ?”



          “ใช่สิ” ร่างสูงในชุดคลุมแบบมีที่ปิดศีรษะพูดขึ้น



          ออร์พเขม่นคิ้ว เขาเจอแบบนี้ประจำ แต่หน้าตาพิลึกแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะปกติพวกที่มาขอนั่งกับเขาจะเป็นหญิงหน้าตาดี โดยมากจะเป็นฮิวมานอยด์ บางทีก็มีทวิเล็กหลุดมาบ้าง แต่ไม่เคยมีแบบนี้



          “เชิญครับ” เขาตอบ



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          “นายเห็นออร์พ พาดาวันของฉันมั้ย?” คูนาฮา ไลโอ พูดกับเคิร์ธด้วยท่าทีกังวล



          “ตะกี้เจออยู่ในโรงอาหาร” เคิร์ธตอบ “ทำไมเหรอ?”



          “ฉันนัดเขาไปฝึกการใช้ดาบ แต่นี่เลทมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่มาเลย”



          “ลองดูในแผนที่วิหารหรือยังครับ?” ลิวมัสพูดขึ้น



          “ลองแล้ว แต่เขาไม่อยู่ในวิหาร” คูนาฮาตอบ



          “เฮ้ย บ้าน่า ตะกี้ผมยังคุยกับเขาอยู่เลย” ไอโอรัสพูดบ้าง “ไม่ใช่ว่าเขาออกไปข้างนอกวิหารเหรอครับ?”



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          “เอาสิ” ในที่สุดออร์พก็พูดออกไป



          “ขอบคุณมาก” แขกคนนั้นตอบ แล้วจึงเดินมานั่งตรงข้ามกับออร์พ แล้วหยิบเครื่องดื่มจากดรอยด์เสิร์ฟมาดื่ม หนึ่งแก้ว สองแก้ว สาม สี่ ห้าแก้ว



          “ฮ้า...” แขกคนนั้นร้องหลังจากกระแทกแก้วใบที่ห้าลงกับโต๊ะ “ที่นี่อร่อยที่สุดแล้วสินะ”



          “ปกติคุณดื่มเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” ออร์พถาม



          “ก็ไม่เชิง” แขกนั้นตอบ แล้วหยิบเครื่องดื่มมาอีกแก้ว “แต่วันนี้อยากดื่มเยอะ ๆ เท่านั้นเอง”



          “งั้นเหรอ”



          แขกนั้นวางแก้วที่หกลงกับโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นมองออร์พ เป็นครั้งแรกที่ออร์พได้เห็นหน้าของเขาชัด ๆ แล้วจึงนึกออกว่าไอ้หมอนี่เป็นชาวโนกรี เห็นได้ชัดเจนจากมุมปากที่ฉีกกว้างและฟันแหลมเรียงเป็นระเบียบ จมูกที่รั้นขึ้นจนเห็นรูจมูกกว้างผิดปกติ และตาสีเหลืองเป็นประกาย



          “เธอมากินที่นี่บ่อยมั้ย?” แขกนั้นถามขึ้น



          “ก็” ออร์พบิดตัว “บ่อยพอใช้ได้”



          “ขนาดไหน?”



          “สัปดาห์ละสามสี่ครั้งได้มั้ง”



          “โดดเรียนเหรอ?”



          “ปกติผมไม่โดดหรอก แต่นี่ครั้งแรก”



          “แต่งชุดแบบนี้ เป็นเจไดรึไง”



          “ยังหรอกครับ เป็นแค่พาดาวัน”



          “พาดาวันงั้นหรือ พาดาวัน อืม... อืม... เรียนอยู่ที่วิหารเจไดตรงฟากโน้นสินะ”



          “ครับ”



          “มีเจไดเยอะมั้ย?”



          “ก็เยอะครับ”



          “เยอะพอที่จะป้องกันกองทัพที่บุกวิหารหรือเปล่า?”



          “โหย มีพวกโรคจิตบุกวิหารออกบ่อยไป แต่ก็ไม่เห็นมีรอดสักราย”



          “เหรอ แล้วที่นั่นใช้ระบบการป้องกันแบบไหน?”



          “ยาวนะครับ อยากฟังเหรอ?”



          ชาวโนกรีคนนั้นยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้าง ตาสีเหลืองเป็นประกายขึ้นวูบหนึ่ง



          “อยากฟังสิ”



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          คูนาฮาวิ่งมาเจอกับเคิร์ธ “ไม่อยู่จริง ๆ ทางซีกใต้นี้ฉันหาจนทั่วแล้ว”



          “ซีกเหนือก็ไม่มี” เคิร์ธพูด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน พอดีกับที่ลิวมันกับไอโอรัสวิ่งมาจากทางตะวันออกและตะวันตก เขาจึงตะโกนออกไปว่า “เจอมั้ย?”



          และคำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่เจอ”



          “ฉันจะออกไปตามหา” คูนาฮาพูด แล้วหันหลังทำท่าจะวิ่งออกไป



          “ฉันไปด้วย” เคิร์ธวิ่งตามไป



          “ไม่ต้อง!” คูนาฮาหันหลังกลับมาพูดพลางวิ่งต่อ “เขาเป็นพาดาวันของฉัน ฉันต้องรับผิดชอบเอง!”



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          “งั้นเองหรือ” ชาวโนกรีคนนั้นพูดหลังจากออร์พพูดเรื่องวิหารให้เขาฟัง



          “อยากรู้ไปทำไมเหรอครับ”



          “ประดับสมอง” ชาวโนกรีวางแก้วลงกับโต๊ะ “บางทีคนเราก็อยากรู้อะไรแบบไม่มีเหตุผล”



          “นั่นสินะ” ออร์พพูด



          “เดธสติ๊กมั้ย?” ชาวโนกรีพูดพลางล้วงมือเข้าไปในผ้าคลุม



          “ไม่ครับ”



          “ดีแล้ว” เขาชักมือออกมา “เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรริอ่านลองยา”



          “อ๋อ ไม่ใช่แบบนั้น” ออร์พหัวเราะแล้วล้วงมือเข้าไปในเสื้อ หยิบแท่งเล็ก ๆ ออกมาถือไว้ในมือ “ผมมีเยอะแล้ว ไม่ต้องรบกวนคุณก็ได้ มีไฟมั้ยครับ”



          “อ้อ” ชาวโนกรีหัวเราะ เขาล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมแล้วยื่นที่จุดไฟให้ “เธอนี่ใช้ได้นะ อายุเท่าไหร่?”



          ออร์พคาบเดธสติ๊กไว้ในปาก รับที่จุดไฟมา แล้วจุด “สิบหก” เขาสูดควันเข้าไปหนึ่งฟืด พ่นออกมาเป็นวงกลางอากาศ แล้วยื่นที่จุดไฟให้



          “เก่งไม่เบา” ชาวโนกรีรับที่จุดไฟมาเก็บไว้ในเสื้อ



          มีเสียงดังมาจากด้านหลังของออร์พว่า “เฮ้ย เหม็นควันว่ะ”



          ออร์พเอามือคาบเดธสติ๊กออกจากปาก แล้วหันไปพ่นควันใส่เจ้าของเสียง ที่อยู่ตรงหน้าคือชาวกามอร์เรียนหน้าตาเหมือนหมูป่าน่าเกลียดสิ้นดีแต่ใส่ชุดหนังแบบมีหนาม แถมยังเจาะจมูกอีกด้วย



          “อ้าว ลื้อทำงี้หาเรื่องอั๊วะนี่หว่า” กามอร์เรียนนั้นพูดเสียงดัง



          “พี่มีปัญหาอะไรนักหนามิทราบ?” ออร์พพูด แล้วเอาเดธสติ๊กมาสูบอีกฟืด



          “มีสิ มีเยอะด้วย” กามอร์เรียนคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม “อั๊วะเป็นเจ้าถิ่นที่นี่ และอั๊วะไม่เคยยอมให้ใครมาพ่นควันใส่หน้าอั๊วะ”



          ออร์พพ่นควันอีกระลอก แล้วหัวเราะ



          ท่าทางกามอร์เรียนคนนั้นจะเหลืออด มันตะโกนเป็นภาษาอะไรสักอย่างที่ออร์พฟังไม่ทันและไม่เข้าใจด้วย พริบตาต่อมาก็มีกามอร์เรียนอีกสองคนพุ่งมาจากไหนไม่รู้และเงื้อค้อนอันยักษ์พร้อมจะทุบหัวเขาให้แหลกกระจุย ออร์พนึกอยู่แล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบดาบแสงที่เหน็บไว้ที่เอวขึ้นมาเตรียมฟัน



          เอ๊ะ อ้าว



          เขาฝากดาบแสงไว้กับอาจารย์ไลโอ



          ฉิบหายสิ ค้อนสองอันนั่นพุ่งลงมาแล้ว



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          คูนาฮาวิ่งวนรอบวิหารไปหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของพาดาวันของเขาเลย อาจจะดูว่าเขากังวลเกินเหตุแต่เขาเป็นแบบนี้เสมอ



          “หรือว่าจะโดนลักพาตัว?” คูนาฮาพูดกับตัวเอง แล้วหน้าเสีย



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

          เสียงแชะของดาบแสงดังขึ้นแล้วในพริบตาต่อมาปลายค้อนทั้งสองอันนั้นก็กระเด็นออกไป ออร์พเงยหน้าขึ้นทันเห็นลำแสงสีแดงฟันฉับเดียวก็ผ่ากามอร์เรียนสองคนนั้นออกเป็นสองส่วน แสงนั้นหายไป แล้วเป็นร่างของชาวโนกรีคนนั้นที่พุ่งเข้ามากามอร์เรียนขาใหญ่คนนั้นพร้อมดาบที่ปิด แต่วางตรงกับท้ายทอยของกามอร์เรียนคนนั้น



          “คิดว่าแกคงไม่อยากให้ข้าเปล่งดาบ ใช่ไหม? ไอ้หมูตอน” ชาวโนกรีพูดพลางใช้ตาสีเหลืองจ้องหน้ากามอร์เรียนนั้น



          ออร์พเห็นขาของกามอร์เรียนสั่นเป็นเจ้าเข้า แล้วได้ยินเสียงมันพูดเสียงสั่นว่า “ไม่อยากครับ”



          ชาวโนกรีคนนั้นพูดต่อว่า “งั้นก็ดี อย่าเสนอหน้ามาที่นี่อีก ไม่งั้นข้าอาจจะเผลอกดเปิดดาบก็ได้ นิ้วข้ายิ่งซุกซนอยู่” แล้วเขาก็ใช้ด้ามดาบนั้นกระแทกท้ายทอยชาวกามอร์เรียนหนึ่งที ทันทีที่กามอร์เรียนคนนั้นเป็นอิสระ เขาก็วิ่งแจ้นออกไปแบบไม่คิดชีวิต



          ชาวโนกรีเก็บดาบเอาไว้ที่เอว แล้วก้มลงมองออร์พ พูดว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”



          “ไม่ครับ” ออร์พพูดพลางลุกขึ้นยืน “คุณเป็นเจไดเหรอ ผมไม่ยักรู้”



          “ไม่ใช่เจไดหรอก” ชาวโนกรีหยิบฮูดมาคลุมศีรษะเหมือนเดิม “ก็แค่นักเดินทางที่มีดาบแสงติดตัวมาด้วยเท่านั้นเอง”



          “ผมอยากรู้ชื่อคุณจัง” ออร์พพูด “ผมชื่อออร์พ ดี. แอรัล เรียกออร์พก็ได้”



          “ฉันฮารา คอนช์ เรียกฮาราเฉย ๆ ก็แล้วกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ ออร์พ”



          “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ฮารา”





    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×